วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 21:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 09:16
โพสต์: 158

แนวปฏิบัติ: พุธโท
งานอดิเรก: นั่งสมาธิ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปรัชญา
ชื่อเล่น: T^^T
อายุ: 23
ที่อยู่: ลำปาง

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจเปนเพราะความคิดชั่ววูบ

.....................................................
ดูก่อu!!!ภิกษุทั้งหลาย!!!คนพาลเขากลัวยากจนจึงไม่รู้จักขวนขวายในการให้ทาน!!!ส่วนบัณฑิตชนเขากลัวยากจนจึงรู้ขวนขวายในการให้ทาน!!!


แก้ไขล่าสุดโดย สัจจะธรรมของชีวิต เมื่อ 10 ม.ค. 2011, 20:05, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พอจะบอกได้ไหม เผื่อจะได้แชร์ความรู้กัน

บางครั้ง ภาษาพูดของมนุษย์
มันทำหน้าที่สื่อสารธรรมะได้ไม่ค่อยดีนัก

และอาจจะเป็นเพราะภูมิผู้พูดกับภูมิผู้ฟังแตกต่างกันมากไปก็ได้

คนศึกษาธรมะนั้น บ่อยครั้งไปนะที่เราจะพบว่า
ประโยคเดียวกันแท้ๆ เราอาจจะเห็นว่าเป็นผิดมหันต์ก็ได้
แต่พอความรู้เรามากขึ้นก็พบว่า ที่เราว่าผิดนั่นแหละ
มันกลับถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
และไม่มีวิธีพูดใดๆในภาษามนุษย์ที่ดีกว่านี้

ที่เราไม่พอใจ มันเป็นเพราะความรู้ของเรายังไม่มากพอที่จะเข้าใจ
แล้วมันไปขัดกับทิฐิเดิมที่เรามี เราจึงไม่พอใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


จริงๆท่านว. พูดเช่นนี้ก็ไม่แปลก ปัจจุบันกรรมฐานสายภาวนาแบบวิปัสสนายุบหนอพองหนอ ดังกว่าแบบสมาธิพุทโธ
ไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายพุทโธ คือพุทโธนั้นจริงดีมากถึงมากที่สุด ท่านคงพูดถึงความร้สึกได้ประสบพบมา

ผมเคยดูในรายการชีพจรโลก ท่านว.เองเคยบอกว่าหากจะไปสายปฏิบัติในตอนที่บวชสมัยแรก ท่านบวชมีให้ไปสอง
ที่คือวัดหลวงพ่อพุทธทาส กับวัดหลวงพ่อชา ในสมัยนั้นที่มีการอานาปานสติ ได้ดีมาก แต่พอท่านมาคิดให้ดีอีกที
ท่านขอเลือกเรียนปริยัติเพราะเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ไปปฏิบัติกับเกจิอาจารย์เก่งๆเหมือนกัน แต่เมื่อท่านมาทางด้าน
พอจะกลับไปทางปฏิบัติที่ตั้งใจไว้แต่แรก ปรากฏว่าสองหลวงพ่อที่พูดถึงได้มรภาพไปแล้ว ทำให้หมดโอกาสได้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แต่ท่านก้ได้หาเวลาปฏิบัติด้วยตัวเองของท่านจนเข้าถึงความสงบด้วยตัวเองบ้างแล้ว อีกอย่างตอนนี้วัดอัมพวันมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศมีหลวงพ่อจรัญเป็นผู้วางแนวทางปฏิบัติไว้อย่างดีและลงตัวอีกทั้งบุคลากรพร้อม เน้นเรื่องการฝึกสติกับปัจจุบันธรรมเป็นเรื่องใหญ่และมีญาติโยมไปปฏิบัติ เมื่อท่าน ว. ท่านได้ไปปฏิบัติในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน และอีกทั้งบรรยากาศในวัดก็ค่อนข้างสัปปายะ(เมื่อก่อนในอดีตนะ)
ปัจจุบันนี้คนเยอะก้อาจจะไม่สงบเหมือนเมื่อไปบ้างแต่ก้ยังคงแนวทางปฏิบัติไว้แบบเมื่อก่อน ทำให้ท่าน ว. ปฏิบัติแบบสติปัฎฐานแบบนี้ดีกว่า
แต่ไม่ได้หมายถึง การภาวนาพุทโธ สู้ไม่ได้สักหน่อยครับ ถ้าจขกท.เหนว่าแบบพุทโธ ไม่ว่าจะเป็นแบบฐานเดียวหรือสามฐาน หรือพุทโธ ในอริยาบถหลัก และอริยาบถย่อย ก้ให้ทำต่อไปเหมือนเดิมแหละครับ เพราะทั้งพุทโธและยุบหนอพองหนอ อยู่ในส่วนของอานาปานสติเหมือนกันทำให้หมดกิเลสได้ทั้งคู่ครับ เพราะยุบหนอพองหนอใช้สติปัฏฐาน4เพื่อเหนไตรลักษณ์เปนทางสายเอกเพื่อเข้ากระแสธรรม ส่วนสายพุทโธพอภาวนาพุทโธจนจิตเป็นสมาธิ
แล้วใช้กายคตาสติ(พิจารณาหมวดกาย32)เพิ่มเข้ามา ให้รุ้แจ้งในความไม่เที่ยงของสังขารและไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป จึงถือว่าสองสายมีผลลัพธ์ในการปฏิบัติเหมือนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เท่าที่ฟังดู ผมว่าเณรตีความคำพูดท่าน ว. มากไปนะ

เท่าที่ผมได้ฟังท่าน ว. สอน
ผมไม่คิดว่าท่านจะมาพูดอะไรทำนองนี้นะครับ
นิสัยท่านไม่ใช่จะมาพูดเหยียดกันอย่างนี้
เราตีความมากไปเอง คือตีความไปทางลบ

ผมว่าเณรคิดมากไปครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 21:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็ว่า..เณรคิดมากไป..

เณรถูกความคิดหลอกเอาซะแล้ว... :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 13:53
โพสต์: 95

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ่านกระทู้นี้แล้วเศร้าใจจริงๆ ขนาดท่านบรรพชาเป็นสามเณรแล้วยังมีความคิดที่หลอนหลอกตัวเองว่าความคิดท่านเองถูกต้องสำนักท่านเองถูกต้อง แล้วก็เที่ยวไปต่อว่าครูบาอาจารย์ท่านอื่นว่าผิดไม่ถูกต้อง อันตรายมากนะครับ กระแสจิตแรงกว่าการกระทำ แค่คิดก็ผิดบาปแล้ว นรกไม่มีข้อยกเว้นให้ไม่ว่าจะเพศบรรพชิตหรือเพศฆราวาส ถ้าท่านทนไม่ไหวหรืออึดอัด ผมว่าท่านสึกออกมาเถอะครับ อย่าให้ความคิดของท่านเผาผลาญผ้ากาสาวพักตร์ที่ท่านนุ่งห่มอยู่เลยครับ

เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมามีการสำรวจความคิดเห็นถึงพระที่เตือนสติสอนสังคม ผลปรากฏว่า อันดับ ๑.พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี อันดับ ๒.พระอาจารย์พยอม กัลยาโณ และอันดับ ๓.พระอาจารย์สมปอง ตาลปุตโต ผมก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็ยอมรับในพระอาจารย์ ๓ ท่านที่ได้รับการจัดอันดับในครั้งนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 00:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ม.ค. 2011, 22:11
โพสต์: 2


 ข้อมูลส่วนตัว


อารมณ์แห่งมารกำลังเล่นงานท่านแล้ว ใจเย็นๆ ท่าน วิธีฝึกกรรมฐานมี 40 กอง ขึ้นอยู่กับจริตของคนแต่ละคนจะชอบแบบไหน ในกรรมฐานทั้ง 40 กองนี้บาทองค์ใหญ่ที่ขาดไม่แต่คือ อานาปานสติ สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวของเราเองนะ เราก็ไปศึกษา ยุบหนอ พองหนอ เราไม่ถูกจริตกับตัวเรา ไม่ใช่ว่าการฝึกยุบหนอ พองหนอ ไม่ดี มันขึ้นอยู่กับใครถูกจริตกับกรรมฐานกองใด ส่วนนี้ก็เป็นการฝึกสมาธิยังไม่ถือว่าเราเป็นผู้ชนะ เมื่อสมาธิแข็งกล้าแล้ว ก็ต้องใช้วิปัสนาญาณมาฆ่ากิเลส จึงถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริง และการฝึกต้องประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา จะขาดอย่างใดอย่างมิได้การปฏิบัติธรรมจะไม่สำเร็จ
ในครั้งพุทธกาลของพระพุทธเจ้าก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่นะ(ลองไปหาอ่านดูนะ) กว่าเราจะค้นหาตัวเราเจอว่าชอบกรรมฐานแบบใดก็ใช่เวลานานเหมือนกัน ทุกครูบาอาจาย์ที่เราศึกษาล้วนมีหลักธรรมคำสอนที่ไม่แตกต่างกัน เพราะท่านก็คือ สาวกของพระพุทธองค์เหมือนกัน จุดมุ่งหมายปลายทางเหมือนกัน คือ พระนิพพาน ที่ที่ซึ่งเป็นความสุขที่ถาวรมิเปลี่ยนแปลง ไม่อยากให้ท่านคิดแบบนั้นสิ่งใดไม่ถูกใจเราก็ให้วางอุเบกขาทำใจให้สบายๆ และก็ฝึกในรูปแบบของท่านที่ท่านชอบ ระวังจิตมารด้วยนะเพราะจิตมารกับเราเป็นคู่บัดดี้กันมาหลายชาติแล้ว ต้องแยกจิตมารกับจิตที่แท้จริงออกมาให้ได้ เพราะจิตมารมันปิดกั้นจิตแท้จริงอยู่ (ขอบอกมารไม่ธรรมดาเลยมันเก่งมาก เก่งอย่างไรก็แพ้พระพุทธองค์ แพ้พระอรหันต์) โดยใช้วิธีของพระพุทธองค์ที่ท่านสำเร็จมาแล้วและพระอรหันต์ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ขอให้ท่านเจริญในธรรม สาธุๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ความนึกคิดเกิดขึ้น ท่านเณร จับความรู้สึกทันไหม ว่าจิตขณะนั้นเป็น กุศล หรือ อกุศล
บางครั้งการตีความหมายของคำพูดบุคคลคนอื่นเพียงไม่กี่ประโยค แล้วสรุปว่าต้องเป็นอย่างนั้น
เสมอไป มันเป็นความคิดที่ "คับแคบ" เกินไป ไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ที่เขาไม่มีโอกาสได้อธิบาย
ขยายความนะเจ้าคะ

ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 11:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 17:20
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความคิดท่านเณรไปป่าวสายไหนถ้าเป็นคนไม่ดีมันก็ไม่ดีนะ เพราะดีไม่ดีอยู่ที่ความคิดและการกระทำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 13:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 13:24
โพสต์: 2


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบกระทู้ของ เณร ที่ใช้นามว่า สัจธรรมของชีวิต หน่อยนะครับ
อยากให้ เณร ตั้งใจปฏิบัติไปอีก..ก่อนครับ เมื่อรู้มากขึ้นแล้วจะ ไม่อยากติเตียน ผู้อื่นเลย ยิ่งเป็นสายธรรมยุต
ต้องปฏิบัติให้มากๆ การบริกรรม อันใดก็แล้วแต่อย่าไปยึดมัน ต้องรู้ว่าเจตนาของการบริกรรมคืออะไร ดูในกายเราให้ท่องแท้ก็พอ ตามที่ท่านครูบา อาจารย์ได้สอนไว้ ขอให้มีความเจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ขอสัก2ประโยค ตัวภาวนา(ไม่ว่าจะเป็นพุทธ- โธ/ยุบหนอ-พองหนอ/หรือสัมมา-อรหัง)นั้น ภาษานักปฏิบัติเขาเรียกว่าตัว วิตก (มันจะมีตัวอื่นๆอีก เช่น วิจารณ์ ปิติ อะไรอีก)มันเป็นองค์ประกอบขององค์ฌาณ หรือลำดับขั้นของการเข้าสมาธิ ตัววิตกนี้ มันเป็นแค่สมมุติบัญญัติ จะใช้ตัวไหนก็ได้ เป็นอุบายให้จิตไปคลอเคลีย อยู่กับลมหายใจ หรือการเคลื่อนไหวของหน้าท้อง ตัวไหนภาวนาแล้ว จิตมันคลอเคสียกับลมหายใจได้นาน หรือต่อเนื่อง เบาสบาย ไม่ง่วงนอน ไม่กดเค้น ก็เอาตัวนั้น เพราะถือว่าถูกกับจริตของเรา เพราะว่าเมื่อการภาวนาได้ผลจริง จิตมันก็จะวางตัววิตกไปเอง สมาธิตั้งขึ้นดีแล้วตัวภาวนาหายไปเองอันนี้เรื่องจริงจำได้ไหมที่ครูบาอาจารย์เก่าๆเขาพูดเป็นปริศนาธรรมไว้ว่า พุท-โธ หาย ตัวภาวนาเริ่มหายไปเมื่อจิตเริ่มเข้าสู่ สมาธิขั้นกลาง(อุปจาระสมาธิ)ช่วงนี้จิตทิ้งตัวภาวนาสิ้นเชิงแล้ว รู้แต่ลมหายใจเข้า-ออก แบบแผ่วเบามาก เมื่อไรลมหายใจขาด กายก็จะหายไปด้วย ที่เรียกว่าไม่มีกาย เหลือแต่จิตช่วงนี้แหละที่เขาเรียกว่าอัปนาสมาธิ คนทีเขาภาวนาเก่งๆ อย่างเช่นอาจารย์สุทัศน์ ที่เราเคยไปปฏิบัติที่วัดท่าน ท่านไม่ต้องกำหนดตัวภาวนาเลย เอาจิตไปจับกับลมหายใจ หรือตัวกำหนดเช่นหน้าท้องเลย เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าตัวภาวนานี้เราเอาเข้าไปในสมาธิด้วยไม่ได้
เราเองปฏิบัติผ่านมาแล้วยืนยันได้ วิธีไหนผลของมันก็เหมือนกัน ตัวภาวนาไหน ถ้านั่งจริง เพียรจริง ได้ผลแล้วจะมานั่งอมยิ้ม ว่าเราหนอตะแบงเถียงกันในเรื่องเดียวกันอยู่นั่นเอง......เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุท่านเจโตฯ..ที่ให้ความรู้ :b8: :b8:

เจโตวิมุติ เขียน:
:b42: ขอสัก2ประโยค ...

:b12: :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
อย่างเช่นอาจารย์สุทัศน์


หลวงพี่หมายถึง หลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล วัดกระโจมทองหรือเปล่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สัจจะธรรมของชีวิต เขียน:
แต่หลังจากที่ได้มาบวชแล้วได้ศึกษาธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ เราก็เชื่อตามนั้น แต่ด้วยสภาพสังคมหรือปัจจัยหลายๆอย่างภาพที่เราได้พบได้เห็นมันไม่เป็นอย่างที่เราเชื่อ ก็ทำให้รู้สึกสลดใจ ผิดหวัง บางครั้งก็เกิดความเบื่อหน่าย ยกตัวอย่างเช่น ข่าวต่างๆที่เกี่ยวกับพระในทางที่เสียหาย ซึ่งก็ไม่ต้องบอกว่ามีอะไรบ้างก็รู้ๆกันอยู่ หรือในพระวินัยบอกว่าคนที่เปนกระเทยไม่สามารถจะบวชได้
ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าเป็นการเปิดโอกาศให้คนเหล่านั้นเข้ามาศึกษาธรรม แต่เท่าที่พบเจอมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็รุ้สึกเกิดความเบื่อหน่วย


เณรต้องแยกให้ออกนะ ระหว่างคนกับหลักธรรม

คนเสื่อม ไม่ได้แปลว่า ธรรมะมันเสื่อมนะ
ที่จริงแล้ว คนเสื่อมไปจากธรรมะ แต่ตัวธรรมะมันไม่ได้เสื่อมลงไปไหน
มันมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าจะเกิด มันแค่รอการค้นพบ
แล้วพระพุทธเจ้าจากไปแล้ว มันก็ไม่ได้เสื่อมไปไหน แต่เราต่างหากที่เสื่อมความรู้ความเข้าใจไปจากธรรมะ

เหมือนเราใช้คอมพิวเตอร์ ถ้าเราใช้ไม่คล่อง เราต้องโทษตัวเรา ที่ยังรู้ไม่พอ
จะไปว่าคอมพิวเตอร์มันเสื่อม มันไม่ดี อย่างนี้มันแปลกๆนะ เณรลองเอาไปคิดดู


สัจจะธรรมของชีวิต เขียน:
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าความเบื่อหน่วยนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ


ผมจะเล่าให้ฟังนะ เอาของจริงๆ
ผมเคยไปว่าคนนั้นไม่ดีอย่างนี้ คนนี้ไม่ดีอย่างนั้น
ผมสลด ผมสังเวช ผมอุจาดหูอุจาดตา
บางครั้งผมก้บอกตัวเองว่า ผมปลง ผมปล่อยแล้ว ผมระอาโลกนี้มาก

พอวันหนึ่งมีคนมาสอนให้ดูตัวเอง โอยยยยย
เคยไปว่าอะไรใคร อิเหนาเป็นเองทั้งหมด

เนียะ เราไปรู้เรื่องคนอื่นมากมายปานใด ต่อให้สลดสังเวชปานใด
มันก็ไม่มีผลอะไรเลย เพราะเอาเข้าจริง ตัวเรานั่นแหละ ก็ทำอย่างเขา

เราไม่เคยสังเกตุตนเอง ไม่โอปนยิโก (น้อมกลับเข้ามาในตนเอง)

ที่เณรถามว่า ที่เณรสลดสังเวชนั้น มันเป้นมิจฉาทิฐิ หรือสัมมาทิฐิ
ผมว่าเณรอย่าไปสนใจเลย ว่ามันจะเป็นอะไร
เอาเป็นว่าเณร ถ้าเณรดูเขาแล้ว ย้อนกลับมาดูตัวเราเอง แล้วเณรสงบขึ้น วางมากขึ้น ภาระทางใจน้อยลง อย่างนี้ใช้ได้

แต่ถ้าดูเขาแล้ว กลับว้าวุ่นขบคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย ห่างออกจากความสงบระงับออกไปทุกที อันนี้ใช้ไม่ได้

ปล่อยวางมันมีหลายแบบนะ เณรต้องสีงเกตุเอาว่าปล่อยวางของเณรมันเป้นแบบไหน
ปล่อยวางแบบหมดอาลัยตายอยาก หดหู่ ซึมเศร้า แอบมีโกรธ มีไม่พอใจด้วย หรือ
กับปล่อยแบบเบาใจ สบายใจ

ถ้าปล่อยแบบแรก มันเป้นกิเลสนะ มีชื่อแส้ด้วย # ถีนมิทธะ # อุทธัจจะกุกกุจจะ # วิจิกิจฉา

ถ้าปล่อยแบบหลัง มันจะสบายใจนะ เบาสบาย ปล่อยวางเพราะเข้าใจความจริง
เช่นมีคนมาชี้หน้าด่าเรา ตาดำตาเหลือกใส่เลย จะกินเลือดกินเนื้อเรา เราก้โกรธสิ ตกใจ โมโห

แต่ดูไปดูมา เริ่มมองความจริงๆออกว่า อ้าว นี่คนบ้านี่ .. พอรู้ว่าคนบ้าเท่านั้นแหละ
ใจมันหลุดออกจากความโกรธ ความโมโห สบายใจขึ้นมาทันที ถึงกับหัวเราะก็มีนะ
คือเราปล่อยวางเพราะรู้ความจริง

เณรเป็นคนคิดมากนะ
คือฟัง 1 คำ แต่คิดแตกออกไปได้เป็นสิบๆคำ

เวลาเณรฟังใครพูดอะไร เณรฟังใจเขาด้วยนะ อย่าไปยึดคำพูดแต่อย่างเดียว
ลองถามตัวเองว่า 10 คำที่เราคิดแตกออกไปนั้น คนพูดเขาตั้งใจจะพูดไหม
บางคนเขาไม่ตั้งใจจะพูดให้เราคิดไปอย่างนั้นนะ เราต้องฟังใจเขาด้วย
ฟังใจคืออะไร คือฟังเจตนาของเขา

คนศึกษาธรรมะนี้ ชอบทุ่มเถียงกันที่คำพูดคำศัพท์เป็นระจำเลย เป็นเรื่องปกติเลยทีเดียว
เณรต้องฟังให้ออกว่า เขาเจตนาอะไร เจตนาดีหรือเจตนาร้าย
เจตนาจะสร้างประโยชน์ให้ตนเอง หรือเจตนาจะสร้างประโยชน์ให้เรา
เณรฟังออกแล้วเณรก้จะเลือกได้ เหมือนกินอาหารน่ะ
ของดีเราก็กิน ของไม่ดีก็อย่าไปกิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 01:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาสาธุ..ทุกท่านค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร