วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 12:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2012, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
๒๕. ปัญหาของอจินไตย ๔ ข้อ
ถาม ๑. สิ่งที่เป็นอจินไตย นี่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้ ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนคนธรรมดาหรือพระอรหันต์ธรรมดาจะรู้ได้ใช่ไหม

ตอบ สิ่งที่เป็นอจินไตยนั้นมี ๔ อย่าง คือ
๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า
๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม
๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก
ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
ในอจินไตย ๔ อย่างนี้ อย่างแรกคือ พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธเจ้า มีอานุภาพของพระพุทธคุณและพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
อย่างที่ ๒ ฌานวิสัย วิสัยของผู้ที่ได้ฌานอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ฌานคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌานอภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้นๆ เท่านั้นจึงจะรู้ได้
อย่างที่ ๓ กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่นระลึกได้ ๕๐๐ ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ ๕๕๐ ผู้ที่ระลึกชาติได้ ๕๐๐ ชาติก็ไม่สามารถระลึกได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระพระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมีพระอนาวรณญาณ ญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้น ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้
อย่างที่ ๔ โลกจินดา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก เช่นคิดว่าใครสร้างพระจันทร์-พระอาทิตย์ ใครสร้างภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น คิดมากไปไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจจะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


wapae เขียน:
คือผมเชื่อเรื่องวิญญาณนะครับ แต่ผมสงสัยว่าแรกเริ่มเลยวิญญาณเราเกิดมาจากไหน ตอนนี้เรามาอยู่ในวัฏจักรของอะไร แล้วใครสร้างวัฏจักรนี้ขึ้นมา....? หรือว่าผมสงสัยมากเกินไป ยังไงก็ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ เพราะทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ผมจะรู้สึกสับสนมากๆเลย แล้วก็เคว้งคว้างแปลกๆ
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ


ขอบคุณครับ

อนุโมทนากับพุทธพจน์ของคุณโยม FLAME และโยมพี่ปล่อยรู้ด้วยนะครับ
โยมเจ้าของกระทู้ลองทบทวนดูนะครับ แต่ที่โยมพี่ปล่อยรู้ รู้มาก็อาศัยจากตำรา
มาก่อน จะปฏิเสธตำราทีเดียวเลย หรือไม่เชื่อไม่ฟังน้อมฟังคนอื่นก่อนเลย
อย่างนั้นก็ไม่ต้องตั้งกระทู้ถามแล้วกระมัง

พวกเราได้ยินได้ฟัง ศึกษาจากครูบาอาจารย์ ผ่านตำรามาด้วยกันแล้วทั้งนั้น
ที่นี้จะรู้จะหายสงสัยในเรื่องใด ก็ต้องมาสนทนาสอบถามแบบนี้แหละ

ไม่มีใครหรอกครับ ถึงเขาจะบอกว่าไม่ต้องอาศัยตำรา แต่เขาๆ ท่านๆ ก็ผ่าน
ตำรามาด้วยกันหมดแล้ว เมื่อมาลงมือแล้วนั่นแหละถึงจะเรียกได้ว่า อาศัย
ประสบการณ์ตรงอีกทีที่ได้มาจากตำราหรือแผนที่แล้วนั่นเอง วันข้างหน้า
คุณโยม wapae เมื่อได้ยินได้ฟังจากกัลยาณมิตร เทียบเคียงจากตำรา
จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ แล้วลงมือปฏิบัติ ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจไม่แตก
ต่างไปจากนี้แน่นอนครับ

ถ้าคงความหมายเดิมให้ดูที่คุณโยม FLAME แสดงความเห็น ถ้าน้อมทำความ
เข้าใจให้ง่ายขึ้นพิจารณาที่โยมพี่ปล่อยรู้อธิบายครับ ^^

คงขอเพิ่มเติมในความรุ้ความสงสัย ที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ที่พระพุทธองค์
ทรงไม่พยากรณ์เสมอๆ เลย คือไม่ตอบสำหรับคำถามที่จะทำให้ คนถามคล้อย
ตามเข้าใจไปข้างใดข้างหนึ่ง เช่นคุณโยม wapae มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณ
ผู้ที่เขารู้แล้ว เขารู้ว่าคุณโยม มีลักษณะสัสสตทิฏฐิ คือมีความคิดความเห็น อย่าง
เช่นที่โยมพี่ govit2552 ถามคุณโยม เน้นสีแดงๆ

ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด วิญญาณเดิมใช่หรือไม่ นี้คือความเห็นที่เรียกว่า "เที่ยง"
พอคุณโยมมาถาม แล้วก็บอกด้วยว่าเชื่อว่ามี หากเป็นพระสาวก ตลอดจนพุทธบริษัท
ที่เข้าใจคำสอนอย่างถ่องแท้ จะต้องพยายามในการให้คำอธิบาย เช่นที่โยม FLAME
ยกพุทธพจน์นำขึ้นมา แสดงถึงความหมายของวิญญาณ ตามพุทธพจน์

เพราะหากปฏิเสธลงไปคุณโยม wapae ก็จะเข้าใจว่า อ่อไม่มีวิญญาณไม่มีตัวตน
ลงไปอีกทันที จนเกิดวิปัสสนึกผิดๆ นึกเอาอย่างเดียว อย่างเก่งก็แค่ จินตมยปัญญา
จะตอบรับลงไป คุณโยมก็จะเข้าไปหาส่วนสุดอีกด้านหนึ่งคือ ความมีอยู่เที่ยงแท้
ปฏิเสธก็กลายเป็นขาดสูญ ตายแล้วก็แล้วกัน ฯลฯ

๑๐ คำถาม ที่ใครๆ ถามแล้วพระองค์ไม่ตอบเลย คือถามเพราะไม่รู้เหตุ
เกิดของคำถาม ไม่รู้เหตุเกิดของสิ่งต่างๆ ที่อาศัยปัจจัยตามที่โยมพี่หลายๆ
คนช่วยกันอธิบาย

๑.โลกเที่ยง?
๒.โลกไม่เที่ยง?
๓.โลกมีที่สุด?
๔.โลกไม่มีที่สุด?
๕.ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น?
๖.ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น?
๗.สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก?
๘.สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เป็นอีก?
๙.สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี?
๑๐.สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้?

แล้วก็อนุโมทนากับคุณโยมลูกพระป่า ที่แนะนำให้เอาหนามออกเลย ไม่ต้องพิจารณา
มากให้ปฏิบัติเลยดีกว่า ดังนั้นก็พิจารณาที่โยมพี่ๆ ช่วยกันอธิบายครับว่า วิญญาณ
จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัย คือ ตากระทบรูป เกิดเห็น รู้เห็น นี้แหละวิญญาณ
ทางตา พออะไรกระทบก็เหมือนวงจรไฟฟ้า วิ่งไปรวมลงที่ใจ ในส่วนของใจก็มี
ทั้งความรู้สึกสุขทุกข์ มีความจำ มีความคิดนึกปรุงแต่ง ตรงนี้แหละที่เป็นกิริยาอาการ
ที่ทำให้ เกิดการตั้งคำถามความสงสัยนี้ขึ้นมา เพราะอาศัยตาที่เห็น

จำได้ว่าเป็นเราเ็ห็น เป็นเรารู้เห็น แล้วก็เกิดอาการคิดนึกรู้สึกรับรู้เรื่องราวต่างๆ ขึ้นมา
ความยึดมั่นถือมั่นหรืออุปาทาน นอกจากเราเห็นแล้ว ก็กลายเป็นเราสงสัย เรากลัว
เราสับสน เราไม่รู้ขึ้นมานั่นเอง

เกิดความสงสัย ที่ถ้าอบรมเจริญปัญญา พิจารณาลงมือปฏิบัติตามที่กัลยาณมิตร
แนะนำแล้วนั่นแหละจึงจะได้เห็น กระบวนการเกิดเพราะอาศัยเหตุปัจจัย กระบวนการ
ดับเพราะหมดเหตุหมดปัจจัย หรือเป็นความสืบต่อของ วัตถุอื่น(หู+เสียง=ได้ยิน)
+ อารมณ์ที่ได้ยิน นี้ก็มีความสืบต่อของวิญญาณ ที่พระองค์ตรัสว่า เว้นจากขันธ์ ๔
คือรูป เวทนา สัญญา สังขารนี้แล้ว รูป หมายถึงร่างกายจากเท้ามาถึงศีรษะ มีอวัยวะ
ครบ มีตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่บกพร่อง

เวทนา ความรู้สึกหรือเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ เฉยๆ /สัญญา ความจำได้หมายรู้ จำสิ่ง
ที่เห็นตามตัวอย่างข้างต้น จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง จำเรื่อง
ราวในอดีต ในปัจจุบัน / สังขาร ความคิดนึกปรุงแต่งที่อาศัย ผัสสะ เวทนา สัญญา
เจตนา(กรรม) เป็นตัวปรุงแต่งเรื่องราว ความสงสัยเรื่องวัฏฏ์จักร ความสงสัยในขันธ์
ตัวตนที่แล้วมาในอดีต ตัวตนที่จะไปในอนาคต เหล่านี้ ฯลฯ

พระองค์ตรัสว่า เว้นจากนามขันธ์ รูปขันธ์แล้ว วิญญาณ ที่เรากล่าวว่า มีการมา การไป
การจุติ การอุปัตติเว้นจากนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ พอใครลองได้ศึกษาจากตำรา หรือจาก
ุกัลยาณมิตรแล้ว เช่นพอคุณโยมลูกพระป่าแนะนำ ความคลายใจเบาใจก็เกิดขึ้น

ตรงนี้ดับไปแต่อารมณ์แต่ความสงสัยยังไม่หมด ตัวตนความยึดมั่นถือมั่นยังมีอยู่ถืออยู่
ก็จำต้องมาศึกษาจากตำรา จากกัลยาณมิตร ที่มีความเห็นถูกเป็นสัมมาทิฏฐิ ย่อมจะ
สามารถพิสูจน์ถึงพระธรรมคำสอน ว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์มีจริง สามารถปฏิบัติได้ ให้ผล
ได้ไม่จำกัดกาลอย่างแท้จริง ฝากไว้พิจารณาครับเจริญพร ^^

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 17:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


วิญญาณ ไม่รู้ว่าเริ่มครั้งแรกเกิดได้อย่างไร แต่วิญญาณเป็นวัฐจักร เวียนว่ายตายเกิด ลงนรก เป็นเทวดา
เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ อย่างนี้นับภพ นับชาติไม่ถ้วน เพราะว่าวิญญาณไม่หลุดจากกิเลศ ที่เรามีการรับรู้ก็เพราะเรามีวิญญาณ ถ้าไม่มีวิญญาณก็ไม่มีการรับรู้ ก็คือเราตายแล้ว เราเกิดจากความไม่รู้ของชาย และหญิง มาประชุมกัน แล้วก็เกิดวิญญาณจากภพ จากชาติไหนไม่รู้ มาปฏิสนธิในครรภ์ ทำให้เกิดเราขึ้นมา
จิตใจของเราก็จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าในวิญญาณของเรามีกิเลศมากน้อยแค่ไหนในอดีตชาติ ก็จะส่งผลจิตใจในปัจจุบัน หรือในชาตินี้ บางคนก็ดี บางคนก็ชั่วสุดๆ สภาพแวดล้อมมีผลต่อพฤติกรรม หรือนิสัยของเราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางคนไม่ต้องสอนอะไรมากก็เป็นคนดี แม้ว่าสภาพแวดล้อมมีแต่สิ่งชั่วไม่ดี
มนุษย์เรานี้จะอยู่ในวงจร " อิัทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท "

ไม่เที่ยง เกิดดับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: กราบนมัสการครับหลวงพี่พุทธฏีกา

ใช่ว่าโยมจะปฏิเสธตำราเสียทั้งหมดที่เดียวครับ
สิ่งใดที่มีแสดงอยู่ในตำรา
เมื่อเราพิจารณาปฏิบัติตามแล้วเห็นจริงตามที่ตำรากล่าวถึง
ก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธตำราแต่อย่างใดได้ครับ
เพราะมันเป็นจริงตามตำรา

ส่วนสิ่งใดที่ตำรากล่าวถึง แต่เรายังไม่สามารถพิสูจน์ปฏิบัติได้จริงตามตำรา
โยมมีความเห็นว่าสมควรวางเอาไว้ก่อน
มิควรที่จะหยิบจับขึ้นมาถือให้แตกเป็นประเด็นเพิ่มเติมจากตำราที่กล่าวถึงไว้แต่เดิม
ตำรามิใช่เป็นความสงสัยหรือเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด
เพียงแต่ตำรามีส่วนร่วมทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาเท่านั้นครับ

ส่วนใดในตำราที่ทำให้เกิดความลังเลสงสัย ก็ควรที่จะวางส่วนนั้นลงไปก่อน
หรือทั้งๆที่พยายามพิจารณาเพื่อที่จะให้เกิดความเห็นคล้อยตามตำราด้วยแล้วก็ตาม
แต่ความลังเลสังสัยก็ยังไม่บรรเทาเบาบางลงไป
ตรงส่วนนี้โยมมีความเห็นว่าสมควรวางลงไปก่อน

และวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้หายจากความลังเลสงสัย
ตามความเห็นของโยม ก็คือการพิสูจน์จากของจริงเอาเลย
เพราะตำราย่อมเกิดที่หลังจากของจริง
ความผิดพลาดคลาดเคลื่อนย่อมเกิดขึ้นได้จากตำรา จากคำอธิบาย
แต่ของจริงไม่มีทางที่จะผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้แต่อย่างใดเลย
ผัสสะจากจินตนาการหรือมโนภาพหรือคำบอกเล่า
ย่อมเทียบกันมิได้เลยกับผัสสะที่ปรากฏเกิดขึ้นตรงๆ จริงๆ ... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 00:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="ลูกพระป่า"][quote="wapae"]คือผมเชื่อเรื่องวิญญาณนะครับ แต่ผมสงสัยว่าแรกเริ่มเลยวิญญาณเราเกิดมาจากไหน ตอนนี้เรามาอยู่ในวัฏจักรของอะไร แล้วใครสร้างวัฏจักรนี้ขึ้นมา....? หรือว่าผมสงสัยมากเกินไป ยังไงก็ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ เพราะทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ผมจะรู้สึกสับสนมากๆเลย แล้วก็เคว้งคว้างแปลกๆ



ใครสร้างโลก พระอาทิตย์ ดวงดาว มนุษย์ สัตว์ วิญญาณ สวรรค์ นรก วัฎจักร ความเชื่อ ไม่เชื่อ อิทธิฤทธิ์ และทุกสิ่งใน..... นั้นคือ ธรรมชาติ
ธรรมชาติ ของทุกสรรพสิ่ง ส่วนพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น เป็นการสอนให้เรียนรู้ ฝึกฝน เพื่ออยู่กับธรรมชาติ ของทุกสรรพสิ่ง อย่างดีที่สุด ดังนั้น ธรรมชาติ ที่คนไม่อาจยังถึงกันง่ายๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ยังไม่ถึงขั้นความรู้อันที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น พระองค์จึงสอนไว้ว่า อย่าเชื่อ 10 ประการ (กาลามสูตร) ทรงต้องการให้เรียนรู้ด้วย ตัวเองเท่านั้น รวมถึงเรื่องที่เราเรียกกันว่า นิพพาน ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดที่พระองค์ได้เข้าถึงได้

ความคิดเห็นส่วนตัว ควรไม่ควรแล้วแต่ท่านจะพิจารณาครับ ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 07:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะความเข้าใจในเรื่องของวิญญาณที่แตกต่างกัน
จึงนำไปสู่ความเห็นที่แตกต่างกัน
จึงทำให้เกิดลัทธิความเชื่อที่แตกต่างกัน
จึงทำให้เกิดความประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างกัน

วิญญาณตามที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นนั้น
มีความแตกต่างกับวิญญาณตามความเห็น ตามความเชื่อที่เคยมีมาแต่เดิม
แม้นในคำสอนส่วนใหญ่(ตำรา)ของพระพุทธเจ้าจะทรงกล่าวถึงวิญญาณที่มิใช่หมายถึง
สิ่งที่เป็นอัตตาตัวตน สิ่งที่เป็นตัวตนมาอาศัยร่างกายนี้อยู่ ก็ตาม
แต่ก็ยังไม่อาจละลายความเห็น เปลี่ยนแปลงความรู้สึกว่าเป็นวิญญาณที่เป็นอัตตาตัวตนนี้ลงไปได้โดยง่าย...

คำสอนในตำราที่กล่าวถึงวิญญาณหลังจากรูปร่างกายนี้แตกดับสลายลงไปแล้ว
มีกล่าวถึงน้อยมาก และที่มีกล่าวถึงนั้นก็ยากต่อการที่จะพิสูจน์ทำให้เชื่อว่าเป็นไปตามเช่นนั้นจริงๆ


วิญญาณตามความเห็นทางพระพุทธศาสนานั้น
คือวิญญาณที่มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ต้องรอให้รูปร่างกายนี้แตกดับลงไปก่อนแต่อย่างใด

ส่วนความเชื่อความเห็นที่ว่าวิญญาณเป็นอัตตาตัวตน เป็นสิ่งที่มาอาศัยรูปร่างกายนี้อยู่
ครั้นรูปร่างกายนี้แตกดับสลายลงไป วิญญาณตามความเชื่อที่ว่านี้ ก็จะล่องลอยไปอาศัย
ในรูปร่างกายอื่นๆอยู่อีกต่อไป ความเชื่อความเห็นเช่นนี้มิใช่เป็นความเชื่อความเห็นทางพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด.

ความเห็นทางพระพุทธศาสนานั้น วิญญาณต้องอาศัยรูป เวทนา สัญญา สังขาร ในการเกิดปรากฏ
วิญญาณไม่อาจที่จะไปสร้างรูป สร้างเวทนา สร้างสัญญา สร้างสังขาร ขึ้นมาเองได้

วิญญาณเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตที่สมมุติเรียกว่าคนนั้น มีส่วนประกอบรวมกันอยู่ห้าส่วนด้วยกัน
คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
แต่ละส่วนจะมีลักษณะและทำหน้าที่แตกต่างกัน...

ส่วนประกอบทั้งห้าของสิ่งมีชีวิตที่ถูกสมมุติเรียกชื่อว่าคนนี้นั้น
ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดเลยที่เป็นอัตตาตัวตน
ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่เป็นอมตะถาวรมั่นคง ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่ดับไปและอีกส่วนหนึ่งไม่ดับ ทั้งห้าส่วนนั้นล้วนมีการเกิดดับหมดทั้งสิ้น

เป็นเพราะยังมีความเชื่อ ยังมีความเห็นอยู่ว่า
ส่วนที่เรียกว่าวิญญาณนี้นั้น ยังคงมีความเป็นอัตตาตัวตนอยู่
ดังนั้นจึงยังคงมีความเชื่อ ยังคงมีความเห็น ยังคงมีความรู้สึกอยู่ว่า
หลังจากร่างกายนี้แตกดับสลายลงไปแล้ว ยังคงหลงเเหลือส่วนที่เรียกว่าวิญญาณนี้อยู่
และวิญญาณที่หลงเหลืออยู่นี้ก็จะล่องลอยไปแสวงหาหรือไปเกิด
หรือไปสร้างรูปลักษณะต่างๆขึ้นมาใหม่อีกต่อไป...

แต่เมื่อใดที่เกิดความเห็นขึ้นมาได้ว่า
ส่วนที่เรียกว่าวิญญาณนี้นั้น ไม่ได้มีความเป็นอัตตาตัวตนแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เป็นเพียงธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลาโดยอาศัยเหตุและปัจจัยในการเกิดดับ
ความเชื่อความเห็นความรู้สึกที่ว่ายังคงมีส่วนที่เรียกว่าวิญญาณ ที่เข้าใจว่าเป็นตัวตนไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก ความเชื่อความเห็นความรู้สึกอย่างนี้ก็จะไม่บังเกิดขึ้น
และความสงสัยเกี่ยวกับส่วนที่เรียกว่าวิญญาณนี้ก็จะดับไปสิ้นไป
จะไม่สงสัยว่าหลังจากร่างกายนี้แตกดับลงไปแล้ว จะมีส่วนใดหลงเหลืออยู่อีก
เหลือแล้วไปไน เหลือแล้วไปเป็นอย่างใด...

และความเห็นที่เห็นขึ้นมาใหม่นี้นั้น ก็ไม่เป็นความเกี่ยวข้องกับความเชื่อความเห็นความรู้สึกที่ว่า
ตายแล้วสูญแต่อย่างใดทั้งสิ้น...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 07:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุที่เป็นเช่นนี้..เพราะ...เอาบัญญัติ..ว่า..วิญญาณ

ไปอธิบายความจริง..ถึง 2 ส่วน..ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ความจริงโดยสมมุติ....กับ...ความจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งคิด ก็ยิ่ง ฟุ้งซ่าน...สงสัย ลังเล..อย่ามัวให้ นิวรณ์ เหล่านี้มากั้น ธรรม ของเราเลย
ถ้าเราได้ ศึกษา และ ปฏิบัติ อย่างตรงทาง ตรง ธรรม เดี๋ยวก็จะหายสงสัย ไปเอง
เพราะถ้าสิ้น กิเลส ก็คือ สิ้นกรรม ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็หยุด หมุนเวียน
ทุกอย่าง เกิด ต่อ สืบเนื่อง มาจาก เหตุปัจจยทั้งสิ้น
ขอเจริญในธรรม :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร