วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 14:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2010, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Fakemonk เขียน:
เรื่องฉันส่วนตัว ในบางวัน ไม่มีพระมาเรียนกับท่านพระอาจารย์ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช เลย แต่ท่านก็ยังฉันภัตตาหารอยู่ในห้องส่วนตัว เป็นนิจครับ แม้กระทั่ง วันที่ไม่ีมีการเปิดสวนสันติธรรม ซึ่งมีเฉพาะพระลูกวัดจำพรรษาอยู่ ก็ไม่ปรากฏว่า พระอาจารย์ ปราโมทย์ นั่งฉัน อยู่ ณ หัวแถว ครับ


อันนี้ มาพูดกันให้ชัด
ว่าฉันคนเดียว เป็นการผิดพระวินัยหรือไม่

ถ้าผิด ผิดแค่ไหน เบาหรือหนัก

ต้องเอาให้ชัดนะ ท่านทั้งหลาย ต้องช่วยกันทำสิ่งนี้ให้สว่าง

ถ้าไม่ผิดวินัย ก็ไม่จำเป็นต้องไปถามพระอุปัฏฐากหรือคุณชยาทรอีก

ความจริงผมค้นมาได้เบื้องต้นว่า
พระพทุธเจ้าห้ามฉันรวมกันด้วยซ้ำไป
แต่ผมไม่ถนัดเรื่องวินัยสงฆ์ จึงอยากจะทราบความเห็นเรื่องวินัยจากผู้รู้
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prawinai/2.7.html



อ้างคำพูด:
ส่วนการออกบิณฑบาตแล้วมีโยม มาดักนี้ ฟังไม่ขึ้นครับ
ผมเคยไปที่วัดป่าบ้านตาด ญาติโยมต่อแถวรอใส่บาตรหลวงตากัน เป็นหลายร้อยเมตร และได้ยินจากปากคนที่เคยเห็นที่สวนแสงธรรม ที่กรุงเทพ บอกว่า ยาวเป็นกิโลๆ

ก็คูณไปเอามารตรฐานหลวงตา มาวัดมาตรฐานหลวงพ่อปราโมทย์
ก็เลยฟังไม่ขึ้น
ฟังไม่ขึ้นแปลว่าทิฐิ
แล้วทิฐินี้ก็ไม่ได้มีส่วนในการแสดงว่าการดุจิตผิดอย่างไร


อ้างคำพูด:
ใน สวนสันติธรรม พระอาจารย์ปราโมทย์ ยังมีการพูดเองว่า เหนื่อยหลังจากการสอนโยม แล้วต้องสอนพระอีก ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีญาติโยมที่ไหนจำนวนมาก มารอถามท่าน หลังจากท่านประกาศออกไป
แล้วทำไม ถึงต้องมาคอยดักถามท่าน ระหว่างทาง ถ้าหากธรรมะที่ท่านสอน เป็นอัตาหิอัตตโน นาโถ
หลวงตาฯ น่ะ เคยมีคนมายื้อท่านมั้ยครับ เวลาท่านบิณฑบาต?

คนอย่างคุณนี่ ผมเซ็งมากเลย
เราบอกว่าเราเหนื่อย ยังต้องมันมารับรองเราอีกด้วยนะว่าเราเหนื่อยจริงไหม
ความเหนื่อยนี่ มันสะสมเป็นไหมครับ ถามหน่อย พ่อซุปเปอร์แมน

แล้วก็ไม่วาย เอาหลวงตามายก เพื่อกดหลวงพ่อลงอีก
ถ้าผมไปเอามาตรฐานการเทศน์เจ้าคุณอุบาลี มาวัดหลวงพ่อสงบล่ะ
จะเกิดอะไรขึ้น? พ่อคนดี?
ไปหัดรู้จักคำว่าวาสนาบารมีซะบ้าง

ไม่รู้จักเขา รู้จักเราเอาซะเลย
มีแต่คนนั้นต้องเมหือนคนนี้ ถงึจะดี
คนนี้ต้องเมหือนคนนั้นถึงจะใช่
ทั้งวี่ทั้งวันมีแต่บ้าทิฐิ

โค้ด:
ประเด็นคือ เพราะพระปราโมทย์ ไม่ได้มีคุณสมบัติอย่างที่กล่าวไงครับ
ถึงไม่กล้าปลงอาบัติ เพราะการอวดอุตริ ถ้าหากไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวจริง ก็คือ ปาราชิก สถานเดียว

เออ อยากถามจริงๆ ว่าคุณเอาอะไรไปพิสูจน์ว่าท่านไม่มีคุณวิเศษณ์
ลองว่ามาสักข้อ จังๆ โต้งๆ ตรงๆ หน่อยสิ
ไม่ต้องอมพะนำ ทำเรื่องเยอะ สลับซับซ้อน

ผมอยากรู้เมหือนกัน ถ้าจริง ผมจะอนุโมทนาคูณมากเลย
กล้าไหมล่ะ ยกมาเลย
คนจริง คนตรง ไม่มีกลัวหรอกถ้าพูดความจริง

เป้นคนจริง คนตรง ซื่อตรงต่อสัจจธรรมไหมล่ะ
ลองดูกันหน่อยสิ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 22 มี.ค. 2010, 20:18, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b6:
...กรณีไม่ลงมาฉันร่วมกับผู้อื่นไม่น่าจะผิดศีลนะ...
...ท่านไม่มาอาจจะมีอาการอาพาธก็เป็นได้อ่ะค่ะหรือ...
...ญาติโยมวุ่นวายยุ่งย่ามจนท่านรู้สึกรำคาญใจก็เป็นได้...
:b13:
:b8: :b8:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 23 มี.ค. 2010, 10:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้คำแนะนำประกอบการพิจารณาครับ

การฉันของพระภิกษุ

ไม่มีข้อบังคับว่า ต้องฉันรวมกัน พร้อมกัน แต่โดยธรรมเนียมที่ปรากฏในตำนาน จะมีคำว่า เตรียมอาสนะ,ตั้งน้ำฉัน ในโรงฉัน หรือ ภัตตศาลา แสดงว่า มีโรงฉัน ในอารามที่มีโรงฉัน โดยมากจะฉันที่โรงฉัน
แต่พระที่ฉันพร้อมกัน หรือ แยกฉัน ไม่ได้เป็นเครื่องตัดสินว่า "เป็นพระปฏิบัติดี หรือไม่ดี"

แต่มีข้อบังคับ เรื่องวินัยข้อหนึ่ง เรื่อง "คณโภชน์"

หมายถึง การฉันอาหารเป็นหมู่ ใช้เฉพาะพระภิกษุ ถ้ามีคนนิมนต์พระภิกษุไป ฉันอาหาร โดยบอกชื่ออาหารให้พระภิกษุทราบด้วย เช่น บอกว่า นิมนต์ไปฉันขนมจีน นิมนต์ไปฉันข้าวแช่ เป็นต้น ดังนี้
หากพระภิกษุที่จะไปฉันด้วยนั่งเป็นวงตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป เรียกว่า ฉันคณโภชน์
พระภิกษุเหล่านั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ (เว้นแต่กรณีพิเศษ) คือ ๑. อาพาธ (ป่วย) ๒. อยู่ในระหว่างได้รับอานิสงส์กฐิน ๓. ในระหว่างทำจีวร ๔. ในระหว่างเวลาเดินทางไกล ๕. ในคราว เดินทางเรือ ๖. ผู้นิมนต์เป็นพระภิกษุด้วยกัน ๗. คราวมีงานใหญ่ (พระภิกษุมาก) วินัยข้อนี้ทำให้เกิดธรรมเนียม ๒ อย่าง คือ พระภิกษุนิยมฉันอาหารองค์ละที่และนั่งเรียงแถว หากนั่งล้อมวง ก็ใช้ชามแบ่ง และผู้นิมนต์พระภิกษุก็บอกท่านเพียงว่านิมนต์ฉันจังหัน ฉันบิณฑบาต ฉันเช้า ฉันเพล ไม่ให้ออกชื่ออาหาร

อนุโมทนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาทั้งสองท่านครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วินัยใครจะปรับได้ นอกจากพระวินัยปรับ ในตัวเอง

ส่วน บุคคลต้องห้ามที่ไม่สามารถปรับได้คือ

สติวินโย ทาตพฺโพ


เสียเวลาเปล่า มาดูที่ตัวเราดีกว่า กรรมเก่ายังไม่หมด ยังจะมาสร้างใหม่อีก

ให้ห้าม มรรค ห้ามผล ตัวเราเองทำไม ปล่อยไปตามกระแสโลกดีกว่า

----------
โลกธรรม 8 ใครหนีพ้นบ้าง

เพียงแต่ใครเดือนร้อน ก็เป็นของคนนั้น ใครไม่เดือนร้อนก็เป็นของคนนั้นอีก

ตกลง ดูที่ตัวเราเองดีกว่านะ

การบริพาท ไม่ว่า พระระดับไหน มีแต่กรรมเข้าตัว

ปาราชิก ไม่ได้ปรับกันง่าย ๆหรอกครับ ต้องมีไถยจิตจริงๆ ถึงจะปรับได้ เน้นต้องมีไถยจิตครับ(เจตนาตอนที่ทำเป็นสำคัญ)

สุดท้าย เป็นมนุษย์ด้วยกัน อย่างมากก็แค่เตือนสติ ส่วนจะทำหรือคิดได้ไงต้องตัวเราเองทั้งนั้น

เลือกเอาเองและกันครับ จะตามกระแส โลกธรรม 8 ไป หรือ จะหยุดมองว่าเป็นธรรมโลก

ขนาดพระพุทธเจ้าเองยังต้องมีมารมาผจญอยู่ตลอด ก็ไม่ต่างกับครูบาอาจารย์ของพวกเราที่เรานับถือ

ต่างก็ต้องเป็นไปตาม โลกธรรม 8 เพียงแต่ท่านไม่ได้รับรู้กับเราซะหน่อย และก็ไม่ได้เดือนร้อนกับเรา

ซะหน่อย ขอให้โอปนยิโก ดีกว่านะครับ

:b55: ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 08:42
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประเด็นนี้พูดกันมานานพร้อมคำตอบจากประกาศสวนสันติธรรมฉบับที่สี่ ตั้งแต่เดือนธ.ค.๔๒-ม.ค.๕๓

เริ่มจากประกาศบ้านอารีย์
"...นอกจากนั้น ท่านยังไม่ส่งเสริมการสวดมนต์ การทำวัตรเช้าเย็น ซึ่งถือว่าขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับปฏิปทา
ของครูบาอาจารย์ที่ท่านอ้างว่าตนเป็นลูกศิษย์ โดยเฉพาะหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ลูกศิษย์ที่ดีจะต้องยึดปฏิบัติตามปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ตนนับถือได้วางไว้
นอกจากปฏิปทาต่างๆแล้ว ยังมีข้อวัตรต่างๆที่ท่านละเลย เช่น การบิณฑบาตร เป็นต้น
ซึ่งท่านไม่ได้ให้ความสนใจปฏิบัติในข้อวัตรที่จำเป็นเหล่านี้เลย..."


แล้วผมก็เป็นคนช่วยย้ำขึ้นมาเองแหละ เพราะรำคาญการเถียงแบบแถในส่วนคำสอน
เลยยกข้อสังเกตที่เป็นพื้นฐานที่สุดแล้วสำหรับพระสงฆ์

๑) ไม่ออกบิณฑบาตร
๒) ไม่ฉันร่วมกับหมู่คณะในที่เปิดเผย (ฉันในห้องหับมิดชิด)

ในประกาศสวนสันติธรรมได้ชี้แจงแก้ตัวเฉพาะเรื่องไม่ออกบิณฑบาตร ความว่า

"ตามที่มีผู้ตั้งประเด็นว่าไม่เห็นหลวงพ่อปราโมทย์ออกบิณฑบาตนั้น
ในความเป็นจริงตั้งแต่อุปสมบทมา หลวงพ่อปราโมทย์ก็ออกบิณฑบาตเป็นประจำทุกวัน
เว้นแต่วันที่อาพาธ แม้กระทั่งเมื่อย้ายมาอยู่สวนสันติธรรมใหม่ๆ ท่านก็ออกบิณฑบาตตามปกติ
แต่ในปัจจุบันท่านจำเป็นต้องงดการออกบิณฑบาต เพราะมีปัญหาด้านการขับถ่าย
และเนื่องจากน้ำหนักมากโดยกรรมพันธุ์ จึงมีปัญหาเกี่ยวกับข้อเท้า
และเหนื่อยหอบง่ายทำให้ไม่สามารถเดินไกลได้
แม้กระทั่งการเดินจากกุฏิไปที่ศาลา บางวันก็ยังมีอาการเหนื่อยหอบอยู่เสมอ
คณะศิษย์จึงเสนอให้ท่านงดออกเดินบิณฑบาต

อย่างไรก็ตามหลวงพ่อปราโมทย์ได้ดำเนินตามแบบอย่างที่ครูบาอาจารย์เคยทำ
คือรับอาหารบิณฑบาตจากพระลูกศิษย์ซึ่งไปบิณฑบาตกลับมา
โดยพระอุปัฏฐากเป็นผู้จัดอาหารใส่บาตรถวายให้"


น่าเห็นใจครับ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า
๑) ไม่เห็นท่านใช้ไม้เท้าเลย .. เดินไหวหรือครับ ไปนู่นมานี่ ทั้งเหนือใต้ออกตก กรุงเทพฯ
๒) มีอาการแทรก "หอบ"ด้วย แต่ก็หมายความว่ายังเดินบิณฑบาตรได้ เพียงแต่หอบ
... ถ้าออกกำลังกายโดยการเดินจงกรม หรือเดินบิณฑบาตรเป็นประจำ จะช่วยได้ครับ ผมว่า
... ที่เห็นอยู่ ก็มีครูจารย์ที่ชราภาพมากแล้ว ท่านยังรักษาข้อวัตรโดยเดินบิณฑบาตรถึงหน้าประตูวัด
๓) บ้านอารีย์นี่แย่มาก.. ไม่เคยรู้เลยใช่มั้ยว่า ท่านมี "อาการ" ต่างๆ ดังกล่าวมานานแสนนานแล้ว???


ทำให้หวนคิดไปถึงคราวที่ พระธัมมชโยถูกโจมตีเรื่อง สวมเสื้อรัดรูปแขนยาว
โดยอ้างว่า เป็นโรคผิวหนัง??? อย่างนั้นยังฟังขึ้นกว่าเลย

..
..
..
คำสอนที่ยืมพุทธพจน์หรือครูจารย์ท่านอื่นๆมาบอกต่อ ญาติโยม
ก็อนุโมทนาท่าน อยู่หรอกเหมือนเปิดฟังวิทยุธรรมะจากพระไตรปิฎก นั่นแหละ
แต่ คำสอนผิดๆ ที่ถูกครูจารย์ท่านชี้หน่ะ มันเป็นบาปเป็นกรรมของท่าน ที่กล่าวตู่พุทธพจน์
..
..
พวกคุณปฏิบัติแล้วมีอาการเบา สงบ สบาย โล่งๆ รู้สึกเป็นคนดีขึ้น ก็อนุโมทนา
แต่ อย่ามาด่วนสรุปเอาเองว่า วิธีนี้พาให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ตามคำอ้างของ"ท่าน"
เพราะ ครูจารย์ชี้แล้วว่า มันเป็นแค่การ "หลง" จินตนาการของตัวเอง ก็แค่นั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ก๊ากๆๆๆ

คุณ Satorani นี่ ฝีมือแย่กว่าคุณ fakemonk เยอะเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2010, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอร่วมแสดงความคิดเ็ห็นตามประสาปุถุชนผู้ยังมีกิเลส ตัณหาเต็มเปี่ยม แต่ทนเห็นครูบาอาจารย์ผู้ที่ตนเคารพ(แม้ไม่เคยเห็นองค์จริงท่าน) ถูกกล่าวหาว่าร้ายไม่ได้ เพราะท่านจึงทำให้ผมหันกลับมาตั้งใจถือศีล เพราะท่านทำให้ผมเปลี่ยนความคิดที่ว่าตนเองวาสนาน้อยคงไม่มีวาสนาได้บรรลุคุณธรรมเบื้องสูงใดๆแล้วเลิกภาวนาไป กลับมาเป็นการเชื่อมั่นในศักยภาพตนเอง ทั้งๆที่รู้ว่าท่านไม่ชมเชยการกระทำอย่างนี้แน่ เพราะท่านเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อนึกถึงท่านให้นึกถึง รู้


ที่เรายังไม่บรรลุโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็เพราะมัค(ทาง) ยังไม่บริบูรณ์ เมื่อทางที่ตนเองดำเนินก็ยังไม่บริบูรณ์แล้วทำไมกล้าไปวิพากษ์ วิจารณ์ ทางของผู้อื่นว่าถูกผิดยังไง หรือว่าท่านเป็นพระโสดาบันแล้วจึงเป็นผู้เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้ และเป็นผู้ไม่หลงทาง(กับดักแห่งวัฏสงสาร)อย่างแน่นอน


หรือหากว่าท่านประกอบด้วยเมตตาจิตเห็นว่าทางที่ผู้อื่นดำเนินผิด ท่านก็แค่แสดงหนทางที่ถูกไม่จำเป็นต้องไปกระทบกระเทียบครูบาอาจารย์ที่คนอื่นเคารพ ขวานขวายหาข้อมูลมามากมายจริงมั้ง(แต่ตีความบนอคติ เพราะท่านไม่อาจล่วงรู้จิตใจผู้อื่นไม่ได้มีเจโตปริยญาณ)ไม่จริงมั้ง ด้านธรรมบ้าง ด้านวินัยบ้าง ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยมหากรุณาจิตขนาดนั้นเชียวหรือ


อย่าพึ่งไปเหมาว่าผู้ที่ศึกษาธรรมท่านอื่นที่มีความเห็นต่างจากท่านเป็นผู้เบาปัญญาสิครับ


ผิดพลาดประการใดได้โปรดอดโทษและอโหสิกรรมด้วยครับ :b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ภัทรพงศ์ เมื่อ 24 มี.ค. 2010, 11:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2010, 02:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วงที่ผมบวชอยู่ พอดีได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร(ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม และหลวงปู่ชอบยังเคยสั่งว่าถ้าท่านมรณะภาพให้หลวงปู่จันทร์เรียนเป็นผู้จัดการ) ผู้ที่ศรัทธาพระป่าคงเคยได้รับรู้เรื่องความเป็นผู้ทรงอภิญญาของท่าน หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโทยังเคยให้ท่านอธิษฐานจิตพระยอดธงให้


ช่วงกลางคืนก่อนที่จะไปกราบหลวงปู่ท่าน ผมได้สนทนาธรรมกับพระที่วัด และได้สนทนากันเรื่องหลวงพ่อปราโมทย์ เรื่องที่ท่านกล่าวว่า รู้ทุกข์(กายใจ)เป็นอันละสมุทัย วันต่อมาไปกราบท่าน ขณะกำลังเข้าไปถามพระที่วัดว่าหลวงปู่อยู่ไหม(ศาลาฉันน้ำร้อน ข้างล่างถ้ำที่หลวงปู่อยู่) ก็เห็นหลวงปู่ท่านเดินมา แล้วท่านก็เดินนำขึ้นไปบนถ้ำที่ท่านใช้เป็นที่รับแขก (ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่า) ท่านได้เมตตาเล่าเรื่องตอนที่ท่านอยู่กับหลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย และเรื่องตอนที่ท่านออกธุดงค์และหลงป่าให้ฟัง และตอนที่ท่านเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังอยู่นั้น อยู่ดี ๆท่านก็พูดลอยๆขึ้นมาว่า ทุกข์ท่านก็ให้กำหนดรู้การปฏิบัติมันก็มีอยู่แค่นี้ ทำเอาผมสะอึกเลยครับ และท่านยังเมตตาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังอยู่นาน จนพระขึ้นมาทำความสะอาดท่านจึงสั่งให้กลับ
เลยนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

ผิดพลาดประการใดได้โปรดอดโทษและอโหสิกรรมให้ด้วยครับ :b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ภัทรพงศ์ เมื่อ 24 มี.ค. 2010, 07:34, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2010, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตออกความเห็นนะครับ

อ้างถึง:ในสมัยพุทธกาลมีพระภิกษุรูปหนึ่งเกรงว่าตนเองจะดำรงตนอยู่ในเพศของบรรพชิตไม่ได้
จึงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามว่า เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น
พระภิกษุรูปนั้นจึงบอกไปว่า ศีลในพระภิกษุสงฆ์นั้นมีเยอะเหลือเกิน จนตัวท่านคิดว่าท่านคงไม่สามารถทำได้ พระพุทธเจ้าเลยบอกว่างั้นเธอรักษาเพียงข้อเดียว
คือ"ให้รักษาใจของตนเองไว้ให้เป็นปกติ"

วิเคราะห์ ตามความคิดของผมนะ
เดิมทีนั้นศีลนั้นมีข้อเดียว คือ การรักษาจิต รักษาใจของตนให้เป็นปกติ
คำว่าปกติในที่นี้หมายความว่า ปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควร เป็นสิ่งที่เป็นครรลองในการบรรลุโมกขธรรม
แต่การที่พระพุทธองค์ตั้งศีลไว้หลายๆข้อ เหมือนดังกรอบที่ตั้งไว้ไม่ให้ศานุศิษย์ของท่านออกนอกลู่นอกทาง

สรุปใจความก็คือ หากข้อวินัยนั้นกระทำไปโดยมีเจตนาไปในมิจฉาทิฏฐิ ไม่เป็นไปตามมรรค ๘
นี่เรียกว่า ผิดวินัยในหมู่สงฆ์ ผิดธรรมวินัยที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้

ผิดพลาดประการใด กระผมต้องขออโหสิกรรมด้วยนะครับ :b8: :b8: :b8:

เพิ่มเติมนะครับ คือ การปฏิบัติธรรมนี้ไม่ใช่หมายความว่าเราอยู่ที่วัดเราถึงปฏิบัติ
ไม่ใช่ว่าเราเป็นพระเราถึงปฏิบัติ ไม่ว่าจะอยู่ในฆราวาส หรือ สงฆ์ เราพึงปฏิบัติทางแห่งโมกขธรรม
การที่เรามัวแต่มองคนอื่น หาข้อวิพากษ์วิจารณ์ให้คนอื่น นี่ไม่ใช่ทางแห่งโมกขธรรมเลย
การที่เราหมั่นดูตัวเอง สังเกตใจ การประพฤติแห่งตน และแก้ไข ทำให้แจ้งในปัญญา แทงตลอดทิฏฐิ
นี่แหละเรียกว่าทางแห่งการบรรลุโมกขธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย คนเกือบหลงทาง เมื่อ 25 มี.ค. 2010, 05:29, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2010, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 08:42
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อจันทร์เรียน นี่สิของแท้แน่นอน ท่านชอบนั่ง นั่งได้เป็นเจ็ดแปดชั่วโมง
หลวงพ่อสงบพูดถึงท่านบ่อยอยู่ ... แต่หลวงพ่อสงบท่านชอบเดิน เดินกี่ชั่วโมงก็ได้
..
..
คุณภัทรพงศ์ คุณเจอครูจารย์ของจริงแล้ว ไม่ลองนำหนังสือ ประมวลธรรม ไปให้ท่านพิจารณาหล่ะ???
..
..
อะไรอะไรก็อยู่ที่ใจ ทุกอย่างเป็นสมมติ ศีลก็เป็นสมมติ ข้อวัตรก็เป็นสมมติ
เลิกมันให้หมดเลยสิ เลิกมันเลย สมมติทั้งนั้น ไม่มีพ่อไม่มีแม่ สมมติทั้งนั้น ไม่ต้องไหว้พ่อไหว้แม่หรอก
..
หลวงปู่หลวงตาหลวงพ่อ ครูจารย์ ท่านรักษาข้อวัตรนี้ไม่มีบิดพลิ้ว
แล้ว ใครล่ะ เป็นใครล่ะ จะมาเปลี่ยนข้อวัตรนี้ เพราะอะไรหล่ะ เพราะอะไร
..
"ก็มันรักสบายน่ะ"
..
บอกแล้ว ... แค่ข้อวัตรง่ายๆ ยังรักษาไม่ได้
จะยืมพุทธพจน์ คำสอนครูจารย์มาบัง ก็ไม่มิดหรอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2010, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 08:42
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โอ้ ผมอ่านความเห็นยาวๆนั่นจบแล้ว
น้ำท่วมทุ่งมากๆ ... เหมือนหลายๆคนที่ออกมาแสดงความเห็น
ถ้ายกประโยคที่เค้าแสดงออกมาแย้งตรงๆไม่ได้
ก็แสดงว่า สิ่งที่เค้านำมาลง เป็นความจริงที่ "แถ" ไม่ได้
เหมือน "ไม่บิณฑบาตร และ ฉันในห้องหับ" ที่ผมย้ำนักย้ำหนา ก็ยังแก้กันไม่ได้

ไม่เอาละ ... รอเว็ปเอทีดับบลิว ตอบเค้าเองดีกว่า

อย่างไรก็ตาม สันนิษฐานว่า ผู้เขียนน่าจะเป็นอะไรกับคุณดังตฤณ มากกว่ากับหลวงพ่อปราโมทย์นะ???

ปล..

ไม่สงสัยในคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์อย่างใด
เพราะ ลองทำดูแล้วเห็นผล ....

แหม ผมชักอยากมีคนนับถืออย่างท่านเสียแล้วสิ
..
..
ขอให้คุณทำตามนี้นะ
๑) ส่งอีเมล์ไปหาบริษัท หนิงเซียะ เถียนเถียน แดรี จำกัด
๒) ขอรับนมฟรีเพื่อนำมาให้ ลูกหลาน บริโภค โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ (เสียแต่ค่าส่งของ)
๓) รอดูการเจริญเติบโตของลูกหลาน ภายในหนึ่งปี
๔) ระหว่างนั้น ขอให้ดีใจและเป็นสุข เมื่อเห็นหน้าตาอันสดใสของลูกหลาน หลังอิ่มจากนมฟรี

แต่มีเงื่อนไขว่า ... ห้ามอ่านข่าวนี้ภายในหนึ่งปีดังกล่าว

http://www.consumerthai.org/main/index. ... Itemid=125

บทความเกี่ยวกับเมลามีนในนมของประเทศจีน ... อุ๊บส์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 01:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Satoranai เขียน:

ไม่สงสัยในคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์อย่างใด
เพราะ ลองทำดูแล้วเห็นผล ....

แหม ผมชักอยากมีคนนับถืออย่างท่านเสียแล้วสิ
..
..
ขอให้คุณทำตามนี้นะ
๑) ส่งอีเมล์ไปหาบริษัท หนิงเซียะ เถียนเถียน แดรี จำกัด
๒) ขอรับนมฟรีเพื่อนำมาให้ ลูกหลาน บริโภค โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ (เสียแต่ค่าส่งของ)
๓) รอดูการเจริญเติบโตของลูกหลาน ภายในหนึ่งปี
๔) ระหว่างนั้น ขอให้ดีใจและเป็นสุข เมื่อเห็นหน้าตาอันสดใสของลูกหลาน หลังอิ่มจากนมฟรี

แต่มีเงื่อนไขว่า ... ห้ามอ่านข่าวนี้ภายในหนึ่งปีดังกล่าว

http://www.consumerthai.org/main/index. ... Itemid=125

บทความเกี่ยวกับเมลามีนในนมของประเทศจีน ... อุ๊บส์


เปรียบเทียบไม่ได้เรื่อง
แย่ๆ ไม่มีตรรกะ ไม่มีธัมสัญญา ไม่มีอะไรเลย

ถนัดแต่พูดคะนองปากเหมือนเด็กๆ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 25 มี.ค. 2010, 01:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 04:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านจะฉันบิณฑบาตรที่ไหน ผมก็ไม่ได้ไปตามดู และผมก็ไม่เห็นความจำเป็นด้วยครับ
คุณจะเพ่งโทษท่านอะไรกันนักหนา จบเรื่องนี้ไปเรื่องนั้น

พอเค้าแสดงข้อมูลในแนวทางที่สร้างสรรค์ ตอบเขาไม่ได้ในเนื้อหาสาระ ก็ไปตำหนิแหล่งข้อมูลอีก

เท่าที่ผมศึกษามาท่านที่เป็นผู้กอบด้วยบุญบารมี และปนิธานอันยิ่งใหญ่ เกิดมาเพื่อพิทักษ์พระศาสนาท่านไม่ได้มีพฤติกรรรมแบบนี้เลยนะครับ

ขอลาล่ะครับ วัฏสงสารมีภัยมาก แล้วยังมีกับดักมากมายอีก ดูแลตนเองด้วยนะครับ :b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ภัทรพงศ์ เมื่อ 25 มี.ค. 2010, 05:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 19:37
โพสต์: 13

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปปฏิบัติธรรม อยู่อาศัยตามโอกาสอำนวย และร่วมงานบุญสายวัดป่ามาสี่ห้าปีค่ะ(ก่อนหน้านี้สายวัดบ้าน) ได้มีโอกาสเห็นข้อวัตรปฏิบัติอันน่าเลื่อมใสของพ่อแม่ครูอาจารย์มาพอสมควร
บอกได้อย่างเดียวค่ะ ดูพระ ให้ดูที่ข้อวัตรปฏิบัติของท่าน

สาธุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร