วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 14:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 15:02
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ คือความจริงอันประเสริฐ จริงหรือ ? เหตุใด บางท่านทุกข์แบบเศร้าโศกไม่รู้จักปล่อยวาง ?
บางท่านทุกข์มากจนฆ่าตัวตายก็มี ขอโมทนาค่ะ :b10: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ คือความจริงอันประเสริฐ ในที่นี้น่าจะหมายถึง "อริยสัจจ์สี่"
ทุกข์เป็นเพียงข้อนึงในอริยสัจจ์สี่เท่านั้น ดังนั้นทุกข์เพียงอย่างเดียวจึงยังไปไม่ถึงความจริงอันประเสริฐของพระอริยะ

ความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสตร์

อริยสัจจ์ 4 (ความจริงอันประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ - The Four Noble Truths)
1. ทุกข์ (ความทุกข์, สภาพที่ทนได้ยาก, สภาวะที่บีบคั้น ขัดแย้ง บกพร่อง ขาดแก่นสารและความเที่ยงแท้ ไม่ให้ความพึงพอใจแท้จริง, ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความปรารถนาไม่สมหวัง โดยย่อว่า อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ - suffering; unsatisfactoriness)
2. ทุกขสมุทัย (เหตุเกิดแห่งทุกข์, สาเหตุให้ทุกข์เกิด ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา - the cause of suffering; origin of suffering)
3. ทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป, ภาวะที่เข้าถึงเมื่อกำจัดอวิชชา สำรอกตัณหาสิ้นแล้ว ไม่ถูกต้อง ไม่ติดข้อง หลุดพ้น สงบ ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ คือนิพพาน - the cessation of suffering; extinction of suffering)
4. ทุกขนิโรธคามีนิปฏิปทา (ปฏิปทาที่นำไปสู่ความดับแห่งทุกข์, ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ อริยอัฏฐังคิกมรรค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง มรรคมีองค์ 8 นี้ สรุปลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา - the path leading to the cessation of suffering)

:b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
[112] เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)

เวทนา 5 นี้ เรียกเต็มมี อินทรีย์ ต่อท้ายทุกคำ เป็น สุขินทรีย์ เป็นต้น


พระอรหันต์ ไม่ละ ทุกข์ได้ ............. แต่ท่าน ละโทมนัส

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ความหมายของคำว่าเวทนา

เวทยตีติ เวทนา ธรรมที่ชื่อว่า เวทนา เพราะอรรถว่า รู้สึก
อารมณ์ เวทนานั้นมีลักขณาทิจตุกะดังนี้
เวทยิตลกฺขณา มีการรู้สึกอารมณ์เป็นลักษณะ
อนุภวนรสา มีการเสวยรสอารมณ์เป็นกิจ
อิฏฺาการสมโภครสา หรือมีความเสวยอารมณ์ที่ชอบเป็นกิจ
เจตสิก อสฺสาทปจฺจุปฏฺานา มีความพอใจทางเป็นปัจจุปัฏฐาน
ปสฺสทฺธิปทฏฺานา มีปัสสัทธิเป็นปทัฏฐาน.
จริงอยู่ เวทนาเป็นไปในภูมิ ๔ ชื่อว่า ไม่มีการรู้สึกอารมณ์
เป็นลักษณะก็หาไม่ แต่ท่านกล่าวว่า เวทนามีการเสวยอารมณ์เป็นรส ย่อมได้
เฉพาะสุขเวทนาเท่านั้น แล้วกลับปฏิเสธวาทะนั้นอีก แล้วแสดงเนื้อความนี้ว่า
สุขเวทนาก็ตาม ทุกขเวทนาก็ตาม อุเบกขาเวทนาก็ตาม ทั้งหมด มีการเสวย
อารมณ์เป็นรส จริงอยู่ มุ่งถึงฐานะการเสวยอารมณ์เป็นรสแล้วสัมปยุตตธรรม
ที่เหลือย่อมเสวยอารมณ์เพียงบางส่วน คือผัสสะก็เพียงกระทบอารมณ์เท่านั้น
สัญญามีเพียงจำอารมณ์เท่านั้น เจตนามีเพียงความตั้งใจเท่านั้น วิญญาณมีการ
รู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น แต่เวทนาเท่านั้นย่อมเสวยรสแห่งอารมณ์โดยส่วนเดียว
เพราะความเป็นเจ้าของโดยความเป็นใหญ่ เป็นผู้สมควร จริงอยู่ เวทนา
เปรียบเหมือนพระราชา ธรรมที่เหลือเหมือนพ่อครัว พ่อครัวยังโภชนะมีรส

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 312
อันเลิศต่าง ๆ ให้เรียบร้อยแล้วใส่สมุกประทับตรา ยกไปวางไว้ในสำนักพระ-
ราชา ทำลายตราแล้วเปิดสมุก แล้วพนักงานก็ถือเอาส่วนข้างบนจากกับแกง
ทั้งหลายใส่ภาชนะเพื่อลองชิมดูว่ามีโทษหรือไม่มีโทษ จากนั้นก็น้อมโภชนะมี
รสต่าง ๆ ไปถวายพระราชา พระราชาเท่านั้นทรงเป็นเจ้าของเสวยได้ตาม
ปรารถนา เพราะทรงเป็นใหญ่และทรงมีอำนาจ ธรรมนอกนั้นเสวยรสอารมณ์
บางส่วน เหมือนพ่อครัวเพียงแต่ชิม และทดลองชิมพระกระยาหารเพียงบางส่วน
เท่านั้น ฉันใด แม้ธรรมที่เหลือก็ฉันนั้น ย่อมเสวยรสอารมณ์เพียงบางส่วน
เท่านั้น เหมือนอย่างว่า พระราชาทรงเป็นเจ้าของ เพราะพระองค์ทรงเป็นใหญ่
เป็นผู้สมควร ย่อมเสวยตามความพอพระทัย ฉันใด แม้เวทนาก็ฉันนั้น
ย่อมเสวยรสแห่งอารมณ์ โดยความเป็นเจ้าของ เพราะความเป็นใหญ่ เป็นผู้
สมควร เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เวทนามีการเสวยอารมณ์เป็นรส.
ในการกำหนดเนื้อความที่สอง เวทนาที่ท่านประสงค์เอาในที่นี้ ท่าน
กล่าวว่า เวทนา (สุขเวทนา) ว่ามีการเสวยอาการที่น่าปรารถนาเป็นรส
เพราะอรรถว่า ย่อมเสวยรสแห่งอารมณ์ มีอาการน่าปรารถนาตามที่ประสบ
ก็เวทนานี้ เมื่อว่าโดยความชอบใจ ท่านกล่าวว่า มีความพอใจเป็นปทัฏฐาน
หมายถึงการปรากฏโดยสภาวะของตน ก็เพราะบุคคลผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมเสวย
ความสุข ฉะนั้น พึงทราบว่า เวทนานี้มีความสงบเป็นปทัฏฐาน ดังนี้.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จัทร์เพ็ญ เขียน:
ทุกข์ คือความจริงอันประเสริฐ จริงหรือ ? เหตุใด บางท่านทุกข์แบบเศร้าโศกไม่รู้จักปล่อยวาง ?
บางท่านทุกข์มากจนฆ่าตัวตายก็มี ขอโมทนาค่ะ :b10: :b8:

ทุกข์ เป็นอริยะสัจจ์ ที่เราแปลกันว่า เป็นความจริงอันประเสริฐ
จริง ครับ.....
V
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ไม่รู้จัก ความจริงอันเป็นอริยะ
จึงทุกข์แบบเศร้าโศกไม่รู้จักปล่อยวาง
บางท่านทุกข์มาก จนฆ่าตัวตายก็มี
V
ด้วยเหตุที่ว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น
ไม่ทราบเลยว่า ทุกข์ นั้นเป็นผล ที่มีมาแต่เหตุ
ท่านเหล่านั้น จึงไปดับที่ผล อาศัยอยู่กับผล ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพ้นจากทุกข์ได้
V
ต่อเมื่อ ท่านเหล่านั้น เกิดความรู้ขึ้นมาว่า
ทุกข์นั้น เป็นเพียงผล ที่มีเหตุ.......
ท่านเหล่านั้น ก็จะได้รับการชี้แจงต่อไปอีกถึง สมุทัยอริยสัจจ์
ว่า เหตุ ให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างนี้ๆ
และได้ชี้แจงให้รู้ยิ่งขึ้นว่า
การดับทุกข์ ต้องดับที่เหตุ ด้วยอาการอย่างนี้ๆ >นิโรธอริยสัจจ์
พร้อมทั้งปฏิปทาหนทางแห่งการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ >มัคคอริยสัจจ์
V
การรู้จัก ความจริงอันประเสริฐ เกี่ยวกับทุกข์ จึงมีประโยชน์ยิ่งด้วยประการ ฉะนั้น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 06:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จัทร์เพ็ญ เขียน:
ทุกข์ คือความจริงอันประเสริฐ จริงหรือ ? เหตุใด บางท่านทุกข์แบบเศร้าโศกไม่รู้จักปล่อยวาง ?
บางท่านทุกข์มากจนฆ่าตัวตายก็มี ขอโมทนาค่ะ :b10: :b8:


ทุกข์...ในอริยะสัจ...คือ...ทุกข์อันประเสริฐ
ประสริฐ..เพราะ..เมื่อรู้แล้ว...จะรู้เหตุแห่งทุกข์ได้..รู้ความดับทุกข์ได้...รู้หนทางเพื่อการดับทุกข์

แต่..ทุกข์ที่ปุถุชนรู้สึก...เป็นทุกขเวทนา...เป็นทุกข์ที่ขันธ์สร้างขึ้นมาเพื่อให้เราหาทางหลีกหนี...ปฏิเสธ...สิ่งที่ผัสสะนั้นเสีย
จนบางครั้งถึงขั้นฆ่าตัวตาย....เพราะเข้าใจผิดคิดว่าจะหนีได้

แม้แต่สุขก็เช่นกัน...เราถูกหลอก....ด้วยเวทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5113

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


พอพูดถึงทุกข์ ฮานาโกะนึกถึงเรื่องนี้ เป็นข้อความเตือนใจตัวเองเหมือนกันค่ะ


อ้างคำพูด:
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! สังสารวัฏฏ์นี้เต็มไปด้วยเพลิงทุกข์นานาประการโหมให้ร้อนอยู่ โดยทั่วสัตว์ทั้งหลายยังวิ่งอยู่ในกองทุกข์แห่งสังสารวัฏฏ์ ใครเล่าจะเป็นผู้ดับ ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันดับทุกข์แห่งตน

อุปมาเหมือนบุรุษสตรี ผู้รวมกันอยู่ในบริเวณกว้างแห่งหนึ่ง และต่างคนต่างถือดุ้นไฟใหญ่อันไฟลุกโพลงอยู่ทั่วแล้ว ต่างคนต่างก็วิ่งวนกันอยู่ในบริเวณนั้น และร้องกันว่า ร้อน ร้อน

ภิกษุทั้งหลาย! ครานั้นมีบุรุษผู้หนึ่งเป็นผู้ฉลาดร้องบอกให้ทุก ๆ คนทิ้งดุ้นไฟในมือของตนเสีย ผู้ที่ยอมเชื่อทิ้งดุ้นไฟก็ได้ประสบความเย็น ส่วนผู้ไม่เชื่อก็ยังคงวิ่งถือดุ้นไฟพร้อมด้วยร้องตะโกนว่า ร้อน ร้อน อยู่นั่นเอง

ภิกษุทั้งหลาย! เราตถาคตได้ทิ้งดุ้นไฟแล้ว และร้องบอกให้เธอทั้งหลายทิ้งเสียด้วย ดุ้นไฟที่กล่าวถึงนี้ คือ กิเลสทั้งมวลอันเป็นสิ่งเผาลนสัตว์ให้เร่าร้อนกระวนกระวาย”



เราติดวนอยู่ในผลของเหตุ น้อยคนจะหาทางดับเหตุแห่งทุกข์
ความทุกข์เลยเป็นแค่ความจริงอยู่อย่างนั้นเองเปล่าๆ
ทั้งที่มันไม่ได้ซ่อนตัวเลย เปิดเผยให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา
แต่เราก็ปัญญาทางธรรมน้อย เลยถูกมันหลอกเรื่อยนิ

เดี๋ยวมันทุกข์มากๆก็ร้องไห้กันที
พอมันทุกข์น้อยลงหน่อย...เรายิ้มอีกแระ หลงกลมันเรื่อยเลยอะ

คนที่มีปัญญามาทางธรรมจึงจะคิดหาเหตุแห่งทุกข์ วิธีดับทุกข์และปฏิบัติเพื่อดับต้นเหตุแห่งทุกข์ด้วย
จิตเรามันโดนย้อมมานาน ต้องพยายามชำระกันไปนะคะ
สละโลกกันเถอะ :b1:




.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


โค้ด:
ทุกข์ คือความจริงอันประเสริฐ จริงหรือ ?


จริง

ความสุขก็จริง แต่ความทุกข์ประเสริฐกว่าเพราะคนเราใช้ความทุกข์เพื่อการพัฒนาตัวเองให้เหนือขึ้นไปได้ ความสุขใช้ไม่ได้เพราะทำให้ติด ทำให้เพลิน หรือถ้าจะใช้สุขได้ ก็ต้องมองให้เห็นทุกข์ในสุขเสียก่อน

โค้ด:
เหตุใด บางท่านทุกข์แบบเศร้าโศกไม่รู้จักปล่อยวาง ?


เพราะบางท่านเหล่านั้นไม่รู้ หรือรู้ แต่ไม่ยอมรับความจริงข้างบน

ว่าทุกข์คือความจริง เลี่ยงไม่ได้

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อยากจะดับทุกข์ ให้ได้โดยสิ้นเชิง ก็ต้องดับสังขาร

สังขารคือ ร่างกายและจิตใจ รูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น
สังขาร คือ รูป นาม ขันธ์5

อ้างคำพูด:
"อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน

อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข"

อนิจจา วต สังขารา-สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ......

อุปปาทวยธัมมิโน-มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา.......

อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ-บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป......

เตสัง วูปสโม สุโข-การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข.....


ถ้าอยากจะดับสังขาร ก็ต้องรู้จักสังขารก่อน
รู้จัก รูป นาม ก่อน
ว่ารูปนามคืออะไร
รูปนามเกิดขึ้นมาจากอะไร
รูปนามจะดับลงได้อย่างไร

การฆ่าตัวตาย เป็นการดับรูปนาม ได้จริงหรือ
อ้างคำพูด:
เรื่องภิกษุหลายรูป

โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี ครั้งนั้นพระองค์ทรงแสดงอสุภกถา ทรงพรรณนาคุณแห่งอสุภกัมมัฏฐาน ทรงสรรเสริญคุณแห่งการเจริญอุสภกัมมัฏฐาน ทรงพรรณนาคุณอสุภสมาบัติเนืองๆ โดยอเนก ปริยายแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีก ออกเร้นอยู่ตลอดกึ่งเดือน ใครๆ อย่าเข้าไปหาเรา นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปให้รูปเดียว ภิกษุเหล่านั้นรับ รับสั่งแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเลย นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาต เข้าไปถวายรูปเดียว ภิกษุเหล่านั้นสนทนากันว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอสุภกถา ทรงพรรณนา คุณแห่งอสุภกัมมัฏฐาน ทรงสรรเสริญคุณแห่งการเจริญอสุภกัมมัฏฐาน ทรงพรรณนาคุณแห่งอสุภสมาบัติเนืองๆ โดยอเนกปริยายดังนี้ แล้วพากันประกอบความเพียรในการเจริญอสุภกัมมัฏฐาน หลายอย่างหลายกระบวนอยู่ ภิกษุเหล่านั้น อึดอัด ระอา เกลียดชังร่างกายของตน ดุจสตรี รุ่นสาวหรือบุรุษรุ่นหนุ่ม พอใจในการตกแต่งกาย อาบน้ำสระเกล้า มีซากศพงู ซากศพสุนัข หรือซากศพมนุษย์มาคล้องอยู่ที่คอ พึงอึดอัด สะอิดสะเอียน เกลียดชัง ฉะนั้น จึงปลงชีวิต ตนเองบ้าง วานกันและกันให้ปลงชีวิตบ้าง บางเหล่าก็เข้าไปหามิคลัณฑิกสมณกุตตก์ ๑- กล่าว อย่างนี้ว่า พ่อคุณ ขอท่านได้ปลงชีวิตพวกฉันที บาตรจีวรนี้จักเป็นของท่าน ครั้งนั้นมิคลัณฑิก สมณกุตตก์ อันภิกษุทั้งหลายจ้างด้วยบาตรจีวร จึงปลงชีวิตภิกษุเป็นอันมากแล้ว ถือดาบเปื้อน เลือดเดินไปทางแม่น้ำวัคคุมุทา ขณะเมื่อมิคลัณฑิกสมณกุตตต์ กำลังล้างดาบที่เปื้อนเลือดนั้นอยู่ ได้มีความรำคาญ ความเดือดร้อนว่า ไม่ใช่ลาภของเราหนอ ลาภของเราไม่มีหนอ เราได้ชั่วแล้ว หนอ เราไม่ได้ดีแล้วหนอ เราสร้างบาปไว้มากจริงหนอ เพราะเราได้ปลงชีวิตภิกษุทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ขณะนั้นเทพดาตนหนึ่งผู้นับเนื่องในหมู่มาร เดินมาบนน้ำมิได้แตก ได้กล่าวคำนี้กะเขาว่า ดีแล้ว ดีแล้ว ท่านสัตบุรุษ เป็นลาภท่าน ท่านได้ดีแล้ว ท่านได้สร้างสม บุญไว้มาก เพราะท่านได้ช่วยส่งคนที่ยังข้ามไม่พ้นให้ข้ามพ้นได้ ครั้นมิคลัณฑิกสมณกุตตก์ ได้ทราบว่าเป็นลาภของเรา เราได้ดีแล้ว เราได้สร้างสมบุญไว้มาก เพราะเราได้ช่วยส่งคนที่ยัง ข้ามไม่พ้นให้ข้ามพ้นได้ ดังนี้ จึงถือดาบอันคม จากวิหารเข้าไปสู่วิหาร จากบริเวณเข้าไปสู่ ๑ คนโกนผมไว้จุกนุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ทำนองเป็นตาเถน ฯ บริเวณ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ใครยังข้ามไม่พ้น ข้าพเจ้าจะช่วยส่งให้ข้ามพ้น บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใด ยังไม่ปราศจากราคะ ความกลัว ความหวาดเสียว ความสยอง ย่อมมีแก่ภิกษุ เหล่านั้นในเวลานั้น ส่วนภิกษุเหล่าใดปราศจากราคะแล้ว ความกลัว ความหวาดเสียว ความสยอง ย่อมไม่มีแก่ภิกษุเหล่านั้นในเวลานั้น ครั้งนั้นมิคลัณฑิกสมณกุตตก์ ปลงชีวิตภิกษุเสียวันละ ๑ รูปบ้าง ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ๔ รูปบ้าง ๕ รูปบ้าง ๖ รูปบ้าง ๗ รูปบ้าง ๘ รูปบ้าง ๙ รูปบ้าง ๑๐ รูปบ้าง ๒๐ รูปบ้าง ๓๐ รูปบ้าง ๔๐ รูปบ้าง ๕๐ รูปบ้าง ๖๐ รูปบ้าง.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จัทร์เพ็ญ เขียน:
ทุกข์ คือความจริงอันประเสริฐ จริงหรือ ? เหตุใด บางท่านทุกข์แบบเศร้าโศกไม่รู้จักปล่อยวาง ?
บางท่านทุกข์มากจนฆ่าตัวตายก็มี ขอโมทนาค่ะ :b10: :b8:

"ทุกข์" เป็นของหยาบ เห็นง่าย คนธรรมดาเราท่านจึงเห็นแต่ทุกข์
"สมุทัย" เป็นของละเอียด เห็นยาก ผู้ที่มีปัญญาจึงจะเห็นได้

เมื่อเรามองเห็นแต่ทุกข์ อยากพ้นทุกข์ แก้ยังไงก็แก้ไม่ได้ แก้ไม่ถูก
เพราะไม่ได้แก้เหตุ มองไม่เห็นเหตุ

ผู้มีปัญญาท่านมองเห็นเหตุของทุกข์ ท่านจึงแก้ที่เหตุ ทุกข์ของท่านก็ดับ
อยากพ้นทุกข์ ต้องมองหาเหตุ ค้นหาเหตุให้เจอ หรือหาเพื่อนหากัลยาณมิตร
ยอมรับการชี้แนะจากท่าน ย่อมเป็นทางพ้นทุกข์ได้ ..

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2013, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 15:02
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความคิดเห็นคะ :b8: :b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร