วันเวลาปัจจุบัน 17 ก.ค. 2025, 03:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2013, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอโศกะเขียน

อ้างคำพูด:
ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมครั้งสำคัญ
พ.ศ. 2543 เดือนสิงหาคม วันแรม 4 ค่ำ เกิดธรรมสังเวช โดยได้นั่งพิจารณาลูกแมวที่ถูกแมวใหญ่กัด มาดิ้นตายต่อหน้า ท่านได้นั่งดูอาการตั้งแต่เริ่มถูกกัด ดิ้นทุรนทุราย
ด้วยความ เจ็บปวดทรมาน อุจจาระ ปัสสาวะแตกเรี่ยราด จนสิ้นลมขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตาแล้วเกิดธรรมสังเวช พิจารณาเข้าไปในตัวตน จนเกิดความกลัวตาย นอนไม่หลับตลอด เวลา 4 วัน 4 คืน จนเกิดแรง




ถ้าเราเรียกว่าสัญญาเก่าเกิด ถูกหรือปล่าวค่ะ :b8:
เราเคยเจอเหมือนกันค่ะ ครั้งแรกค่ะที่เห็นสัตว์กำลังจะตาย
ตอนนั้นเราเลี้ยงกระต่ายค่ะ เค้าก็อายุมากแล้วล่ะ มีอยู่วันหนึ่งเราได้กลิ่นเหม็นเน่า
เหมือนสัตว์ตาย เราก็เดินหาก็ไปเจอกระต่ายเค้าซุกตัว อยู่ข้างกระถางต้นไม้
แต่เค้ายังไม่ตายนะ เราดูที่ตัวเค้าไม่เห็นมีแผลอะไร แต่มีแมลงวันหัวเขียว
ตอมที่ตัว และหนอนตัวเล็กๆไต่อยู่ตามขน เราก็เปิดูที่หูของเค้า
ก็เห็นหนอนตัวใหญ่ๆ ประมาณ2ข้อนิ้วก้อยของผู้หญิงค่ะ เราก็คิด
เกิดมาในร่างของสัตว์แล้ว จะตายก็ยังต้องเจอกับทุกข์เวทนาอีก
เราก็คิดที่จะช่วยเค้า ให้พ้นจากทุกข์เวทนาครั้งนี้ ก็เอาที่คีบสำลี
คีบพวกหนอนออกจากรูหูของเค้าทั้ง2ข้าง ใช้น้ำยาล้างหูให้เค้า
(แต่ในขณะที่เราช่วยเค้านะ เราต้องสวดมนต์ อามิโธโผ ตลอดค่ะ
ถ้าเราไม่สวดมนต์ เค้ากระโดดหนีค่ะ ถ้าสวดเค้าจะนอนหลับตานิ่งๆ)

พอทำความสะอาดหูเสร็จ เราจับเค้าไปอาบน้ำเช็ดตัวจนแห้ง ทีนี้เค้าคงจะพ้นทุข์
จากการโดนรบกวนได้ล่ะ เราก็เอาเค้ามาวางที่สนามหญ้า
แล้วบอกให้เค้านึกถึงองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม บอกให้เค้าฟังบทสวดมนต์ที่เราสวด
วันนั้นเราสวดมนต์ให้เค้า ตั้งแต่ช่วง2โมงเช้าถึง3ทุ่มค่ะ คือเมื่อยก็ไปนอนพัก
หิวก็ไปกิน พอถึง3ทุ่มไม่ไหวค่ะ ก็บอกให้เค้านึกถึงองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมนะ
ให้เค้าได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีๆ พอประมาณตี2เค้าไปแล้วค่ะ
เค้าไปโดยที่เค้าไม่ต้องได้เจอกับทุกข์เวทนาอีก

ตอนเช้าเราก็เห็นเค้าดายในท่านอนหมอบตัวนิ่งนะค่ะ เค้าคงไปอย่างสงบ
สิ่งที่เราเขียนมา เราคิดว่า คนเราเห็นในสิ่งที่คล้ายๆกัน
แต่พิจารณาธรรมไปคนล่ะแบบเน๊อะ
ทำให้เราคิดว่า สัญญาเก่าของแต่ล่ะคนคงไม่เหมือน :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2013, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2013, 22:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ยังตามมาแข่งกันเก่ง ในกระทู้นี้อีกแนะ ..... อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เด่อครับ ท่านผู้ชม คริๆๆ


grin onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2013, 22:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




buddha2_resize.gif
buddha2_resize.gif [ 37.14 KiB | เปิดดู 3638 ครั้ง ]
bbby เขียน:
คุณอโศกะเขียน

อ้างคำพูด:
ถ้าไม่มีใครถามก็จะทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาคาใจผู้สงสัย ข้ามเดือนข้ามปีใหม่ไปจนกว่าจะค้นพบปริศนาธรรมอันนี้ด้วยตนของตนเองแต่ละท่านแต่ละคน




ขอถามค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:

:b8:
สาธุ อนุโมทนาที่น้อง bbby ถาม

"หันทะทานิ อมันตยามิโว ภิกขุ

วะยะธัมมา สังขารา อัปปมทาเทนะ สัมปาเททะ"

ถ้าแปลโดยถูกต้องตามความหมายแห่งธรรม จะกลายเป็นสรุป อริยสัจ 4 ได้อย่างไร

:b10:
หันทะทานิ อมันตยามิโว ภิกขุ.........ดูก่อนเธอผู้เห็นภัยในทุกข์ทั้งหลาย(ภิกขุ) เธอจงมาหาเรา จงฟังเรา เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า

วะยะธัมมา...สิ่งทั้งหลายมีความเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา....ความเกิด(วะ)แล้วดับ(ยะ)[b]เป็น ทุกขสัจจะ[/b]

สังขารา.....ความปรุงแต่งทั้งหลาย............เป็นสมุทัยสัจจะ

อัปมาเทนะ........ความถึงพร้อมด้วยสติและสัมปชัญญะ.........หมายถึงปัญญามรรค ...ศีลมรรค....สมาธิมรรค หรือมรรคมีองค์ 8.....คือมรรคสัจจะ เป็นเครื่องมือที่จะค้นหาจนพบเหตุทุกข์แล้วถอนเหตุทุกข์นั้นออกเสีย

สัมปาเททะ......การทำให้ถึงพร้อม คือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1........คือนิโรธะสัจจะ
:b8:
:b27:

ถ้าแปลรวมๆก็น่าจะแปลว่า

ดูก่อนเธอผู้เห็นภัยในทุกข์ทั้งหลาย(ภิกขุ) เธอจงมาหาเรา จงฟังเรา เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า

ความปรุงแต่งทั้งหลาย มีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา

เธอจง(ยังความไม่ประมาท) เจริญมรรคมีองค์ 8 เพื่อให้ได้ถึงพร้อมซึ่ง มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 (นิโรธ) กันเถิด
ลองพากันนำไปพิจารณาดูกันให้ถ้วนถี่นะครับ ว่าความหมายโดยลึกซึ้งเป็นอย่างนี้

:b8:
สำนวนการแปลที่นิยม

ดูก่อน ภิกษุ ทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า

สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา

เธอจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด


บางสำนวนท่อนท้ายก็แปลว่า

เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

ลองเทียบกันดูนะครับ
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2013, 23:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณอโศกะเขียน

อ้างคำพูด:
ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมครั้งสำคัญ
พ.ศ. 2543 เดือนสิงหาคม วันแรม 4 ค่ำ เกิดธรรมสังเวช โดยได้นั่งพิจารณาลูกแมวที่ถูกแมวใหญ่กัด มาดิ้นตายต่อหน้า ท่านได้นั่งดูอาการตั้งแต่เริ่มถูกกัด ดิ้นทุรนทุราย
ด้วยความ เจ็บปวดทรมาน อุจจาระ ปัสสาวะแตกเรี่ยราด จนสิ้นลมขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตาแล้วเกิดธรรมสังเวช พิจารณาเข้าไปในตัวตน จนเกิดความกลัวตาย นอนไม่หลับตลอด เวลา 4 วัน 4 คืน จนเกิดแรง




ถ้าเราเรียกว่าสัญญาเก่าเกิด ถูกหรือปล่าวค่ะ :b8:
เราเคยเจอเหมือนกันค่ะ ครั้งแรกค่ะที่เห็นสัตว์กำลังจะตาย
ตอนนั้นเราเลี้ยงกระต่ายค่ะ เค้าก็อายุมากแล้วล่ะ มีอยู่วันหนึ่งเราได้กลิ่นเหม็นเน่า
เหมือนสัตว์ตาย เราก็เดินหาก็ไปเจอกระต่ายเค้าซุกตัว อยู่ข้างกระถางต้นไม้
แต่เค้ายังไม่ตายนะ เราดูที่ตัวเค้าไม่เห็นมีแผลอะไร แต่มีแมลงวันหัวเขียว
ตอมที่ตัว และหนอนตัวเล็กๆไต่อยู่ตามขน เราก็เปิดูที่หูของเค้า
ก็เห็นหนอนตัวใหญ่ๆ ประมาณ2ข้อนิ้วก้อยของผู้หญิงค่ะ เราก็คิด
เกิดมาในร่างของสัตว์แล้ว จะตายก็ยังต้องเจอกับทุกข์เวทนาอีก
เราก็คิดที่จะช่วยเค้า ให้พ้นจากทุกข์เวทนาครั้งนี้ ก็เอาที่คีบสำลี
คีบพวกหนอนออกจากรูหูของเค้าทั้ง2ข้าง ใช้น้ำยาล้างหูให้เค้า
(แต่ในขณะที่เราช่วยเค้านะ เราต้องสวดมนต์ อามิโธโผ ตลอดค่ะ
ถ้าเราไม่สวดมนต์ เค้ากระโดดหนีค่ะ ถ้าสวดเค้าจะนอนหลับตานิ่งๆ)

พอทำความสะอาดหูเสร็จ เราจับเค้าไปอาบน้ำเช็ดตัวจนแห้ง ทีนี้เค้าคงจะพ้นทุข์
จากการโดนรบกวนได้ล่ะ เราก็เอาเค้ามาวางที่สนามหญ้า
แล้วบอกให้เค้านึกถึงองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม บอกให้เค้าฟังบทสวดมนต์ที่เราสวด
วันนั้นเราสวดมนต์ให้เค้า ตั้งแต่ช่วง2โมงเช้าถึง3ทุ่มค่ะ คือเมื่อยก็ไปนอนพัก
หิวก็ไปกิน พอถึง3ทุ่มไม่ไหวค่ะ ก็บอกให้เค้านึกถึงองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมนะ
ให้เค้าได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีๆ พอประมาณตี2เค้าไปแล้วค่ะ
เค้าไปโดยที่เค้าไม่ต้องได้เจอกับทุกข์เวทนาอีก

ตอนเช้าเราก็เห็นเค้าดายในท่านอนหมอบตัวนิ่งนะค่ะ เค้าคงไปอย่างสงบ
สิ่งที่เราเขียนมา เราคิดว่า คนเราเห็นในสิ่งที่คล้ายๆกัน
แต่พิจารณาธรรมไปคนล่ะแบบเน๊อะ
ทำให้เราคิดว่า สัญญาเก่าของแต่ล่ะคนคงไม่เหมือน :b41: :b55: :b49:

smiley
สิ่งที่น้อง bbby ทำกับกระต่ายนั้นเป็นเรื่องของเมตตาและกรุณาของน้อง ผลคือได้บุญ อันเป็นความสุขกายสุขใจ ปีติอิ่มเอิบที่ได้ช่วยเหลือสัตว์นั้นให้พ้นทรมาณและตายดี
:b27: :b27: :b27:
แต่สิ่งที่หลวงพ่อธีได้จากการเห็นแมวมาดิ้นตายต่อหน้านั้น คือ "ธรรมสังเวช" ที่ส่งผลต่อไปให้ เห็นภัย กลัวภัย จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย [b]เบื่อหน่ายต่อ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และส่งต่อไปอีกให้เกิดความดิ้นรน อยากพ้นไปจากความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ส่งต่อไปอีกให้ได้พิจารณาและรู้ชัดว่ามีทางแห่งมรรค 8 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเท่านั้น ที่จะพาตนให้พ้นวัฏฏะสงสาร ความเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ จนทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หนีออกบวชปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้นและอุกฤษ์ พิจารณาธรรมที่พระบรมศาสดาทรงสอนแล้ว เห็นว่าข้อธรรมในธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้นคือหัวใจคำสอนของพระพุทธเจ้า และอนัตตลักขณะสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดงต่อในวันที่ 2 - 5 นั้น คือหลักธรรมที่สูงสุด ดังสรุปของพระพุทธองค์ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา"

หลวงพ่อจึงพิสูจน์อนัตตา ค้นหาอนัตตา จนพบและเข้าถึงอนัตตาโดยสมบูรณ์ (สัมปาเททะ) ดังเรื่องราวที่เล่ามาในหนังสือ "รีดนมจากเขาวัว"[/b]
tongue smiley :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2013, 23:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ยังตามมาแข่งกันเก่ง ในกระทู้นี้อีกแนะ ..... อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เด่อครับ ท่านผู้ชม คริๆๆ


grin onion

:b12: :b12: :b12: :b12: :b12:
55555

เลยทำให้กระทู้ของคุณฝึกจิตมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้นอีกเยอะเลย เพราะเหตุปัจจัยมันพาไป

ขออย่าได้คิดเป็นอื่นเลยนะครับ

เหตุปัจจัยมันพาไป

คุณฝึกจิตก็ยิ่งได้บุญ ถ้าอนุโมทนาบุญตามไปทุกครั้งที่กลับมาดูกระทู้ของตนเอง

สาธุ


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2013, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณอโศกะเขียน

อ้างคำพูด:
ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมครั้งสำคัญ
พ.ศ. 2543 เดือนสิงหาคม วันแรม 4 ค่ำ เกิดธรรมสังเวช โดยได้นั่งพิจารณาลูกแมวที่ถูกแมวใหญ่กัด มาดิ้นตายต่อหน้า ท่านได้นั่งดูอาการตั้งแต่เริ่มถูกกัด ดิ้นทุรนทุราย
ด้วยความ เจ็บปวดทรมาน อุจจาระ ปัสสาวะแตกเรี่ยราด จนสิ้นลมขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตาแล้วเกิดธรรมสังเวช พิจารณาเข้าไปในตัวตน จนเกิดความกลัวตาย นอนไม่หลับตลอด เวลา 4 วัน 4 คืน จนเกิดแรง



แต่สิ่งที่หลวงพ่อธีได้จากการเห็นแมวมาดิ้นตายต่อหน้านั้น คือ "ธรรมสังเวช" ที่ส่งผลต่อไปให้ เห็นภัย กลัวภัย จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย [b]เบื่อหน่ายต่อ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และส่งต่อไปอีกให้เกิดความดิ้นรน


เลอะเทอะน่า มันจะเป็นธรรมสังเวชได่อย่างไร ก็หลวงพ่อของคุณ บอกเองว่า..
เกิดความกลัวตาย......อย่างนี้ไม่เรียกธรรมสังเวช เขาเรียกถูกกิเลสเล่นงาน
และที่ว่า เห็นภัยกลัวภัย เป็นเพียงการปรุงแต่งอันมีสาเหตุมาจาก กิเลส

จะวิพากษ์บทความนี้ให้ฟังว่า.....มันเป็นการเขียนที่มีเนื้อหา ที่ผิดจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
อย่างแรก บอกมาได้ว่า เกิดธรรมสังเวช สิ่งที่หลวงพ่อธีเห็นไม่ใช่ธรรมสังเวช

ธรรมสังเวชนั้นจะต้องเป็นการเห็น วัฏฏสงสาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ซึ่งลักษณะที่ว่า จะต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่เกิดจากถูกผู้อื่นทำร้าย
หรือเกิดจากอุบัติเหตุ เพราะที่กล่าวมาไม่ใช่เกิดจากวัฏฏสงสาร แต่มันเกิดจากกรรม


หลวงพ่อธีบอกเองว่าเกิดความกลัว.....ความกลัวไม่มีทางทำให้เกิดธรรมสังเวช
ความกลัวมันเป็นกิเลส ....สรุปเนื้อหาที่โสกะเอามาโพส เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
โดยขาดความรู้ทางธรรม เป็นเพียงนิทานที่ลูกศิษย์แต่งให้อาจารย์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ


เรื่องนี้หลวงพ่อธีอาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้ เป็นพวกลูกศิษย์ที่
แต่งนิทานเหล่านี้ขึ้นมาเอง
อาจมีจุดประสงค์เพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่างก็เป็นได้
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2013, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
[อยากพ้นไปจากความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ส่งต่อไปอีกให้ได้พิจารณาและรู้ชัดว่ามีทางแห่งมรรค 8 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเท่านั้น ที่จะพาตนให้พ้นวัฏฏะสงสาร ความเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ จนทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หนีออกบวชปฏิบัติธรรม


อยากรู้ครับ ทำไมหลวงพ่อธีต้องหนีออกบวช ท่านเป็นพระราชาผู้ครองแคว้นหรือครับ
แต่งนิทานแล้วก็โยงเอาเรื่องในชาดกมามั่ว คิดเองไม่เป็นหรือครับ :b13:


asoka เขียน:
พิจารณาธรรมที่พระบรมศาสดาทรงสอนแล้ว เห็นว่าข้อธรรมในธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้นคือหัวใจคำสอนของพระพุทธเจ้า และอนัตตลักขณะสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดงต่อในวันที่ 2 - 5 นั้น คือหลักธรรมที่สูงสุด ดังสรุปของพระพุทธองค์ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา"

หลวงพ่อจึงพิสูจน์อนัตตา ค้นหาอนัตตา จนพบและเข้าถึงอนัตตาโดยสมบูรณ์ (สัมปาเททะ) ดังเรื่องราวที่เล่ามาในหนังสือ "รีดนมจากเขาวัว"



พุทธวจนสำคัญทุกพระสูตรนั้นแหล่ะ พระพุทธองคืไม่ได้บอกเลยว่าพระสูตรไหนสำคัญกว่ากัน
ความสำคัญของพระสูตร ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ใดติดข้องอยู่กับสิ่งใด พระสูตรใดสามารถแก้
ความติดข้องนั้นได้ ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้...เขาไม่จำเพราะเจาะจง :b32:

แล้วเรื่องที่บอกตามหาอนัตตานี้ตลกมาก....พระพุทธองค์ให้หาเหตุแห่งอนัตตา
ไม่ใช่ให้หาอนัตตา อนัตตาเป็นเพียงพุทธพจน์ เป็นเพียงบัญญัติ
การหาเหุแห่งอนัตตา ต้องหาที่กายใจตนเอง และสิ่งที่เกิดภายในกายใจ...
ก็คือสภาวะธรรมเป็นสังขารและวิสังขาร.....สรุปก็คือหา...สังขตลักษณะและอสังขตลักษณะ


ไม่ใช่หาอนัตตาแบบที่โสกะกำลังมั่ว :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2013, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณอโศกะเขียน

อ้างคำพูด:
ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมครั้งสำคัญ
พ.ศ. 2543 เดือนสิงหาคม วันแรม 4 ค่ำ เกิดธรรมสังเวช โดยได้นั่งพิจารณาลูกแมวที่ถูกแมวใหญ่กัด มาดิ้นตายต่อหน้า ท่านได้นั่งดูอาการตั้งแต่เริ่มถูกกัด ดิ้นทุรนทุราย
ด้วยความ เจ็บปวดทรมาน อุจจาระ ปัสสาวะแตกเรี่ยราด จนสิ้นลมขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตาแล้วเกิดธรรมสังเวช พิจารณาเข้าไปในตัวตน จนเกิดความกลัวตาย นอนไม่หลับตลอด เวลา 4 วัน 4 คืน จนเกิดแรง



แต่สิ่งที่หลวงพ่อธีได้จากการเห็นแมวมาดิ้นตายต่อหน้านั้น คือ "ธรรมสังเวช" ที่ส่งผลต่อไปให้ เห็นภัย กลัวภัย จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย [b]เบื่อหน่ายต่อ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และส่งต่อไปอีกให้เกิดความดิ้นรน


เลอะเทอะน่า มันจะเป็นธรรมสังเวชได่อย่างไร ก็หลวงพ่อของคุณ บอกเองว่า..
เกิดความกลัวตาย......อย่างนี้ไม่เรียกธรรมสังเวช เขาเรียกถูกกิเลสเล่นงาน
และที่ว่า เห็นภัยกลัวภัย เป็นเพียงการปรุงแต่งอันมีสาเหตุมาจาก กิเลส

จะวิพากษ์บทความนี้ให้ฟังว่า.....มันเป็นการเขียนที่มีเนื้อหา ที่ผิดจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
อย่างแรก บอกมาได้ว่า เกิดธรรมสังเวช สิ่งที่หลวงพ่อธีเห็นไม่ใช่ธรรมสังเวช

ธรรมสังเวชนั้นจะต้องเป็นการเห็น วัฏฏสงสาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ซึ่งลักษณะที่ว่า จะต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่เกิดจากถูกผู้อื่นทำร้าย
หรือเกิดจากอุบัติเหตุ เพราะที่กล่าวมาไม่ใช่เกิดจากวัฏฏสงสาร แต่มันเกิดจากกรรม


Onion_L หลวงพ่อธีบอกเองว่าเกิดความกลัว.....ความกลัวไม่มีทางทำให้เกิดธรรมสังเวช
ความกลัวมันเป็นกิเลส ....สรุปเนื้อหาที่โสกะเอามาโพส เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
โดยขาดความรู้ทางธรรม เป็นเพียงนิทานที่ลูกศิษย์แต่งให้อาจารย์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ


เรื่องนี้หลวงพ่อธีอาจจะไม่รู้เรื่องก็ได้ เป็นพวกลูกศิษย์ที่
แต่งนิทานเหล่านี้ขึ้นมาเอง
อาจมีจุดประสงค์เพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่างก็เป็นได้
:b13:

Onion_L
โฮฮับต้องอ่านให้ตลอด การได้เห็นความตายอย่างทุกข์ทรมาณของแมวที่ปรากฏต่อหน้าหลวงพ่อทำใหเกิดธรรมสังเวชแล้วเกิดการพิจารณาธรรมไปตามลำดับจนเกิดแรงดลใจให้หลวงพ่อหนีภรรยาออกไปบวชเป็นฤาษีเพื่อปฏิบัติธรรมแต่เสียงค้นของทำให้ภรรยาตื่นขึ้นมาพบแล้วร้องขอไม่ให้ออกบวช แต่ทัดทานไม่ได้ จนต้องยอม ความเป็นอย่างนี้

โฮฮับอย่าเที่ยววิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อยด้วยความสู่รู้ อวดดีของตนไปเรื่อย ให้ระวังโอษฐภัยให้มากๆ

คนไม่เกิดธรรมสังเวชจริงๆจะไม่หนีโลกย์ออกไปบวชแสวงหาธรรมหรอก

ดูอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์หนีออกผนวชก็ด้วยธรรมสังเวชจากเทวทูตทั้ง 4


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2013, 21:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
[อยากพ้นไปจากความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ส่งต่อไปอีกให้ได้พิจารณาและรู้ชัดว่ามีทางแห่งมรรค 8 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเท่านั้น ที่จะพาตนให้พ้นวัฏฏะสงสาร ความเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ จนทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หนีออกบวชปฏิบัติธรรม


อยากรู้ครับ ทำไมหลวงพ่อธีต้องหนีออกบวช ท่านเป็นพระราชาผู้ครองแคว้นหรือครับ
แต่งนิทานแล้วก็โยงเอาเรื่องในชาดกมามั่ว คิดเองไม่เป็นหรือครับ :b13:


asoka เขียน:
พิจารณาธรรมที่พระบรมศาสดาทรงสอนแล้ว เห็นว่าข้อธรรมในธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้นคือหัวใจคำสอนของพระพุทธเจ้า และอนัตตลักขณะสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดงต่อในวันที่ 2 - 5 นั้น คือหลักธรรมที่สูงสุด ดังสรุปของพระพุทธองค์ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา"

หลวงพ่อจึงพิสูจน์อนัตตา ค้นหาอนัตตา จนพบและเข้าถึงอนัตาโดยสมบูรณ์ (สัมปาเททะ) ดังเรื่องราวที่เล่ามาในหนังสือ "รีดนมจากเขาวัว"



พุทธวจนสำคัญทุกพระสูตรนั้นแหล่ะ พระพุทธองคืไม่ได้บอกเลยว่าพระสูตรไหนสำคัญกว่ากัน
ความสำคัญของพระสูตร ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ใดติดข้องอยู่กับสิ่งใด พระสูตรใดสามารถแก้
ความติดข้องนั้นได้ ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้...เขาไม่จำเพราะเจาะจง :b32:

แล้วเรื่องที่บอกตามหาอนัตตานี้ตลกมาก....พระพุทธองค์ให้หาเหตุแห่งอนัตตา
ไม่ใช่ให้หาอนัตตา อนัตตาเป็นเพียงพุทธพจน์ เป็นเพียงบัญญัติ
การหาเหุแห่งอนัตตา ต้องหาที่กายใจตนเอง และสิ่งที่เกิดภายในกายใจ...
ก็คือสภาวะธรรมเป็นสังขารและวิสังขาร.....สรุปก็คือหา...สังขตลักษณะและอสังขตลักษณะ


ไม่ใช่หาอนัตตาแบบที่โสกะกำลังมั่ว :b13:

Onion_L
อนัตตา เป็นธรรมสภาวะ ซึ่งเป็นอยู่ของมันเช่นนั้นเอง[ตถตา] หามีสิ่งใดมาเป็นเหตุไม่
แต่การที่จะเข้าไปรู้เห็นอนัตตานั้นต้องทำเหตุให้ถูกต้องคือการเจริญวิปัสสนาภาวนา
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2013, 07:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับต้องอ่านให้ตลอด การได้เห็นความตายอย่างทุกข์ทรมาณของแมวที่ปรากฏต่อหน้าหลวงพ่อทำใหเกิดธรรมสังเวชแล้วเกิดการพิจารณาธรรมไปตามลำดับจนเกิดแรงดลใจให้หลวงพ่อหนีภรรยาออกไปบวชเป็นฤาษีเพื่อปฏิบัติธรรมแต่เสียงค้นของทำให้ภรรยาตื่นขึ้นมาพบแล้วร้องขอไม่ให้ออกบวช แต่ทัดทานไม่ได้ จนต้องยอม ความเป็นอย่างนี้


เรื่องของเรื่องมันคือ การเสกสรรปั่นแต่งเนื้อหาขึ้นมาเอง มันจึงดูเหมือนนิทานหลอกเด็ก
เนื้อหาในเอามาโพส ....
มันไม่สัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธรรมหรือเป็นเรื่องของกาลเทศะ


ทำยังกับว่า หลวงพ่อธีกำลังจะหนีเมียไปเที่ยวผับ
พวกลูกศิษย์ไม่ได้มีความรู้ทางธรรมและความรู้ในการเรียบเรียงเนื้อหา
ดันมาแต่งเรื่องแต่งราว ทำให้อาจารย์ตัวเองเสื่อม :b13:

asoka เขียน:
โฮฮับอย่าเที่ยววิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อยด้วยความสู่รู้ อวดดีของตนไปเรื่อย ให้ระวังโอษฐภัยให้มากๆ


เอาอีกแล้วเอาวิชาพ่อมดหมอผีมาใช้อีกแล้ว ใครมาอวดอ้างธรรมในที่สาธารณะ
มันต้องมีการโต้แย้งกันบ้าง พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาติในเรื่องนี้
มันเป็นการถกกันเพื่อให้แจ้งในธรรม.....เข้าใจมั้ย ท่านลอร์ดวอร์ดอมอร์ :b32:


asoka เขียน:
คนไม่เกิดธรรมสังเวชจริงๆจะไม่หนีโลกย์ออกไปบวชแสวงหาธรรมหรอก
ดูอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์หนีออกผนวชก็ด้วยธรรมสังเวชจากเทวทูตทั้ง 4


เลอะน่า! โยงมั่วพูดเองเออเอง ไม่มีความรู้แล้วก็พูดส่งเดช
พระพุทธองค์บำเพ็ญบารมีมาหลายชาติ พระองค์ทรงเป็นโพธิสัตว์ก่อนที่จะตรัสรู้

การปลงสังเวชธรรม เป็นหนทางแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
นั้นก็คือ.....อริยสัจจ์สี่
สาวกของพระพุทธองค์ ไม่จำเป็นต้องปลงสังเวชธรรม เพราะสาวกรับรู้
การปลงสังเวชธรรมจาก อริยสัจจ์สี่ที่พระพุทธองค์ทรงสอน
หน้าที่ของสาวกมีเพียง ปฏิบัติให้เห็นจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน


มันไม่ใช่แบบที่โสกะเอามาโพส นั้นมันก็แค่นิทานหลอกเด็ก
อาศัยไปลอกเลี่ยนแบบมาจากชาดก แต่ด้วยการขาดซึ่งความรู้ทางธรรม
จึงหยิบโยงธรรมผิด หารู้ไม่ว่า สาวกไม่สามารถกล่าวได้ว่า ปลงสังเวชธรรม
กล่าวได้แต่เพียงว่า รู้ตามอริยสัจจ์สี่ของพระพุทธองค์
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2013, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
[อยากพ้นไปจากความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ส่งต่อไปอีกให้ได้พิจารณาและรู้ชัดว่ามีทางแห่งมรรค 8 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเท่านั้น ที่จะพาตนให้พ้นวัฏฏะสงสาร ความเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ จนทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หนีออกบวชปฏิบัติธรรม


อยากรู้ครับ ทำไมหลวงพ่อธีต้องหนีออกบวช ท่านเป็นพระราชาผู้ครองแคว้นหรือครับ
แต่งนิทานแล้วก็โยงเอาเรื่องในชาดกมามั่ว คิดเองไม่เป็นหรือครับ :b13:


asoka เขียน:
พิจารณาธรรมที่พระบรมศาสดาทรงสอนแล้ว เห็นว่าข้อธรรมในธัมมจักกัปปวัตนสูตรนั้นคือหัวใจคำสอนของพระพุทธเจ้า และอนัตตลักขณะสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดงต่อในวันที่ 2 - 5 นั้น คือหลักธรรมที่สูงสุด ดังสรุปของพระพุทธองค์ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา"

หลวงพ่อจึงพิสูจน์อนัตตา ค้นหาอนัตตา จนพบและเข้าถึงอนัตาโดยสมบูรณ์ (สัมปาเททะ) ดังเรื่องราวที่เล่ามาในหนังสือ "รีดนมจากเขาวัว"



พุทธวจนสำคัญทุกพระสูตรนั้นแหล่ะ พระพุทธองคืไม่ได้บอกเลยว่าพระสูตรไหนสำคัญกว่ากัน
ความสำคัญของพระสูตร ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ใดติดข้องอยู่กับสิ่งใด พระสูตรใดสามารถแก้
ความติดข้องนั้นได้ ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้...เขาไม่จำเพราะเจาะจง :b32:

แล้วเรื่องที่บอกตามหาอนัตตานี้ตลกมาก....พระพุทธองค์ให้หาเหตุแห่งอนัตตา
ไม่ใช่ให้หาอนัตตา อนัตตาเป็นเพียงพุทธพจน์ เป็นเพียงบัญญัติ
การหาเหุแห่งอนัตตา ต้องหาที่กายใจตนเอง และสิ่งที่เกิดภายในกายใจ...
ก็คือสภาวะธรรมเป็นสังขารและวิสังขาร.....สรุปก็คือหา...สังขตลักษณะและอสังขตลักษณะ


ไม่ใช่หาอนัตตาแบบที่โสกะกำลังมั่ว :b13:

Onion_L
อนัตตา เป็นธรรมสภาวะ ซึ่งเป็นอยู่ของมันเช่นนั้นเอง[ตถตา] หามีสิ่งใดมาเป็นเหตุไม่
แต่การที่จะเข้าไปรู้เห็นอนัตตานั้นต้องทำเหตุให้ถูกต้องคือการเจริญวิปัสสนาภาวนา
onion


มั่วน่า! ตถตาคือ......ปฏิจสมุบาท อิทัปปจยตา

คำพูดที่ใช้กับอนัตตา ธรรมสภาวะของอนัตตา คือ .......สังขตลักษณะและอสังขตลักษณะ

การจะรู้สังขตลักษณะได้......จะต้องเจริญสติ ด้วยการทำวิปัสสนา

การจะรู้อสังขตลักษณะได้.....จะต้องเจริญปัญญา ด้วยการโยนิโสมนัสสิการ
พูดอีกอย่างว่าการพิจารณาธรรม

โสกะขาดความรู้ทางธรรม และที่สำคัญขาดความรู้ในการใช้ภาษา
วิปัสสนาภาวนา เป็นการปฏิบัติ จะเอาคำว่าเจริญมาใช้ไม่ได้
จะต้องใช้คำว่า................"เพียรพยายาม" เข้าใจมั้ยโสกะ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2013, 18:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1775_resize.JPG
GEDC1775_resize.JPG [ 78.03 KiB | เปิดดู 3558 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
โฮฮับต้องอ่านให้ตลอด การได้เห็นความตายอย่างทุกข์ทรมาณของแมวที่ปรากฏต่อหน้าหลวงพ่อทำใหเกิดธรรมสังเวชแล้วเกิดการพิจารณาธรรมไปตามลำดับจนเกิดแรงดลใจให้หลวงพ่อหนีภรรยาออกไปบวชเป็นฤาษีเพื่อปฏิบัติธรรมแต่เสียงค้นของทำให้ภรรยาตื่นขึ้นมาพบแล้วร้องขอไม่ให้ออกบวช แต่ทัดทานไม่ได้ จนต้องยอม ความเป็นอย่างนี้


เรื่องของเรื่องมันคือ การเสกสรรปั่นแต่งเนื้อหาขึ้นมาเอง มันจึงดูเหมือนนิทานหลอกเด็ก
เนื้อหาในเอามาโพส ....
มันไม่สัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธรรมหรือเป็นเรื่องของกาลเทศะ


ทำยังกับว่า หลวงพ่อธีกำลังจะหนีเมียไปเที่ยวผับ
พวกลูกศิษย์ไม่ได้มีความรู้ทางธรรมและความรู้ในการเรียบเรียงเนื้อหา
ดันมาแต่งเรื่องแต่งราว ทำให้อาจารย์ตัวเองเสื่อม :b13:

asoka เขียน:
โฮฮับอย่าเที่ยววิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อยด้วยความสู่รู้ อวดดีของตนไปเรื่อย ให้ระวังโอษฐภัยให้มากๆ


เอาอีกแล้วเอาวิชาพ่อมดหมอผีมาใช้อีกแล้ว ใครมาอวดอ้างธรรมในที่สาธารณะ
มันต้องมีการโต้แย้งกันบ้าง พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาติในเรื่องนี้
มันเป็นการถกกันเพื่อให้แจ้งในธรรม.....เข้าใจมั้ย ท่านลอร์ดวอร์ดอมอร์ :b32:


asoka เขียน:
คนไม่เกิดธรรมสังเวชจริงๆจะไม่หนีโลกย์ออกไปบวชแสวงหาธรรมหรอก
ดูอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์หนีออกผนวชก็ด้วยธรรมสังเวชจากเทวทูตทั้ง 4


เลอะน่า! โยงมั่วพูดเองเออเอง ไม่มีความรู้แล้วก็พูดส่งเดช
พระพุทธองค์บำเพ็ญบารมีมาหลายชาติ พระองค์ทรงเป็นโพธิสัตว์ก่อนที่จะตรัสรู้

การปลงสังเวชธรรม เป็นหนทางแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
นั้นก็คือ.....อริยสัจจ์สี่
สาวกของพระพุทธองค์ ไม่จำเป็นต้องปลงสังเวชธรรม เพราะสาวกรับรู้
การปลงสังเวชธรรมจาก อริยสัจจ์สี่ที่พระพุทธองค์ทรงสอน
หน้าที่ของสาวกมีเพียง ปฏิบัติให้เห็นจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน


มันไม่ใช่แบบที่โสกะเอามาโพส นั้นมันก็แค่นิทานหลอกเด็ก
อาศัยไปลอกเลี่ยนแบบมาจากชาดก แต่ด้วยการขาดซึ่งความรู้ทางธรรม
จึงหยิบโยงธรรมผิด หารู้ไม่ว่า สาวกไม่สามารถกล่าวได้ว่า ปลงสังเวชธรรม
กล่าวได้แต่เพียงว่า รู้ตามอริยสัจจ์สี่ของพระพุทธองค์
:b32:

:b34: :b34: :b34:
ยิ่งแสดงความเห็นก็ยิ่งแสดงความมั่ว มัวเมาและสู่รู้ของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆนะโฮฮับ
คุณยังไม่เคยพบและสนทนากับหลวงพ่อธีด้วยซ้ำ แล้วคุณจะไปรู้รายละเอียดต่างๆของหลวงพ่อมากกว่าคนที่นั่งสนทนารับใช้หลวงพ่อธีมาเป็น 4 - 5 ปี

คาดเดาเอาตามอัตตโนมัยใจตัวทั้งนั้น คงนึกว่าคนอื่นเขาจะมั่วเหมือนตัวเองละกระมัง


สู่รู้ยังไม่พอ ยังเรียกว่า "อวดรู้ อวดเก่ง อวดดี" ทั้งๆที่ไม่มีอะไรดีๆที่พอจะอวดโลกเขาได้
:b10:
อ้างคำพูด:
การปลงสังเวชธรรม เป็นหนทางแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
นั้นก็คือ.....อริยสัจจ์สี่

สาวกของพระพุทธองค์ ไม่จำเป็นต้องปลงสังเวชธรรม เพราะสาวกรับรู้
การปลงสังเวชธรรมจาก อริยสัจจ์สี่ที่พระพุทธองค์ทรงสอน
หน้าที่ของสาวกมีเพียง ปฏิบัติให้เห็นจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน

:b34: :b34: :b34:
เฉพาะท่อนที่อ้างอิงมานี้
ก็เพียงพอที่จะแสดงถึงความไร้เดียงสาในธรรมะภาคปฏิบัติของโฮฮับ ถือเป็นการปล่อยไก่ตัวเบ้อเร้อเลยทีเดียว
เพราะ ธรรมสังเวชเป็นอย่างไรยังไม่รู้เลย

แล้วไปอ้างว่าอริยสัจ 4 คือธรรมสังเวช.....(เขาไม่เรียกว่าปลงสังเวชธรรมกันหรอกนะโฮฮับ ใช้ภาษาให้ถูกต้องด้วย)


มีที่ไหนกัน เขาเกิดธรรมสังเวชด้วยอริยสัจ 4 ลองไปถามครูบาอาจารย์ ท่านผ้รู้เขาดูบ้างซิ ......ธรรมสังเวชนี่มันจะเกิดได้ที่ไหนอย่างไร?....โฮฮับเอ้ย โฮฮับ.....

:b34: :b34: :b34: :b34:
แล้วไอ้วิชาพ่อมดหมอผีอะไรที่เอามายัดเยียดให้คนอื่นอยู่บ่อยๆนั้น มันเป็นยังไงไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิ

หรือจะเป็นอย่างที่โฮฮับกำลังทำ คือเดาสุ่ม สู่รู้ อวดดี อวดเด่น อวดดัง ทั้งที่ไม่มีอะไรดีพอที่จะอวด จึงเพียรพยายามไปเกทับ ข่มทับ คนดีๆ ที่เขาเข้ามาแสดงความเห็นในกระทู้ พาลพาโลเขาไปทั่ว จนเลื่องชื่อในลานธรรม ใครมาใหม่ไม่เจอโฮฮับมาลองดี เป็นไม่มี แต่คนที่เขาดีจริงๆก็ไม่กล้าแหยมเหมือนกัน อย่างกระทู้ที่ปักหมุดแล้วทั้งหลาย แต่คนใหม่ๆเป็นเสร็จทุกรายถ้าผ่านด่านโฮฮับไม่ได้

เฮ้อ....เมื่อไหร่จะหมดคนอย่างโฮฮับเสียที โลกและลานนี้จะได้สงบ ร่มเย็น เป็นสุข

s002 s002 grin grin s004 s004
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2013, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ยิ่งแสดงความเห็นก็ยิ่งแสดงความมั่ว มัวเมาและสู่รู้ของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆนะโฮฮับ
คุณยังไม่เคยพบและสนทนากับหลวงพ่อธีด้วยซ้ำ แล้วคุณจะไปรู้รายละเอียดต่างๆของหลวงพ่อมากกว่าคนที่นั่งสนทนารับใช้หลวงพ่อธีมาเป็น 4 - 5 ปี เดาเอาตามอัตตโนมัยใจตัวทั้งนั้น


ที่ผมวิจารณ์ก็เอามาจากเนื้อหา ที่คุณเอามาโพสนั้นแหล่ะ
แล้วเห็นมั้ยว่า....ผมไม่ได้ว่านักบวชหรือหลวงพ่อธีของคุณ

แต่ที่ผมว่าก็คือบรรดาลูกศิษย์ ที่พยายามแต่งนิทานหลอกเด็ก
เพี่ยงเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง
หลวงพ่อธีอาจไม่รู้เรื่องที่ลูกศิษย์แต่งนิทานหลอกเด็ก ด้วยการอ้างตัวท่าน
ถ้าท่านรู้เรื่องและเป็นพระสุปันโณจริง ท่านจะต้องว่ากล่าวลูกศิษย์ว่ามันไม่เหมาะไม่ควร

asoka เขียน:
สู่รู้ยังไม่พอ ยังเรียกว่า "อวดรู้ อวดเก่ง อวดดี" ทั้งๆที่ไม่มีอะไรดีๆที่พอจะอวดโลกเขาได้[/b][/color]
:b10:
แล้วไอ้วิชาพ่อมดหมอผีอะไรที่เอามายัดเยียดให้คนอื่นอยู่บ่อยๆนั้น มันเป็นยังไงไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิ


ก็ไอ้ที่ชอบยกเอาคำบาลีมาสาปแช่งคนอื่นนี้ไง :b32:

asoka เขียน:

หรือจะเป็นอย่างที่โฮฮับกำลังทำ คือเดาสุ่ม สู่รู้ อวดดี อวดเด่น อวดดัง ทั้งที่ไม่มีอะไรดีพอที่จะอวด จึงเพียรพยายามไปเกทับ ข่มทับ คนดีๆ ที่เขาเข้ามาแสดงความเห็นในกระทู้ พาลพาโลเขาไปทั่ว จนเลื่องชื่อในลานธรรม ใครมาใหม่ไม่เจอโฮฮับมาลองดี เป็นไม่มี แต่คนที่เขาดีจริงๆก็ไม่กล้าแหยมเหมือนกัน อย่างกระทู้ที่ปักหมุดแล้วทั้งหลาย แต่คนใหม่ๆเป็นเสร็จทุกรายถ้าผ่านด่านโฮฮับไม่ได้

เฮ้อ....เมื่อไหร่จะหมดคนอย่างโฮฮับเสียที โลกและลานนี้จะได้สงบ ร่มเย็น เป็นสุข


ตีโพยตีพายเป็นคนเสียสติไปได้.......มันก็แค่ ผมจะแสดงความเห็นอย่างไร
ก็ไม่ต้องสนใจผม มันก็หมดเรื่อง ไม่ชอบกลิ่นเหม็น แต่ชอบจะเอาขี้หมาไปดม
พอดมแล้วก็โวยวายว่าเหม็นๆๆๆๆๆ โสกะคุณเสียสติหรือเปล่าครับ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2013, 18:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ยิ่งแสดงความเห็นก็ยิ่งแสดงความมั่ว มัวเมาและสู่รู้ของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆนะโฮฮับ
คุณยังไม่เคยพบและสนทนากับหลวงพ่อธีด้วยซ้ำ แล้วคุณจะไปรู้รายละเอียดต่างๆของหลวงพ่อมากกว่าคนที่นั่งสนทนารับใช้หลวงพ่อธีมาเป็น 4 - 5 ปี เดาเอาตามอัตตโนมัยใจตัวทั้งนั้น


ที่ผมวิจารณ์ก็เอามาจากเนื้อหา ที่คุณเอามาโพสนั้นแหล่ะ
แล้วเห็นมั้ยว่า....ผมไม่ได้ว่านักบวชหรือหลวงพ่อธีของคุณ

แต่ที่ผมว่าก็คือบรรดาลูกศิษย์ ที่พยายามแต่งนิทานหลอกเด็ก
เพี่ยงเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง
หลวงพ่อธีอาจไม่รู้เรื่องที่ลูกศิษย์แต่งนิทานหลอกเด็ก ด้วยการอ้างตัวท่าน
ถ้าท่านรู้เรื่องและเป็นพระสุปันโณจริง ท่านจะต้องว่ากล่าวลูกศิษย์ว่ามันไม่เหมาะไม่ควร

asoka เขียน:
สู่รู้ยังไม่พอ ยังเรียกว่า "อวดรู้ อวดเก่ง อวดดี" ทั้งๆที่ไม่มีอะไรดีๆที่พอจะอวดโลกเขาได้[/b][/color]
:b10:
แล้วไอ้วิชาพ่อมดหมอผีอะไรที่เอามายัดเยียดให้คนอื่นอยู่บ่อยๆนั้น มันเป็นยังไงไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิ


ก็ไอ้ที่ชอบยกเอาคำบาลีมาสาปแช่งคนอื่นนี้ไง :b32:

asoka เขียน:

หรือจะเป็นอย่างที่โฮฮับกำลังทำ คือเดาสุ่ม สู่รู้ อวดดี อวดเด่น อวดดัง ทั้งที่ไม่มีอะไรดีพอที่จะอวด จึงเพียรพยายามไปเกทับ ข่มทับ คนดีๆ ที่เขาเข้ามาแสดงความเห็นในกระทู้ พาลพาโลเขาไปทั่ว จนเลื่องชื่อในลานธรรม ใครมาใหม่ไม่เจอโฮฮับมาลองดี เป็นไม่มี แต่คนที่เขาดีจริงๆก็ไม่กล้าแหยมเหมือนกัน อย่างกระทู้ที่ปักหมุดแล้วทั้งหลาย แต่คนใหม่ๆเป็นเสร็จทุกรายถ้าผ่านด่านโฮฮับไม่ได้

เฮ้อ....เมื่อไหร่จะหมดคนอย่างโฮฮับเสียที โลกและลานนี้จะได้สงบ ร่มเย็น เป็นสุข


ตีโพยตีพายเป็นคนเสียสติไปได้.......มันก็แค่ ผมจะแสดงความเห็นอย่างไร
ก็ไม่ต้องสนใจผม มันก็หมดเรื่อง ไม่ชอบกลิ่นเหม็น แต่ชอบจะเอาขี้หมาไปดม
พอดมแล้วก็โวยวายว่าเหม็นๆๆๆๆๆ โสกะคุณเสียสติหรือเปล่าครับ
:b32:


:b12: :b12: :b12: :b12:

ตีโพยตีพายเป็นคนเสียสติไปได้.......มันก็แค่ ผมจะแสดงความเห็นอย่างไร
ก็ไม่ต้องสนใจผม มันก็หมดเรื่อง ไม่ชอบกลิ่นเหม็น แต่ชอบจะเอาขี้หมาไปดม
พอดมแล้วก็โวยวายว่าเหม็นๆๆๆๆๆ
โสกะคุณเสียสติหรือเปล่าครับ[/b

:b12: :b12: :b12:
ยอมรับสารภาพแล้วหรือโฮฮับว่า เรื่องที่โฮฮับแสดงความเห็นมาทั้งหมดนั้นมีกลิ่นเหม็นเหมือนขี้หมา

[b]ผมไม่ดมหรอกและไม่เดือดร้อนกับความเหม็นความหอมมานานแล้ว มีแต่เฉยๆ

แต่ได้พยายามเตือนให้สติโฮฮับมาแต่ต้น ว่าความคิดความเห็นของโฮฮับนั้นยิ่งนานๆไปยิ่งมีกลิ่นเหม็นเหมือนขี้หมา เป็นที่น่าเอือมระอา สะอิดสะเอียน ทำไมไม่รีบรู้ตัว เอาสติสัมปชัญญะคืนมา กลับตัวกลับใจไปมุ่งหน้าเจริญมรรค 8 ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง จะได้ไม่เสียที่ทีได้เกิดมาเป็นคนชาติหนึ่งกับเขาเหมือนกัน

:b16: :b16: :b16: :b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร