วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 07:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เริ่มเลยขี้เกียจอารัมภบท ใครรู้ก็รู้ ใครไม่รู้ก็ช่าง ฉันไม่แคร์
เคยพูดไว้ในกระทู้ตัวเองครึ่งๆกลางๆ ว่ามีอารมณ์โรแมนติกแล้วจะเข้าไปเขียนต่อ
แต่ต้องยอมรับ คนอย่างเราอารมณ์โรแมนติกมันไม่ค่อยอยากวิ่งเข้าหา
เลยไม่ได้เขียนต่อให้จบ คิดแล้วมันคงเหมือนกับที่อิตาแก่ติงต๊องคนหนึ่ง
ชอบว่าเรา เป็นหมาบ้า เห็นถ้าจะจริง แต่มันผิดกับหมาบ้าก็ตรงที่ หมาบ้ามันกลัวน้ำ
แต่เราไม่กลัว อย่างเราเห็นน้ำไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นน้ำลายที่พ่นออกจาก
ปากคนแล้วล่ะก่อน อดใจไม่ไหวต้องวิ่งเข้าใส่งับลูกกระเดือก เอาให้ออกมาเต้น งิ้วปนแร่พ
เอาเป็นว่าคนอย่างเราจะเขียนบทอะไรสักอย่าง บทดราม่าเราไม่ได้เรื่อง เลยต้องมาเขียน
แนวแอคชั่น เอาตามนี้แหล่ะ เริ่มเลยล่ะกัน

ผมเป็นคนที่มีลักษณะประจำตัวคือ มือสั้นอยู่ตลดเวลาครับ สั่นไม่มากเรียกว่า
ออกปากเรียกสันนิบาตไม่ได้ครับ แต่ผมร้อยด้ายร้อยเข็มได้นะครับ
ผมแปลกใจว่าทำไมมือผมถึงได้สั่นตลอดเวลา ผมก็เฝ้าสังเกตุอารมณ์ตัวเองครับ
ว่าอารมณ์ตัวไหนทำให้เรามือสั่น เวลาตื่นเต้นมันก็สั่น เวลาปกติมันก็สั่น สรุปมันก็
ยังหาเหตุไม่ได้ครับ ผมก็เฝ้าสังเกตุมันไปเรื่อยๆ จนรู้ว่าอารมณ์ โลภ โกรธ หลง
กามราคะเป็นอย่างไร แต่ยังเอามาแก้ปัญหาเรื่องมือสั่นไม่ได้

แต่สิ่งที่ได้มามันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งปวงครับ นั้นก็คือการมีสติและสมาธิจนสามารถ
เห็นสภาวะและจำสภาวะต่างได้ ยิ่งไปกว่านั้นการได้เห็นสภาวะที่มันเกิดดับขึ้นตรงหน้า
และเห็นสภาวะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และความเป็นอนัตตา

บางท่านอาจสงสัยว่า อาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปมันเป็นอย่างไร
มันก็ต้องเริ่มที่คุณรู้จักคำว่าสัญญามั้ย หรือเรียกอีกอย่างว่าความจำ
นั้นก็คือเคยเกิดอารมณ์ใดขึ้นแล้วมันผ่านไป แต่มันไม่ได้หายไปไหน
คุณจำสิ่งนั้นไว้ พอเกิดอารมณ์ตัวใดตัวหนึ่งขึ้น แล้วคุณไปจำอารมณ์ที่เคยเกิด
ในอดีตได้ว่า เป็นตัวเดียวกัน นี่แหล่ะเป็นการเปรียบเทียบให้รู้ว่า การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
มันเป็นอย่างไรมีลักษณะเช่นไร
ไม่เพียงแค่นี้ครับ สภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปมันเป็นเพียงเหตุปัจจัย
ผลที่ตามมานั้นก็คือ จะเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์(รู้ทุกข์) และอนัตตา(บังคับไม่ได้)


พวกคุณรู้จักอารมณ์เบื่อๆ อยากๆมั้ยครับ คือหลังจากเห็นสภาวะที่ผมโม้ให้ฟัง(ต้องบอกโม้ไว้ก่อน
ไม่งั้นเดี๋ยวชาวบ้านหาว่าเราโม้ ที่จริงเราไม่ได้โม้ เอาฮากันเข้าไป :b32: )

ไอ้ที่ว่าเบื่อคือคิดย้อนไปตั้งแต่จำความได้ จนถึงปัจจุบันดูแล้วมันน่าเบื่อ มันซ้ำซากจำเจ
สุขประเดี๋ยวเดียวทุกข์อีกแล้ว จำได้ว่ามันเกิดแต่จำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง เพราะมันเยอะมาก

และที่ว่าอยากก็คือ อยากรู้ครับว่า สภาวะที่เราไปรู้มันเป็นอะไร มันเหมือนสิ่งแปลกๆ
มันเกิดขึ้นที่ใจชวนให้ค้นหา ที่รู้ๆมันต้องเป็นสิ่งที่ดีๆแน่เลย อาจะเป็นอภินิหารหรือ
ญาณอะไรสักอย่าง ไม่แน่เราอาจจะได้วิชารู้เลขเด็ดก็เป็นได้ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 06:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


คิดแล้วเอามาเขียนนี่ยังเมาค้างอยู่หรือเปล่าครับเนี่ย.....กั๊กๆๆๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 07:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เริ่มเลยขี้เกียจอารัมภบท ใครรู้ก็รู้ ใครไม่รู้ก็ช่าง ฉันไม่แคร์
เคยพูดไว้ในกระทู้ตัวเองครึ่งๆกลางๆ ว่ามีอารมณ์โรแมนติกแล้วจะเข้าไปเขียนต่อ
แต่ต้องยอมรับ คนอย่างเราอารมณ์โรแมนติกมันไม่ค่อยอยากวิ่งเข้าหา
เลยไม่ได้เขียนต่อให้จบ คิดแล้วมันคงเหมือนกับที่อิตาแก่ติงต๊องคนหนึ่ง
ชอบว่าเรา เป็นหมาบ้า เห็นถ้าจะจริง แต่มันผิดกับหมาบ้าก็ตรงที่ หมาบ้ามันกลัวน้ำ
แต่เราไม่กลัว อย่างเราเห็นน้ำไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นน้ำลายที่พ่นออกจาก
ปากคนแล้วล่ะก่อน อดใจไม่ไหวต้องวิ่งเข้าใส่งับลูกกระเดือก เอาให้ออกมาเต้น งิ้วปนแร่พ
เอาเป็นว่าคนอย่างเราจะเขียนบทอะไรสักอย่าง บทดราม่าเราไม่ได้เรื่อง เลยต้องมาเขียน
แนวแอคชั่น เอาตามนี้แหล่ะ เริ่มเลยล่ะกัน

ผมเป็นคนที่มีลักษณะประจำตัวคือ มือสั้นอยู่ตลดเวลาครับ สั่นไม่มากเรียกว่า
ออกปากเรียกสันนิบาตไม่ได้ครับ แต่ผมร้อยด้ายร้อยเข็มได้นะครับ
ผมแปลกใจว่าทำไมมือผมถึงได้สั่นตลอดเวลา ผมก็เฝ้าสังเกตุอารมณ์ตัวเองครับ
ว่าอารมณ์ตัวไหนทำให้เรามือสั่น เวลาตื่นเต้นมันก็สั่น เวลาปกติมันก็สั่น สรุปมันก็
ยังหาเหตุไม่ได้ครับ ผมก็เฝ้าสังเกตุมันไปเรื่อยๆ จนรู้ว่าอารมณ์ โลภ โกรธ หลง
กามราคะเป็นอย่างไร แต่ยังเอามาแก้ปัญหาเรื่องมือสั่นไม่ได้

แต่สิ่งที่ได้มามันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งปวงครับ นั้นก็คือการมีสติและสมาธิจนสามารถ
เห็นสภาวะและจำสภาวะต่างได้ ยิ่งไปกว่านั้นการได้เห็นสภาวะที่มันเกิดดับขึ้นตรงหน้า
และเห็นสภาวะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และความเป็นอนัตตา

บางท่านอาจสงสัยว่า อาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปมันเป็นอย่างไร
มันก็ต้องเริ่มที่คุณรู้จักคำว่าสัญญามั้ย หรือเรียกอีกอย่างว่าความจำ
นั้นก็คือเคยเกิดอารมณ์ใดขึ้นแล้วมันผ่านไป แต่มันไม่ได้หายไปไหน
คุณจำสิ่งนั้นไว้ พอเกิดอารมณ์ตัวใดตัวหนึ่งขึ้น แล้วคุณไปจำอารมณ์ที่เคยเกิด
ในอดีตได้ว่า เป็นตัวเดียวกัน นี่แหล่ะเป็นการเปรียบเทียบให้รู้ว่า การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
มันเป็นอย่างไรมีลักษณะเช่นไร
ไม่เพียงแค่นี้ครับ สภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปมันเป็นเพียงเหตุปัจจัย
ผลที่ตามมานั้นก็คือ จะเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์(รู้ทุกข์) และอนัตตา(บังคับไม่ได้)


พวกคุณรู้จักอารมณ์เบื่อๆ อยากๆมั้ยครับ คือหลังจากเห็นสภาวะที่ผมโม้ให้ฟัง(ต้องบอกโม้ไว้ก่อน
ไม่งั้นเดี๋ยวชาวบ้านหาว่าเราโม้ ที่จริงเราไม่ได้โม้ เอาฮากันเข้าไป :b32: )

ไอ้ที่ว่าเบื่อคือคิดย้อนไปตั้งแต่จำความได้ จนถึงปัจจุบันดูแล้วมันน่าเบื่อ มันซ้ำซากจำเจ
สุขประเดี๋ยวเดียวทุกข์อีกแล้ว จำได้ว่ามันเกิดแต่จำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง เพราะมันเยอะมาก

และที่ว่าอยากก็คือ อยากรู้ครับว่า สภาวะที่เราไปรู้มันเป็นอะไร มันเหมือนสิ่งแปลกๆ
มันเกิดขึ้นที่ใจชวนให้ค้นหา ที่รู้ๆมันต้องเป็นสิ่งที่ดีๆแน่เลย อาจะเป็นอภินิหารหรือ
ญาณอะไรสักอย่าง ไม่แน่เราอาจจะได้วิชารู้เลขเด็ดก็เป็นได้ :b13:



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 07:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:37
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เริ่มเลยขี้เกียจอารัมภบท ใครรู้ก็รู้ ใครไม่รู้ก็ช่าง ฉันไม่แคร์
เคยพูดไว้ในกระทู้ตัวเองครึ่งๆกลางๆ ว่ามีอารมณ์โรแมนติกแล้วจะเข้าไปเขียนต่อ
แต่ต้องยอมรับ คนอย่างเราอารมณ์โรแมนติกมันไม่ค่อยอยากวิ่งเข้าหา
เลยไม่ได้เขียนต่อให้จบ คิดแล้วมันคงเหมือนกับที่อิตาแก่ติงต๊องคนหนึ่ง
ชอบว่าเรา เป็นหมาบ้า เห็นถ้าจะจริง แต่มันผิดกับหมาบ้าก็ตรงที่ หมาบ้ามันกลัวน้ำ
แต่เราไม่กลัว อย่างเราเห็นน้ำไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นน้ำลายที่พ่นออกจาก
ปากคนแล้วล่ะก่อน อดใจไม่ไหวต้องวิ่งเข้าใส่งับลูกกระเดือก เอาให้ออกมาเต้น งิ้วปนแร่พ
เอาเป็นว่าคนอย่างเราจะเขียนบทอะไรสักอย่าง บทดราม่าเราไม่ได้เรื่อง เลยต้องมาเขียน
แนวแอคชั่น เอาตามนี้แหล่ะ เริ่มเลยล่ะกัน

ผมเป็นคนที่มีลักษณะประจำตัวคือ มือสั้นอยู่ตลดเวลาครับ สั่นไม่มากเรียกว่า
ออกปากเรียกสันนิบาตไม่ได้ครับ แต่ผมร้อยด้ายร้อยเข็มได้นะครับ
ผมแปลกใจว่าทำไมมือผมถึงได้สั่นตลอดเวลา ผมก็เฝ้าสังเกตุอารมณ์ตัวเองครับ
ว่าอารมณ์ตัวไหนทำให้เรามือสั่น เวลาตื่นเต้นมันก็สั่น เวลาปกติมันก็สั่น สรุปมันก็
ยังหาเหตุไม่ได้ครับ ผมก็เฝ้าสังเกตุมันไปเรื่อยๆ จนรู้ว่าอารมณ์ โลภ โกรธ หลง
กามราคะเป็นอย่างไร แต่ยังเอามาแก้ปัญหาเรื่องมือสั่นไม่ได้

แต่สิ่งที่ได้มามันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งปวงครับ นั้นก็คือการมีสติและสมาธิจนสามารถ
เห็นสภาวะและจำสภาวะต่างได้ ยิ่งไปกว่านั้นการได้เห็นสภาวะที่มันเกิดดับขึ้นตรงหน้า
และเห็นสภาวะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และความเป็นอนัตตา

บางท่านอาจสงสัยว่า อาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปมันเป็นอย่างไร
มันก็ต้องเริ่มที่คุณรู้จักคำว่าสัญญามั้ย หรือเรียกอีกอย่างว่าความจำ
นั้นก็คือเคยเกิดอารมณ์ใดขึ้นแล้วมันผ่านไป แต่มันไม่ได้หายไปไหน
คุณจำสิ่งนั้นไว้ พอเกิดอารมณ์ตัวใดตัวหนึ่งขึ้น แล้วคุณไปจำอารมณ์ที่เคยเกิด
ในอดีตได้ว่า เป็นตัวเดียวกัน นี่แหล่ะเป็นการเปรียบเทียบให้รู้ว่า การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
มันเป็นอย่างไรมีลักษณะเช่นไร
ไม่เพียงแค่นี้ครับ สภาวะเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปมันเป็นเพียงเหตุปัจจัย
ผลที่ตามมานั้นก็คือ จะเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์(รู้ทุกข์) และอนัตตา(บังคับไม่ได้)


พวกคุณรู้จักอารมณ์เบื่อๆ อยากๆมั้ยครับ คือหลังจากเห็นสภาวะที่ผมโม้ให้ฟัง(ต้องบอกโม้ไว้ก่อน
ไม่งั้นเดี๋ยวชาวบ้านหาว่าเราโม้ ที่จริงเราไม่ได้โม้ เอาฮากันเข้าไป :b32: )

ไอ้ที่ว่าเบื่อคือคิดย้อนไปตั้งแต่จำความได้ จนถึงปัจจุบันดูแล้วมันน่าเบื่อ มันซ้ำซากจำเจ
สุขประเดี๋ยวเดียวทุกข์อีกแล้ว จำได้ว่ามันเกิดแต่จำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง เพราะมันเยอะมาก

และที่ว่าอยากก็คือ อยากรู้ครับว่า สภาวะที่เราไปรู้มันเป็นอะไร มันเหมือนสิ่งแปลกๆ
มันเกิดขึ้นที่ใจชวนให้ค้นหา ที่รู้ๆมันต้องเป็นสิ่งที่ดีๆแน่เลย อาจะเป็นอภินิหารหรือ
ญาณอะไรสักอย่าง ไม่แน่เราอาจจะได้วิชารู้เลขเด็ดก็เป็นได้ :b13:


สาธุค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




16images.jpg
16images.jpg [ 9.53 KiB | เปิดดู 6967 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:


คิดแล้วมันคงเหมือนกับที่อิตาแก่ติงต๊องคนหนึ่ง
ชอบว่าเรา เป็นหมาบ้า เห็นถ้าจะจริง แต่มันผิดกับหมาบ้าก็ตรงที่ หมาบ้ามันกลัวน้ำ
แต่เราไม่กลัว อย่างเราเห็นน้ำไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นน้ำลายที่พ่นออกจาก
ปากคนแล้วล่ะก่อน อดใจไม่ไหวต้องวิ่งเข้าใส่งับลูกกระเดือก เอาให้ออกมาเต้น งิ้วปนแร่พ
เอาเป็นว่าคนอย่างเราจะเขียนบทอะไรสักอย่าง บทดราม่าเราไม่ได้เรื่อง เลยต้องมาเขียน
แนวแอคชั่น เอาตามนี้แหล่ะ เริ่มเลยล่ะกัน




เห็นมั้ยยาย จ่าฝูงแยกตัวออกจากฝูงมาแร้วววววว เด๋วอีกสองตัวก็ตามมารวมฝูงกันที่นี่ ก๊ากๆๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อันที่จริง ตัวเมียแม่ลูกอ่อน พอๆจะแนะนำได้ หากจับใส่กรงขังเดี่ยวแล้วต้มยาหม้อถ่ายพยาธิที่ทำให้เชื่อบ้าลุกลามออกเสียก่อน แล้วต้มยาธรรมโอสถขนานใหม่ให้กิน แล้วแยกตัวออกจากฝูงนี้ แล้วแนะนำให้รู้จักมิตรแท้มิตรเทียม :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ตัวผู้อีกตัวหนึ่งนั้น มีเชื้อบ้าตามพันธุกรรม ยากจะแก้ไข ปล่อยให้มันวิ่งต๊อกๆๆ อยู่ข้างถนนบางนาตราดต่อไป บลาๆๆ :b1:

http://www.youtube.com/watch?v=EH_ctCXQ ... _embedded#!

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 310


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับนี้เก่งนะ....แต่เก่งแบบหลุดโลกอ่ะ... :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
คิดแล้วเอามาเขียนนี่ยังเมาค้างอยู่หรือเปล่าครับเนี่ย.....กั๊กๆๆๆ

ลุงหมาน อยากย้อมผมใช่ม่ะ! ถ้าจะให้โฮย้อมให้ต้องเป็นสีแดงเท่านั้น
สีก็ต้องเป็นสีธรรมชาติ หาได้ง่าย ถ้าแบบธรรมดาก็ไม้หน้าสาม ถ้าเร่งด่วน
ก็มีดปังตอสับกระดูกหมู

ปุดโด่เอ้ย! ลุงนี่ชราจนหูตาฝ้าฟางแล้วรู้มั้ย
อาหมวย ซาลาเปาอีให้อั้วเขียนอั้วก็มาเขียน แล้วอีกำชับกำชาว่าห้ามเขียนเป็นวิชาการ
อั้วก็เขียนแบบนี้ อาแป๊ะหมาน ลื้อฮีลั้ง ตาแชแหม่นี่หว่า มาว่าอั้วเมาค้างล่าย
ลื้อเนี่ยเจี๊ยะป้าบ่อสื่อจริงๆ กั๊กๆๆๆๆ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 14:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:37
โพสต์: 35


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
คิดแล้วเอามาเขียนนี่ยังเมาค้างอยู่หรือเปล่าครับเนี่ย.....กั๊กๆๆๆ

ลุงหมาน อยากย้อมผมใช่ม่ะ! ถ้าจะให้โฮย้อมให้ต้องเป็นสีแดงเท่านั้น
สีก็ต้องเป็นสีธรรมชาติ หาได้ง่าย ถ้าแบบธรรมดาก็ไม้หน้าสาม ถ้าเร่งด่วน
ก็มีดปังตอสับกระดูกหมู

ปุดโด่เอ้ย! ลุงนี่ชราจนหูตาฝ้าฟางแล้วรู้มั้ย
อาหมวย ซาลาเปาอีให้อั้วเขียนอั้วก็มาเขียน แล้วอีกำชับกำชาว่าห้ามเขียนเป็นวิชาการ
อั้วก็เขียนแบบนี้ อาแป๊ะหมาน ลื้อฮีลั้ง ตาแชแหม่นี่หว่า มาว่าอั้วเมาค้างล่าย
ลื้อเนี่ยเจี๊ยะป้าบ่อสื่อจริงๆ กั๊กๆๆๆๆ
:b13:

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าจะมานั่งเขียนต่อ เมื่อเช้าจ้างเขามาสูบส้วม ไอ้พนักงานสูบส้วมเจ้ากรรม
ดันลืมปิดฝาท่อ แมงสาปมันไต่จากฝาท่อ ขึ้นมาบนคอมพ์ เอาไม่กวาดฟาดไปทีสองที่
มันบินหนีไปได้ ไม่รู้มันจะกลับมาอีกหรือเปล่า ไอ้แมงกาจั๊วพวกนี้นี่ :b32:

ว่ากันต่อด้วยเรื่องความอยากที่ว่า ผมไปถามวิธีปฏิบัติกับหลวงตาที่วัด
หลวงตาแกเคยดูแลผมตอนที่ผมบวชครับ แกชื่อหลวงตาไต๋ แกบอกผมว่า
เอ็งเป็นฆราวาส วิธีปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด ก็คือ เอาสิ่งที่เอ็งไปรู้ไปเห็นมา
ไปใช้กับหน้าที่การงาน โดยใช้สติคอยประคับประคองการงานหรือสิ่งที่กำลังกระทำ
อีกหน่อยก็ดีเอง อันนี้พอได้ฟังแล้วไม่เห็นตื่นเต้น เลยรู้สึกเฉย ไม่สนใจ

ต้องหลวงพี่โก๊ะพระรุ่นพี่แนะนำครับว่า ให้นั่งสมาธิเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง
ถ้าได้ฌาณแล้วจะเห็นอดีตชาติ เห็นนางฟ้า เอ๊ะ! อันนี้เข้าท่าแจ่มเลย :b32:

เพราะความอยากเห็นนางฟ้า ลองทำดูผลที่ได้ก็คือเห็นวงกลมสีม่วงๆ
ลอยอยู่กลางหน้าผาก แล้วมันพุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องสักพักก็หายไป
เหลือแต่ความว่างเปล่าโล่งๆสบายๆ ที่ว่าสบายก็ดีอยู่หรอก
แต่ไอ้ตอนจะเลิกหรือถอนออกมาซิครับ เหมือนมีอะไรมาดึงมาดูดไว้ ไม่ยอมให้ออก
พยายามตั้งสติเหยียดขาออกไป ถึงหลุดออกมาได้ ลองทำอยู่ครั้งสองครั้ง ไม่เห็นมีนางฟ้า
มารำฉุยฉายให้ดูสักครั้งเลยเลิกครับ (อันที่จริงผมกลัวไอ้สภาวะโล่งๆนั้นน่ะครับ) :b32:

ที่นี้ก็มาทำแบบที่หลวงตาไต๋บอกครับ ทำงานไปพอมีอะไรมากระทบ เกิดอารมณ์ใดขึ้น
ก็เอาสิ่งที่เรารู้สภาวะที่เราเห็นมาเทียบเคียง(ภาษาขี้เก๊กเรียกวิปัสสนานั้นแหล่ะครับ)
ทำแล้วความก็รู้สึกแน่นๆที่กลางหน้าอกก็หายไป อาการตึงๆที่หน้าผากก็คลายลง

มานั่งคิดดูโดยประมวลเอากับสิ่งที่ได้ประสบกับตัวเอง ก็รู้ว่าร่างกายกับจิตใจ
มันมีอะไรสักอย่างคอยเชื่อมกันไว้จนรู้สึกว่าร่างกายกับจิตใจเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อมันเป็นอย่างนี้ ก็รู้ได้เลยว่า ร่างกายกับจิตใจมันเป็นคนละส่วนกัน
แต่ไอ้ตัวที่ทำให้เราคิดว่า ร่างกายกับจิตใจเป็นตัวเดียวกัน มันเป็นอะไรน้า :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกให้ก่อนเลยครับ ถึงแม้เราจะรู้สภาวะไตรลักษณ์แล้ว ถ้าไม่มีสิ่งที่มาช่วยนำทาง
ความก้าวหน้าก็เป็นไปได้ยากครับ ดังนั้นจึงต้องอาศัย คำสอนของพระพุทธเจ้า และ
บรรดาครูบาอาจารย์ช่วยชี้แนะ ก็เรื่องอายตนะ12 กระบวนการขันธ์ห้านี่แหล่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเกี่ยวกับกายใจโดยเฉพาะ

การปฏิบัติในเรื่องนี้ผมเรียกมันว่า การละมิจฉาทิฐิ ในเรื่องสักายทิฐิ
วิธีการก็คือ เอาไตรลักษณ์หรือสภาวะที่เรารู้จริงเห็นจริงมาแล้ว ไปเทียบเคียง
หรือเดินวิปัสสนา กับสิ่งภายนอกที่มากระทบ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงฯลฯ
ที่ว่ามานี้เมื่อมันเกิดขึ้น มันก็จะเกิดขันธ์หรือนามตามมา ซึ่งรวมเรียกว่าอารมณ์

เรารู้อยู่แล้วว่าอารมณ์หรือนามขันธ์มัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ในความเป็นจริงถึงแม้นามมันดับไปแล้ว แต่กายหรือรูปขันธ์ยังอยู่
แสดงว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแค่มีเหตุให้เกิด มันไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับเหตุ แต่ที่เราคิดว่า
เป็นสิ่งเดียวกัน เพราะการเกิดดับของกระบวนการขันธ์รวดเร็วมาก

การมั่นมีสติไม่หลง มันระลึกรู้สภาวะไตรลักษณ์ เมื่อเกิดการกระทบขึ้น
ความเคยชินที่ว่ากายกับใจเป็นสิ่งเดียวกันก็จะคลายจางลง กายก็ส่วนหนึ่ง
อารมณ์หรือจิตก็ส่วนหนึ่ง และที่สำคัญยิ่งรู้สัจจ์ธรรมว่ากายนี้สักวันต้องผุพังเน่าเปื่อย
ทิฐิที่เห็นว่ากายเป็นหนึ่งเดียวกับจิต ก็จะหมดไป แสดงว่าละสักกายทิฐิแล้ว

นี่เป็นการอธิบาย ชนิดที่ถูกบังคับไม่ให้ใช้ศัพท์วิชาการ ผลมันก็ออกมาได้แค่นี้
เข้าใจหรือไม่ ก็ต้องไปดูที่หัวข้อกระทู้ ธรรมของเรา ไม่ใช่ของเขาครับ
แต่ไม่สงวนสิทธิ์ใครอยากลองภูมิเรียงหน้ามาเลยครับ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2012, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




54498d4a82e6eaf1fa88e1aa892edab6.gif
54498d4a82e6eaf1fa88e1aa892edab6.gif [ 325.17 KiB | เปิดดู 6895 ครั้ง ]
ไปจับเอาศัพท์ธรรมคำบาลีโยงไปโยงมาแล้วพร่ำไปตามจริต ถึงว่าผู้ตื่นธรรมหรือฟุ้งซ่านธรรมตัวพ่อฮิ :b1:


ให้ลองดูไหม จะเอาศัพท์ที่นายโฮพูดพร่ำมาถามความหมาย ร้บรองไปไม่เป็น :b1: มันมั่ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2012, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว




103436392.gif
103436392.gif [ 186.27 KiB | เปิดดู 6848 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
อันที่จริง ตัวเมียแม่ลูกอ่อน พอๆจะแนะนำได้ หากจับใส่กรงขังเดี่ยวแล้วต้มยาหม้อถ่ายพยาธิที่ทำให้เชื่อบ้าลุกลามออกเสียก่อน แล้วต้มยาธรรมโอสถขนานใหม่ให้กิน แล้วแยกตัวออกจากฝูงนี้ แล้วแนะนำให้รู้จักมิตรแท้มิตรเทียม :b12:

นี่แหละเวลาคุณน้อง โกรธ ดูเอา แต่คนในรูปเค้าพูดภาษาเกาหลีนะ: :b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2012, 04:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไปจับเอาศัพท์ธรรมคำบาลีโยงไปโยงมาแล้วพร่ำไปตามจริต ถึงว่าผู้ตื่นธรรมหรือฟุ้งซ่านธรรมตัวพ่อฮิ :b1:


ให้ลองดูไหม จะเอาศัพท์ที่นายโฮพูดพร่ำมาถามความหมาย ร้บรองไปไม่เป็น :b1: มันมั่ว


มันมีบาลีตรงไหนหว่า ! กระทู้นี้ถูกบังคับให้เขียน ห้ามใช้บาลี ห้ามเขียนแนววิชาการ
ตาสี ตาสาหิ้วกระติ๊บข้าวใส่รองเท้าแตะมาจากไหนไม่รู้ มาหาว่า โยงศัพท์ธรรมบาลีมั่ว

ตาเฒ่ากรัชกาย เท่าที่ดูๆมา คนที่ไปไม่เป็น เหมือนบ้านนอกเข้ากรุงมันน่าจะเป็น
ตาแก่กรัชกายมากกว่านะ อย่างเช่น มนุษย์เขาพูดว่า การปฏิบัติธรรมเขาปฏิบัติที่กายใจ
แต่ตาแก่ดันมาถามว่า "ที่แขนหรือขา" แบบนี้เขาสรุปความได้ว่า ผู้พูดหรือมนุษย์ที่พูดครั้งแรก
พูดแบบสากลทั่วไป มีไอคิวในระดับปกติของคนทั่วไป แต่ผู้ถาม ๆเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่
เห็นผ้าแดงไม่ได้จะต้องวิ่งเข้าใส่ เที่ยบไอคิวถ้าเป็นมนุษย์ก็ต่ำกว่ามาตราฐาน สัณนิฐานก็
คือประมาณ " ดาวน์ซินโดรม "

ที่ว่าจะถามให้ไปไม่เป็นน่ะ ถามเสียซิ ขออย่างเดียวคนถามให้มันรู้คำตอบในสิ่งที่ถามด้วย
ไม่ใช่ถามไปเรื่อยๆ ยิ่งถามยิ่งไกลประเด็น และไอ้ประเภทแปะแบบไม่กลัวเปลื้องแป้งเปียก
ก็ไม่เอาเทศกิจเขาห้าม ยิ่งพวกเอาบทความของครูบาอาจารย์มาแปะแล้วต่อเติมลง
ไปในบทความนั้น ยิ่งไม่เอาใหญ่มันน่ารังเกียจ มูลสุนัขยังพอเอาไม้ไปเขี่ยได้ แต่พฤติกรรมที่ว่ามา
ต้องออกห่างอย่างเดียว :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร