วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 19:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จัทร์เพ็ญ เขียน:
อัตตา กับ อนัตตา นี่ต่างกันอย่างไรคะ? เห็นหลายๆ กระทู้มักกล่าวแต่เรื่องเหล่านี้ เอาแค่พอเข้าใจก็พอค่ะ ไม่ต้องยาว :b8:

tongue

ของมีอยู่ เข้าไปยึด เรียกว่า อัตตา
ของมีอยู่ ไม่เข้าไปยึด เรียกอนัตตา

"ธรรมเปรียบเหมือนเรือหรือแพ ที่พาเราข้ามไปให้ถึงฝั่ง(นิพพาน) เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแบกเรือไปด้วย"
เหมือนนั่งเครื่องบินไปภูเก็ต ถึงภูเก็ตแล้วแบกเครื่องบินไปเที่ยวด้วยหรือเปล่า

การข้ามฝั่งต้องอาศัยเรือหรือแพ ยังไม่ถึงฝั่งก็ต้องยึดเอากายและธรรมทั้งหลายมีมรรคเป็นต้นไปก่อน
จนถึงฝั่งจึงปล่อยธรรมทั้งหลายไว้ตามเดิม

ท่านสอนให้ยึดธรรมในเบื้องต้น(อัตตา)แล้วให้ปล่อยวาง(อนัตตา)เมื่อถึงเบื้องปลาย จึงว่า
"ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 02:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 01:17
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณทุกท่านจากใจจริง ที่ช่วยตอบคำถามครับ smiley

ผมเข้าใจและสบายใจมากขึ้นแล้วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 15:02
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิดหนึ่ง เขียน:
ของมีอยู่ เข้าไปยึด เรียกว่า อัตตา
ของมีอยู่ ไม่เข้าไปยึด เรียกอนัตตา

"ธรรมเปรียบเหมือนเรือหรือแพ ที่พาเราข้ามไปให้ถึงฝั่ง(นิพพาน) เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแบกเรือไปด้วย"
เหมือนนั่งเครื่องบินไปภูเก็ต ถึงภูเก็ตแล้วแบกเครื่องบินไปเที่ยวด้วยหรือเปล่า

การข้ามฝั่งต้องอาศัยเรือหรือแพ ยังไม่ถึงฝั่งก็ต้องยึดเอากายและธรรมทั้งหลายมีมรรคเป็นต้นไปก่อน
จนถึงฝั่งจึงปล่อยธรรมทั้งหลายไว้ตามเดิม

ท่านสอนให้ยึดธรรมในเบื้องต้น(อัตตา)แล้วให้ปล่อยวาง(อนัตตา)เมื่อถึงเบื้องปลาย จึงว่า
"ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"

:b12:

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งและท่านเจ้าของกระทู้ด้วยคะ สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เพราะเรายังยึดมั่นถือมั่น ในตัวตน ของๆเราอยู่ นะสิครับ ทุกข์จึงเกิด
เราๆท่าน ๆ จึงต้อง ยึด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ
เราๆ สาธุชน และชาวโลก ทั้งหลาย ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
นั้นถือว่า...โชคดี เป็นบุญกุศลที่สุดแล้วครับ
ส่วนท่านใด จะเห็นอนัตตา เห็น ปัญญา นั่นขึ้นอยู่ที่ความเพียรของแต่ละบุคคล
และบุญกุศลที่ได้สร้างสะสมมาแต่อดีตชาติ
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ คุณGuzbell
เป็นคำถามที่ดีมากค่ะ จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย..โดยส่วนตัว ขอแสดงความคิดเห็น
รวบยอดจากการศึกษาพระธรรมคำสอนมาบ้าง ถ้าหากไม่ถูกใจท่านผู้ใด..ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
และการตอบก็มิได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่ม"อัตตา" ให้กับตนเองแต่อย่างใด....
การกล่าวคำว่า "อนัตตา" ขึ้นมาลอย ๆ อาจจะทำให้เกิดความสับสนได้..พระพุทธะทรงสั่งสอนไว้ว่า
"ผล" ย่อมเกิดจาก "เหตุ" ...เมื่อมีเหตุย่อมมีผล ซึ่งสรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเข้าไปที่กฏของ "ไตรลักษณ์"
คือ 1.อนิจจัง ความไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 2.ทุกข์ขัง ทุกสิ่งเป็นทุกข์ ทุกข์จากการเปลี่ยนแปลง 3.อนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตน
และพระพุทธองค์ทรงใช้ปัญญารู้แจ้ง เห็นกฏของไตรลักษณ์ โดยละความยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวง
ท่านจึงหลุดพ้นจากความทุกข์และความสุขทั้งปวง...มีจิตเป็นอุเบกขาลอยเด่นอยู่เหนือความสุขและความทุกข์ มีจิตเป็นอิสระนั่นเอง (วิมุต)
ดังนั้นคำว่า "อนัตตา" ไม่ได้หมายความว่า "ไม่มีตัวตน" แต่หมายถึง โดยสภาพของรูปและนามนั้น ไม่
อาจเข้าครอบครองเป็นเจ้าของที่แท้จริงได้ เช่น นามจะเกิดดับเร็วกว่ารูป และรูปบางรูปต้องใช้เวลานาน
หลายปีกว่าจะเสื่อมสลาย (ถ้าสนใจเรื่องรูปนามให้ศึกษาเพิ่มเติม)
ทีนี้จะตอบว่าทำไมพระพุทธองค์ทรงสอนธรรมที่เป็นอนัตตาให้กับมนุษย์
โดยสภาพของมนุษย์เกิดมามีทั้งรูปและนามติดตัวมาพร้อมกับสัญชาติญาณ..เพื่อการดำรงชีวิตอยู่
ดังนั้นสมมุติบัญญัติ จึงมีความจำเป็นต่อมนุษย์และเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์...
และด้วยสัญชาติญาณ นี้เองที่ทำให้มนุษย์ มีการเบียดเบียนสัตว์อื่นและมนุษย์ด้วยกัน เพื่อ "ตัวตน" ของ
ตนเอง ยึดมั่นถือมั่นในรูปนามหรืออุปาทานในเบญจขันธ์ ตามแรงของกิเลสตัณหา โทสะ โมหะ โลภะ
จึงทำให้มนุษย์หลงอยู่ในความสุขและความทุกข์นั้น ๆ และลำพังปัญญาทางโลกของมนุษย์เอง ไม่อาจ
เข้าถึง "สัจจะธรรม" ได้
ดังนั้น "ปุถุชน" อย่างเรา ๆ จึงต้องอาศัยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เพื่อน้อมนำมาปฏิบัติเพื่อให้
หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวง เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏให้ได้นั่นเอง
และยังมีมนุษย์อีกจำนวนมากที่ไม่รู้ว่า "การเกิดเป็นทุกข์โดยแท้" ดังคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั่นเอง
ดังนั้นมนุษย์จึงเปรียบเหมือน นักเดินทางผู้โดดเดี่ยว เดินทางอย่างไร้จุดหมาย บนเส้นทางที่ยาวไกลจน
หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ..แต่พระพุทธองค์ทรงเมตตานำพระธรรมคำสั่งสอนที่ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เผยแผ่ให้แสงสว่างกับมนุษย์ผู้น่าสงสาร นำพาตัวเองให้พ้นไปจากสังสารวัฏได้...ช่างเป็นพระมหา
กรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้...

ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2010, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2010, 13:40
โพสต์: 38

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิษย์โง่งม เขียน:
Guzbell เขียน:
ผมสงสัยว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ธรรมะ ศาสนา นิพพาน วิญญาณ สวรรค และอื่นๆ ล้วนเป็นอนัตตา หรือ ไม่มีตัวไม่มีตนอยู่จริง ยึดถือไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก เหมือนที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา แล้วทำไม่ พระพุทธเจ้าท่านต้องเทศนาเผยแผ่หลักธรรมให้ความว่างเปล่า(อนัตตา) ให้แก่เราท่านที่ไม่มีตัวไม่มีตนตั้งแต่แรกด้วย พูดสรุปง่ายๆ ถ้าทุกสิ่งเป็นเพียงภาพมายาไม่ควรยึดมั่นถือมั่นแล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาเทศนาภาพมายาที่ไม่มีตัวตนอย่างมนุษย์ด้วย เรียนผู้รู้ทั้งหลายช่วยให้ผมรู้แจ้งในธรรมด้วย ว่าผมเข้าใจธรรมะส่วนไหนผิด.


พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีตัวตน สอนเรื่องไม่มีตัวตน ให้ผู้ไม่มีตัวตนรู้เรื่องการมีตัวตนกับไม่มีตัวตนต่างกันอย่างไร หากเรายึดมั่นในตัวตน เราก็จะมีตัวตน หากเราไม่ยึดมั่นในตัวตน เราก็จะไม่มีตัวตน ทุกข์สุขไม่มีตัวตนแต่ถ้าเรายึดมั่นทุกข์สุข เราก็จะมีทุกข์มีสุขเป็นตัวตน หากทำกรรมไม่ดี ก็จะมีผลทำให้เราทุกข์มากสุขน้อย เช่นเจอน้องมหาลัยขาวสวยหมวยอึ๋ม มาให้ติวการบ้าน อดใจไม่ไหวพาไปหวดซะ หลังจากนั้นไม่นานเธอโทรมาว่าเธอเป็นเอดส์ หลังจากนั้นไม่นานเราก็ดำลงดำลง ทุกข์แทบอยากฆ่าตัวตาย แต่ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าว่าตัวตนไม่มี น้องหมวยเป็นมายา สอนการบ้านเสร็จ ไล่กลับบ้าน เราก็ไม่ทุกข์..อันนี้เป็นความคิดโง่ๆของศิษย์โง่ที่ขี้เกียจปฏิบัติครับ ผิดถูกต้องขออำไพ ผมยัง งงตัวเองเหมือนกัน เอาพอ ขำขำ..


ชอบคำตอบนี้ อธิบายสั้นตรงประเด็นคำถาม ท่านยกตัวอย่างเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าง่ายดี
เรื่องอัตตา อนัตตา มีปัญญานำใช้ให้เป็นก็มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม..อนุโมทนา..


ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นได้หลายอย่าง แผนที่ก็ได้ ยารักษาโรคก็ได้ เกราะเพชรก็ได้

โซ่ตรวนก็ได้ กุญแจสะเดาะโซ่ตรวนก็ได้ เบาดั่งขนนก หนักแน่นปานขุนเขา แล้วแต่ปัญญาใคร...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร