วันเวลาปัจจุบัน 17 ธ.ค. 2025, 05:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: เมื่อวานนี้, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5435


 ข้อมูลส่วนตัว


"..เพราะไม่มีที่พึ่งทางจิตใจหรือไม่รู้ที่พึ่งอันเกษมอันอุดม จึง...กลัวการตายแต่ไม่กลัวการเกิด...เมื่อเป็นเช่นนี้จึงคว้าโน้นคว้านี่เป็นที่พึ่ง บางคนกลัวตาย...คว้าเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งที่เคารพนับถือ...ด้วยความงมงาย...นอกจากนี้ยังมีการทรงเจ้าเข้าผี สะเดาะเคราะห์ สะเดาะนาม สืบชะตาราศี ตัดกรรมตัดเวร โดยวิธีการต่าง ๆ ที่พึ่งอันอุดมมั่นคงนั้นคือการ...ภาวนา น้อมรำลึกนึกเอาพระคุณอันวิเศษของพระพุทธเจ้า พร้อมพระธรรม และพระอริยสงฆ์มาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ...จึงจะเป็นการถูกต้อง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)








สติปัฏฐาน ๔

ธรรมทั้งหลายก็อยู่ที่นี่แหละ อยู่ที่สกนธ์
กายของเรา ไม่ต้องไปหาเอาที่อื่นดอก
มีครบบริบูรณ์หมด สติปัฏฐานทั้ง ๔ ก็มี
ก็แม่น เราควรทำเอา ท่านให้พิจารณากาย
พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต ให้พิจารณา
ธรรม ๔ อย่าง แล้วพิจารณาอันใดอันหนึ่ง
เท่านั้นแหละ ไม่เอาหมดทุกอย่างดอก
สัมมัปปธาน ๔ ก็มี เพียรละบาป
ให้เพียรบำเพ็ญบุญ สัมมัปปธาน ๔ มีว่า
ปหานปธาน ประหารบาป ละบาป
บาปปรากฏขึ้นที่จิตนี่แหละ ไม่เกิดขึ้น
จากที่อื่น เพราะจิตไปรวบรวมเอาอารมณ์
ภายนอก อารมณ์ภายนอกก็หมายเอา
๕ อย่าง รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส
มันไปรวบรวมเอามาปรุงมาคิด
พิจารณากาย มันก็ไปถูกเวทนาน่ะแหละ
ครั้นจะพิจารณาเอาจิต มันก็ไปถูกธรรม
จิตมันเกิดขึ้นกับใจ เรียกว่าธรรมารมณ์
สี่อย่างนี้ ธรรมารมณ์ก็ไม่ใช่อื่น
คืออดีตที่ล่วงมาแล้วไปนึกเอามา
ดีชั่วอย่างไรก็นึกเอามา อารมณ์ที่ชอบใจ
ก็นึกเอามา มาหมักหมมที่ใจนี้
อนาคตยังไม่มาถึงก็เหนี่ยวเอามา
เอามาเต็มอยู่ในปัจจุบันนี้ เรียกว่าธรรมารมณ์
นี่เรียกว่า “สติปัฏฐาน ๔” ...
...
หลวงปู่ขาว อนาลโย








"..เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้จักว่ามันทุกข์ ทุกข์นี่มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร มันจะเห็นอะไรไหม ถ้าเราเห็นตามธรรมดา มันก็ไม่ทุกข์ เช่นว่าเราอยู่อย่างนี้ เราก็สบาย อีกวาระหนึ่งเราอยากได้กระโถนใบนี้ เรายกมันขึ้นมา ต่างแล้ว ต่างกว่าแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ยกกระโถน ถ้าไปยกกระโถนขึ้นมา มีความรู้สึกว่ามันหนักเพิ่มขึ้นมา มันมีเหตุ หนักมันจะเกิดเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเราไปยกมัน ถ้าเราไม่ยกมัน มันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ยกมันก็เบา อะไรเป็นเหตุผล ดูเท่านี้ก็รู้แล้ว ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน ถ้าเราไปยึดอะไร อันนั้นแหละเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ถ้าเรา ปล่อย มันก็ไม่ทุกข์.."

สุภทฺโทวาท
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑-๒๕๓๕)








".. อัตตาหิอัตโนนาโถ ตนเองต้องปฏิบัติเองเราได้รู้แล้ว
เห็นแล้ว ปฏิบัติแล้ว เราก็เอาข้อวัดปฏิบัติอันนั้นแหละ
มาเป็นเครื่องอยู่ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้ สอนให้เราปฏิบัติ

แต่ละคนนั้นถึงจะฟังเทศน์ข้อเดียวกัน ฟังธรรมเหมือนกันแต่ความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนนั้นแตกต่างกันไป

ฉะนั้นต้อง โยนิโสมนสิการ ตรึกตรองพิจารณาให้รู้จักสิ่งที่ดีรู้จักสิ่งที่ชั่ว โดยอุบายที่ชอบ ตามหลักความเป็นจริง คือรู้ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ เหตุเรียกว่าสมุทัย คือ
กามะตัณหา ภาวะตัณหา วิภาวะตัณหา
เหตุให้เกิดทุกข์

เมื่อเห็นสัจจะความจริงจิตก็จะคายออกเรียกว่า ทางดับทุกข์ คือนิโรธ จิตะกิริยาคือทำให้แจ้งตัดขาดจากทุกข์นั้นพิจารณาถึงความจริง พ้นจากกิเลสตัดขาดจากกิเลสอาสวะทั้งหลายทำจิตใจให้สะอาด ก็พ้นทุกข์ทั้งปวง ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ ธรรมเหล่านั้นจะดับก็เพราะเหตุ.."

หลวงตาแหวน ทยาลุโก
วัดป่าหนองนกกด บ้านหนองนกกด ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จ.สกลนคร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร