วันเวลาปัจจุบัน 20 ต.ค. 2025, 10:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2025, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8607


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20251016_145355_Google.jpg
Screenshot_20251016_145355_Google.jpg [ 107.47 KiB | เปิดดู 618 ครั้ง ]
โพชฌงค์รักษาโรคได้อย่างไร
โรคภัยไข้เจ็บเป็นคำที่มนุษย์ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเองและกับคนรอบข้าง แต่ทุกคนไม่สามารถ
หลีกเลี่ยงได้ โรคที่กล่าวถึงได้แบ่งออกทั้งโรคทางกายและจิตใจซึ่งทั้ง 2 โรคนี้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ล้วนแล้วมี
ความสัมพันธ์กันทั้งสิ้น ในยุคโลกาภิวัตน์ที่ความเจริญทางด้านวัตถุและมีความแข่งขันสูงในทุกๆด้าน จึงผลกระทบต่อ
สุขภาพตามมา เช่น ภาวะเครียด ความวิตกกังวล ความเบื่อหน่าย ความท้อแท้ ความคับข้องใจ เป็นต้น ทำให้สุขภาพ
กาย และสุขภาพจิตอ่อนแอ ทรุดโทรมหรือแปรปรวนจนเกิดเป็นโรคต่างๆ ได้ง่าย เมื่อเกิดความเจ็บป่วยมนุษย์ที่คนย่อม
แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองเพื่อให้ร่างกายสมดุลที่สุด และมีสุขภาวะที่ดี สามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างเป็น
ปกติสุข เมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บการรักษาโรคด้วยโพชฌงค์จะสามารถเยียวยาและหลุดพ้นความเจ็บป่วยได้
โพชฌงค์ คืออะไร?
คำว่า “โพชฌงค์” ประกอบด้วยคำว่า โพธิ ซึ่งหมายถึงปัญญาอันเป็นเครื่องตรัสรู้ หรือพระอริยบุคคลผู้บรรลุ
ธรรมแล้ว และคำว่า องฺค หมายถึง ปัจจัยที่เป็นเหตุ
โพชฌงคปริตร เป็นปริตรที่โบราณาจารย์นำเอาโพชฌงคสูตรทั้ง 3 สูตร คือ มหากัสสปโพชฌงคสูตร มหา
โมคคัลลานโพชฌงคสูตร มหาจุนทะโพชฌงคสูตร มาประพันธ์เป็นคาถา เรียกว่าโพชฌงคปริตร โดยน้อมเป็นสัจกิริยา
เพื่อให้ปราศจาคจากโรคภัยไข้เจ็บ
โพชฌงค์ หมายถึง ธรรมที่เป็นองค์ของผู้ตรัสรู้หรือเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ คำว่า โพชฌงค์นี้บางครั้งเรียกว่า
สัมโพชฌงค์ คำว่า สัม หมายถึง เต็มบริบูรณ์ ถูกต้อง หรือแทบ
มิได้มีความหมายใดเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ
โพชฌงค์ ประกอบด้วยธรรม 7 ประการ
1. สติ(Mindfulness) ความระลึกได้ หมายความสามารถทวนระลึกนึกถึงหรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่ข้องหรือต้อง
ใช้ต้องทำในเวลานั้น ในโพชฌงค์นี้ สติมีความหมายคุมตั้งแต่การมีสติกำกับตัว ใจอยู่กับสิ่งที่กำลังกำหนดพิจารณา
เฉพาะหน้า จนถึงหวนระลึกรวบรวมเอาธรรมที่ได้สดับเล่าเรียนมา หรือสิ่งที่จะพึงเกี่ยวข้องต้องใช้ต้องทำมานำเสนอต่อ
ปัญญาที่ตรวจตรองพิจารณา
2. ธรรมวิจัย (Truth Investigation) ความเฟ้นธรรม หมายถึง การใช้ปัญญาสอบสวนพิจารณาสิ่งที่สติ
กำหนดไว้ หรือธรรมที่สติระลึกรวมมานำเสนอนั้น ตามสภาวะ เช่น ไตร่ตรองให้เข้าใจความหมาย จับสาระของสิ่งที่
กำลังพิจารณานั้นได้ตรวจตราเลือกเฟ้นเอาธรรม หรือสิ่งที่เกื้อกูลแก่ชีวิตจิตใจ หรือสิ่งที่ใช้ได้เหมาะที่สุดในกรณีนั้นๆ
หรือมองเห็นอาการที่สิ่งพิจารณานั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เข้าใจตามสภาวะที่เป็นไตรลักษณ์ ตลอดจนปัญญาที่มองเห็น
อริยสัจจ์
3. วิริยะ (Effort, Energy) ความเพียร หมายถึง ความแกล้วกล้า เข้มแข็งกระตือรือร้นในธรรม หรือในสิ่งที่
ปัญญาเห็นได้ อาจหาญในความดี มีกำลังใจ สู้กิจ บากบั่น รุดไปข้างหน้า ยกจิตไว้ได้ ไม่ให้หดหู่ หรือท้อทอย หรือท้อแท้
4. ปิติ(Zest) ความอิ่มใจ หมายถึงความเอิบอิ่ม ปลาบปลื้ม ปรีย์เปรม ดื่มด่ำ ซาบซึ้ง แช่มชื่น ซาบซ่าน ฟูใจ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2025, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8607


 ข้อมูลส่วนตัว


5. ปัสสัทธิ(Tranquility, Calmness) ความสงบกายใจ หมายถึงความผ่อนคลายกายใจ สงบระงับ เรียบ
เย็น ไม่เครียด ไม่กระสับกระส่าย เบาสบาย
6. สมาธิ(Concentration) มีใจตั้งมั่น หมายถึง ความมีอารมณ์หนึ่งเดียว จิตแนวแน่ต่อสิ่งที่กำหนด ทรงตัว
สม่ าเสมอ เดินเรียบอยู่กับกิจ ไม่วอกแวก ไม่ส่าย ไม่ฟุ้งซ่าน
7. อุเบกขา (Equanimity) ความว่างที่เฉยดู หมายถึง ความมีใจเป็นกลาง สามารถวางที่เฉยเรียบ นิ่งดูไป ไม่
เบื่อ จิตแนวแน่อยู่กับงาน และสิ่งต่างๆดำเนินไปด้วยดีตามแนวทางที่จัดวางไว้ หรือที่มันควรจะเป็น ไม่แทรกแซง
โพชฌงค์เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคอย่างไร?
หลักโพชฌงค์เป็นหลักปฏิบัติทั่วไป ไม่เฉพาะสำหรับผู้ป่วยเท่านั้น ถ้าวิเคราะห์ดูความหมายของศัพท์ก็จะ
เห็นว่า "โพชฌงค์" มาจากคำว่า โพชฺฌ กับ องฺค หรือ โพธิกับ องค์จึงแปลว่า องค์แห่งการตรัสรู้ พูดตามศัพท์ก็คือ องค์
แห่งโพธิ (ญาณ) นั่นเอง หมายถึงองค์ประกอบ หรือหลักธรรมที่เป็นเครื่องประกอบของการตรัสรู้ หรือองค์ประกอบแห่ง
โพธิญาณ แสดงว่าหลักธรรมนี้สำคัญมาก เพราะเป็นธรรมที่จะช่วยให้เกิดการตรัสรู้ การตรัสรู้นั้นเป็นเรื่องของปัญญา
คือ ความรู้ความเข้าใจขั้นที่จะทำให้การตรัสรู้นี้มีความหมายลึกซึ้ง
โพชฌงค์ คือธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ทั้งหมดนำมาซึ่งคุณอันวิเศษ เมื่อพัฒนาเต็มที่จะมีอำนาจในการทำ
ที่สุดแห่งทุกข์ในสังสารวัฏให้สิ้นไป นี่คือ คำกล่าวที่มีในพระไตรปิฎก ในที่นี้หมายความว่า วัฎจักรของการเกิดและการ
ตายในเหล่าสัตว์ซึ่งประกอบด้วยสภาวธรรมของรูปและนามถึงความสิ้นสุดโดยสิ้นเชิง เมื่อโพชฌงค์เจริญเต็มที่แล้วจะนำ
ผู้ปฏิบัติเข้าสู่พระนิพพาน ในที่นี้โพชฌงค์มีอุปการะแก่ความเข้มแข็งของจิตที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิต
นอกจากนี้ยังช่วยรักษาโรคร้ายทางร่างกายและจิตใจได้ด้วย ทั้งนี้มิได้รับประกันว่าหากผู้ปฏิบัติเจริญ
กรรมฐานแล้วจะหายจากโรคทุกโรค แต่ก็เป็นไปได้ว่าการเจริญโพชฌงค์สามารถทำให้อาการป่วยทุเลาลงแม้แต่โรคที่ไม่
อาจรักษาให้หายได้ โรคที่เมื่อบุคคลเจริญโพชฌงค์ด้วยการปฏิบัติแล้วสามารถท าให้อาการป่วยทุเลาลง
1. ผลการเจริญโพชฌงค์ส่งผลต่อร่างกาย
โพชฌงค์ทั้ง 7 มีผลต่อร่างกายเช่นเดียวกับจิตใจ เพราะกายกับจิตเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด เมื่อจิตมีความ
บริสุทธิ์โดยมีโพชฌงค์ประคับประคองอยู่ ระบบการหมุนเวียนโลหิตจะท างานได้ดีขึ้น เม็ดเลือดที่สร้างขึ้นใหม่จะมีความ
บริสุทธิ์และจะแทรกซึมไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้อวัยวะสะอาดร่างกายมีความคล่องแคล่ว ความสามารถใน
การรับรู้สูงขึ้น ผิวพรรณผ่องใส ผู้ปฏิบัติบางคนอาจรู้สึกว่ามีแสงออกจากร่างกายของตนเองจนทำให้สว่างไสวเวลา
กลางคืน จิตก็เช่นกันจะแจ่มใสมีศรัทธาเข้มแข็งเช่นเดียวกับสัทธาสัมปทาที่เกิดจากประสบการณ์โดยตรงของผู้ปฏิบัติ
จิตจะเบาและคล่องแคล่วเช่นเดียวกับร่างกายที่บางครั้งรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ บ่อยครั้งที่ร่างกายหายไปและ
ผู้ปฏิบัติสามารถนั่งได้นานๆ โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด
พลังของโพชฌงค์จะส่งผลต่อความเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น วัณโรค โรคความดันโลหิตสูง โรคลำไส้ขด โรคทางเดิน
ปัสสาวะ โรคหัวใจ มะเร็ง และอื่น ๆ โดยเฉพาะในการปฏิบัติในระดับลึกซึ้ง แต่ผลเหล่านี้ไม่อาจเป็นที่รับประกันได้
หากผู้ปฏิบัติเข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ ในการกำหนดสติที่อาการเจ็บปวดที่เกิดจากความเจ็บป่วย หรืออาการบาดเจ็บใน
อดีต ผู้ปฏิบัติอาจพบการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์จากอาการเหล่านี้ ความพยายามอย่างไม่ลดละทำให้อะไรๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2025, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8607


 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดขึ้นได้ การเจริญสติปัฏฐาน หรือการเจริญโพชฌงค์ อาจให้ผลดีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกับผู้ป่วยเป็นมะเร็ง มะเร็ง
เป็นโรคร้ายที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่ร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัส ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานกรรมฐานได้ก้าวหน้า
สามารถทำอาการให้ทุเลาลงโดยการกำหนดสติที่ความเจ็บปวด ไม่ว่าจะรุนแรงเพียงใด ผู้ปฏิบัติจะสามารถตายได้
อย่างสงบ มีสติอย่างสมบูรณ์ กำหนดรู้ความเจ็บปวดอย่างเต็มที่ สมบูรณ์ และแม่นยำ ความตายเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีและ
ประเสริฐ
พ.ญ.รุจิราเป็นอีกท่านหนึ่งที่รับรองเรื่องการรักษาโรคมะเร็ง โดยได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “โพชฌงค์ องค์
ธรรมแห่งการตรัสรู้ พุทธวิธีเสริมสุขภาพและดูแลสุขภาพตนเองแบบองค์รวม ธรรมะประยุกต์ส าหรับผู้ป่วย
โรคมะเร็ง” โดยได้เสนอสิ่งที่เรียกว่ายาชุดโพชฌงค์ (Treatment Protocol) ว่าประกอบไปด้วย
- ยาชุดแรก คือ สติธรรมวิจัย สมาธิต้องให้ก่อน และให้ทันทีในช่วงแรกของการเจ็บป่วย
- ยาชุดที่ 2 คือ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิต้องให้ตามมา เป็นตัวเสริม และบางส่วนจะเป็นผลจากการออกฤทธิ์ของ
ยาชุดแรก
- ยาชุดที่ 3 คือ อุเบกขา เป็นตัวสุดท้ายที่ผู้ป่วยจะได้รับหากผลหากผลจากยา 6 ตัวแรกท างานได้ด้วยดี
2. โพชฌงค์ช่วยขจัดความป่วยทางจิต
โรคทางจิตคือโรคที่เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยา ความตระหนี่ ความท้อถอย เป็น
ต้น เมื่ออาการเหล่านี้ปรากฏขึ้นก็จะท าให้จิตใจไม่แจ่มใส คลุมเครือ ภาวะจิตเช่นนี้เป็นเหตุให้ร่างกายทรุดโทรม
ผิวพรรณกลับหมองคล้ำ เมื่อจิตใจถูกครอบงำด้วยพลังในทางลบ เรากลายเป็นคนน่าเบื่อ ไม่มีความสุข และสุขภาพทรุด
โทรมคล้ายกับการหายใจเอาอากาศที่มีสารพิษเข้าไป ในทางตรงข้าม หากผู้ปฏิบัติพยายามอย่างแข็งขันในการเจริญสติ
กำหนดรู้อารมณ์ให้คมชัดอยู่ทุกขณะ เป็นธรรมชาติอยู่เองที่จิตก็จะเกาะอยู่กับอารมณ์นั้นโดยไม่ฟุ้งซ่านหรือซัดส่าย
สมาธิหรือความตั้งมั่นของจิตจะปรากฏขึ้น จากนั้นจิตจะสะอาดปราศจากนิวรณ์หรืออคติใด ๆ และแล้วปัญญาก็จะเริ่ม
เบ่งบาน เมื่อสภาวญาณเกิดขึ้นจิตจะบริสุทธิ์มากขึ้นราวกับได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์อีกครั้ง หลังจากที่กลับจากเมือง
ใหญ่ที่มีความพลุกพล่านสติ วิริยะวิจยะ ก่อให้เกิดสมาธิและสภาวญาณตามลำดับ การเกิดสภาวญาณแต่ละขั้น
เปรียบเสมือนการได้รับอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกาย สภาวญาณที่ประจักษ์การเกิดดับของสภาวธรรมเป็นการเริ่มต้น
ของการปฏิบัติที่ดีและลึกซึ้ง อุเบกขาสัมโพชฌงค์ทำให้จิตมีความมั่นคงและสติมีความลึกซึ้งมากขึ้น การเกิดดับของ
อารมณ์มีความแจ่มชัด และผู้ปฏิบัติหมดความสงสัยในสภาวธรรมที่สามารถสัมผัสได้โดยตรง พลังปัญญาที่แรงกล้าขึ้น
โดยฉับพลันนี้อาจทำให้รู้สึกว่าการปฏิบัติไม่ต้องใช้ความพยายามมากผู้ปฏิบัติอาจเข้าใจว่าไม่มีตัวตนหรือแม้แต่ผู้ที่ออก
แรงพยายาม ปีติและความอิ่มใจเกิดเมื่อผู้ปฏิบัติ ประจักษ์ความบริสุทธิ์ของจิตด้วยตนเองรวมทั้งความลี้ลับของสัจ
จธรรมที่เผยออกขณะต่อขณะความสุขที่เปี่ยมล้นตามมาด้วยความสงบนิ่ง และจิตที่ปราศจากความสงสัยและวิตกกังวล
ในช่วงของความสงบนี้ จิตสามารถจะมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สมาธิยิ่งมั่นคงเมื่อปราศจากสิ่งรบกวน ในการปฏิบัติที่
ลึกซึ้งนี้ แม้ว่าปีติและความสุขที่ลึกซึ้งยังคงอยู่ ผู้ปฏิบัติจะมีสภาวะจิตที่เป็นกลางอย่างแท้จริง ไม่ถูกพัดพาไปตามกระแส
ของกามคุณอารมณ์ นอกจากนี้อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจก็ไม่รบกวนจิต ผู้ปฏิบัติจะไม่รู้สึกรังเกียจความเจ็บปวดหรือโหยหา
สิ่งที่น่าพอใจใดๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2025, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8607


 ข้อมูลส่วนตัว


โพชฌงค์ คือ องค์ประกอบ 7 ประการที่นำไปสู่ดวงปัญญาระดับสูง เช่น คำ ว่า สติ จากคำว่า สติปัฐฐาน เกิด
จากการภาวนาและการปฏิบัติ สติปัฐฐาน 4 ประการ จะนำไปสุ่การพัฒนาจิตระดับสุงของเหตุและผลเชิงธรรมมะ เช่น
การหยั่งรู้ในธรรมคำสั่งสอนอย่างลึกซึ้ง (ธรรมวิจัยยะ) ความเอิบอิ่มจิตใจในธรรม (ปีติ) ความเยือกเย็นของจิตใจที่
เหนือกว่าปิติ ความเข้มแข็งและหนักแน่นของจิตในการปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้น (วิริยะ) รวมทั้งความนิ่งและเยือกเย็นของ
จิตที่เกิดจากหรือต่อเนื่องจากองค์ประกอบเบื้องต้น เป็นต้น การปฏิบัติดังกล่าวจะนำเข้าไปสู่การพัฒนาจิตให้เข้าถึง
มรรคผลนิพพานต่อไป แต่หากยังมีกิเลสอยู่ก็สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิต จากการมีสติสัมปชัญญะ การเข้าใจถึงปัญหา
อย่างชัดเจน การมีวิริยะ ไม่ท้อถอย เนื่องจากมีจิตใจสงบ เยือกเย็นและหยุดนี่งและจะทำให้เกิดสติปัญญาโดยธรรมชาติ
เช่นเดียวกับน้ำนิ่งทำให้ตกตะกอนและมองเห็น ทุกอย่าง จิตที่หยุดนิ่งตามขั้นตอนข้างต้นจะทำให้เกิดดวงปัญญา
แก้ปัญหาชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
สติปัฏฐาน 4 (ที่ตั้งของสติ, การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามที่สิ่งนั้นๆ
มันเป็นของมันเอง - foundations of mindfulness)
1. กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณากายให้รู้เห็นตามเป็นจริง ว่า เป็นเพียงกาย ไม่ใช่สัตว์
บุคคลตัวตนเราเขา - contemplation of the body; mindfulness as regards the body) ท่านจำแนกปฏิบัติไว้
หลายอย่าง คือ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ 1 อิริยาบถ กำหนดรู้ทันอิริยาบถ 1 สัมปชัญญะ สร้างสัมปชัญญะใน
การกระทำความเคลื่อนไหว้ทุกอย่าง 1 ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาส่วนประกอบอันไม่สะอาดทั้งหลายที่ประชุมเข้าเป็น
ร่างกายนี้ 1 ธาตุมนสิการ พิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักว่าเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ 1 นวสีวถิกา พิจารณาซากศพใน
สภาพต่างๆ อันแปลกกันไปใน 9 ระยะเวลา ให้เห็นคติธรรมดาของร่างกาย ของผู้อื่นเช่นใด ของตนก็จักเป็นเช่นนั้น
2. เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา - contemplation of feelings; mindfulness as regards feelings) คือ มีสติรู้ชัด
เวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆ ก็ดี ทั้งที่เป็นสามิส และเป็นนิรามิสตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ
3. จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์
บุคคลตัวตนเราเขา - contemplation of mind; mindfulness as regards thoughts) คือ มีสติรู้ชัดจิตของตนที่มี
ราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไรๆ
ตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ
4. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่
สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา - contemplation of mind-objects; mindfulness as regards ideas) คือ มีสติรู้ชัดธรรม
ทั้งหลาย ได้แก่ นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค์ 7 อริยสัจ 4 ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้น
เจริญบริบูรณ์ และดับไปได้อย่างไร เป็นต้น
3. ผลของการสวดโพชฌงค์ในทางวิทยาศาสตร์
โพชฌงค์ 7 จึงล้วนเป็นธรรมเหล่าใดที่บุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมยังให้เกิด วิชชา และ วิมุตติ ให้
บริบูรณ์หรือถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์นั่นเอง
ทั้งนี้ เมื่อ เรา สามารถปฎิบัติ จนเข้าถึง วิชชา และวิมุตติ ได้นั้น แสดงว่า ผู้นั้นปราศจาก ซึ่ง กิเลส และตันหา
และหลุดพ้น ซึ่งตนเอง ดับความเป็น กู ได้ เมื่อนั้น จิตเราจะส่งผลต่อกาย โดย เราสามารถควบคุม กระบวนการต่างๆ ที่
ดำเนินภายในร่างกายได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2025, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8607


 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากนี้ในทางวิทยาศาสตร์ยังพบว่าเมื่อร่างกายเกิดการเจ็บป่วย ระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายก็จะเสีย
สมดุล ท างานผิดปกติ และเซลล์ต่างๆ ก็จะเกิดความเครียดเกิดเป็นอนุมูลอิสระ และฮอร์โมนแห่งความเครียดก็จะถูก
หลั่งจาก Hypothalamus นั่นก็คือ ฮอร์โมน Adrenaline ซึ่งเมื่อมีการหลั่ง Adrenaline มากขึ้นฮอร์โมนนี้ก็จะไป
ยับยั้งการทำงานของอวัยวะสำคัญทั้งหมด เช่นหัวใจ ไต ตับ ปอด ท าให้อวัยวะส าคัญของเราเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายก็พร้อมใจกันหยุดทำงานเพราะเกิดการทำให้ภูมิต้านของร่าง กายเราต่ าลง
การสวดบทสวดโพชฌงค์ หากผู้ปฏิบัติพยายามอย่างแข็งขันในการเจริญสติ กำหนดรู้อารมณ์ให้คมชัดอยู่ทุก
ขณะ เป็นธรรมชาติอยู่เองที่จิตก็จะเกาะอยู่กับอารมณ์นั้นโดยไม่ฟุ้งซ่านหรือซัดส่าย นอกจากนี้ทางวิทยาศาสตร์ยังพบว่า
ในขณะสวดจนกระทั่งเกิดการสงบของสติ เข้าถึงจุดที่สมาธิหรือความตั้งมั่นของจิตปรากฏขึ้น จิตจะสะอาดปราศจาก
นิวรณ์หรืออคติใด ๆ จะมีHormone ชื่อ Endorphins หลั่งออกมาในขณะที่จิตใจสงบนิ่ง ฮอร์โมน Adrenaline จาก
ต่อมหมวกไต ก็จะหยุดหลั่ง และในขณะนั้นเองเมื่อจิตสงบสมองส่วน Hypothalamus จะสั่งให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงขึ้น
ภูมิต้านทานของเราก็จะสร้างเพิ่มขึ้น และยังเป็นการกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในเซลล์อีกด้วย
นอกจากนี้โดยปกติแล้วในขณะสวดโพชฌงค์ จิตใจในขณะที่เป็นสมาธิ จะใช้กระบวนการหายใจด้วยท้อง
เพราะการหายใจด้วยอก ชีพจรจะเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย ต้องหายใจถี่ๆ แต่ถ้าหายใจด้วยท้องชีพจรจะเต้นช้า ในทาง
วิทยาศาสตร์อธิบายได้ว่าเป็นการกระตุ้นกะบังลม ที่กะบังลมจะมีเส้นประสาทวากัส (Vagus) ซึ่งเส้นประสาทตัวนี้เป็น
พาราซิมพาเทติก เป็นเส้นประสาทมีผลต่อการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ เพิ่มการท างานของลำไส้ เส้นประสาทวากัส
(Vagus) จะส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้หลอดเลือดขยาย ความดันเลือดลดลง ชีพจรเต้นช้า หายใจช้า จึงมีผลอย่าง
มหาศาลต่อการรักษาสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ ซึ่งสามารถอธิบายด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์
สรุป
การสวดบทสวดโพชฌงค์มีเป้าหมายส าคัญ คือ การรักษาทั้งโรคทางกายและโรคทางจิตใจ หลักโพชฌงค์ทั้ง 7
ซึ่งเป็นองค์แห่งการรู้แจ้ง ซึ่งเป็นการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา ผู้ปฏิบัติจึงควรเจริญสติที่ระลึกรู้เท่าทันสภาวธรรม
ปัจจุบันภายในกายกับจิต มีปัญญาหยั่งเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง มีความเพียรในการปฏิบัติธรรม มีปีติความอิ่ม
ใจ มีความสงบกาย สงบใจ มีสมาธิตั้งมั่นในสภาวธรรมปัจจุบัน และมีอุเบกขาวางเฉยโดยตามรู้สิ่งที่จิตรับรู้ได้สม่ำเสมอ
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถประสบความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม เมื่อมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมแล้วก็ย่อม
ส่งผลต่อสุขภาพไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร