วันเวลาปัจจุบัน 12 ส.ค. 2025, 06:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 12 พ.ค. 2014, 15:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไอ้เราก็ดูไม่ละเอียด...มองผ่านๆ...นึกว่าเวปกรัชกายซะอีก

:b32: :b32:

s004
ผมก็เห็นแต่ชื่อกรัชกายเรื่องของกรัชกายเกือบเต็มเว็บ แถมยังลิ้งค์มาให้อ่านด้วย ก็เข้าใจว่าเป็นเวบของกรัชกาย

แต่ยังไงๆความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ รับรองได้ว่าโพธิปักขิยธรรม 37 ประการที่กบคัดมาเป็นสำนวนการเขียนของอโศกะจริงๆ

เราไม่ควรเอาเรื่องลอกไม่ลอกนี้มาเป็นประเด็นสำคัญ แต่ควรมาว่ากันต่อไปในสารธรรมดีกว่านะครับ

ยกประโยชน์ให้กรัชกายเขาไปในฐานะนักวิชาการใหญ่ระดับผู้นำอยู่แล้ว
:b13: :b13: :b13:
grin grin grin
:b40:



ไหนอ่ะ ชื่อกรัชกาย ที่เว็บนั้น คิกๆๆ

อโศก ข้อเขียนมโนคติของตนเองมันเลอะเทอะนะขอรับ :b1: :b32:

grin
กรัชกายเห็นว่าเลอะเทอะนักก็เชิญหลีกไปในทางที่ตนชอบเถิดนะ อย่าได้เข้ามาเกะกะในกระทู้ของอโศกะอีก

คนที่เขาฟังได้ อ่านรู้เรื่องในกระทู้และข้อธรรมของอโศกะยังมีอีกมากก็อย่าได้ไปปิดกันท่านทั้งหลายเหล่านั้นด้วยคำพูดพล่อยๆของกรัชกายเลยนะครับจะเป็นบาปกับวจีกรรมของกรัชกายเสียเปล่าๆ


:b7: :b7:
ช่วยกันไปดูนะนครับบอร์ดที่อ้างอิงมานี้ว่ามีชื่อกรัชกายอยู่หรือเปล่า
อ้างคำพูด:
ที่กบไปนำมานั่นของใครไม่รู้ตัวกรัชกายเองไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ฯลฯ คิกๆๆ ที่กรัชกายลงไว้ที่บอร์ดนี้นี่

http://group.wunjun.com/whatisnippana/22843

s004
s006


โพสต์ เมื่อ: 12 พ.ค. 2014, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไอ้เราก็ดูไม่ละเอียด...มองผ่านๆ...นึกว่าเวปกรัชกายซะอีก

:b32: :b32:

s004
ผมก็เห็นแต่ชื่อกรัชกายเรื่องของกรัชกายเกือบเต็มเว็บ แถมยังลิ้งค์มาให้อ่านด้วย ก็เข้าใจว่าเป็นเวบของกรัชกาย

แต่ยังไงๆความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ รับรองได้ว่าโพธิปักขิยธรรม 37 ประการที่กบคัดมาเป็นสำนวนการเขียนของอโศกะจริงๆ

เราไม่ควรเอาเรื่องลอกไม่ลอกนี้มาเป็นประเด็นสำคัญ แต่ควรมาว่ากันต่อไปในสารธรรมดีกว่านะครับ

ยกประโยชน์ให้กรัชกายเขาไปในฐานะนักวิชาการใหญ่ระดับผู้นำอยู่แล้ว
:b13: :b13: :b13:
grin grin grin
:b40:



ไหนอ่ะ ชื่อกรัชกาย ที่เว็บนั้น คิกๆๆ

อโศก ข้อเขียนมโนคติของตนเองมันเลอะเทอะนะขอรับ :b1: :b32:

grin
กรัชกายเห็นว่าเลอะเทอะนักก็เชิญหลีกไปในทางที่ตนชอบเถิดนะ อย่าได้เข้ามาเกะกะในกระทู้ของอโศกะอีก

คนที่เขาฟังได้ อ่านรู้เรื่องในกระทู้และข้อธรรมของอโศกะยังมีอีกมากก็อย่าได้ไปปิดกันท่านทั้งหลายเหล่านั้นด้วยคำพูดพล่อยๆของกรัชกายเลยนะครับจะเป็นบาปกับวจีกรรมของกรัชกายเสียเปล่าๆ


:b7: :b7:
ช่วยกันไปดูนะนครับบอร์ดที่อ้างอิงมานี้ว่ามีชื่อกรัชกายอยู่หรือเปล่า
อ้างคำพูด:
ที่กบไปนำมานั่นของใครไม่รู้ตัวกรัชกายเองไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ฯลฯ คิกๆๆ ที่กรัชกายลงไว้ที่บอร์ดนี้นี่

http://group.wunjun.com/whatisnippana/22843




ที่กบโพสต์ครั้งแรก ลิงค์นี้ :b9:

http://archive.wunjun.com/kroona/5/290.html

ไม่มีชื่อกรัชกาย

ส่วนลิงค์นี้

http://group.wunjun.com/whatisnippana/22843


กรัชกายแนะนำทีหลัง ก็จึงมีชื่อกรัชกายเต็มไปหมดน่าซี่ คิกๆๆ


อโศกเมาหมัดแระ เวรกรรมจริงๆ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 พ.ค. 2014, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บทความเต็มๆ ศึกษาที่ลิงค์นั้น ตรงนี้นำมาสังเกตนิดหน่อย


ข้อความว่า "กายในกาย" นี้ อรรถกถาอธิบายไว้ถึง ๔-๕ นัย โดยเฉพาะชี้ถึงความมุ่งหมาย เช่น ให้กำหนดโดยไม่สับสนกัน คือ ตามดูกายในกาย ไม่ใช่ตามดูเวทนา หรือจิต หรือธรรม


ในกาย อีกอย่างหนึ่งว่า ตามดูกายส่วนย่อย ในกายส่วนใหญ่ คือตามดูกายแต่ละส่วนๆ ในกายที่เป็นส่วนรวมนั้น เป็นการแยกออกดูไปทีละอย่าง จนมองเห็นว่าทั้งหมดนั้นไม่่มีอะไร นอกจากเป็นที่รวมของส่วนประกอบย่อยๆ ลงไป ไม่มี นาย ก. นาง ข. เป็นต้น เป็นการวิเคราะห์หน่อยรวมออก หรือคลี่คลายความเป็นกลุ่มก้อน เหมือนกับลอกใบกล้วยและกาบกล้วย ออกจากต้นกล้วย จนไม่เห็นมีต้นกล้วย ดังนี้เป็นต้น

(เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็พึงเข้าใจทำนองเดียวกัน)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 พ.ค. 2014, 16:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
ยกประโยชน์ให้กรัชกายไป ขอให้มีความสุขความเจริญ
:b17:


โพสต์ เมื่อ: 12 พ.ค. 2014, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
ยกประโยชน์ให้กรัชกายไป ขอให้มีความสุขความเจริญ
:b17:


ประชดอีก :b1:

นึกถึงจำเลยสังคมบนท้องถนนตอนนี้จินๆ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็ปฏิเสธ พอจับได้ไล่ทันก็ขอโทษขออภัย อ้าง...การ์ดจำเป็นต้องโหด เหตุหวั่นถูกอีกฝ่ายทำร้าย คิกๆๆ

เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้

http://www.youtube.com/watch?v=GtcTjInxb50

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 พ.ค. 2014, 23:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b36:
จุดเริ่มต้นของการกระทำคือ มโนกรรม หรือ การกระทำของใจ ใครหยุดตรงนี้ได้ กรรมทั้งหลายก็จักเป็นอโหสิ

ปฏิจจสมุปบาทขาดตอนหรือแตกปริ วัฏสงสารที่เริ่มริก็หดด้วนฝ่อลงพลัน


จะหยุดมโนกรรมได้อย่างไร เป็นเรื่องที่เราจะได้สนทนากันต่อไปในกระทู้นี้ครับ
:b8:


เจตนานั้นแหละเป็นกรรม
และเจตนาเจตสิกเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง
ดังนั้นจะดับมโนกรรมคงลำบาก

ทางที่เป็นไปได้คงต้องพยายามละทุกขสมุทัยคืออวิชชาตัณหาอุปาทานออกจากจิตให้ได้
เพื่อให้กรรมคือเจตนานั้นไม่ก่อวิบากคือภพชาติอีกต่อไป


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณcantona_z

อ้างคำพูด:
เจตนานั้นแหละเป็นกรรม
และเจตนาเจตสิกเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง
ดังนั้นจะดับมโนกรรมคงลำบาก

ทางที่เป็นไปได้คงต้องพยายามละทุกขสมุทัยคืออวิชชาตัณหาอุปาทานออกจากจิตให้ได้
เพื่อให้กรรมคือเจตนานั้นไม่ก่อวิบากคือภพชาติอีกต่อไป


:b8:

สนใจค่ะ ขอความรู้เพิ่มอีกหน่อยค่ะ ถ้างั้นความเข้าใจของเราที่ตรงนี้


bbbyเขียน


อ้างคำพูด:
ถ้าจะหยุดมโนกรรมหรือการกระทำทางใจได้ ส่วนตัวของเรานะคะ
เราคิดว่าการเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้หรือช่วยเพราะอยากจะให้เค้าหลุดพ้นจากทุกข์
การเป็นผู้ให้บ่อยๆ จะเกิดความเคยชิน ไม่หวงในทรัพย์
ไม่อยากจะทำให้ผู้อื่นทุกข์ หรือไม่เบียดเบียนใคร
เราคิดว่า ในใจคงไม่มีที่ว่างเว้น
จะให้มโนกรรมเข้ามาได้แน่นอนค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


คือไม่ใช่ทางหยุดให้เกิดมโนกรรมใช่หรือไม่คะ :b8: :b41: :b55: :b49:


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าอโศกเคยฟังเพลงที่มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า "ห้ามอาทิตย์ ห้ามดวงจันทร์ หยุดแค่นั้นค่อยห้ามดวงใจ"

คันโทน่า เขาก็พูดถูกน่ะ :b1: อโศกเจอคู่ปรับแล้ว คิกๆๆ

ดูหัวข้อ "
อ้างคำพูด:
หยุดมโนกรรมให้ได้ก่อน วงจรของวัฏฏะก็ชะงักงัน ไม่ช้านานก็ขาด
"

แสดงถึงอโศกไม่เข้าใจนามธรรมเลย :b13: นามธรรมมันเกิดดับวุบวิบๆๆกระพริบตายังช้ากว่าเลย นี่อะไรกันครับ "....ชะงักงัน ไม่ช้านานก็ขาด" พูดเหมือนคนนั่งเอามีดเถือเส้นเชือกงั้นแหละ เถือไปๆ ไม่ช้าไม่นานก็ขาด อ้าวจริงๆ ไม่ใช่พูดให้ขำนะ :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 13:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:

สนใจค่ะ ขอความรู้เพิ่มอีกหน่อยค่ะ ถ้างั้นความเข้าใจของเราที่ตรงนี้


bbbyเขียน


ถ้าจะหยุดมโนกรรมหรือการกระทำทางใจได้ ส่วนตัวของเรานะคะ
เราคิดว่าการเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้หรือช่วยเพราะอยากจะให้เค้าหลุดพ้นจากทุกข์
การเป็นผู้ให้บ่อยๆ จะเกิดความเคยชิน ไม่หวงในทรัพย์
ไม่อยากจะทำให้ผู้อื่นทุกข์ หรือไม่เบียดเบียนใคร
เราคิดว่า ในใจคงไม่มีที่ว่างเว้น
จะให้มโนกรรมเข้ามาได้แน่นอนค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


คือไม่ใช่ทางหยุดให้เกิดมโนกรรมใช่หรือไม่คะ :b8: :b41: :b55: :b49:[/quote]

ขออนุโมทนาในความเห็นถูกของคุณ bbby ครับ
ทีกล่าวมานั้นเป็นหนึ่งในบารมี 10 ที่พระองค์สอน คือจาคะบารมี
จะส่งผลให้จิตลดความยึดติดในทรัพย์ต่างๆได้

สิ่งที่ควรปฏิบัติเพิ่มเติมคือสมาทานศีล และอบรมจิตภาวนาคือสติปัฏฐานสี่
ตามแนวทางที่พระศาสดาทรงสอนไว้ครับ
เมื่อสติปัฏฐานบริบูรณ์ โพชฌงค์ก็บริบูรณ์ โพธิปักขิยธรรมอื่นๆก็จะบริบูรณ์
สามารถละอวิชชาอันเป็นเหตุแรกสุดแห่งวัฏฏะได้ครับ


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 14:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
พากันคิดมากและคิดลึกเกินไปจึงสำคัญว่าความคิดหรือมโนกรรมหยุดไม่ได้

การหยุดความคิดหรือมโนกรรมนั้นหยุดชั่วคราวเพื่อเปิดโอกาสให้สติ ปัญญาได้พบปรมัตถธรรมหรือความจริงที่ถูกบัญญัติปิดบังไว้ จนสามารถคลายสลักแห่งความเห็นผิดออกจากใจได้ หลังจากนั้นแล้วก็กลับมาสู่ภาวะปกติของปุถุชนคนธรรมดา มีมโนกรรม นึกคิดได้ตามธรรมดา

การหยุดมโนกรรมชั่วคราวทำได้ทั้งใช้สมาธิและวิปัสสนาภาวนา

ส่วนถ้าจะหยุดมโนกรรมโดยถาวรนั้นบางท่านอาจฟังและเข้าใจยาก แต่ถ้าเป็นนักปฏิบัติจะไม่สงสัยเลย เพราะเมื่อไหร่เจริญวิปัสสนาภาวนาไปจนสามารถเดินจิตบนทางสายกลางได้เต็มตัวกรรมของท่านผู้นั้น จะกลายเป็นอโหสิกรรมอยู่ตลอดเวลาเพราะทำด้วยกิริยาจิต เหตุที่จะไปหมุนวงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาทก็ไม่เกิดด้วย

เรื่องที่เขียนนี้ได้เอาคำสอนของครูบาอาจารย์มาขยายให้พิจารณาในแง่มุมที่ไม่ค่อยมีใครมองเห็น คำสอนที่ว่า

"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องคิด" อันเป็นสัจธรรมคำคมมาก ผู้ปฏิบัติสัมผัสความจริงจึงจะเข้าใจง่าย ใครไม่ปฏิบัติอาจงงหลงทิศทาง


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 15:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีกแระ.....เอาคำครูบาอาจารย์...มาอธิบายให้เข้ากับความคิดตนอีกแระ....

:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 16:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอาอีกแระ.....เอาคำครูบาอาจารย์...มาอธิบายให้เข้ากับความคิดตนอีกแระ....

:b32: :b32:

smiley
คงต้องตั้งใจคุยกันดีๆกับกบให้รู้เรื่องกันเสียแล้วหละครับ เพราะขัดมาหลายที
:b6:
การขยายความ อรรถาธิบายคำสอนของพระบรมศาสดาหรือพ่อแม่ครูบาอาจารย์ให้ง่ายให้เข้าใจได้ทั่วถึงในระดับภาษาพื้นๆของยุคสมัย น่าจะเป็นการดี มีกุศล มากกว่าการจะหวงแหน บูชาเก็บไว้กราบไหว้ ดังหนังสือพระไตรปิฎกที่เก็บไว้ในตู้สวยหรูแต่ไม่มีผู้หยิบขึ้นมาอ่าน

กบเข้าใจและแปลความหมายของสัจจธรรมคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ที่ว่า

"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องคิด"

นี้ไว้แค่ไหนเพียงไร ถูกต้องหรือไม่ จึงหวงแหนนัก ไหนลองอรรถาธิบายออกมาให้กันดูบ้างซิ จะได้รู้ระดับสติปัญญาของกบที่ไปตีความคำสอนของครูบาอาจารย์ว่าขนาดไหน ถ้าสูงส่ง ลึกซึ้ง อโศกะจะได้ก้มกราบงามๆนับถือเป็นครูบาอาจารย์อีก 1 คน

จะได้หมดข้อท้วงติงกันเสียที จะได้มีปัญญารู้ว่าสิ่งไรใช่ สิ่งไรไม่ใช่ และรู้วิธีตีความ จับประเด็นคำสอนของครูบาอาจารย์ด้วย

โปรดแสดงความเห็น
:b4: :b4: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1398242838-5-o.jpg
1398242838-5-o.jpg [ 5.82 KiB | เปิดดู 3488 ครั้ง ]
สรุปแล้ว อโศกก็เที่ยวเก็บคำพูดของพระองค์นั้น อาจารย์รูปนี้ แล้วก็มามโน เข้าทำนองคิดเองเออเอง ใช่ๆๆๆ ก็อย่างที่กรัชกายเคยพูดหลายครั้งว่า เหมือนคนชอบเล่นหวย ไปนั่งจับกิริยาอาการของอาจารย์ดังๆ ว่าท่านพูดอะไร ท่านเคลื่อนไหวยกไม้ยกมือ หยิบกะโถนพ่นน้ำหมาก กี่ครั้ง คิกๆๆ แล้วก็นำมาบวกลบคูณหาร เป็นตัวเลขบน เลขล่างไว้แทงหวยเซี่ยงโชค ถูกบ้างผิดบ้าง อโศกทำนองนี้ อ้าวจริงๆ :b32: :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 16:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สรุปแล้ว อโศกก็เที่ยวเก็บคำพูดของพระองค์นั้น อาจารย์รูปนี้ แล้วก็มามโน เข้าทำนองคิดเองเออเอง ใช่ๆๆๆ ก็อย่างที่กรัชกายเคยพูดหลายครั้งว่า เหมือนคนชอบเล่นหวย ไปนั่งจับกิริยาอาการของอาจารย์ดังๆ ว่าท่านพูดอะไร ท่านเคลื่อนไหวยกไม้ยกมือ หยิบกะโถนพ่นน้ำหมาก กี่ครั้ง คิกๆๆ แล้วก็นำมาบวกลบคูณหาร เป็นตัวเลขบน เลขล่างไว้แทงหวยเซี่ยงโชค ถูกบ้างผิดบ้าง อโศกทำนองนี้ อ้าวจริงๆ :b32: :b13:

:b34: :b34:
ทั้งหมดที่กรัชกายพูดดังอ้างมา เป็นสมบัติของกรัชกายทั้งหมดเลยเพราะมีแต่ไปคัดลอกตำรามาพูด ไม่มีที่เป็นประสบการณ์การปฏิบัติจริงของตนเองมาบอกกล่าวกันบ้างเลย

อโศกะพิสูจน์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ครูบาอาจารย์บ้าง พิสูจน์ธรรมแล้วมาเทียบคำสอนครูบาอาจารย์บ้าง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เขียนเป็นภาษาที่ชาวบ้านอ่านรู้เรื่องแบ่งปันกันในลานธรรมต่างๆ พิสูจน์ได้เสมอ ไม่มีการมโนเอาอย่างกรัชกาย

จะลองพิจารณาได้จากเรื่องวิธีชำระนิวรณ์ 5 ที่เขียนขึ้นเป็นของขัวญวิสาขะบูชา 2517 ในกระทู้นี้ วิญญูชนคงจะพอรู้ได้ว่าใครเขียนจากประสบการณ์จริง ใครมโน คัดลอกธรรมผู้อื่นมาเขียน สัจธรรมความจริงแสดงอยู่ กรัชกายจึงไม่ควรจะมากล่าวตู่บิดเบือนความจริงบิดเบือนธรรมให้ผู้คนระสำระส่ายหลงทางความคิดความเห็น จะเป็นบาปกรรมหนักนะกรัชกาย นักวิชาการใหญ่ผู้กำลังจะถูกทับท่วม

:b7:


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สรุปแล้ว อโศกก็เที่ยวเก็บคำพูดของพระองค์นั้น อาจารย์รูปนี้ แล้วก็มามโน เข้าทำนองคิดเองเออเอง ใช่ๆๆๆ ก็อย่างที่กรัชกายเคยพูดหลายครั้งว่า เหมือนคนชอบเล่นหวย ไปนั่งจับกิริยาอาการของอาจารย์ดังๆ ว่าท่านพูดอะไร ท่านเคลื่อนไหวยกไม้ยกมือ หยิบกะโถนพ่นน้ำหมาก กี่ครั้ง คิกๆๆ แล้วก็นำมาบวกลบคูณหาร เป็นตัวเลขบน เลขล่างไว้แทงหวยเซี่ยงโชค ถูกบ้างผิดบ้าง อโศกทำนองนี้ อ้าวจริงๆ :b32: :b13:

:b34: :b34:
ทั้งหมดที่กรัชกายพูดดังอ้างมา เป็นสมบัติของกรัชกายทั้งหมดเลยเพราะมีแต่ไปคัดลอกตำรามาพูด ไม่มีที่เป็นประสบการณ์การปฏิบัติจริงของตนเองมาบอกกล่าวกันบ้างเลย

อโศกะพิสูจน์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ครูบาอาจารย์บ้าง พิสูจน์ธรรมแล้วมาเทียบคำสอนครูบาอาจารย์บ้าง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เขียนเป็นภาษาที่ชาวบ้านอ่านรู้เรื่องแบ่งปันกันในลานธรรมต่างๆ พิสูจน์ได้เสมอ ไม่มีการมโนเอาอย่างกรัชกาย

จะลองพิจารณาได้จากเรื่องวิธีชำระนิวรณ์ 5 ที่เขียนขึ้นเป็นของขัวญวิสาขะบูชา 2517 ในกระทู้นี้ วิญญูชนคงจะพอรู้ได้ว่าใครเขียนจากประสบการณ์จริง ใครมโน คัดลอกธรรมผู้อื่นมาเขียน สัจธรรมความจริงแสดงอยู่ กรัชกายจึงไม่ควรจะมากล่าวตู่บิดเบือนความจริงบิดเบือนธรรมให้ผู้คนระสำระส่ายหลงทางความคิดความเห็น จะเป็นบาปกรรมหนักนะกรัชกาย นักวิชาการใหญ่ผู้กำลังจะถูกทับท่วม

:b7:


อโศกนักปฏิบัติ เขาเป็นอะไร และจะแก้ไขยังไงครับ


อ้างคำพูด:
บอกตรงๆว่าฝึกสติปัฐฐาน 4 เป็นแค่อย่างเดียว
และชีวิตนี้ก็เคยแค่ครอบครูช่างอย่างเดียว เนื่องจากเป็นคนสมัยใหม่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์แต่ชอบเรื่องตื่นเต้น ชอบดูของแปลก ก็เลยชอบงานแนวทรงเจ้าเข้าผี (ดูเอามัน ดูเพื่อความบันเทิง)
แต่ช่วงไม่นานมานี้คือเริ่มฝึกสมาธิมากขึ้น และจิตก็เริ่มนิ่งขึ้นด้วย แต่กับไม่คิดว่าโลกยุคนี้มันจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง(คิดว่านิทานหลอกเด็กตลอด) คือตอนนั่งสมาธิจะมีเงาดำๆฟืบเข้าร่างเรา และก็ต้องนั่งสมาธิเพื่อจี้ออก แต่มันต้องใช้กำลังของสมาธิมาก แต่พอสมาธิตกก็เข้าอีก และยิ่งไปอยู่วัดที่เขาถอนของแต่ตัวเองยังไม่ถอนเพราะต้องอัญเชิญครูช่างกลับไปยังสถานที่เอามาอง คราวนี้มายังกระบวนพาเลทเลย พลัดกันเข้า กันออกเลยไม่รู้อะไรเป็นอะไร แม่ชีที่นั่นบอกว่าจิตเปิด และของหนูก็เยอะ คราวนี้เกิดอาการค่อนข้างจะสับสน(ช็อค) เพราะเป็นพวกห้ามยัดเยียดอะไรใส่หัวจะฟุ้งมาก อยู่กับผู้คนก็ไม่ได้เพราะยิ่งถูกกระทบก็ยิ่งอยู่ในสถาณการณ์ที่แย่กว่าเดิม แม่ชียิ่งพูดหรือคนรอบข้างยิ่งใส่อาการหนักตั้งสติไม่อยู่เลย อ้อวัดนี้เป็นแนวสมถะ เน้นการสวดมนต์ พอขึ้นไปหาหลวงพ่อท่านให้ถอนของออก และท่านก้ให้กรรมฐานมา คือ ให้ว่าง และยืน กับเดิน แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้และเพราะร่างกายไม่แข็งแรงพอ พอหลับก็เข้าอีก บอกตรงๆว่ายังไม่เคยเห็นตัว แต่แค่สัมผัสกลุ่มก้อนพลังงานได้และะรับรู้จากกลิ่นน้ำหมาก หรืออะไรที่ไม่มีในบริเวณนั้นแน่ๆ และที่แย่การที่ถูกครอบมันไม่สดชื่นมึนหัวทั้งวัน และตอนนี้กลับมาบ้านแล้วแต่ยังไม่ถอน เพราะมีเหตุให้เอาของไปคืนไม่ได้ในตอนนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังถูกครอบถูกแฝงอยู่ ไม่รู้จะทำไงดี เพราะกำลังจิตและกำลังกายมีไม่พอ พูดง่ายๆว่ากลับจากวัดนี้สติเตลิด กลับมารวบรวมสติไม่อยู่ ฟุ้งจนไม่รู้จะทำไงดี พอคิดมากจิตมันเหนื่อยมันก็โยนทิ้งคราวนี้ก็มาอีกแล้ว พูดง่ายๆว่าตอนนี้เอาตัวไม่รอด ทำสมาธิได้แค่จี้จนร้อนตั้งแต่บริเวณศรีษะไล่ไปจนบริเวณหลังเพราะตั้งสติไว้ลิ้นปี แต่พอหัวร้อนๆเหมือนไออะไรออกจากหัวมันก็เบาขึ้นเยอะ (บอกตรงๆว่า ตัวเองก็ไม่อยากเชื่อถึงเรื่อง แบบนี้ ยังคิดอยูว่านี้เราจินตนาการไปเองรึเปล่า) และนี้ก็เป็นช่วงขอคำแนะนำช่วงที่ยังไม่ไม่ได้ถอนของออกควรทำไงดี และจะทำไงไมให้จิตวิญญาณพวกนี้แฝงอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร