วันเวลาปัจจุบัน 12 ส.ค. 2025, 06:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 19:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สรุปแล้ว อโศกก็เที่ยวเก็บคำพูดของพระองค์นั้น อาจารย์รูปนี้ แล้วก็มามโน เข้าทำนองคิดเองเออเอง ใช่ๆๆๆ ก็อย่างที่กรัชกายเคยพูดหลายครั้งว่า เหมือนคนชอบเล่นหวย ไปนั่งจับกิริยาอาการของอาจารย์ดังๆ ว่าท่านพูดอะไร ท่านเคลื่อนไหวยกไม้ยกมือ หยิบกะโถนพ่นน้ำหมาก กี่ครั้ง คิกๆๆ แล้วก็นำมาบวกลบคูณหาร เป็นตัวเลขบน เลขล่างไว้แทงหวยเซี่ยงโชค ถูกบ้างผิดบ้าง อโศกทำนองนี้ อ้าวจริงๆ :b32: :b13:

:b34: :b34:
ทั้งหมดที่กรัชกายพูดดังอ้างมา เป็นสมบัติของกรัชกายทั้งหมดเลยเพราะมีแต่ไปคัดลอกตำรามาพูด ไม่มีที่เป็นประสบการณ์การปฏิบัติจริงของตนเองมาบอกกล่าวกันบ้างเลย

อโศกะพิสูจน์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ครูบาอาจารย์บ้าง พิสูจน์ธรรมแล้วมาเทียบคำสอนครูบาอาจารย์บ้าง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เขียนเป็นภาษาที่ชาวบ้านอ่านรู้เรื่องแบ่งปันกันในลานธรรมต่างๆ พิสูจน์ได้เสมอ ไม่มีการมโนเอาอย่างกรัชกาย

จะลองพิจารณาได้จากเรื่องวิธีชำระนิวรณ์ 5 ที่เขียนขึ้นเป็นของขัวญวิสาขะบูชา 2517 ในกระทู้นี้ วิญญูชนคงจะพอรู้ได้ว่าใครเขียนจากประสบการณ์จริง ใครมโน คัดลอกธรรมผู้อื่นมาเขียน สัจธรรมความจริงแสดงอยู่ กรัชกายจึงไม่ควรจะมากล่าวตู่บิดเบือนความจริงบิดเบือนธรรมให้ผู้คนระสำระส่ายหลงทางความคิดความเห็น จะเป็นบาปกรรมหนักนะกรัชกาย นักวิชาการใหญ่ผู้กำลังจะถูกทับท่วม

:b7:


อโศกนักปฏิบัติ เขาเป็นอะไร และจะแก้ไขยังไงครับ


อ้างคำพูด:
บอกตรงๆว่าฝึกสติปัฐฐาน 4 เป็นแค่อย่างเดียว
และชีวิตนี้ก็เคยแค่ครอบครูช่างอย่างเดียว เนื่องจากเป็นคนสมัยใหม่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์แต่ชอบเรื่องตื่นเต้น ชอบดูของแปลก ก็เลยชอบงานแนวทรงเจ้าเข้าผี (ดูเอามัน ดูเพื่อความบันเทิง)
แต่ช่วงไม่นานมานี้คือเริ่มฝึกสมาธิมากขึ้น และจิตก็เริ่มนิ่งขึ้นด้วย แต่กับไม่คิดว่าโลกยุคนี้มันจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง(คิดว่านิทานหลอกเด็กตลอด) คือตอนนั่งสมาธิจะมีเงาดำๆฟืบเข้าร่างเรา และก็ต้องนั่งสมาธิเพื่อจี้ออก แต่มันต้องใช้กำลังของสมาธิมาก แต่พอสมาธิตกก็เข้าอีก และยิ่งไปอยู่วัดที่เขาถอนของแต่ตัวเองยังไม่ถอนเพราะต้องอัญเชิญครูช่างกลับไปยังสถานที่เอามาอง คราวนี้มายังกระบวนพาเลทเลย พลัดกันเข้า กันออกเลยไม่รู้อะไรเป็นอะไร แม่ชีที่นั่นบอกว่าจิตเปิด และของหนูก็เยอะ คราวนี้เกิดอาการค่อนข้างจะสับสน(ช็อค) เพราะเป็นพวกห้ามยัดเยียดอะไรใส่หัวจะฟุ้งมาก อยู่กับผู้คนก็ไม่ได้เพราะยิ่งถูกกระทบก็ยิ่งอยู่ในสถาณการณ์ที่แย่กว่าเดิม แม่ชียิ่งพูดหรือคนรอบข้างยิ่งใส่อาการหนักตั้งสติไม่อยู่เลย อ้อวัดนี้เป็นแนวสมถะ เน้นการสวดมนต์ พอขึ้นไปหาหลวงพ่อท่านให้ถอนของออก และท่านก้ให้กรรมฐานมา คือ ให้ว่าง และยืน กับเดิน แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้และเพราะร่างกายไม่แข็งแรงพอ พอหลับก็เข้าอีก บอกตรงๆว่ายังไม่เคยเห็นตัว แต่แค่สัมผัสกลุ่มก้อนพลังงานได้และะรับรู้จากกลิ่นน้ำหมาก หรืออะไรที่ไม่มีในบริเวณนั้นแน่ๆ และที่แย่การที่ถูกครอบมันไม่สดชื่นมึนหัวทั้งวัน และตอนนี้กลับมาบ้านแล้วแต่ยังไม่ถอน เพราะมีเหตุให้เอาของไปคืนไม่ได้ในตอนนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังถูกครอบถูกแฝงอยู่ ไม่รู้จะทำไงดี เพราะกำลังจิตและกำลังกายมีไม่พอ พูดง่ายๆว่ากลับจากวัดนี้สติเตลิด กลับมารวบรวมสติไม่อยู่ ฟุ้งจนไม่รู้จะทำไงดี พอคิดมากจิตมันเหนื่อยมันก็โยนทิ้งคราวนี้ก็มาอีกแล้ว พูดง่ายๆว่าตอนนี้เอาตัวไม่รอด ทำสมาธิได้แค่จี้จนร้อนตั้งแต่บริเวณศรีษะไล่ไปจนบริเวณหลังเพราะตั้งสติไว้ลิ้นปี แต่พอหัวร้อนๆเหมือนไออะไรออกจากหัวมันก็เบาขึ้นเยอะ (บอกตรงๆว่า ตัวเองก็ไม่อยากเชื่อถึงเรื่อง แบบนี้ ยังคิดอยูว่านี้เราจินตนาการไปเองรึเปล่า) และนี้ก็เป็นช่วงขอคำแนะนำช่วงที่ยังไม่ไม่ได้ถอนของออกควรทำไงดี และจะทำไงไมให้จิตวิญญาณพวกนี้แฝงอีก

:b34:
สอนวิธีหาปลา สอนวิธีแก้ปัญหาไว้ให้แล้ว ไปแก้ไขเอาด้วยสติปัญญาตามวิชาที่สอนให้เอาเองนะ......โตได้แล้วกรัชกาย อย่าได้เที่ยวไปถามคนโน้นคนนี้ อายเขา นักวิชาการใหญ่
:b15:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณcantona_z เขียน


อ้างคำพูด:
สิ่งที่ควรปฏิบัติเพิ่มเติมคือสมาทานศีล และอบรมจิตภาวนาคือสติปัฏฐานสี่
ตามแนวทางที่พระศาสดาทรงสอนไว้ครับ
เมื่อสติปัฏฐานบริบูรณ์ โพชฌงค์ก็บริบูรณ์ โพธิปักขิยธรรมอื่นๆก็จะบริบูรณ์
สามารถละอวิชชาอันเป็นเหตุแรกสุดแห่งวัฏฏะได้ครับ



:b8:
สติปัฏฐานสี่ตามความเข้าใจของเรานะคะ คือการมองทุกอย่างให้เป็นอนิจจัง
ไม่เที่ยงไม่ยึดติดในทรัพย์หรืออะไรก็ช่าง ทุกสิ่งทุกอย่างคือของปลอม
สิ่งที่จะติดตัวเราไปได้ คือกุศลกรรม-อกุศลกรรม อย่างนี้ใช่สติปัฏฐานสี่หรือปล่าวค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณcantona_z เขียน


อ้างคำพูด:
สิ่งที่ควรปฏิบัติเพิ่มเติมคือสมาทานศีล และอบรมจิตภาวนาคือสติปัฏฐานสี่
ตามแนวทางที่พระศาสดาทรงสอนไว้ครับ
เมื่อสติปัฏฐานบริบูรณ์ โพชฌงค์ก็บริบูรณ์ โพธิปักขิยธรรมอื่นๆก็จะบริบูรณ์
สามารถละอวิชชาอันเป็นเหตุแรกสุดแห่งวัฏฏะได้ครับ



:b8:
สติปัฏฐานสี่ตามความเข้าใจของเรานะคะ คือการมองทุกอย่างให้เป็นอนิจจัง
ไม่เที่ยงไม่ยึดติดในทรัพย์หรืออะไรก็ช่าง ทุกสิ่งทุกอย่างคือของปลอม
สิ่งที่จะติดตัวเราไปได้ คือกุศลกรรม-อกุศลกรรม อย่างนี้ใช่สติปัฏฐานสี่หรือปล่าวค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


ไม่เชิงครับ สิ่งที่คุณพูดเป็นเป้าหมายขั้นกลางของสติปัฏฐานครับ
เหตุที่เจริญสติปัฏฐานเพื่อสร้างที่อยู่ให้สติเกิดเนืองๆ
เมื่อสติเกิดเนืองๆก็จะสามารถตามระลึกรู้สภาวะธรรมคือกายใจตามความเป็นจริง
ว่ากายใจนี้เป็นไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เมื่อรู้ชัดสภาวะของกายใจว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ล้วนๆ ไม่ใช่ตัวตนจริงๆบังคับควบคุมไม่ได้ ก็จะเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดก็จะหลุดพ้น

ดังนั้นสิ่งที่คุณกล่าว คือการมองสภาวะธรรมให้เป็นไตรลักษณ์
เป็นการเริ่มต้นทำวิปัสสนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สรุปแล้ว อโศกก็เที่ยวเก็บคำพูดของพระองค์นั้น อาจารย์รูปนี้ แล้วก็มามโน เข้าทำนองคิดเองเออเอง ใช่ๆๆๆ ก็อย่างที่กรัชกายเคยพูดหลายครั้งว่า เหมือนคนชอบเล่นหวย ไปนั่งจับกิริยาอาการของอาจารย์ดังๆ ว่าท่านพูดอะไร ท่านเคลื่อนไหวยกไม้ยกมือ หยิบกะโถนพ่นน้ำหมาก กี่ครั้ง คิกๆๆ แล้วก็นำมาบวกลบคูณหาร เป็นตัวเลขบน เลขล่างไว้แทงหวยเซี่ยงโชค ถูกบ้างผิดบ้าง อโศกทำนองนี้ อ้าวจริงๆ


ทั้งหมดที่กรัชกายพูดดังอ้างมา เป็นสมบัติของกรัชกายทั้งหมดเลยเพราะมีแต่ไปคัดลอกตำรามาพูด ไม่มีที่เป็นประสบการณ์การปฏิบัติจริงของตนเองมาบอกกล่าวกันบ้างเลย

อโศกะพิสูจน์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ครูบาอาจารย์บ้าง พิสูจน์ธรรมแล้วมาเทียบคำสอนครูบาอาจารย์บ้าง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เขียนเป็นภาษาที่ชาวบ้านอ่านรู้เรื่องแบ่งปันกันในลานธรรมต่างๆ พิสูจน์ได้เสมอ ไม่มีการมโนเอาอย่างกรัชกาย

จะลองพิจารณาได้จากเรื่องวิธีชำระนิวรณ์ 5 ที่เขียนขึ้นเป็นของขัวญวิสาขะบูชา 2517 ในกระทู้นี้ วิญญูชนคงจะพอรู้ได้ว่าใครเขียนจากประสบการณ์จริง ใครมโน คัดลอกธรรมผู้อื่นมาเขียน สัจธรรมความจริงแสดงอยู่ กรัชกายจึงไม่ควรจะมากล่าวตู่บิดเบือนความจริงบิดเบือนธรรมให้ผู้คนระสำระส่ายหลงทางความคิดความเห็น จะเป็นบาปกรรมหนักนะกรัชกาย นักวิชาการใหญ่ผู้กำลังจะถูกทับท่วม


อโศกนักปฏิบัติ เขาเป็นอะไร และจะแก้ไขยังไงครับ


อ้างคำพูด:
บอกตรงๆว่าฝึกสติปัฐฐาน 4 เป็นแค่อย่างเดียว
และชีวิตนี้ก็เคยแค่ครอบครูช่างอย่างเดียว เนื่องจากเป็นคนสมัยใหม่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์แต่ชอบเรื่องตื่นเต้น ชอบดูของแปลก ก็เลยชอบงานแนวทรงเจ้าเข้าผี (ดูเอามัน ดูเพื่อความบันเทิง)
แต่ช่วงไม่นานมานี้คือเริ่มฝึกสมาธิมากขึ้น และจิตก็เริ่มนิ่งขึ้นด้วย แต่กับไม่คิดว่าโลกยุคนี้มันจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง(คิดว่านิทานหลอกเด็กตลอด) คือตอนนั่งสมาธิจะมีเงาดำๆฟืบเข้าร่างเรา และก็ต้องนั่งสมาธิเพื่อจี้ออก แต่มันต้องใช้กำลังของสมาธิมาก แต่พอสมาธิตกก็เข้าอีก และยิ่งไปอยู่วัดที่เขาถอนของแต่ตัวเองยังไม่ถอนเพราะต้องอัญเชิญครูช่างกลับไปยังสถานที่เอามาอง คราวนี้มายังกระบวนพาเลทเลย พลัดกันเข้า กันออกเลยไม่รู้อะไรเป็นอะไร แม่ชีที่นั่นบอกว่าจิตเปิด และของหนูก็เยอะ คราวนี้เกิดอาการค่อนข้างจะสับสน(ช็อค) เพราะเป็นพวกห้ามยัดเยียดอะไรใส่หัวจะฟุ้งมาก อยู่กับผู้คนก็ไม่ได้เพราะยิ่งถูกกระทบก็ยิ่งอยู่ในสถาณการณ์ที่แย่กว่าเดิม แม่ชียิ่งพูดหรือคนรอบข้างยิ่งใส่อาการหนักตั้งสติไม่อยู่เลย อ้อวัดนี้เป็นแนวสมถะ เน้นการสวดมนต์ พอขึ้นไปหาหลวงพ่อท่านให้ถอนของออก และท่านก้ให้กรรมฐานมา คือ ให้ว่าง และยืน กับเดิน แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้และเพราะร่างกายไม่แข็งแรงพอ พอหลับก็เข้าอีก บอกตรงๆว่ายังไม่เคยเห็นตัว แต่แค่สัมผัสกลุ่มก้อนพลังงานได้และะรับรู้จากกลิ่นน้ำหมาก หรืออะไรที่ไม่มีในบริเวณนั้นแน่ๆ และที่แย่การที่ถูกครอบมันไม่สดชื่นมึนหัวทั้งวัน และตอนนี้กลับมาบ้านแล้วแต่ยังไม่ถอน เพราะมีเหตุให้เอาของไปคืนไม่ได้ในตอนนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังถูกครอบถูกแฝงอยู่ ไม่รู้จะทำไงดี เพราะกำลังจิตและกำลังกายมีไม่พอ พูดง่ายๆว่ากลับจากวัดนี้สติเตลิด กลับมารวบรวมสติไม่อยู่ ฟุ้งจนไม่รู้จะทำไงดี พอคิดมากจิตมันเหนื่อยมันก็โยนทิ้งคราวนี้ก็มาอีกแล้ว พูดง่ายๆว่าตอนนี้เอาตัวไม่รอด ทำสมาธิได้แค่จี้จนร้อนตั้งแต่บริเวณศรีษะไล่ไปจนบริเวณหลังเพราะตั้งสติไว้ลิ้นปี แต่พอหัวร้อนๆเหมือนไออะไรออกจากหัวมันก็เบาขึ้นเยอะ (บอกตรงๆว่า ตัวเองก็ไม่อยากเชื่อถึงเรื่อง แบบนี้ ยังคิดอยูว่านี้เราจินตนาการไปเองรึเปล่า) และนี้ก็เป็นช่วงขอคำแนะนำช่วงที่ยังไม่ไม่ได้ถอนของออกควรทำไงดี และจะทำไงไมให้จิตวิญญาณพวกนี้แฝงอีก


[b]สอนวิธีหาปลา สอนวิธีแก้ปัญหาไว้ให้แล้ว ไปแก้ไขเอาด้วยสติปัญญาตามวิชาที่สอนให้เอาเองนะ......โตได้แล้วกรัชกาย อย่าได้เที่ยวไปถามคนโน้นคนนี้ อายเขา นักวิชาการใหญ่



คำพูดนี้

อ้างคำพูด:
อโศกะพิสูจน์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ครูบาอาจารย์บ้าง พิสูจน์ธรรมแล้วมาเทียบคำสอนครูบาอาจารย์บ้าง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เขียน เป็นภาษาที่ชาวบ้านอ่านรู้เรื่อง


ชัดแจ๋ว ว่าอโศกแต่งตำราเอง พูดเองเออเอง ถึงได้มีธรรมติดปีก บินไปสู่นิพพาน :b1:

ท่านอโศกครับ ควรพิสูจน์การปฏิบัติของตนกับคำสอนของพระพุทธเจ้านะขอรับ ไม่ใช่ไปเทียบคำสอนของใครอื่น อย่างที่อ้างอิงนั่น เช่นเดียวกันท่านผู่้ซึ่งถูกอ้างอิงนั้น ก็ต้องเทียบกับพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เทียบดูว่ามันลงกันไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 11:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b34:
โพธิปักขิยะธรรม แปลว่าอะไร ทำไมท่านถึงต้องเรียกว่าโพธิปักขิยะธรรม

กรัชกายแปลและให้ความหมายตรงนี้ให้ชัดๆก่อนจึงค่อยวิจารณ์

อย่าพูดด้วยความคะนองปากคะนองใจ

ไปดูศัพท์บาลีดีๆว่า "ปักขิยะ" แปลหรือมีความหมายว่าอย่างไร

อย่าทำตัวเป็นนักวิชาการใหญ่แต่ไม่ฉลาดเลยนะ อายผู้คนเขา
:b15:
พูดถึงต้องอิงพุทธธรรม ก็ให้การบ้านไปให้กรัชกายค้นมาว่า "สัมมาทั้ง 8 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อย่างไร ชี้ไปที่ใดจึงจะเป็นสัมมา" อย่ากล่าวไปพล่อยๆและเข่้าใจผิดว่าต้องอิงธรรมที่คัดจากตำราแต่เพียงถ่ายเดียว ธรรมในกายใจกว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ก็อิงได้และแม่นยำกว่าเสียด้วยนะ จะบอกให้
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณcantona_z เขียน


อ้างคำพูด:
เมื่อรู้ชัดสภาวะของกายใจว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ล้วนๆ ไม่ใช่ตัวตนจริงๆบังคับควบคุมไม่ได้ ก็จะเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดก็จะหลุดพ้น

ดังนั้นสิ่งที่คุณกล่าว คือการมองสภาวะธรรมให้เป็นไตรลักษณ์
เป็นการเริ่มต้นทำวิปัสสนาครับ



:b8:


ใช่ค่ะตอนนี้เรารู้สึกเบื่อโลกแสงสี ไม่เหมือนโลกแห่งธรรมที่มีแต่ความนิ่ง-สงบ
เวลาพูดเรื่องทางโลก มองเห็นแต่ทุกข์
เวลาพูดเรื่องทางธรรม เหมือนเห็นทางที่จะหลุดพ้น
วิปัสสนาคือการทำสมาธิใช่หรือไม่ค่ะ ปกติเราทำอยู่แล้วค่ะ
คุณcantona_z มีอะไรที่จะแนะนำ เราเพิ่มเติมหรือปล่าวค่ะ :b8:
พอถึงณ.จุดนี้แล้ว ต้องทำอย่างไรต่อคะ :b1:

ขอโทษคุณอโศกด้วยนะคะ ที่ใช้กระทู้คุณอโศกคุยนอกเรื่องไปนิดดหนึ่งค่ะ :b12: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 11:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะก็อย่าคะนองปากมากนัก..ซิ...ว่าแต่เขา
อิอิ

http://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%8 ... 3%E0%B8%A1
อ้างคำพูด:
โพธิปักขิยธรรม หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นธรรม อันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้  เกื้อหนุนแก่อริยมรรค  มี 37 ประการคือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน  4 อิทธิบาท  4 อินทรีย์  5 พละ  5 โพชฌงค์  7 มรรค มีองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม ในบางแห่งตรัสหมายถึงโพชฌงค์ 7[1] เช่น


http://www.oknation.net/blog/print.php?id=231373
อ้างคำพูด:
โพธิปักขิยสังคหะ นี้ เมื่อแยกบทแล้วได้ ๓ บท คือ... โพธิ - ปักขิย - สังคหะ โ

โพธิ แปลว่า รู้ หมายถึง รู้การทำให้สิ้นอาสวะ คือ รู้อริยสัจจ ๔
ปักขิย แปลว่า เป็นฝ่าย คือ เป็นฝ่ายมัคคญาณ
สังคหะ แปลว่า โดยย่อ หรือรวบรวม

โพธิปักขิยสังคหะ จึงหมายถึง การรวบรวมธรรมที่เป็นฝ่ายแห่งมัคคญาณ มีวจนัตถะของโพธิปักขิยสังคหะ แสดงว่า.. จตฺตาริ  สจฺจานิ  พุชฺฌตีติ - โพธิ "ธรรมชาติใดรู้อริยสัจจทั้ง ๔ ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า โพธิ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 13:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณcantona_z เขียน


อ้างคำพูด:
เมื่อรู้ชัดสภาวะของกายใจว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ล้วนๆ ไม่ใช่ตัวตนจริงๆบังคับควบคุมไม่ได้ ก็จะเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดก็จะหลุดพ้น

ดังนั้นสิ่งที่คุณกล่าว คือการมองสภาวะธรรมให้เป็นไตรลักษณ์
เป็นการเริ่มต้นทำวิปัสสนาครับ



:b8:


ใช่ค่ะตอนนี้เรารู้สึกเบื่อโลกแสงสี ไม่เหมือนโลกแห่งธรรมที่มีแต่ความนิ่ง-สงบ
เวลาพูดเรื่องทางโลก มองเห็นแต่ทุกข์
เวลาพูดเรื่องทางธรรม เหมือนเห็นทางที่จะหลุดพ้น
วิปัสสนาคือการทำสมาธิใช่หรือไม่ค่ะ ปกติเราทำอยู่แล้วค่ะ
คุณcantona_z มีอะไรที่จะแนะนำ เราเพิ่มเติมหรือปล่าวค่ะ :b8:
พอถึงณ.จุดนี้แล้ว ต้องทำอย่างไรต่อคะ :b1:

ขอโทษคุณอโศกด้วยนะคะ ที่ใช้กระทู้คุณอโศกคุยนอกเรื่องไปนิดดหนึ่งค่ะ :b12: :b41: :b55: :b49:

:b8:
อนุโมทนากับการสนทนาธรรมครับ ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับเพราะติดพันเรื่องสนทนาอื่นอยู่ครับ
:b27:
วิปัสสนาไม่ใช่การทำสมาธิครับแต่ต้องอาศัยสมาธิ
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 13:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สรุปแล้ว อโศกก็เที่ยวเก็บคำพูดของพระองค์นั้น อาจารย์รูปนี้ แล้วก็มามโน เข้าทำนองคิดเองเออเอง ใช่ๆๆๆ ก็อย่างที่กรัชกายเคยพูดหลายครั้งว่า เหมือนคนชอบเล่นหวย ไปนั่งจับกิริยาอาการของอาจารย์ดังๆ ว่าท่านพูดอะไร ท่านเคลื่อนไหวยกไม้ยกมือ หยิบกะโถนพ่นน้ำหมาก กี่ครั้ง คิกๆๆ แล้วก็นำมาบวกลบคูณหาร เป็นตัวเลขบน เลขล่างไว้แทงหวยเซี่ยงโชค ถูกบ้างผิดบ้าง อโศกทำนองนี้ อ้าวจริงๆ


ทั้งหมดที่กรัชกายพูดดังอ้างมา เป็นสมบัติของกรัชกายทั้งหมดเลยเพราะมีแต่ไปคัดลอกตำรามาพูด ไม่มีที่เป็นประสบการณ์การปฏิบัติจริงของตนเองมาบอกกล่าวกันบ้างเลย

อโศกะพิสูจน์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ครูบาอาจารย์บ้าง พิสูจน์ธรรมแล้วมาเทียบคำสอนครูบาอาจารย์บ้าง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เขียนเป็นภาษาที่ชาวบ้านอ่านรู้เรื่องแบ่งปันกันในลานธรรมต่างๆ พิสูจน์ได้เสมอ ไม่มีการมโนเอาอย่างกรัชกาย

จะลองพิจารณาได้จากเรื่องวิธีชำระนิวรณ์ 5 ที่เขียนขึ้นเป็นของขัวญวิสาขะบูชา 2517 ในกระทู้นี้ วิญญูชนคงจะพอรู้ได้ว่าใครเขียนจากประสบการณ์จริง ใครมโน คัดลอกธรรมผู้อื่นมาเขียน สัจธรรมความจริงแสดงอยู่ กรัชกายจึงไม่ควรจะมากล่าวตู่บิดเบือนความจริงบิดเบือนธรรมให้ผู้คนระสำระส่ายหลงทางความคิดความเห็น จะเป็นบาปกรรมหนักนะกรัชกาย นักวิชาการใหญ่ผู้กำลังจะถูกทับท่วม


อโศกนักปฏิบัติ เขาเป็นอะไร และจะแก้ไขยังไงครับ


อ้างคำพูด:
บอกตรงๆว่าฝึกสติปัฐฐาน 4 เป็นแค่อย่างเดียว
และชีวิตนี้ก็เคยแค่ครอบครูช่างอย่างเดียว เนื่องจากเป็นคนสมัยใหม่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์แต่ชอบเรื่องตื่นเต้น ชอบดูของแปลก ก็เลยชอบงานแนวทรงเจ้าเข้าผี (ดูเอามัน ดูเพื่อความบันเทิง)
แต่ช่วงไม่นานมานี้คือเริ่มฝึกสมาธิมากขึ้น และจิตก็เริ่มนิ่งขึ้นด้วย แต่กับไม่คิดว่าโลกยุคนี้มันจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง(คิดว่านิทานหลอกเด็กตลอด) คือตอนนั่งสมาธิจะมีเงาดำๆฟืบเข้าร่างเรา และก็ต้องนั่งสมาธิเพื่อจี้ออก แต่มันต้องใช้กำลังของสมาธิมาก แต่พอสมาธิตกก็เข้าอีก และยิ่งไปอยู่วัดที่เขาถอนของแต่ตัวเองยังไม่ถอนเพราะต้องอัญเชิญครูช่างกลับไปยังสถานที่เอามาอง คราวนี้มายังกระบวนพาเลทเลย พลัดกันเข้า กันออกเลยไม่รู้อะไรเป็นอะไร แม่ชีที่นั่นบอกว่าจิตเปิด และของหนูก็เยอะ คราวนี้เกิดอาการค่อนข้างจะสับสน(ช็อค) เพราะเป็นพวกห้ามยัดเยียดอะไรใส่หัวจะฟุ้งมาก อยู่กับผู้คนก็ไม่ได้เพราะยิ่งถูกกระทบก็ยิ่งอยู่ในสถาณการณ์ที่แย่กว่าเดิม แม่ชียิ่งพูดหรือคนรอบข้างยิ่งใส่อาการหนักตั้งสติไม่อยู่เลย อ้อวัดนี้เป็นแนวสมถะ เน้นการสวดมนต์ พอขึ้นไปหาหลวงพ่อท่านให้ถอนของออก และท่านก้ให้กรรมฐานมา คือ ให้ว่าง และยืน กับเดิน แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้และเพราะร่างกายไม่แข็งแรงพอ พอหลับก็เข้าอีก บอกตรงๆว่ายังไม่เคยเห็นตัว แต่แค่สัมผัสกลุ่มก้อนพลังงานได้และะรับรู้จากกลิ่นน้ำหมาก หรืออะไรที่ไม่มีในบริเวณนั้นแน่ๆ และที่แย่การที่ถูกครอบมันไม่สดชื่นมึนหัวทั้งวัน และตอนนี้กลับมาบ้านแล้วแต่ยังไม่ถอน เพราะมีเหตุให้เอาของไปคืนไม่ได้ในตอนนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังถูกครอบถูกแฝงอยู่ ไม่รู้จะทำไงดี เพราะกำลังจิตและกำลังกายมีไม่พอ พูดง่ายๆว่ากลับจากวัดนี้สติเตลิด กลับมารวบรวมสติไม่อยู่ ฟุ้งจนไม่รู้จะทำไงดี พอคิดมากจิตมันเหนื่อยมันก็โยนทิ้งคราวนี้ก็มาอีกแล้ว พูดง่ายๆว่าตอนนี้เอาตัวไม่รอด ทำสมาธิได้แค่จี้จนร้อนตั้งแต่บริเวณศรีษะไล่ไปจนบริเวณหลังเพราะตั้งสติไว้ลิ้นปี แต่พอหัวร้อนๆเหมือนไออะไรออกจากหัวมันก็เบาขึ้นเยอะ (บอกตรงๆว่า ตัวเองก็ไม่อยากเชื่อถึงเรื่อง แบบนี้ ยังคิดอยูว่านี้เราจินตนาการไปเองรึเปล่า) และนี้ก็เป็นช่วงขอคำแนะนำช่วงที่ยังไม่ไม่ได้ถอนของออกควรทำไงดี และจะทำไงไมให้จิตวิญญาณพวกนี้แฝงอีก

:b12:

[b]สอนวิธีหาปลา สอนวิธีแก้ปัญหาไว้ให้แล้ว ไปแก้ไขเอาด้วยสติปัญญาตามวิชาที่สอนให้เอาเองนะ......โตได้แล้วกรัชกาย อย่าได้เที่ยวไปถามคนโน้นคนนี้ อายเขา นักวิชาการใหญ่



คำพูดนี้

อ้างคำพูด:
อโศกะพิสูจน์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ครูบาอาจารย์บ้าง พิสูจน์ธรรมแล้วมาเทียบคำสอนครูบาอาจารย์บ้าง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เขียน เป็นภาษาที่ชาวบ้านอ่านรู้เรื่อง


ชัดแจ๋ว ว่าอโศกแต่งตำราเอง พูดเองเออเอง ถึงได้มีธรรมติดปีก บินไปสู่นิพพาน :b1:

ท่านอโศกครับ ควรพิสูจน์การปฏิบัติของตนกับคำสอนของพระพุทธเจ้านะขอรับ ไม่ใช่ไปเทียบคำสอนของใครอื่น อย่างที่อ้างอิงนั่น เช่นเดียวกันท่านผู่้ซึ่งถูกอ้างอิงนั้น ก็ต้องเทียบกับพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เทียบดูว่ามันลงกันไหม

:b12:
เทียบพุทธธรรมแล้วลงกันได้จึงลงใจนับถือปฏิบัติตาม
ได้รับผลอันงาม จึงยิ่งเชื่อไม่ลังเล
บัญญัติไม่มากมาย จนตาลายใจโลเล
อ่อนเพลียและโซเซ ซมซุกสู่ ตู้ตำรา

รู้จริงแม้ไม่มาก แต่รู้หลัก ไม่มีเสีย
ทำจริงไม่มีเพลีย แต่เพิ่มสุข ทุกคืนวัน
สิ่งยากมาทำง่ายเผยแพร่ไปยิ่งสุขสันต์
บุญมากกุศลการ พาชนผ่านพ้นอบาย

อุปสรรคล้วนที่มี เป็นสิ่งดี สอนใจกาย
ยกจิตข้ามพ้นไป ใกล้จุดหมายขึ้นทุกวัน
ขอบคุณมิตรสหาย ช่วยกันใส่งานให้ฉัน
พัได้ฝึกจิตทุกวันอีกไม่ช้าจะสบาย
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b34:
โพธิปักขิยะธรรม แปลว่าอะไร ทำไมท่านถึงต้องเรียกว่าโพธิปักขิยะธรรม

กรัชกายแปลและให้ความหมายตรงนี้ให้ชัดๆก่อนจึงค่อยวิจารณ์

อย่าพูดด้วยความคะนองปากคะนองใจ

ไปดูศัพท์บาลีดีๆว่า "ปักขิยะ" แปลหรือมีความหมายว่าอย่างไร

อย่าทำตัวเป็นนักวิชาการใหญ่แต่ไม่ฉลาดเลยนะ อายผู้คนเขา
:b15:
พูดถึงต้องอิงพุทธธรรม ก็ให้การบ้านไปให้กรัชกายค้นมาว่า "สัมมาทั้ง 8 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อย่างไร ชี้ไปที่ใดจึงจะเป็นสัมมา" อย่ากล่าวไปพล่อยๆและเข่้าใจผิดว่าต้องอิงธรรมที่คัดจากตำราแต่เพียงถ่ายเดียว ธรรมในกายใจกว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ก็อิงได้และแม่นยำกว่าเสียด้วยนะ จะบอกให้
onion



อ้างคำพูด:
ธรรมในกายใจกว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ก็อิงได้และแม่นยำกว่าเสียด้วยนะ



ชอบอ้างอยู่เรื่อย พูดกายใจอีก ถ้ายังงั้นะขอถามหน่อย

คน กับ กายใจ รูปนาม ขันธ์ห้า ต่างกันตรงไหน :b1:


ส่วนคำแปลโพธิปักขิยธรรม แปลว่าอย่างไร ดูที่หัวข้อกระทู้นั่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สรุปแล้ว อโศกก็เที่ยวเก็บคำพูดของพระองค์นั้น อาจารย์รูปนี้ แล้วก็มามโน เข้าทำนองคิดเองเออเอง ใช่ๆๆๆ ก็อย่างที่กรัชกายเคยพูดหลายครั้งว่า เหมือนคนชอบเล่นหวย ไปนั่งจับกิริยาอาการของอาจารย์ดังๆ ว่าท่านพูดอะไร ท่านเคลื่อนไหวยกไม้ยกมือ หยิบกะโถนพ่นน้ำหมาก กี่ครั้ง คิกๆๆ แล้วก็นำมาบวกลบคูณหาร เป็นตัวเลขบน เลขล่างไว้แทงหวยเซี่ยงโชค ถูกบ้างผิดบ้าง อโศกทำนองนี้ อ้าวจริงๆ


ทั้งหมดที่กรัชกายพูดดังอ้างมา เป็นสมบัติของกรัชกายทั้งหมดเลยเพราะมีแต่ไปคัดลอกตำรามาพูด ไม่มีที่เป็นประสบการณ์การปฏิบัติจริงของตนเองมาบอกกล่าวกันบ้างเลย

อโศกะพิสูจน์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ครูบาอาจารย์บ้าง พิสูจน์ธรรมแล้วมาเทียบคำสอนครูบาอาจารย์บ้าง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เขียนเป็นภาษาที่ชาวบ้านอ่านรู้เรื่องแบ่งปันกันในลานธรรมต่างๆ พิสูจน์ได้เสมอ ไม่มีการมโนเอาอย่างกรัชกาย

จะลองพิจารณาได้จากเรื่องวิธีชำระนิวรณ์ 5 ที่เขียนขึ้นเป็นของขัวญวิสาขะบูชา 2517 ในกระทู้นี้ วิญญูชนคงจะพอรู้ได้ว่าใครเขียนจากประสบการณ์จริง ใครมโน คัดลอกธรรมผู้อื่นมาเขียน สัจธรรมความจริงแสดงอยู่ กรัชกายจึงไม่ควรจะมากล่าวตู่บิดเบือนความจริงบิดเบือนธรรมให้ผู้คนระสำระส่ายหลงทางความคิดความเห็น จะเป็นบาปกรรมหนักนะกรัชกาย นักวิชาการใหญ่ผู้กำลังจะถูกทับท่วม


อโศกนักปฏิบัติ เขาเป็นอะไร และจะแก้ไขยังไงครับ


อ้างคำพูด:
บอกตรงๆว่าฝึกสติปัฐฐาน 4 เป็นแค่อย่างเดียว
และชีวิตนี้ก็เคยแค่ครอบครูช่างอย่างเดียว เนื่องจากเป็นคนสมัยใหม่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์แต่ชอบเรื่องตื่นเต้น ชอบดูของแปลก ก็เลยชอบงานแนวทรงเจ้าเข้าผี (ดูเอามัน ดูเพื่อความบันเทิง)
แต่ช่วงไม่นานมานี้คือเริ่มฝึกสมาธิมากขึ้น และจิตก็เริ่มนิ่งขึ้นด้วย แต่กับไม่คิดว่าโลกยุคนี้มันจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง(คิดว่านิทานหลอกเด็กตลอด) คือตอนนั่งสมาธิจะมีเงาดำๆฟืบเข้าร่างเรา และก็ต้องนั่งสมาธิเพื่อจี้ออก แต่มันต้องใช้กำลังของสมาธิมาก แต่พอสมาธิตกก็เข้าอีก และยิ่งไปอยู่วัดที่เขาถอนของแต่ตัวเองยังไม่ถอนเพราะต้องอัญเชิญครูช่างกลับไปยังสถานที่เอามาอง คราวนี้มายังกระบวนพาเลทเลย พลัดกันเข้า กันออกเลยไม่รู้อะไรเป็นอะไร แม่ชีที่นั่นบอกว่าจิตเปิด และของหนูก็เยอะ คราวนี้เกิดอาการค่อนข้างจะสับสน(ช็อค) เพราะเป็นพวกห้ามยัดเยียดอะไรใส่หัวจะฟุ้งมาก อยู่กับผู้คนก็ไม่ได้เพราะยิ่งถูกกระทบก็ยิ่งอยู่ในสถาณการณ์ที่แย่กว่าเดิม แม่ชียิ่งพูดหรือคนรอบข้างยิ่งใส่อาการหนักตั้งสติไม่อยู่เลย อ้อวัดนี้เป็นแนวสมถะ เน้นการสวดมนต์ พอขึ้นไปหาหลวงพ่อท่านให้ถอนของออก และท่านก้ให้กรรมฐานมา คือ ให้ว่าง และยืน กับเดิน แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้และเพราะร่างกายไม่แข็งแรงพอ พอหลับก็เข้าอีก บอกตรงๆว่ายังไม่เคยเห็นตัว แต่แค่สัมผัสกลุ่มก้อนพลังงานได้และะรับรู้จากกลิ่นน้ำหมาก หรืออะไรที่ไม่มีในบริเวณนั้นแน่ๆ และที่แย่การที่ถูกครอบมันไม่สดชื่นมึนหัวทั้งวัน และตอนนี้กลับมาบ้านแล้วแต่ยังไม่ถอน เพราะมีเหตุให้เอาของไปคืนไม่ได้ในตอนนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังถูกครอบถูกแฝงอยู่ ไม่รู้จะทำไงดี เพราะกำลังจิตและกำลังกายมีไม่พอ พูดง่ายๆว่ากลับจากวัดนี้สติเตลิด กลับมารวบรวมสติไม่อยู่ ฟุ้งจนไม่รู้จะทำไงดี พอคิดมากจิตมันเหนื่อยมันก็โยนทิ้งคราวนี้ก็มาอีกแล้ว พูดง่ายๆว่าตอนนี้เอาตัวไม่รอด ทำสมาธิได้แค่จี้จนร้อนตั้งแต่บริเวณศรีษะไล่ไปจนบริเวณหลังเพราะตั้งสติไว้ลิ้นปี แต่พอหัวร้อนๆเหมือนไออะไรออกจากหัวมันก็เบาขึ้นเยอะ (บอกตรงๆว่า ตัวเองก็ไม่อยากเชื่อถึงเรื่อง แบบนี้ ยังคิดอยูว่านี้เราจินตนาการไปเองรึเปล่า) และนี้ก็เป็นช่วงขอคำแนะนำช่วงที่ยังไม่ไม่ได้ถอนของออกควรทำไงดี และจะทำไงไมให้จิตวิญญาณพวกนี้แฝงอีก

:b12:

[b]สอนวิธีหาปลา สอนวิธีแก้ปัญหาไว้ให้แล้ว ไปแก้ไขเอาด้วยสติปัญญาตามวิชาที่สอนให้เอาเองนะ......โตได้แล้วกรัชกาย อย่าได้เที่ยวไปถามคนโน้นคนนี้ อายเขา นักวิชาการใหญ่



คำพูดนี้

อ้างคำพูด:
อโศกะพิสูจน์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ครูบาอาจารย์บ้าง พิสูจน์ธรรมแล้วมาเทียบคำสอนครูบาอาจารย์บ้าง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เขียน เป็นภาษาที่ชาวบ้านอ่านรู้เรื่อง


ชัดแจ๋ว ว่าอโศกแต่งตำราเอง พูดเองเออเอง ถึงได้มีธรรมติดปีก บินไปสู่นิพพาน :b1:

ท่านอโศกครับ ควรพิสูจน์การปฏิบัติของตนกับคำสอนของพระพุทธเจ้านะขอรับ ไม่ใช่ไปเทียบคำสอนของใครอื่น อย่างที่อ้างอิงนั่น เช่นเดียวกันท่านผู่้ซึ่งถูกอ้างอิงนั้น ก็ต้องเทียบกับพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เทียบดูว่ามันลงกันไหม

:b12:

เทียบพุทธธรรมแล้วลงกันได้จึงลงใจนับถือปฏิบัติตาม
ได้รับผลอันงาม จึงยิ่งเชื่อไม่ลังเล
บัญญัติไม่มากมาย จนตาลายใจโลเล
อ่อนเพลียและโซเซ ซมซุกสู่ ตู้ตำรา

รู้จริงแม้ไม่มาก แต่รู้หลัก ไม่มีเสีย
ทำจริงไม่มีเพลีย แต่เพิ่มสุข ทุกคืนวัน
สิ่งยากมาทำง่ายเผยแพร่ไปยิ่งสุขสันต์
บุญมากกุศลการ พาชนผ่านพ้นอบาย

อุปสรรคล้วนที่มี เป็นสิ่งดี สอนใจกาย
ยกจิตข้ามพ้นไป ใกล้จุดหมายขึ้นทุกวัน
ขอบคุณมิตรสหาย ช่วยกันใส่งานให้ฉัน
พัได้ฝึกจิตทุกวันอีกไม่ช้าจะสบาย
smiley


อ้างคำพูด:
อโศกะพิสูจน์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ครูบาอาจารย์บ้าง พิสูจน์ธรรมแล้วมาเทียบคำสอนครูบาอาจารย์บ้าง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เขียนเป็นภาษาที่ชาวบ้าน


อโศกสับสนในชีวิต คิกๆๆ จึงสับสนให้หลักธรรม แทนที่จะเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ ไปเทียบกับพุทธธรรม ว่ามันลงกันไหม สอนผิดสอนถูกอย่างไร แต่ไม่เลยอโศกกลับนำพุทธธรรมไปเทียบกับคำสอนของครูบาอาจารย์ แสดงว่า คำสอนของอาจารย์ใหญ่กว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า :b1: จริงไม่จริงพี่น้อง :b32: แถมแต่งตำราเองสะอีกเอาเข้าไป

อโศก :b32:

http://www.youtube.com/watch?v=Yq8nZ3md3xU#t=40

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2014, 05:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b34:
โพธิปักขิยะธรรม แปลว่าอะไร ทำไมท่านถึงต้องเรียกว่าโพธิปักขิยะธรรม

กรัชกายแปลและให้ความหมายตรงนี้ให้ชัดๆก่อนจึงค่อยวิจารณ์

อย่าพูดด้วยความคะนองปากคะนองใจ

ไปดูศัพท์บาลีดีๆว่า "ปักขิยะ" แปลหรือมีความหมายว่าอย่างไร

อย่าทำตัวเป็นนักวิชาการใหญ่แต่ไม่ฉลาดเลยนะ อายผู้คนเขา
:b15:
พูดถึงต้องอิงพุทธธรรม ก็ให้การบ้านไปให้กรัชกายค้นมาว่า "สัมมาทั้ง 8 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อย่างไร ชี้ไปที่ใดจึงจะเป็นสัมมา" อย่ากล่าวไปพล่อยๆและเข่้าใจผิดว่าต้องอิงธรรมที่คัดจากตำราแต่เพียงถ่ายเดียว ธรรมในกายใจกว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ก็อิงได้และแม่นยำกว่าเสียด้วยนะ จะบอกให้
onion



อ้างคำพูด:
ธรรมในกายใจกว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ก็อิงได้และแม่นยำกว่าเสียด้วยนะ



ชอบอ้างอยู่เรื่อย พูดกายใจอีก ถ้ายังงั้นะขอถามหน่อย

คน กับ กายใจ รูปนาม ขันธ์ห้า ต่างกันตรงไหน :b1:


ส่วนคำแปลโพธิปักขิยธรรม แปลว่าอย่างไร ดูที่หัวข้อกระทู้นั่น

:b12: :b12: :b12:
คน กาย ใจ รูปนาม ขันธ์ห้า ต่างกันที่ศัพท์บัญญัติ เหมือนกัน เป็นอันเดียวกันที่ปรมัตถ์......นี่สนทนาถกเถียงกันจบแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมต้องมาพูดซ้ำๆซากๆอีก

ส่วนคำแปลโพธิปักขิยะธรรมที่หัวข้อกระทู้นั้นก็พอใช้ได้ แต่ความหมาายที่ลึกซึ้งยังไม่เข้าถึง จึงได้มี 2 สำนวนมาให้อ่านเปรียบเทียบกัน ว่าอันไหนจะมันและชวนใจให้ใฝ่ศึกษา ค้นหาสาระธรรมอันซ่อนอยู่ เพื่อความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริง

ไม่สังเกตให้ดีๆหรือกรัชกายว่ามีโค๊ดระหัสให้จำ 37 ประการแห่งโพธิปักขิยะในเบื้องต้นให้ผู้คนจำง่ายๆ


34251718

อันต่อไปที่ว่า "ปีกธรรมพานำบินเข้าสู่นิพพาน".......นั้นเป็นการแปลความหมายที่เกินความคาดคิดของคนติดบัญญัติ ให้สลัดความยึด ฮึดขึ้นหาความจริง ที่แอบอิงซ่อนไว้ ในภาษามนุษย์ อันแสนสุดลึกละเอียด เข้าไปเฉียดความจริง
:b11: :b11:
กรัชกายเคยได้ยินคำว่า "เสือติดปีก"ไหมครับ เสือถ้าติดปีกบินได้ มันจะขนาดไหนในการที่จะไปเที่ยวเสาะหากิน คนและสัตว์ที่เป็นอาหารทั้งหลาย

นักเจริญธรรมเพื่อความหลุดพ้นถ้าได้รู้ได้จำหลักธรรมสำคัญยิ่งยวดและเป็นสรุปหลักวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นคือ โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการ แล้วนำมาใส่ใจใคร่ครวญลงมือประพฤติปฏิบัติ พิสูจน์ธรรมไปตามลำดับแห่งธรรมทั้ง 37 ประการนั้น มันจะเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติขนาดไหน ไม่ยิ่งกว่าเสือติดปีกหรือ นี่คือความหมายที่ท้าทายความรู้สึกในการแปลความหมายของผู้ติดยึดอยู่ในบัญญัติทั้งหลายอย่างแน่นแฟ้นนะครับ

ปีกธรรมพานำบินเข้าสู่นิพพานนี้ พระอาจารย์ชาวพม่า ท่านแปลความหมายมาและอธิบายให้ผมซาบซึ้งใจ จึงนำมาฝากให้นักศึกษาไทยขบคิดกัน เป็นของขวัญวิสาขะบูชา 2557 นี้ด้วยไงครับ หวังว่าคงพอรับได้กระมัง ไม่จริงจังกับบัญญัติจนหัวชนฝา เพราะ

"สาระธรรม 37 ประการยังอยู่ครบ แถมเจนจบในเส้นทางเพราะชี้ตรงกว่า ไม่มีทางเฉไปเป็นอื่นเลย"

smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2014, 06:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b17:
อ้างคำพูด:
อโศกสับสนในชีวิต คิกๆๆ จึงสับสนให้หลักธรรม แทนที่จะเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ ไปเทียบกับพุทธธรรม ว่ามันลงกันไหม สอนผิดสอนถูกอย่างไร แต่ไม่เลยอโศกกลับนำพุทธธรรมไปเทียบกับคำสอนของครูบาอาจารย์ แสดงว่า คำสอนของอาจารย์ใหญ่กว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า :b1: จริงไม่จริงพี่น้อง :b32: แถมแต่งตำราเองสะอีกเอาเข้าไป

อโศก

:b32:
จริงไม่จริงพี่น้อง
:b12: :b12: :b12:
เอาศัพท์ของชาวม๊อบมาเรียกหาพวกพ้องมาร่วมรุมกินโต๊ะอีก ไม่ยอมกินอาหารอันโอชะบนโต๊ะกันเลยหรือนี่?
:b7:
เทียบ......คือการนำสองสิ่งมาพิจารณาหาความแตกต่างและความเหมือนร่วมกัน

คนติดยึดบัญญัติก็เลยเอามาใช้เป็นเงื่อนไขปลุกให้คนยิ่งติดยึดบัญญัติกันอย่างผ ิดและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

สัจจธรรมความจริง ถ้าเป็นของจริงแน่แท้แน่นอน จะเทียบอย่างไร เอาทางไหนขึ้นก่อนก็ย่อมเป็นอันเดียวกันไม่ผิดพี้ยน

่คำสอนของพระพุทธเจ้ากับของครูบาอาจารย์ไม่มีใหญ่เล็กเพราะเป็นสัจจะหรือสิ่งเดียวกัน ใหญ่เล็กเป็นคนผู้หนาด้วยกิเลสพยายามเอามากำหนดแบ่งชั้นกัน

พระบรมศาสดาทรงตรัสสรุปไว้ว่า "สัพเพธัมมา อนัตตา"

ครูบาอาจารย์ก็บอกสอนไว้ว่า "อนัตตา สุดยอด"

ลองเปรียบเทียบกันดูสิกรัชกาย ว่า สาระธรรม สัจจธรรม ความจริง เป็นอันเดียวกันหรือไม่

ถ้าเป็นอันเดียวกัน คุณจะไปคิดว่า อันใดสูงกว่าอันใด จะมีประโยชน์อะไร นอกจากสร้างความยุ่งยากใจให้กับตนเองเท่านั้น

:b7:
:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2014, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เขาเป็นอะไร แล้วจะแก้ไขยังไงขอรับอโศก :b1:


อ้างคำพูด:
บอกตรงๆว่าฝึกสติปัฐฐาน 4 เป็นแค่อย่างเดียว
และชีวิตนี้ก็เคยแค่ครอบครูช่างอย่างเดียว เนื่องจากเป็นคนสมัยใหม่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์แต่ชอบเรื่องตื่นเต้น ชอบดูของแปลก ก็เลยชอบงานแนวทรงเจ้าเข้าผี (ดูเอามัน ดูเพื่อความบันเทิง)
แต่ช่วงไม่นานมานี้คือเริ่มฝึกสมาธิมากขึ้น และจิตก็เริ่มนิ่งขึ้นด้วย แต่กับไม่คิดว่าโลกยุคนี้มันจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง(คิดว่านิทานหลอกเด็กตลอด) คือตอนนั่งสมาธิจะมีเงาดำๆฟืบเข้าร่างเรา และก็ต้องนั่งสมาธิเพื่อจี้ออก แต่มันต้องใช้กำลังของสมาธิมาก แต่พอสมาธิตกก็เข้าอีก และยิ่งไปอยู่วัดที่เขาถอนของแต่ตัวเองยังไม่ถอนเพราะต้องอัญเชิญครูช่างกลับไปยังสถานที่เอามาอง คราวนี้มายังกระบวนพาเลทเลย พลัดกันเข้า กันออกเลยไม่รู้อะไรเป็นอะไร แม่ชีที่นั่นบอกว่าจิตเปิด และของหนูก็เยอะ คราวนี้เกิดอาการค่อนข้างจะสับสน(ช็อค) เพราะเป็นพวกห้ามยัดเยียดอะไรใส่หัวจะฟุ้งมาก อยู่กับผู้คนก็ไม่ได้เพราะยิ่งถูกกระทบก็ยิ่งอยู่ในสถาณการณ์ที่แย่กว่าเดิม แม่ชียิ่งพูดหรือคนรอบข้างยิ่งใส่อาการหนักตั้งสติไม่อยู่เลย อ้อวัดนี้เป็นแนวสมถะ เน้นการสวดมนต์ พอขึ้นไปหาหลวงพ่อท่านให้ถอนของออก และท่านก้ให้กรรมฐานมา คือ ให้ว่าง และยืน กับเดิน แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้และเพราะร่างกายไม่แข็งแรงพอ พอหลับก็เข้าอีก บอกตรงๆว่ายังไม่เคยเห็นตัว แต่แค่สัมผัสกลุ่มก้อนพลังงานได้และะรับรู้จากกลิ่นน้ำหมาก หรืออะไรที่ไม่มีในบริเวณนั้นแน่ๆ และที่แย่การที่ถูกครอบมันไม่สดชื่นมึนหัวทั้งวัน และตอนนี้กลับมาบ้านแล้วแต่ยังไม่ถอน เพราะมีเหตุให้เอาของไปคืนไม่ได้ในตอนนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังถูกครอบถูกแฝงอยู่ ไม่รู้จะทำไงดี เพราะกำลังจิตและกำลังกายมีไม่พอ พูดง่ายๆว่ากลับจากวัดนี้สติเตลิด กลับมารวบรวมสติไม่อยู่ ฟุ้งจนไม่รู้จะทำไงดี พอคิดมากจิตมันเหนื่อยมันก็โยนทิ้งคราวนี้ก็มาอีกแล้ว พูดง่ายๆว่าตอนนี้เอาตัวไม่รอด ทำสมาธิได้แค่จี้จนร้อนตั้งแต่บริเวณศรีษะไล่ไปจนบริเวณหลังเพราะตั้งสติไว้ลิ้นปี แต่พอหัวร้อนๆเหมือนไออะไรออกจากหัวมันก็เบาขึ้นเยอะ (บอกตรงๆว่า ตัวเองก็ไม่อยากเชื่อถึงเรื่อง แบบนี้ ยังคิดอยูว่านี้เราจินตนาการไปเองรึเปล่า) และนี้ก็เป็นช่วงขอคำแนะนำช่วงที่ยังไม่ไม่ได้ถอนของออกควรทำไงดี และจะทำไงไมให้จิตวิญญาณพวกนี้แฝงอีก


ที่อโศกพูดมานั่น เป็นการยกเอาตัวหนังสือเอาศัพท์ซึ่งบัญญัติใช้ทางธรรมขึ้นพูด เอาชีวิตจริงๆ เอารูปนามจริงๆ เอากายใจจริงๆนี่เอา ไม่ยกศัพท์แสงขึ้นพูดแล้วก็เข้าใจว่าปฏิบัติธรรมเอ้า เขาเป็นยังไง จะแก้ไขด้วยวิธีใด :b32: อโศกเอ้า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2014, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

พระบรมศาสดาทรงตรัสสรุปไว้ว่า "สัพเพธัมมา อนัตตา"

ครูบาอาจารย์ก็บอกสอนไว้ว่า "อนัตตา สุดยอด"

ลองเปรียบเทียบกันดูสิกรัชกาย ว่า สาระธรรม สัจจธรรม ความจริง เป็นอันเดียวกันหรือไม่



อ้อ ถ้างั้นกรัชกายจะพูดมั่งนะ :b32: "อนัตตา ยอดเยี่ยม" "อนัตตา เจ๋ง" "อนัตตา สุดยอด" "สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา" เห็นมะ ใครๆก็พูดได้ (เว้นคนเป็นใบ้) "ธรรมะ สุดยอด" จะให้พูดอะไรอีกล่ะ :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร