วันเวลาปัจจุบัน 20 ต.ค. 2025, 10:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 15 ต.ค. 2025, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5399


 ข้อมูลส่วนตัว


#จะอธิบายเรื่องอานิสงส์ของการทอดกฐิน

ทำไมจึงได้อานิสงส์มาก ได้บุญมากเสียเหลือเกิน คนที่ทำบุญทอดกฐินนี้

การทานผ้าผ่อนท่อนสไบ เครื่องนุ่งห่ม เปลี่ยนผ้าให้แก่พระภิกษุนั้น อานิสงส์ที่จะได้ เกิดชาติใดภพใดย่อมได้มีร่างกายสวยงามหนึ่ง และได้ผ้าผ่อนท่อนสไบเครื่องนุ่งห่มไม่อดไม่อยาก

ทีนี้ถ้าเราทานบาตร ถ้าหากเราทำใหญ่ เกิดชาติใดภพใดจะเหมือนได้หม้อข้าวทิพย์ มีอาหารการกินบริบูรณ์ ไม่อดไม่อยากเหมือนกัน

นี่พูดถึงการที่เราทำเหมือนกับการบวชพระภิกษุองค์หนึ่ง

บุคคลใดพากันบริจาคทานมีดโกนและหินลับมีดโกน บุคคลนั้นจะได้สติปัญญาแก่กล้า เฉลียวฉลาดแหลมคม ถ้ามีดโกนนั้นปลงผมให้หมดจดสะอาด สติปัญญานั้นเองจะกำจัดกิเลสให้หมดให้สิ้นจากดวงใจนั้นในทางที่สุด ได้รับอานิสงส์

บุคคลทานด้ายทานเข็ม ก็เช่นกันจะเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมแทงทะลุปรุโปร่งเข้าไปในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอานิสงส์

บัดนี้ บุคคลจะทานเตียงนอนหรือหมอนมุ้งก็ดี เป็นที่อยู่ที่นอน ก็เรียกว่าให้ได้ที่พักพาอาศัย ที่อยู่ที่นอนเสื่อสาดอาสนะนั้น สะดวกสบาย ไปอยู่ที่ไหน เกิดชาติใดภพใดก็ดีก็ย่อมได้อานิสงส์สิ่งนั้น

บุคคลพากันทานเรื่องอาหารการกิน เกิดชาติใดภพใดก็จะได้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และมีอาหารการกินสมบูรณ์ ไปเกิดอยู่ประเทศไหน แห่งหนตำบลใด ไม่อดไม่อยาก ไม่เขียม อาหารการกิน สมบูรณ์ ไม่ทุกข์ยาก

เหมือนอย่างบางประเทศที่เขาไม่ได้ทำบุญ เขาอดเขาอยากยากแค้นเหมือนอย่างที่เราพูดกันอยู่ ไม่ไปเกิดในสถานที่อย่างนั้น คนทำบุญเรื่องบริจาคทานอาหารการกินถวาย

บุคคลทานยารักษาโรคภัยไข้เจ็บมาร่วมกฐิน เกิดชาติใดภพใดจะเป็นผู้ที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนร่างกายตั้งแต่เล็ก จนถึงหนุ่มสาว จนถึงเฒ่าแก่ ไม่ได้ไปโรงพยาบาลสักที ร่างกายจะมีพลานามัยสมบูรณ์อยู่ตลอด เป็นอานิสงส์ของผลบุญ

บุคคลทานธูปทานเทียน ดอกไม้ก็ดีมาร่วมงานกฐิน เกิดชาติใดภพใดจะได้ดวงตาแจ่มใส หรือไฟฟ้าไฟฉายก็ตามแต่มาร่วมงานนั้น ก็เหมือนอย่างเดียวกัน จะทำให้ดวงตาสว่างไสว ตาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เป็นอานิสงส์ของผลบุญ

บุคคลที่ทานจอบทานเสียมก็ดี เป็นเครื่องพัฒนาสิ่งของต่าง ๆ ก็ทำให้เรามีพื้นที่ มีสวนลำไย มีสวนลิ้นจี่ สวนอะไร​ หรือทำถนนหนทางด้วยจอบด้วยเสียมให้คนเดินไปมาอย่างสะดวกสบาย บุคคลนั้นก็จะได้อานิสงส์ เดินไปไหนก็ได้ทางเดินสะดวกสบาย สะอาดสะอ้านเป็นอานิสงส์ผลบุญ

บัดนี้บุคคลจะทานพระพุทธรูป มาร่วมในงานกฐิน บริจาคพระพุทธรูปเป็นองค์แทนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาไปตั้งไว้ที่ไหนให้คนสักการะกราบไหว้บูชา จะนำมาเป็นพลานิสงส์แก่บุคคลผู้บริจาคทานนั้น เกิดชาติใดภพใดจะเป็นคนรูปสวยสดงดงาม เป็นอานิสงส์ผลบุญอย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งนั้นจะเป็นคนที่ชักชวนบุคคลอื่นให้เข้าใกล้พระพุทธศาสนา เพราะเราเอาพระพุทธรูปไปตั้งไว้บนศาลาหรือบนวิหารโบสถ์ก็ดี บุคคลทั้งหลายมาจากจาตุรทิศทั้งสี่ เมื่อมามองเห็นแล้วว่าพระพุทธรูปสวยสดงดงาม น่ากราบไหว้น่าบูชา เขาก็พากันมาดอกไม้มาบูชา พากันมากราบมาไหว้ เขาก็ย่อมได้บุญได้กุศล เพราะตนเองนั้นบริจาคทานพระพุทธรูปเอาไว้ นี่ก็ชักจูงคนอื่นให้เข้าทำคุณงามความดีเข้าใกล้พระพุทธศาสนา อานิสงส์อีกข้อหนึ่งก็ดี เกิดชาติใดภพใดจะได้พบพระพุทธศาสนา ได้พากันทำคุณงามความดีสืบต่อไป เป็นอานิสงส์ผลบุญผู้บริจาคทานพระพุทธรูป

หากบุคคลทานพัดลมเครื่องพัดวีก็ดี เกิดชาติใดภพใดไปอยู่ที่ไหนก็ย่อมได้รับความร่มเย็นเป็นสุข มีพัดมีวี อยู่สถานที่สบายไม่ร้อน​ เพราะเป็นสิ่งที่คลายร้อน

บุคคลทานน้ำบริจาคน้ำเอาไว้เป็นน้ำดื่มก็ดี น้ำอาบน้ำใช้ก็ดี เกิดชาติใดภพใด ก็จะมีน้ำใช้น้ำอาบสะดวกสบาย ไปเกิดในสถานที่มีน้ำอย่างสมบูรณ์ จะไปบ้านใดเมืองใดเราหิวน้ำ ย่อมมีคนเอาน้ำมาต้อนรับเวลาเราไป เราไม่ต้องเรียกดื่ม เขาจะเอามาต้อนรับ เพราะด้วยอานิสงส์ผู้บริจาคทานเอาไว้

บุคคลใดให้นั่งล้อนั่งเกวียนก็ดี นั่งรถนั่งเรือก็ดี เกิดชาติใดภพใดจะมีรถมีเรือนั่งไปสะดวกสบาย เป็นอานิสงส์ผลบุญ ถ้าหากไปเกิดอยู่บนสวรรค์ อยู่ในหอปราสาทราชมณเฑียรก็ดี บุคคลนั้นจะมียานทิพย์ลอยไปที่โน่นที่นี่ต้อนรับตั้งแต่เริ่มบุคคลนั่นล่วงลับดับกายไป ก็จะมียานทิพย์มาคอยลงมารับวิญญาณของบุคคลนั้นขึ้นไปสู่สุคติ อันนั้นเรียกว่าทานยานพาหนะ

ทีนี้บุคคลจะทานอะไรไว้บ้าง มีหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าอาหารการกินก็รวมหมดแล้ว พริกเขือเกลือปลาร้าอะไร กระเทียมอะไร ผักกาดอะไร เครื่องอาหารทั้งหลาย รวมหมด ก็ย่อมได้อานิสงส์ ดังที่กล่าวมาให้ ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มีอาหารการกินสมบูรณ์

องค์กฐินมีบริวารหลายสิ่งหลายอย่าง ใครจะทานผ้าผืนเล็กผืนน้อย ผ้าเช็ดหน้าก็แล้วแต่ เอาหมอนมาร่วมก็แล้วแต่ ใครจะเอาอะไร เอาสมุดดินสออะไร หนังสือธรรมะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เช่น สมุดดินสอ หนังสือธรรมะ ก็ให้อานิสงส์ เกิดชาติใดภพใด เราบริจาคเอาไว้ จะเป็นคนรู้จักเรียนรู้หนังสือและเขียนหนังสือได้

คนทานหนังสือธรรมะ บริจาคทาน เกิดชาติใดภพใด เป็นคนมีสติปัญญาว่องไว เฉลียวฉลาด เพราะคนอื่นเขาอ่านแล้วเขาก็ย่อมมีปัญญาเกิดขึ้น ก็สามารถจะทำตนเองให้พ้นจากกองทุกข์ได้ด้วยสติปัญญาของตน เหมือนกับพระสารีบุตรท่านได้ทานพระไตรปิฎกเอาไว้ตั้งแต่ชาติอดีตที่ผ่านมา เมื่อสมัยพุทธกาลจึงเป็นผู้มีปัญญา รององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อานิสงส์

บัดนี้ บางคนก็ทานปัจจัยเงินทอง เรียกว่าเงินบริจาค ร่วมกันในการทำกฐิน จะทำมากทำน้อยก็แล้วแต่ เราก็ทำได้ เราอย่าไปคิดว่าเราทำน้อยเราไม่ทำ เราจะทำ ๒๕ สตางค์ ๕๐ สตางค์ บาทนึง สองบาท ตามกำลังของตน ถ้าเราไม่มี เรามีสิ่งอื่นเราก็ทำสิ่งอื่น เราทำบุญนั้น อย่าไปรังเกียจกองบุญของตนเอง ไม่ต้องไปละอายคนอื่น เรามีน้อยเราก็ทำไปตามน้อย เราก็ย่อมได้อานิสงส์ไปตามกำลังของตนที่ทำ เรียกว่ามีความพอใจที่จะทำ นี่เรียกว่าเราสร้างความดี

โอวาท​ธรรม​
#หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

เมื่อวันศุกร์ที่​ ๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๓





ไม่ใช่พระพรหมลิขิต
มาขีดให้เราดีบ้าง ชั่วบ้าง
แต่การกระทำของเราขีดตัวเราเอง
ขีดดีก็ได้ดี ขีดชั่วก็ได้ชั่ว.

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร






#ทุกสิ่งทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
แม้แต่อากาศ แสงแดด
#สายน้ำก็เหมือนกัน

#โอวาทธรรม พระราชวัชรธรรมโสภณ
( หลวงปู่มหาศิลา สิริจันโท )






.

#จงกำจัดความเลวออกจากจิต

อันดับแรก ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
จงกำจัดพาล คือ ความเลวของจิตของเราเอง

คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรมันเป็นเรื่องของเขา ถ้าเราไปสนใจในจริยาของบุคคลอื่น เราก็เลยลืมตัวเอง

การสนใจในจริยาของบุคคลอื่นว่าคนนั้นดี คนนี้เลว อย่างนี้พระพุทธเจ้าถือว่าใจเข้าไปถึง "อุปกิเลส" เข้าไปใกล้กิเลสคือความเลว สร้างความเลวของเราให้เกิดขึ้น ให้มันมีมากยิ่งขึ้น

"จงอย่าสนใจในจริยาของบุคคลอื่น"
ใครเขาอยากจะไปอบายภูมิเชิญเขาไปแต่ผู้เดียว
ถ้าเราไปสนใจเขาด้วย
เราน่ะไปด้วยคือจิตใจเศร้าหมอง
ฉะนั้น อันดับแรก ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท
"จงกำจัดความเลวออกจากจิต"

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
____________
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔๑๘ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๙ หน้า ๗๙






"...ที่ว่าจิตหยุดได้นั้น ก็คือมันหยุดในความรู้สึก
ไม่คิดแล่นไปทั่ว เช่นว่า เรามีมีดเล่มหนึ่งที่เราลับ
ไว้ดีแล้ว แล้วมัวแต่ฟันหินฟันอิฐฟันหญ้าไปทั่ว
ถ้าเราฟันไม่เลือกอย่างนี้ มีดของเราก็จะหมด
ความคม เราจึงต้องฟันแต่สิ่งที่จะเกิดประโยชน์
จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราปล่อยให้จิตแล่นไปในสิ่ง
ที่ไม่เป็นสาระประโยชน์ ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร
จิตนั้นจะไม่มีกำลัง ไม่ได้พักผ่อน ถ้าจิตไม่มีกำลัง
ปัญญามันก็ไม่เกิด จิตไม่มีกำลังคือจิตที่ไม่มีสมาธิ
เลย

ถ้าจิตไม่ได้หยุด จะเห็นอารมณ์นั้นไม่ได้ชัดเจน
ถ้าเรารู้จักว่าจิตนี้เป็นจิต อารมณ์เป็นอารมณ์
นี่คือหัวข้อแรกที่จะตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นมาได้
นี่คือตัวศาสนา เราบำรุงให้จิตนี้เกิดขึ้น เป็นลักษณะ
ของการปฏิบัติให้เป็นสมถะ ให้เป็นวิปัสสนา รวมกัน
เข้าเป็นสมถวิปัสสนา เป็นข้อปฏิบัติมาบำรุงจิตใจ
ให้มีศีล มีธรรม ให้จิตได้หยุด ให้จิตได้เกิดปัญญา
ให้รู้เท่าตามความเป็นจริงของมัน..."

#ที่มา หนังสือ ๔๘ พระธรรมเทศนา
พระโพธิญาณเถร ( หลวงพ่อชา สุภทฺโท )
........................................................................







“ ขอให้ทำความดี ต่อพระศาสนา ต่อโลก ต่อตนเอง
ความดีนั้นทำไปโลดเด้อ แม่นไผบ่เห็น กะทำไปโลด
ยิ่งทำความดี ยิ่งดี ยิ่งขลัง “

โอวาทธรรมหลวงปู่ศิลา สิริจันโท
ถอดจากรายการ คุยเฟื่องเรื่องพระ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร