วันเวลาปัจจุบัน 20 ต.ค. 2025, 10:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 07 ต.ค. 2025, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5399


 ข้อมูลส่วนตัว


"คนเราอย่าได้นับประมาท ลาสา
ดูถูกดูแคลน คนที่เขาทำบุญน้อยนิด
เพราะเขาอาจจะแลกด้วยชีวิต
ถึงจะได้เงินนั้นมาทำบุญ
เขาอาจจะได้อานิสงส์มากว่าเรา
ที่มีเงินแสนเงินล้าน อีกก็ได้"

โอวาทธรรม
#ครูบาชัยวงศาพัฒนา
วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน





"ให้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม เชื่อคำสอน
ของพระพุทธเจ้าว่าทำดีย่อมได้ดี มีความสุข

เมื่อทำดีลงไปแล้ว ถึงคนอื่นจะไม่ชม
หรือให้ของตอบแทน แต่ตัวเองก็เห็น
และชมความดีของตน มีความสุขอยู่คนเดียว

ทำชั่ว ได้รับผลชั่วเป็นทุกข์ เมื่อทำชั่วลงไปแล้ว
ถึงคนอื่นจะไม่เห็น และลงโทษก็ตาม ตนเองย่อมรู้
ความชั่วนั้นและเดือดร้อนด้วยตนเองอยู่เสมอ"

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี





"เมื่อเราเจ็บป่วยต้องคิดว่าหายก็เอาตายก็เอา
ถ้าคิดอยากหายอย่างเดียว เป็นทุกข์แน่"

หลวงปู่ชา สุภัทโท





"เมื่อเราเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
เราก็จะต้องทุกข์ทุกครั้งที่สิ่งต่างๆ และคน
ไม่ยอมโคจรรอบตนเอง"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ





“คนเราอย่าได้นับประมาท ลาสา
ดูถูกดูแคลน คนที่เขาทำบุญน้อยนิด
เพราะเขาอาจจะแลกด้วยชีวิต
ถึงจะได้เงินนั้นมาทำบุญ
เขาอาจจะได้อานิสงส์มากกว่าเรา
ที่มีเงินแสนเงินล้าน อีกก็ได้”
...
โอวาทธรรม ครูบาชัยวงศาพัฒนา
วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน






สำคัญที่สติ
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทฺโท)

สติเป็นธรรมอันเอก ที่จะคอยประคอง
องค์สมาธิให้เดินไปในแนวสัมมาปฏิปทา
ข้อนี้หลวงพ่อท่านเน้นไว้หนักหนา ...

“สิ่งที่รักษาสมาธิไว้ได้ คือสตินี้เป็นธรรม
เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง ซึ่งให้ธรรมอันอื่นๆ
ทั้งหลายเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียง สตินี้คือชีวิต
ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เหมือนตาย ถ้าขาดสติ
เมื่อใด ก็เป็นคนประมาท ในระหว่างที่ขาดสติ
นั้น พูดไม่มีความหมาย การกระทำไม่มี
ความหมาย ธรรมคือสตินี้ คือความระลึกได้
ในลักษณะใดก็ตาม สติเป็นเหตุให้สัมปชัญญะ
เกิดขึ้นมาได้ เป็นเหตุให้ปัญญาเกิดขึ้นมาได้
ทุกสิ่งสารพัด ธรรมทั้งหลายถ้าหากว่าขาดสติ
ธรรมทั้งหลายไม่สมบูรณ์ อันนี้คือการควบคุม
การยืน การนั่ง การนอน ไม่ใช่เพียงขณะนั่ง
สมาธิเท่านั้น แต่เมื่อเราออกจากสมาธิไปแล้ว
สติยังเป็นสิ่งประจำใจอยู่เสมอ มีความรู้
อยู่เสมอ เป็นของที่มีอยู่เสมอ ทำอะไรก็
ระมัดระวัง เมื่อระมัดระวังทางจิตใจ ความอาย
ก็เกิดขึ้นมา การพูด การกระทำอันใดที่
ไม่ถูกต้อง เราก็อายขึ้น อายขึ้น เมื่อความอาย
มีกำลังกล้าขึ้นมา ความสังวรก็มากขึ้นด้วย
เมื่อความสังวรมากขึ้น ความประมาทก็ไม่มี
นี่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น
เราจะไปไหนก็ตาม อันนี้มันอยู่ในจิตใจ
ของตัวเองไม่ได้หนีไปไหน นี่ท่านว่าเจริญสติ
ทำให้มาก เจริญให้มาก อันนี้เป็นธรรมะ
คุ้มครองรักษากิจการที่เราทำอยู่ หรือทำ
มาแล้ว หรือกำลังจะกระทำอยู่ในปัจจุบันนี้
เป็นธรรมะที่มีคุณประโยชน์มาก ให้เรารู้ตัว
ทุกเมื่อ ความเห็นผิดชอบมันก็มีอยู่ทุกเมื่อ
เมื่อความเห็นผิดชอบมีอยู่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อ
ความละอายก็เกิดขึ้น จะไม่ทำสิ่งที่ผิดหรือสิ่ง
ที่ไม่ดี เรียกว่าปัญญาเกิดขึ้นแล้ว แม้ในการ
เจริญปัญญา สติในแง่ของการระลึกรู้อยู่ใน
ความไม่แน่ ก็เป็นปัจจัยอันสำคัญอย่างหนึ่ง
ก็ให้รู้ว่า อันนี้มันไม่แน่นอนอย่างนี้
เรื่อยไปเถอะ แล้วปัญญามันจะเกิดหรอก
แต่อย่าไปคิดออกหน้ามันนะ ให้ดูไปเถอะ
ให้มันรู้ ถ้าหากเรารู้มันจะมารายงานเราหรอก
มันก็คล้ายๆ คนเข้าไปในบ้านที่มีหน้าต่างอยู่
๖ ช่อง แล้วก็มีคนๆ เดียวอยู่ในนั้น เราไปดู
หน้าต่าง ก็มีคนโผล่ออกไป ทางโน้นก็มีคน
โผล่ออกไป มันก็ไอ้คนๆ เดียวกันนั่นแหละ
ไม่ใช่คน ๖ คน คนๆ เดียวมันไปโผล่ทั่วถึงกัน
ทั้งหมด ๖ ช่อง คนๆ เดียวก็เรียกว่า อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา เป็นของไม่แน่ไม่นอนทั้งนั้น
นี้เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา จะตัดความสงสัย
ทั้งหลายออกไปได้” ...







"... มรณาตัวนี้ตัวเดียว ทั้งโลกเต็มแผ่นดินนี้มีแต่มรณาทั้งนั้น ..!!
เราก็คนหนึ่ง เราเกิดมาแล้ว มันต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทุกรูปทุกนาม มันเป็กงจักรใหญ่ให้มนุษย์และสัตว์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในโลกอันนี้ ในไตรโลกทั้งสามนี้แหละ ไม่พ้นไปสักที

ตัดอดีตอนาคตเป็นอันเดียวกัน อดีตอนาคตมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ทำดีก็ดี ทำร้ายก็ดี มุ่งอยู่ที่กามตัณหานี่แหละ ความพอใจก็ตัณหา ความไม่พอใจก็ตัณหา ภวตัณหาก็ดี วิภวตัณหาก็ดี ทั้งสามนี้ เหล่านี้ ละให้สิ้น มันเกิดขึ้นในใจ ก็นำออกจากจิตจากใจของตนเสีย

ศีลห้า อยู่ที่ขาสอง แขนสอง หัวหนึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์ทั้ง 5 ปล่อยให้ผ่านไปผ่านมา ดีก็ไม่ว่า ไม่ดีก็ไม่ว่า เรื่องราวเต็มโลก เต็มบ้านเต็มเมือง เราก็วางเสีย ละเสีย ละอยู่ที่กายที่ใจตนนี่แหละ อย่าไปละที่อื่น

การหอบอดีตและอนาคตมาหมักสุมไว้ในใจก็เป็นทุกข์ ตัดออกให้หมด หูของเรา ตาของเรา จมูกของเรา ก็เป็นปกติอยู่แล้ว รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์นนั้นต่างหาก ปล่อยให้เขาผ่านไปผ่านมา อย่าเอาหมักไว้ในใจ

ใจของเราก็ไม่ได้ไปไหน มันก็ตั้งอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว เราก็ตัดอื่น ๆ ที่ผ่านไปผ่านมาออกเสีย ทำใจของเราให้สงบ มันก็ต้องวางหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งอดีตอนาคต

อันใดที่ได้ยินมาพอแล้ว ได้เห็นมา พอแล้ว อยู่ทางโลกก็ดี อยู่คนเดียวก็ดี อันใดก็ดี วางอยู่ที่นี่แหละ ละอยู่ที่นี่แหละ

ความหลงก็พอแล้ว โลภก็พอแล้ว โกรธก็พอแล้ว ความโศก ความเศร้า กิเลส ตัณหา ความพอใจความไม่พอใจ ก็ตัณหาแหละ ละมันเสีย ..."
______________________________
#โอวาทธรรม
#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
(พ.ศ.๒๔๓๐ - ๒๕๒๘)






เราสามารถกำหนดคุณภาพของความสุขด้วยจำนวนเงื่อนไข ดังนั้น
ความสุขมีเงื่อนไขมาก คือ ความสุขคุณภาพต่ำ
ความสุขมีเงื่อนไขน้อย คือ ความสุขคุณภาพดี
ความสุขไม่มีเงื่อนไข คือ ความสุขสูงสุด

ถ้าความสุขของเรามีเงื่อนไขมาก เป็นไปไม่ได้ที่เราจะควบคุมเงื่อนไขทั้งหมดเหล่านั้นได้ ฉะนั้นความสุขระดับนี้จึงเปราะบางมาก ไว้ใจไม่ได้ อย่างเช่น ความสุขที่อาศัยความมีสุขภาพดี หรือความสุขที่อาศัยคนอื่นเอาใจเรา ความสุขที่อาศัยการไม่พบสิ่งที่ไม่ชอบ

เมื่อเราฝึกจิตให้มีสติ ให้อดทน ให้มีปัญญารู้เท่าทัน เราจะได้ความสุขง่ายขึ้น และเงื่อนไขที่ระงับความสุขนั้นน้อยลงไปเรื่อยๆ ความสุขจึงมั่นคง และไว้ใจได้มากขึ้น
เมื่อจิตได้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายทั้งปวงแล้ว กิเลส อารมณ์เศร้าหมองหมดแล้ว ความสุขกลายเป็นสภาพปกติของจิตใจ เรียกว่า บรมสุข

พระอาจารย์ชยสาโร







เบื่อของคน กับเบื่อของพระพุทธเจ้า
นี่มันต่างกัน เบื่อของคนเรานี่บางที
ก็ไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากพูดกับมัน
ไม่อยากอะไรกับมันทุกเรื่องน่ะ
เบื่อเพราะกิเลสมันมาก

เบื่อของพระศาสดานี่ ท่านเอือมระอาว่า
อะไรมันก็เท่านั้นแหละ อะไรมันก็เท่านั้นแหละ
เบื่อแล้วก็วาง เบื่อแล้วก็วาง
เบื่อด้วยความสงบ ...
...
หลวงพ่อชา สุภัทโท





ผู้ใดเคยสร้างบุญสร้างกุศล
มากับข้า เคยเป็นศิษย์-เป็นอาจารย์
เป็นลูก-เป็นหลาน สร้างบุญกุศลมากับข้า
แม้ในชาตินี้ไม่ได้พบสังขารธรรมของข้า
แต่พบเห็นหลักธรรมคำสั่งสอนของข้า
แล้วเกิดศรัทธา ผู้คนนั้นแหละ
เคยสร้างบุญ-สร้างกุศลมากับข้า
เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์
เป็นลูก-เป็นหลานของข้า

ข อ ใ ห้ ตั้ ง ใ จ ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม
ภาวนาไตรสรณคมณ์
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

เวลาเหลืออีกไม่มากแล้วให้รีบพากันปฏิบัติ เพื่อจะได้ไว้เป็นที่พึ่งในภายหน้า
ข้าจะคอยช่วยหากศรัทธาข้าจริง นับถือข้าจริง
..แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก..
>>ข้ า อ ยู่ ใ ก ล้ ๆ แ ก จำ ไ ว้<<

คำสอน หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร