วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ย. 2025, 16:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2014, 05:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5374


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตเป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเรา ที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน
วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือ ภาวนา
ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่ามีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


<< จะเกิดที่ไหน? กรรมคือผู้ให้คำตอบ >>
..พระอรหันต์ท่านสมบูรณ์แล้วจึงไม่กลับมาผุดเกิดอีก..
ส่วนสัตว์ที่ยังมีกิเลสหนาแน่น ยังมีคราบของกรรมหนาเกรอะอยู่
จิตยังมีรอยเปื้อนรอยด่างและหมองมัวอยู่ ยังไม่ได้รับการชำระล้างให้...
บริสุทธิ์ผุดผ่องจนไร้ไฝฝ้าจากละอองธุลีคือกิเลส ยังต้องเป็นสัมภเวสี
แสวงหาภพเกิดใหม่อยู่ร่ำไป
จึงเป็นอันแน่นอนว่า ภพภูมิที่จะต้องไปบังเกิดใหม่เพื่อเสวยวิบากกรรม
ยังมีไว้รอให้เหล่าสัมภเวสีไปเกิดอยู่ ซึ่งการเกิดของเหล่าสัตว์
ผู้ยังไม่หมดกิเลสนั้น มีอยู่ ๔ กำเนิด คือ
๑.ชลาพุชโยนิ
เกิดในครรภ์(ในมดลูก)ได้แก่มนุษย์และสัตว์ที่คลอดออกมาเป็นตัว
และเลี้ยงลูกด้วยนมเช่น วัว ควาย ช้าง ม้า เป็นต้น
๒.อัณฑชโยนิ
เกิดในไข่ ได้แก่สัตว์ทั้งหลายที่ออกมาเป็นไข่ก่อน แล้วจึงฟักออกมา
เป็นตัวทีหลัง เช่น ไก่ นก ปลา เป็ด
๓.สังเสทชโยนิ
ได้แก่กำเนิดของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต้องอาศัยท้องของแม่เกิด แต่เกิดจากต้นไม้ ผลไม้ ดอกไม้หรือของโสโครก ที่ชุ่มชื้นเน่าแฉะ
อย่างเช่นเชื้อโรคและสัตว์ที่มีเซลล์เดียวอย่างเช่นอะมีบา เป็นต้น
๔.โอปปาติกโยนิ
เป็นการเกิดใหม่ของสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาศัยเชื้อในการเกิดและเมื่อถึง
คราวดับขันธ์ก็ไม่เหลือซากไว้หลังตาย กำเนิดพวกนี้ได้แก่
พวกสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม และมนุษย์ในสมัยต้นกัป
ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ เมื่อตายหรือละสังขารจากอัตภาพปัจจุบันไปแล้ว
ถ้ายังเป็นผู้มีปัจจัยให้ต้องเกิดอยู่ ยังไม่หมดอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
กรรม หรือเรียกรวมๆว่ายังไม่หมดกิเลส ก็จะต้องไปเกิดในภพใด
ภพหนึ่งตามกำเนิดทั้ง๔นี้แน่นอน ส่วนจะไปที่ไหนนั้น กรรมของตนที่เคยก่อเอาไว้จะเป็นผู้จัดสรรภพให้ไป
ถ้ามีกรรมที่ทำไว้ด้วยอำนาจของโทสะ ความโกรธ
กรรมก็จะนำให้ไปเกิดในนรก
ถ้ามีกรรมที่ทำไว้ด้วยอำนาจของโลภะ ความโลภ
กรรมก็จะนำให้ไปเกิดเป็นเปรตและสุรกาย
ถ้ามีกรรมที่ทำไว้ด้วยอำนาจของโมหะ ความลุ่มหลงงมงาย
กรรมก็จะนำให้ไปเกิดในกำเนิดแห่งสัตว์เดรัจฉาน
ถ้าทำกรรมดี รักษาศีล๕และเจริญกุศลกรรมบท๑๐ประการไว้
กรรมก็จะนำให้มาเกิดในกำเนิดแห่งมนุษย์ ส่วนจะเป็นมนุษย์ที่
สมบูรณ์หรือบกพร่องแค่ไหน ย่อมขึ้นอยู่กับความดีที่ทำไว้
ว่ามากหรือน้อย
ถ้าได้ประกอบธรรม๕ประการคือเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล มีสุตะคือ
หมั่นฟังธรรมศึกษาและปฏิบัติธรรม มีจาคะการเสียสละให้ทาน
และมีปัญญาดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท กรรมก็จะนำให้
ไปเกิดเป็นเทวดา ตามระดับของกุศลกรรม
และหากได้เลื่อนชั้นตนเองขึ้นไปจากการรักษาศีลให้บริสุทธิ์
ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย มีจิตประกอบด้วยเมตตาธรรม เจริญมรณสติ ตัดความกังวลห่วงใยในเรื่องต่างๆ พิจารณาเห็นร่างกาย
นี้เป็นของปฏิกูล มีสติตั้งมั่นตลอดเวลานาทีขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
กระบวนการธรรมเหล่านี้ก็จะนำให้ไปเกิดเป็นพรหม
ส่วนผู้ที่ตัดเหตุปัจจัยของการเกิดใหม่ได้แล้ว ก็สิ้นภพจบชาติ
พ้นไปจากกระแสของสังสารวัฏ เข้าสู่อมตะมหานิพพานอันเป็นบรมสุข
เป็นการปิดประตูกำเนิดในภพต่างๆลงได้ รับรองด้วยพระพุทธพจน์
บทนี้..
คัพภะเมเก อุปปัชชันติ นิระยัง ปาปะกัมมิโน
สัคคัง สุคะติโน ยันติ ปรินิพพันติ อะนาสะวาฯ
ภิกษุทั้งหลาย สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ย่อมเกิดในครรภ์
บางจำพวกที่ทำกรรมชั่วช้าไว้ ย่อมเกิดในนรก
บางจำพวกทำกรรมดีไว้ ย่อมไปสู่สวรรค์
ส่วนผู้ที่หมดกิเลสย่อมปรินิพพานฯ


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2014, 00:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2012, 00:24
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


แน่นอนครับ เมื่อเราให้ความสำคัญ มันก็สำคัญขึ้นมาทันที

เมื่อพิจารณาธรรมและพบว่า ทุกสิ่งล้วนไร้สาระ..แม้แต่จิตเองก็ไร้สาระ... นั่นแหละคือสาระทั้งปวง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2014, 06:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b9:
จิต...ไม่ไร้สาระ

ตัวที่ไร้สาระ....สิ่งที่เกินกว่าจิตไป...เริ่มนับตั้งแต่...ความหลงผิด..นั้นแหละ...เช่นที่หลงว่า..จิตเป็นยังงั้นเป็นยังงี้..ตามที่เรียนมาแล้วก็ยึดความรู้ที่เรียนมา..ซะแน่น...เห็นจิตเองก็ยังไม่เคยเห็น..เห็นแต่สัญญาอารมณ์...ก็ยึดกันไป...กิเลสมานะพอกพูนก็ด้วยเหตุนี้

ต่อให้อยู่...ต่อหน้าพระพุทธเจ้า...อยู่ต่อหน้าพระอรหันตเจ้า...มันก็ไม่เห็น...มันเห็นแต่ความคิดของมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2014, 06:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8595


 ข้อมูลส่วนตัว


จิต...เป็นสิ่งที่มีจริง...เป็นสิ่งไร้สาระ
เพราะเกิดดับตลอดเวลาไม่สามารถบังคับบัญชาได้
ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ ไม่ควรยึดถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นสาระ
เมื่อยึดถือว่าเป็นสาระ จะเกิดเป็น อุปาทานขันธ์ ๕

จิตเป็นวิญญาณขันธ์ เป็นขันธ์ๆหนึ่งในขันธ์ ๕ ๆ เป็นสิ่งที่ควรละไม่ควรยึดถือ
(การที่ไม่รู้จริงอธิบายไปมั่วๆตามความเข้าใจของตนเอง ไม่เป็นคุณแก่ตนเองเลยมีแต่โทษ
เป็นการทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ตนเองนั้นก็เป็นผู้หลงผิด ยังจะชักชวน
ให้ผู้อื่นหลงผิดอีกด้วย นี้เป็น สัทธรรมปฏิรูป ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า )

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2014, 08:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:
จะว่า...มันไร้สาระ...ก็รอให้เห็นมันจริงๆ..ก่อน...ค่อยตัดสิน

ที่เห็นว่าไร้สาระ..นั้นนะ...เห็นด้วยอะไร

ในชั้นนี้..นะ...เห็นว่าอะไรมีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป...มีอาการเปลี่ยนแปลงไปไม่เที่ยง...เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดถือ...เอามาเป็นสาระ..ให้ได้จริงๆ..ซะก่อน....

ส่วนบัญญัติ...ว่าจิตเป็นอันนั้นอันนี้...ตามตำรา..กับของ..หลวงปู่มั่น...อาจมีนัยต่างกัน...แม้จะใช้คำเหมือนกันก็ตาม....ตามสติปัญญาวาระโอกาสของผู้ฟัง

แต่...ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเรียกอะไร..ให้ถือเอาอาการ...ว่า..หากมี...อาการการเกิด...ผันแปรไป...ตั้งอยู่ไม่ได้..สลายไปในที่สุด...เป็นสิ่งไร้สาระอย่างยิ่ง...ไม่ควรแม้นิดที่จะยึดเอามาเป็นสาระ

ส่วนใครจะเป็นผู้ไม่ยึด...ผู้ไม่เอาสิ่งไร้สาระ...ก็ไม่ต้องไปบัญญัติมัน...รู้แค่มี..เท่านั้น...ไม่ต้องไปบัญญัติว่าจะเรียกอะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2014, 08:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะ..หากเรียกมันว่าอะไรเมื่อไร

ก็..ยุ่ง..เมื่อนั้น..

:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2014, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8595


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เพราะ..หากเรียกมันว่าอะไรเมื่อไร

ก็..ยุ่ง..เมื่อนั้น..

:b9: :b9:

ไม่ยุ่งครับ...พระพุทธองค์นำมาสอน บัญญัติ ทั้งนั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2014, 12:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ยุ่ง..ก็ไม่ยุ่ง..ครับ
:b32:

อะไรไปรู้สุขอย่างยิ่งของนิพพาน..หน่อ

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 06:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8595


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ไม่ยุ่ง..ก็ไม่ยุ่ง..ครับ
:b32:

อะไรไปรู้สุขอย่างยิ่งของนิพพาน..หน่อ

:b32: :b32:


เพราะตัว "รู้" ดับหมดนั่นแหละเป็นสุขอย่างยิ่ง ที่เรียกว่าพระนิพพาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 06:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไม่ยุ่ง..ก็ไม่ยุ่ง..ครับ
:b32:

อะไรไปรู้สุขอย่างยิ่งของนิพพาน..หน่อ

:b32: :b32:


เพราะตัว "รู้" ดับหมดนั่นแหละเป็นสุขอย่างยิ่ง ที่เรียกว่าพระนิพพาน


เกลียดตัวกินไข่...เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง..รีเปล่า

อะไรหน่อ....ดับไม่มีเชื้อก็รู้ว่าดับไม่มีเชื้อ...ไม่เกิดอีกก็รู้ว่าไม่เกิดอีก...สุขอย่างยิ่งก็รู้ว่าสุขอย่างยิ่ง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 06:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8595


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไม่ยุ่ง..ก็ไม่ยุ่ง..ครับ
:b32:

อะไรไปรู้สุขอย่างยิ่งของนิพพาน..หน่อ

:b32: :b32:


เพราะตัว "รู้" ดับหมดนั่นแหละเป็นสุขอย่างยิ่ง ที่เรียกว่าพระนิพพาน


เกลียดตัวกินไข่...เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง..รีเปล่า

อะไรหน่อ....ดับไม่มีเชื้อก็รู้ว่าดับไม่มีเชื้อ...ไม่เกิดอีกก็รู้ว่าไม่เกิดอีก...สุขอย่างยิ่งก็รู้ว่าสุขอย่างยิ่ง...


ทำไมเข้าใจยากจริงๆ ! เมื่อมันดับตัวรู้ได้ มันก็หมดแล้ว มันก็ไม่ต้องไปรู้อะไรอีก
นั่นคือสุขอย่างยิ่ง ! เมื่อตัวรู้มันยังไปรู้โน่น รู้นี่ได้ สุข ทุกข์ ก็ยังไม่ดับ มันยังถูกสังขารปรุงแต่งได้
ไม่รู้สุขไม่รู้ทุกข์ นั่นแหละเป็นสุขอย่างยิ่ง (สุขอย่างยิ่งนั้นไม่มีตัวเข้าไปรู้)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 07:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไม่ยุ่ง..ก็ไม่ยุ่ง..ครับ
:b32:

อะไรไปรู้สุขอย่างยิ่งของนิพพาน..หน่อ

:b32: :b32:


เพราะตัว "รู้" ดับหมดนั่นแหละเป็นสุขอย่างยิ่ง ที่เรียกว่าพระนิพพาน


เกลียดตัวกินไข่...เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง..รีเปล่า

อะไรหน่อ....ดับไม่มีเชื้อก็รู้ว่าดับไม่มีเชื้อ...ไม่เกิดอีกก็รู้ว่าไม่เกิดอีก...สุขอย่างยิ่งก็รู้ว่าสุขอย่างยิ่ง...


ทำไมเข้าใจยากจริงๆ ! เมื่อมันดับตัวรู้ได้ มันก็หมดแล้ว มันก็ไม่ต้องไปรู้อะไรอีก
นั่นคือสุขอย่างยิ่ง ! เมื่อตัวรู้มันยังไปรู้โน่น รู้นี่ได้ สุข ทุกข์ ก็ยังไม่ดับ มันยังถูกสังขารปรุงแต่งได้
ไม่รู้สุขไม่รู้ทุกข์ นั่นแหละเป็นสุขอย่างยิ่ง (สุขอย่างยิ่งนั้นไม่มีตัวเข้าไปรู้
)


:b12: :b12: :b12:
หากยังมีธาตุขันธ์อยู่....ขันธ์มันก็ยังทำงานของขันธ์มันไป...แต่ไม่ปรุงแต่งต่อด้วยกิเลส

รู้...มันก็รู้ไปเรื่อย..นั้นแหละ...มีก็รู้..ไม่มีก็รู้...ไม่มีอะไรอะไรเลยก็รู้...มีอะไรเกิดอีกก็รู้...ดับไปแล้วก็รู้
..ไม่มีอะไรเกิดก็รู้....ไม่มีอะไรดับก็รู้

แม้..ไม่รู้สุขไม่รู้ทุกข์...นั้นก็รู้อีก...ไม่งั้นจะพูดได้งัยว่า...ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 10:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 09:13
โพสต์: 73


 ข้อมูลส่วนตัว


หากยังมีธาตุขันธ์อยู่....ขันธ์มันก็ยังทำงานของขันธ์มันไป...แต่ไม่ปรุงแต่งต่อด้วยกิเลส

รู้...มันก็รู้ไปเรื่อย..นั้นแหละ...มีก็รู้..ไม่มีก็รู้...ไม่มีอะไรอะไรเลยก็รู้...มีอะไรเกิดอีกก็รู้...ดับไปแล้วก็รู้
..ไม่มีอะไรเกิดก็รู้....ไม่มีอะไรดับก็รู้

แม้..ไม่รู้สุขไม่รู้ทุกข์...นั้นก็รู้อีก...ไม่งั้นจะพูดได้งัยว่า...ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว


เหมือนกับผมหรือเปล่า ผมรู้ว่าจิตมีดวงเดียว นอกนั้นเป็นอารมย์ประกอบกับจิต เนื่องด้วยจิตดวงนี้มีอวิชชาอยู่ จึงไม่พ้น เมื่อขาดจากอวิชชา หากยังครองขันธ์อยู่ ก็รู้ตามขันธ์อย่างที่ท่านว่า จนกว่ามันจะแตกสลายไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8595


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b12: :b12: :b12:
หากยังมีธาตุขันธ์อยู่....ขันธ์มันก็ยังทำงานของขันธ์มันไป...แต่ไม่ปรุงแต่งต่อด้วยกิเลส

รู้...มันก็รู้ไปเรื่อย..นั้นแหละ...มีก็รู้..ไม่มีก็รู้...ไม่มีอะไรอะไรเลยก็รู้...มีอะไรเกิดอีกก็รู้...ดับไปแล้วก็รู้
..ไม่มีอะไรเกิดก็รู้....ไม่มีอะไรดับก็รู้

แม้..ไม่รู้สุขไม่รู้ทุกข์...นั้นก็รู้อีก...ไม่งั้นจะพูดได้งัยว่า...ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว


ธาตุขันธ์ยังอยู่ ธาตุขันธ์ ได้แก่ ขันธ์อะไร ?

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 13:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ยังไม่พ้น เขียน:
หากยังมีธาตุขันธ์อยู่....ขันธ์มันก็ยังทำงานของขันธ์มันไป...แต่ไม่ปรุงแต่งต่อด้วยกิเลส

รู้...มันก็รู้ไปเรื่อย..นั้นแหละ...มีก็รู้..ไม่มีก็รู้...ไม่มีอะไรอะไรเลยก็รู้...มีอะไรเกิดอีกก็รู้...ดับไปแล้วก็รู้
..ไม่มีอะไรเกิดก็รู้....ไม่มีอะไรดับก็รู้

แม้..ไม่รู้สุขไม่รู้ทุกข์...นั้นก็รู้อีก...ไม่งั้นจะพูดได้งัยว่า...ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว


เหมือนกับผมหรือเปล่า ผมรู้ว่าจิตมีดวงเดียว นอกนั้นเป็นอารมย์ประกอบกับจิต เนื่องด้วยจิตดวงนี้มีอวิชชาอยู่ จึงไม่พ้น เมื่อขาดจากอวิชชา หากยังครองขันธ์อยู่ ก็รู้ตามขันธ์อย่างที่ท่านว่า จนกว่ามันจะแตกสลายไป


ก็ค่อยๆศึกษาสังเกตไปครับ...ก็จะค่อยเห็นประจักษเอง...ที่สำคัญ...รู้แล้ว..สุขสงบมากขึ้น...ทุกข์ดิ้นรนหวั่นไหวน้อยลง...จึงจะถูกครับ...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร