วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 12:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2013, 23:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
:b10: :b10: :b10:

อนึ่งโปรดอย่าได้สำคัญว่า พูดเรื่องมรรค ผล นิพพาน ได้คล่องแคล่ว ยกพระสูตรมาอ้างได้เป็นฉากๆ เป็นฟืนเป็นไฟ แล้วจะได้สำเร็จธรรม....เร็วกว่าชาวบ้าน ตาสี ตาสา ที่อยู่กับไร่กับนา และธรรมชาติ อันซื่อๆ ในชนบทนะครับ บางทีอาจจะติดลึกอยู่ใน อุทัจจะ กุกุจจะ หาเวลาที่ความคิดจะหยุดสงบก็ไม่มี ฟุ้งในปริยัติอยู่ทุกเวลานาฑีไม่หยุดหย่อนนะครับ
:b12: :b12: :b12: :b12:


:b20:

เรียน ท่านอโศกะ ด้วยความเคารพ
เอกอนขอถามนิดนึง
ท่านมองเห็นธรรมตามพระสูตรนี้ว่าอย่างไร

Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

๓. มหาเวทัลลสูตร
การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ


ท่านเห็นทะลุไปถึงสภาวะธรรม รสชาดของสภาวะธรรมตามพระสูตรนี้
หรือท่านมองแล้วเห็นเป็นอักษรที่ผ่านตาไปเฉย ๆ ไม่แสดงความนัยอะไร
จับประเด็นสภาวะอะไรในพระสูตรไม่ได้

ถ้ามองไม่เห็นอะไร
นั่นก็คือบ่อเกลือที่ท่านยังไม่เคยได้แอ้ม ... ก็แค่นั้นเอง

:b13: :b13: :b13:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 02 มิ.ย. 2013, 23:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2013, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อ้างคำพูด:
มหาจัตตารีสกสูตร.......
[๒๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน
ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ

เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้

เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้

:b12: :b12: :b12:

ช่วยตรงนี้ยังไงท่านกบ......คือ ปัญญามรรค 2 ตัว นำหน้า แล้วศีลมรรค และสมาธิมรรคจึงดีตามมาภายหลัง
:b27: :b20:


แล้ว...ก่อนสัมมาทิฏฐิจะเกิดได้...บุคคลนั้นมีจริยายังงัยคับ?

คือ..ผมไม่มีปัญหาหรอก..ในมรรค8 มีปัญญานำ.นะ...สัมมาทิฏฐิเขาจัดอยู่ในกลุ่มปัญญา

แต่..โปรดเข้าใจว่า...ยังไม่ใช่ปัญญาสูงสุดที่เราต้องการเพื่อประหารกิเลสให้หมด
จุดนี้..อโศกะเข้าใจตรงกันเน๊าะ...

อย่าลืมคำถามข้างบนนะว่า....ก่อนที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง...จะเห็นทุกข์...คิดอยากออกจากทุกข์..จนมาถึงขั้นของมรรค์8 ได้นี้
คน..คนนั้น...มีพื้นฐาน...มีกริยา...จิตใจอย่างไร?


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2013, 23:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
อ้างคำพูด:
แล้ว...ก่อนสัมมาทิฏฐิจะเกิดได้...บุคคลนั้นมีจริยายังงัยคับ?

คือ..ผมไม่มีปัญหาหรอก..ในมรรค8 มีปัญญานำ.นะ..เขาจัดอยู่ในกลุ่มปัญญา
แต่..โปรดเข้าใจว่า...ยังไม่ใช่ปัญญาสูงสุดที่เราต้องการเพื่อประหารกิเลสให้หมด
จุดนี้..อโศกะเข้าใจตรงกันเน๊าะ...

อย่าลืมคำถามข้างบนนะว่า....ก่อนที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง...จะเห็นทุกข์...คิดอยากออกจากทุกข์..จนมาถึงขั้นของมรรค์8 ได้นี้
คน..คนนั้น...มีพื้นฐาน...มีกริยา...จิตใจอย่างไร?

:b11: :b11: :b11:

ปัญญาสูงสุดที่ว่า ก็ต้องได้มาจากปัญญาขั้นพื้นฐานหนุนนำส่งขึ้นมา...ผมจึงว่าผลการศึกษา เรียนรู้ ข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(สุตต+จินต มยปัญญา)...จะเกิดสัมมาทิฏฐิโดยภาคทฤษฎีก่อน ตาม อริยสัจ 4 ประการ หลังจากนั้น ได้ลงมือปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เจริญมรรค 8 พิสูจน์คำสอนของพระพุทธองค์ จนเกิดภาวนามยปัญญาเห็นแจ้ง เห็นถูกต้องประจักษ์แก่ใจตนเองแล้ว สัมมาทิฏฐิ จึงสมบูรณ์
:b27:
คน..คนนั้น...มีพื้นฐาน...มีกริยา...จิตใจอย่างไร?
:b10:
คนๆนั้นมีพื้นฐาน สนใจ ใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา ค้นคว้าหาหลักฐาน เหตุผล ความจริง ด้วยสุตตมยปัญญาและจินตมยปัญญาก่อน
หลังจากรู้จักศีล รู้จักธรรม รู้จักวิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาแล้ว จึงลงมือพิสูจน์ปริยัติที่เรียน ศึกษามา จนพบจริง ถึงจริงด้วยใจ

onion onion onion :b38: :b38: :b38: :b53:


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 00:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนคนนั้นจะเข้าอริยะสัจ...คือ..เห็นทุกข์..เป้นต้นนั้น...แม้ศีลจะไม่ครบดี...แต่คนพวกนี้อย่างน้อยที่สุด..คือเป็นพวกที่ไม่ได้มีความสุขนักยามที่ทำผิดศีล...แต่ที่ผิดศีลก็อาจเพราะทนต่อตัญหาไม่ไหว..รึอาจจะจำเป็นเพื่อการเลี้ยงชีพ
แต่..จิตใจลึก..เขาไม่พอใจในการผิดศีลนั้นหรอก..

ส่วนคนที่ดีขึ้นมาหน่อย....ก็พวกที่เป็นดีเป็นปกติอยู่แล้ว

ถ้าคนที่พอใจในการผิดศีล...เห็นการผิดศีลเป็นของดี....คนพวกนี้อย่าว่าแต่มรรค 8 เลย...แค่ทุกข์ตัวแรกในอริยะสัจ...เขายังไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์เลย...แล้วจะมีความคิดจะไปศึกษา.ว่า.สัมมาทิฏฐิมันเป็นยังงัยหน่อ..รึ..ไม่มีทางหรอก


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 00:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล....ก่อนเข้ามรรค...มันก็เป็นศีล

อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียด.ขึ้นกับคุณภาพของจิต


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 04:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
คุณกบ คงไม่เคยพิสูจน์ทฤษฎีของสัมมาทิฏฐิมาก่อน....เพราะพอรู้เรื่องสัมมาทิฏฐิปั๊บ ก็ สำเร็จสัมมาทิฏฐิ ปุ๊ป ทันที
:b14: :b11:


แฮ่ม...ถือว่าเป้นคำชม..อิอิ
จริงคับ...ผมไม่เคยพิสูจน์ทฤษฎีสัมมาทิฏฐิมาก่อน....แต่ไม่ใช่เพราะพอฟังทฤษฎีปั๊ป...ก็เป้นสัมมาทิฏฐิ..ปุ๊ป..นะครับ
แค่..พอฟังปั๊ป....เราก็..อ่อ...อารมณ์นี้เราเป็นตั้งกะตอนโน้น..แล้วนี้...อิอิ...มันเป็นแบบหยาบ ๆ แบบลูกทุ่ง ๆ..กำลังอ่อน ๆ...

:b13: :b13: :b13:

แต่อโศกะ...จะพิสูจน์ทฤษฎีก่อน...ก่อนเข้าใจ...อันนี้ก็ไม่แปลก.คับว่าแต่.ทฤษฎีสัมมาทิฏฐิ..เขาว่ายังงัยหรอคับ?
:b13: :b12: :b1:

ทฤษฎีของสัมมาทิฐิ ก็คือการ .......รู้ไตรลักษณ์(ปัญญาเบื้องต้น)
การใช้ทฤษฎีไตรลักษณ์ มาทำให้เกิด สัมมาทิฐิ ต้องอาศัยการทฤษฎีโพชฌงค์เจ็ด
การนำทฤษโพชฌงค์เจ็ดมาปฏิบัติ จะทำให้ให้เกิดอริยมรรคในแต่ล่ะองค์มรรค
การเกิดอริยมรรคในแต่ละองค์ ต้องเกิดสัมมาทิฐิก่อน แล้วจึงใช้สัมมาทิฐิ
ไปแทนไตรลักษณ์ในโพชฌงค์ แล้วก็ปฏิบัติต่อไปจนครบองค์แปด


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 04:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
อ้างคำพูด:
มหาจัตตารีสกสูตร.......
[๒๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน
ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ

เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้

เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้

:b12: :b12: :b12:

ช่วยตรงนี้ยังไงท่านกบ......คือ ปัญญามรรค 2 ตัว นำหน้า แล้วศีลมรรค และสมาธิมรรคจึงดีตามมาภายหลัง
:b27: :b20:


แล้ว...ก่อนสัมมาทิฏฐิจะเกิดได้...บุคคลนั้นมีจริยายังงัยคับ?

คือ..ผมไม่มีปัญหาหรอก..ในมรรค8 มีปัญญานำ.นะ...สัมมาทิฏฐิเขาจัดอยู่ในกลุ่มปัญญา

แต่..โปรดเข้าใจว่า...ยังไม่ใช่ปัญญาสูงสุดที่เราต้องการเพื่อประหารกิเลสให้หมด
จุดนี้..อโศกะเข้าใจตรงกันเน๊าะ...

อย่าลืมคำถามข้างบนนะว่า....ก่อนที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง...จะเห็นทุกข์...คิดอยากออกจากทุกข์..จนมาถึงขั้นของมรรค์8 ได้นี้
คน..คนนั้น...มีพื้นฐาน...มีกริยา...จิตใจอย่างไร?

เอาทฤษฎีนี้มาอ้างไม่ได้ ดูอย่างองค์คุลีมาลเป็นต้น

กะลากำลังหลง ยึดมั่นถือมั่นเป็นศีลพรตปรามาส

ศีลของพระพุทธองค์ไม่ใช่ความดีความชั่ว มันเป็นกิเลสของมนุษย์ ใครชอบก็ว่าถูก ไม่ชอบก็ว่าผิด

ศีลของพุทธองค์ ไม่ใช่ทั้งกุศลและอกุศล เป็นอัพยากฤต การจะทำให้เกิดอัพยากฤตได้
จะต้องอาศัย ปัญญาลงไปพิจารณาธรรมนั้นๆ

กะลาเริ่มหลงประเด็นแล้ว ประเด็นมันอยู่ที่....มรรคมีองค์แปด
ในมรรคมีองค์แปดอะไรนำหน้าไม่ใช่หรือ?

ส่วนปัญญาสูงสุดที่เรียกสัมมาญาณ เป็นลักษณะของผู้ที่ประหารกิเลสหมดแล้ว
ส่วนธรรมที่ใช้ประหารกิเลสเขาเรียกว่า ....สติปัฏฐานสี่ อันมีปัญญาระลึกรู้ไตรลักษณ์

พื้นฐานของผู้ที่เริ่มปฏิบัติ จะต้องเป็นผู้มีกุศล กุศลในที่นี้ไม่ได้หมายถึงศีลข้อห้าม
กุศลในที่นี้หมายถึง การหมั่นมีสติในสิ่งที่กำลังกระทำ(อิทธิบาท)


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 04:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ศีล....ก่อนเข้ามรรค...มันก็เป็นศีล

อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียด.ขึ้นกับคุณภาพของจิต

ศีลของพระพุทธเจ้า คือ...ความเป็นปกติ
และความเป็นปกติที่ว่า ก็คือจิตใจ ไม่ใช่การกระทำ

พระพุทธองค์บอกว่า ทุกอย่างเกิดแต่เหตุปัจจัย จิตที่เป็นอกุศล เขาก็เรียกว่า ศีลอกุศล
จิตที่เป็นกุศลก็เรียก ศีลกุศล หรือแม้แต่ไม่ใช่กุศลและอกุศลก็เรียก ศีลอัพยากฤต

ศีลของพระพุทธเจ้าก็คือการระลึกรู้ว่า จิตในขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ใช่ไประลึกรู้ศีลข้อห้าม

จะยกตัวอย่าง เรื่องศีลพรตปรามาสให้ดูสักเรื่อง สมมุติกะลาเดินอยู่ริมถนน แล้วมีสุนัขพันธุ์ฝรั่ง
กระโดดมางับน่อง เราก็รู้อยู่แล้วว่าหมาฝรั่งถ้ายิ่งสะบัด มันก็ยิ่งงับ
ในตัวกะลามีมีดดายหญ้าอยู่ ถามหน่อย กะลาจะปล่อยให้หมามันงับอยู่อย่างนั้น
หรือจะเอามีดฟันคอมันครับ

ส่วนเรื่องรายละเอียด นั้นก็หมายถึง ระดับปัญญาของจิต นั้นก็คือจิตโสดาบัน
กํบจิตปุถุชน พระโสดาบันถ้าเจอเหตุการณ์แบบนั้น รับรองได้ฟันคอหมาแน่ๆ
เมื่อฟันไปแล้ว ก็คิดแต่เพียงว่า ต้องไปหาหมอ เพียงแค่นั้น ไม่ไปคิดเรื่องบาปบุญหรอกครับ

ส่วนปุถุชนไม่ฟันเพราะอาจตกใจทำอะไรไม่ถูก หรือถ้าฟันไปแล้วอาจคิดว่าบาป
ต้องตกนรก หมาตัวนี้ต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตนต่อไป :b32:


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 10:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 13:22
โพสต์: 79


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมต้องขอโทษที่ตั้งกระทู้แบบโง่ๆ ที่ทำให้ท่านทั้งหลายต้องรบกันด้วยหอกดาบของความคิด ถ้าขัดใจท่านใดขออโหสิกรรมแก่ผมด้วย


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อมันตรา เขียน:
ผมต้องขอโทษที่ตั้งกระทู้แบบโง่ๆ ที่ทำให้ท่านทั้งหลายต้องรบกันด้วยหอกดาบของความคิด ถ้าขัดใจท่านใดขออโหสิกรรมแก่ผมด้วย

ตั้งกระทู้แบบนี้ไม่โง่หรอกครับ แต่การแสดงความเห็นแบบนี้ซิครับ....มันไม่ฉลาด


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 19:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

ทฤษฎีของสัมมาทิฐิ ก็คือการ .......รู้ไตรลักษณ์(ปัญญาเบื้องต้น)

ทฤษฎีนี้...ไม่เคยได้ยินมาก่อน..แฮ่ะ...
เคยแต่ได้ยินมาว่า...การเห็นทุกข์...เห็นเหตุแห่งทุกข์...เห็นความดับทุกข์...แล้วคิดจะดับทุกข์...จึงจะเข้าข่ายการมีสัมมาทิฏฐิ

ผมก็เลยมานั่งตรองดูว่า...
ไตรลักษณ์..เป็นทุกข์..มั้ย?...ก็เห็นว่า..ไม่
แล้ว..ไตรลักษณ์..เป็นเหตุให้เกิดทุกข์..มั้ย?...ก็เห็นว่า..ไม่....พระอรหันต์องค์เป็น ๆ ไตรลักษณ์ก็ยังปรากฎกับท่าน..แต่ท่านไม่ทุกข์...ก็เลยเห็นว่า...ตัญหา..อุปทาน...ต่างหาก(ปฏิจจะสายเกิด)

...ใจที่ห็นทุกข์...เข้าใจว่าอะไรทำให้เกิดทุกข์...ได้นี้...มันไม่ใช่ทฤษฎีแล้วละ

ดังนั้น..สัมมาทิฏฐิในทฤษฎี...ไม่มี...มีแต่สัมมาทิฏฐิของจริง..แต่กำลังอ่อนแก่ต่างกันเท่านั้น

อ้างคำพูด:
การใช้ทฤษฎีไตรลักษณ์ มาทำให้เกิด สัมมาทิฐิ ต้องอาศัยการทฤษฎีโพชฌงค์เจ็ด
การนำทฤษโพชฌงค์เจ็ดมาปฏิบัติ จะทำให้ให้เกิดอริยมรรคในแต่ล่ะองค์มรรค
การเกิดอริยมรรคในแต่ละองค์ ต้องเกิดสัมมาทิฐิก่อน แล้วจึงใช้สัมมาทิฐิ
ไปแทนไตรลักษณ์ในโพชฌงค์ แล้วก็ปฏิบัติต่อไปจนครบองค์แปด


เหมือนกำลังเห็นสูตร..อะไรสักอย่างแหน่ะ
:b13: :b13:


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 22:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

พระพุทธองค์บอกว่า ทุกอย่างเกิดแต่เหตุปัจจัย จิตที่เป็นอกุศล เขาก็เรียกว่า ศีลอกุศล
จิตที่เป็นกุศลก็เรียก ศีลกุศล หรือแม้แต่ไม่ใช่กุศลและอกุศลก็เรียก ศีลอัพยากฤต

ศีลของพระพุทธเจ้าก็คือการระลึกรู้ว่า จิตในขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ใช่ไประลึกรู้ศีลข้อห้าม


ศีล...ก็คือศีล...ศีล..แปลว่า..ปกติ
ในสังคมทัวไป...ก็คือ..ปกติของมนุษย์...คือ..ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่นเขา...ซึ่งมีมาก่อนจะเกิดพระพุทธศาสนา

พอสังคมอยู่รวมกันมาก ๆ..ก็มีการปกครองกันขึ้น...ก็มีกฎหมายเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง...ซึ่งมันก็เป็นศีลอีกประเภทหนึ่ง..เป็นศีลทางการปกครอง...อันนี้เริ่มเกินจากมนุษย์ธรรมดาแล้วเพราะสังคมซับซ้อนขึ้น

พอเกิดพระสงฆ์ขึ้น...แล้วมีอธิกรณ์ขึ้นมา....จึงทรงบัญญัติศีลในหมู่สงฆ์เพื่อให้หมู่สงฆ์อยู่ร่วมกันอย่างปกติ

ศีล..มันก็คือศีล...มันเป็นเรื่องของคนทั่วไป..เป็นปกติ

แต่...พอ...คน...คนนั้นมีคุณภาพจิตสูงขึ้น...เช่นเข้าถึงไตรสรณาคม..เข้าถึงโสดา..สกิทาคา..อนาคา...ความละเอียดลึกซึ่งในศีลของแต่ละระดับขั้น..มันก็เป็นไปตามคุณภาพของจิตผู้นั้นไปเอง...เช่นพอไปถึงอนาคามี....จิตมันพอใจในศีล 8 ของมันเอง...ไม่ต้องไปบังคับ


ส่วนที่โฮว่า...จิตระลึกรู้ว่า..กุศลหรือ..อกุศล...อันนี้มันเลยเข้ามาในอริยะมรรคแล้ว.ไม่ใช่ความเป็นปกติของปุถุชน

อย่าโยงกันไปมาให้มั่ว..ซิ...


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 22:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:

ทฤษฎีของสัมมาทิฐิ ก็คือการ .......รู้ไตรลักษณ์(ปัญญาเบื้องต้น)

ทฤษฎีนี้...ไม่เคยได้ยินมาก่อน..แฮ่ะ...
เคยแต่ได้ยินมาว่า...การเห็นทุกข์...เห็นเหตุแห่งทุกข์...เห็นความดับทุกข์...แล้วคิดจะดับทุกข์...จึงจะเข้าข่ายการมีสัมมาทิฏฐิ

ผมก็เลยมานั่งตรองดูว่า...
ไตรลักษณ์..เป็นทุกข์..มั้ย?...ก็เห็นว่า..ไม่
แล้ว..ไตรลักษณ์..เป็นเหตุให้เกิดทุกข์..มั้ย?...ก็เห็นว่า..ไม่....พระอรหันต์องค์เป็น ๆ ไตรลักษณ์ก็ยังปรากฎกับท่าน..แต่ท่านไม่ทุกข์...ก็เลยเห็นว่า...ตัญหา..อุปทาน...ต่างหาก(ปฏิจจะสายเกิด)

...ใจที่ห็นทุกข์...เข้าใจว่าอะไรทำให้เกิดทุกข์...ได้นี้...มันไม่ใช่ทฤษฎีแล้วละ

ดังนั้น..สัมมาทิฏฐิในทฤษฎี...ไม่มี...มีแต่สัมมาทิฏฐิของจริง..แต่กำลังอ่อนแก่ต่างกันเท่านั้น

อ้างคำพูด:
การใช้ทฤษฎีไตรลักษณ์ มาทำให้เกิด สัมมาทิฐิ ต้องอาศัยการทฤษฎีโพชฌงค์เจ็ด
การนำทฤษโพชฌงค์เจ็ดมาปฏิบัติ จะทำให้ให้เกิดอริยมรรคในแต่ล่ะองค์มรรค
การเกิดอริยมรรคในแต่ละองค์ ต้องเกิดสัมมาทิฐิก่อน แล้วจึงใช้สัมมาทิฐิ
ไปแทนไตรลักษณ์ในโพชฌงค์ แล้วก็ปฏิบัติต่อไปจนครบองค์แปด


เหมือนกำลังเห็นสูตร..อะไรสักอย่างแหน่ะ
:b13: :b13:

s007
คุณกบกำลังสำคัญผิดในเรื่องไตรลักษณ์แล้วนะครับ

ไตรลักษณ์นั่นแหละเป็นตัวทำให้เกิดทุกข์จริงๆ ถ้าจิตดวงที่ไปรู้ไตรลักษณ์นั้นเต็มไปด้วยความเห็นผิดและยึดผิดว่า กาย ใจ นี้ เป็นตัวกู ของกู

ธรรมชาติเขาแสดง อนิจจัง...ความไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนแปลง...... ทุกขัง ความทนตั้งอยู่ไม่ได้....
อนัตตา ความบังคับบัญชาไม่ได้

แต่บุคคลที่เต็มไปด้วยความเห็นผิด ยึดผิด จึงเพียรพยายาม ทำอนิจจังให้มัน นิจจัง....ทุกขัง เป็น สุขขัง....อนัตตา เป็น อัตตา.....มันจึงต้องทุกข์อยู่ร่ำไป

ไตรลักษณ์นั่นและมาทำให้เกิดความเห็นถูกต้อง ยึดถูกต้อง แล้วปัญญาที่เห็นถูกต้อง ยึดถูกต้องนั้นจึงไปทำลาย อัตตาและวิจิกิจฉา ซึ่งเป็น พ่อ แม่ของกิเลสตัณหาทั้งปวง...เมื่อ พ่อ แม่มันตาย กิเลส 1,500...ตัณหา 108 ซึ่งเป็นลูกหลานของอัตตาและวิจิกิจฉาก็ตายตามกันจนยกรัง


ส่วนเรื่องสัมมาทิฏฐิโดยทฤษฎีไม่มีนั้น....วินิจฉัยของคุณกบอาจจะหยาบไปหน่อยนะครับ

คุณกบไม่ได้เรียนรู้เรื่อง อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา โดยสุตตมยปัญญา หรือปริยัติศาสนามาก่อน แล้วคุณกบจะรู้เรื่องหรือครับว่าสัมมาทิฏฐิโดยทฤษฎีคืออะไร ต้องพิสูจน์หรือปฏิบัติอย่างไรจึงจะเข้าถึงสัมมาทิฏฐิโดยการปฏิบัติ

คุณโฮฮับท่านอธิบายไว้เป็นลำดับดีแล้ว...ลองไปตรองดูใหม่ให้ดีนะครับว่าคุณกบเกิดมาก็ไม่เคยได้รู้เรื่อง อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา สัมมาทิฏฐิมาจากท้องพ่อท้องแม่...ต้องมาศีกษาเอาภายหลัง

onion onion
สำหรับคุณอมันตรา ก็อย่าได้ร้อนอกตกใจอะไรไปเลย กระทู้ของคุณแน่มากที่ทำให้...ท่านผู้รู้ทั้งหลายได้อาศัยเป็นเหตุมาอภิปรายกัน
:b27: :b27: :b12: :b12:
สำหรับคุณเอก้อนผู้เชี่ยวชาญในการค้นคว้าและยกข้อความในพระสูตรมาแสดง ผมก็ยังอนุโมทนาในความเพียรของคุณอยู่
tongue
สำหรับผมไม่ได้เอามากมายหลายสูตรจนหูตาลาย.....ที่ผมยึดถือมาใช้เป็นแนวปฏิบัติของตนเองจริงๆทุึกวันนี้ก็มีเพียงแค่...ธรรมจักกัปปวัตนสูตร...ว่าด้วยเรื่อง ทาง 3 เส้น และอริยสัจ 4...มรรคแปด ....อนัตตลักขณสูตร.....สติปัฏฐานสูตร ธรรมดา ไม่ใช่ มหาสติปัฏฐานสูตร...ภัทเทกรัตตคาถา..
.ติลักขณาทิคาถา และโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ เท่านั้นเอง...สติปัญญาผมคงน้อยกว่าท่านเอก้อนเยอะเลย เลยไม่ได้สนใจพระสูตรที่ท่านชวนไปอ่าน....จะกรุณาสรุปมาให้ฟังสั้นๆก็จะได้บุญเยอะนะครับ ไม่ต้องยกมาทั้งดุ้น เพราะผมไม่ค่อยเก่งศัพท์แสงในคัมภีร์สักเท่าไหร่ครับ

:b8: tongue smiley :b11: :b4: :b4: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 22:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
จะยกตัวอย่าง เรื่องศีลพรตปรามาสให้ดูสักเรื่อง สมมุติกะลาเดินอยู่ริมถนน แล้วมีสุนัขพันธุ์ฝรั่ง
กระโดดมางับน่อง เราก็รู้อยู่แล้วว่าหมาฝรั่งถ้ายิ่งสะบัด มันก็ยิ่งงับ
ในตัวกะลามีมีดดายหญ้าอยู่ ถามหน่อย กะลาจะปล่อยให้หมามันงับอยู่อย่างนั้น
หรือจะเอามีดฟันคอมันครับ

ส่วนเรื่องรายละเอียด นั้นก็หมายถึง ระดับปัญญาของจิต นั้นก็คือจิตโสดาบัน
กํบจิตปุถุชน พระโสดาบันถ้าเจอเหตุการณ์แบบนั้น รับรองได้ฟันคอหมาแน่ๆ
เมื่อฟันไปแล้ว ก็คิดแต่เพียงว่า ต้องไปหาหมอ เพียงแค่นั้น ไม่ไปคิดเรื่องบาปบุญหรอกครับ

ส่วนปุถุชนไม่ฟันเพราะอาจตกใจทำอะไรไม่ถูก หรือถ้าฟันไปแล้วอาจคิดว่าบาป
ต้องตกนรก หมาตัวนี้ต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตนต่อไป :b32:


เคยฟังเรื่อง...เข้าถึงอรหันต์ในปากเสือ...มั้ย..โฮ..อิอิ...มันไม่เข้ากับเรื่องที่โฮคิดเลยนะ

มีที่ไหน..โสดา..กลัวตายเลยฟันคอหมา...เพื่อให้ตัวรอด..โดยไม่สนชีวิตใคร...แต่ปุถุชนกลับระลึกรู้ในเรื่องบุญกรรม..ซะเนี้ย

ชีวิต..มันจะสับสนเอาหนา :b5: :b5:


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 22:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
[color=#000080][b]คุณกบกำลังสำคัญผิดในเรื่องไตรลักษณ์แล้วนะครับ

ไตรลักษณ์นั่นแหละเป็นตัวทำให้เกิดทุกข์จริงๆ ถ้าจิตดวงที่ไปรู้ไตรลักษณ์นั้น
เต็มไปด้วยความเห็นผิดและยึดผิดว่า
กาย ใจ นี้ เป็นตัวกู ของกู

ธรรมชาติเขาแสดง อนิจจัง...ความไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนแปลง...... ทุกขัง ความทนตั้งอยู่ไม่ได้....
อนัตตา ความบังคับบัญชาไม่ได้

แต่บุคคลที่เต็มไปด้วยความเห็นผิด ยึดผิด จึงเพียรพยายาม ทำอนิจจังให้มัน นิจจัง....ทุกขัง เป็น สุขขัง....อนัตตา เป็น อัตตา.....มันจึงต้องทุกข์อยู่ร่ำไป



คุณอโศกะ..นี้ก็แปลก....ตัวเองพูดเองแท้ ๆ แต่กลับไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูด
:b9: :b9:

ถามหน่อย...พระอรหันต์เห็นไตรลักษณ์มั้ยครับ?..แล้วท่านทุกข์มั้ย?
แล้วงั้ยปุถุชนถึงทุกข์......

ทุกข์เพราะมันไตรลักษณ์...หรือ..ทุกข์เพราะเข้าไปยึด?

อโศกะ..ก็พูดเองว่า...การเข้าไปยึดผิด...เห็นผิด...ทำให้ทุกข์.....แต่งั้ยมาขมวดปมกลับมาที่เพราะมีไตรลักษณ์..อีก

สับสนในตัวเองแล้วละ...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร