วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 15:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 11 ต.ค. 2016, 08:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1476148457263.jpg
1476148457263.jpg [ 20.4 KiB | เปิดดู 2611 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
s004
กรัชกายนี่คงไม่เคยได้ยินทฤษฎีเพื่อการปฏิบัตินะครับ

ขอยกสรุปคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์มาให้พิจารณานะครับ เข้าใจว่าอย่างไรแล้วเล่าให้ฟังด้วย

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความเห็นผิดได้ ได้ความเป็นโสดาบันและสกิทาคามีบุคคล"

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความยึดถือในกายได้ ได้ความเป็นพระอนาคามี"

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความยึดถือในจิตได้ ได้ความเป็นพระอรหันต์"



ทฤษฎีก็ทฤษฎี อย่าเอามาถามกรัชกายเลยครับ มันไม่ได้ง่ายเหมือนปากพูดหรอก


ทางออกของนักวิชาการและคนไม่สู้จริง ไม่เอาจริง

s004
แล้วจับประเด็นคำสอน วิธีปฏิบัติของหลวงพ่อธีได้หรือยังล่ะ ช่วยสรุปให้ฟังหน่อยครับ
s006


กรัชกายชอบของหลวงพ่อธี :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 11 ต.ค. 2016, 08:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสต์ เมื่อ: 11 ต.ค. 2016, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
s004
กรัชกายนี่คงไม่เคยได้ยินทฤษฎีเพื่อการปฏิบัตินะครับ

ขอยกสรุปคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์มาให้พิจารณานะครับ เข้าใจว่าอย่างไรแล้วเล่าให้ฟังด้วย

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความเห็นผิดได้ ได้ความเป็นโสดาบันและสกิทาคามีบุคคล"

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความยึดถือในกายได้ ได้ความเป็นพระอนาคามี"

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความยึดถือในจิตได้ ได้ความเป็นพระอรหันต์"



ทฤษฎีก็ทฤษฎี อย่าเอามาถามกรัชกายเลยครับ มันไม่ได้ง่ายเหมือนปากพูดหรอก


ทางออกของนักวิชาการและคนไม่สู้จริง ไม่เอาจริง

s004
แล้วจับประเด็นคำสอน วิธีปฏิบัติของหลวงพ่อธีได้หรือยังล่ะ ช่วยสรุปให้ฟังหน่อยครับ
s006


กรัชกายชอบของหลวงพ่อธี :b1:



ยังไม่ได้ ท่านอโศกช่วยจับประเด็นวิธีปฏิบัติให้ชัดทีสิครับ สาธุ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 11 ต.ค. 2016, 08:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
s004
กรัชกายนี่คงไม่เคยได้ยินทฤษฎีเพื่อการปฏิบัตินะครับ

ขอยกสรุปคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์มาให้พิจารณานะครับ เข้าใจว่าอย่างไรแล้วเล่าให้ฟังด้วย

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความเห็นผิดได้ ได้ความเป็นโสดาบันและสกิทาคามีบุคคล"

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความยึดถือในกายได้ ได้ความเป็นพระอนาคามี"

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความยึดถือในจิตได้ ได้ความเป็นพระอรหันต์"



ทฤษฎีก็ทฤษฎี อย่าเอามาถามกรัชกายเลยครับ มันไม่ได้ง่ายเหมือนปากพูดหรอก


ทางออกของนักวิชาการและคนไม่สู้จริง ไม่เอาจริง

s004
แล้วจับประเด็นคำสอน วิธีปฏิบัติของหลวงพ่อธีได้หรือยังล่ะ ช่วยสรุปให้ฟังหน่อยครับ
s006


กรัชกายชอบของหลวงพ่อธี :b1:



ยังไม่ได้ ท่านอโศกช่วยจับประเด็นวิธีปฏิบัติให้ชัดทีสิครับ สาธุ

onion
อนัตตา
onion
ท่องอนัตตา
บริกรรมอนัตตา
พิสูจน์อนัตตา
อนัตตาลูกเดียวกับทุกการกระทบสัมผัสและอารมณ์
onion


โพสต์ เมื่อ: 11 ต.ค. 2016, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
s004
กรัชกายนี่คงไม่เคยได้ยินทฤษฎีเพื่อการปฏิบัตินะครับ

ขอยกสรุปคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์มาให้พิจารณานะครับ เข้าใจว่าอย่างไรแล้วเล่าให้ฟังด้วย

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความเห็นผิดได้ ได้ความเป็นโสดาบันและสกิทาคามีบุคคล"

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความยึดถือในกายได้ ได้ความเป็นพระอนาคามี"

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความยึดถือในจิตได้ ได้ความเป็นพระอรหันต์"



ทฤษฎีก็ทฤษฎี อย่าเอามาถามกรัชกายเลยครับ มันไม่ได้ง่ายเหมือนปากพูดหรอก


ทางออกของนักวิชาการและคนไม่สู้จริง ไม่เอาจริง

s004
แล้วจับประเด็นคำสอน วิธีปฏิบัติของหลวงพ่อธีได้หรือยังล่ะ ช่วยสรุปให้ฟังหน่อยครับ
s006


กรัชกายชอบของหลวงพ่อธี :b1:



ยังไม่ได้ ท่านอโศกช่วยจับประเด็นวิธีปฏิบัติให้ชัดทีสิครับ สาธุ

onion
อนัตตา
onion
ท่องอนัตตา
บริกรรมอนัตตา
พิสูจน์อนัตตา
อนัตตาลูกเดียวกับทุกการกระทบสัมผัสและอารมณ์


อ้าวท่องอนัตตาลูกเดียวหรอ :b10:

แล้วที่แนะนำกรัชกายก่อนหน้าว่า ให้นิ่งสังเกตปัจจุบันอะไรที่ว่า จนดับมันดับไปต่อหน้าต่อตา ต่อแตนล่ะทำไง งงนะขอรับ :b32: เอาสักอย่างสิครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 11 ต.ค. 2016, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วาง ตย.นี้เทียบไว้ใกล้ๆ :b1:

การขอคำปรึกษาเรื่องอาการที่เกิดจากการฝึกสมาธิในที่สาธารณะแบบนี้ถือว่าสมควรไหม

มีความรู้เรื่องพุทธศาสนาน้อยมาก จึงกังวลไปทั่วทุกอย่างค่ะ ไปฝึกแล้วเป็นโรคจิต (ตามที่หมอบอกจากอาการที่เราเป็น)

นั่งอ่านตามเว็บไซต์ ก็ไม่เห็นมีคนพูดกันว่าเจออะไรบ้าง จึงไม่แน่ใจว่ามันควรพูดไหม เดี๋ยวเจอข้อหาโทษศาสนา

ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน

แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลย จึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก

ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีก เพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง

แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะ เพราะมันคล้ายหูแว่ว แต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)

กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร

เสียงที่ได้ยินบอกว่า ไม่หายหรอกต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก
แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน
แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 11 ต.ค. 2016, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตประกอบด้วยร่างกายกับจิตใจ กายกับจิตใจ (ความคิด) ต่างก็อาศัยซึ่งกันและกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ขาดร่างกาย (รูป) จิตใจก็ไม่มีที่อาศัย ขาดจิตใจ (นาม) คนก็ไม่ต่างจากก้อนหิน

ดังนั้นการปฏิบััติ จะรู้เรียกปฏิบัติธรรม ปฏิบัติกรรมฐานอะไรสุดแล้วแต่ สภาวะจะเกิดที่จิตก็ถึงกายด้วย เกิดที่กายก็สะเทือนถึงจิตด้วย สังเกตดีๆ

ดูตัวอย่าง


เราฝึกสมาธิโดยการเจริญอานาปานสติมาระยะหนึ่ง (ประมาณเดือนเศษเกือบสองเดือนแล้ว)

อาศัยหาความรู้เอาจากอินเตอร์เน็ตบ้างหนังสือบ้าง คิดว่ามีความก้าวหน้าไปในระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้เกิดอุปสรรคขึ้นค่ะ

พอ เรานั่งไปได้ระยะหนึ่ง ลมหายใจจะเริ่มแผ่วลงและกระชั้นสั้นลงเรื่อยๆคล้ายๆจะหายไม่ออกเราก็กลัว เราเลยลองหาข้อมูลดู ก็ทราบว่าเป็นอาการที่ลมหายใจละเอียดขึ้น จากนั้นพอเรานั่งครั้งต่อๆมา เราพยายามทำใจให้ไม่กลัวอาการนี้ โดยพยายามนับลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ ซักพักก็ชิน

คราวนี้ มีอาการใหม่เกิดขึ้นอีก คือบางครั้งตัวจะสั่นมาก สั่นอย่างรุนแรง บางครั้งหน้าสะบัด บางครั้งอ้าปากค้าง (อ้ากว้างมากจนเมื่อยข้อต่อขากรรไกร) บางครั้งดูดปากตัวเองจนเจ็บแก้ม บางครั้งคอเอียงแข็ง พอเลิกนั่งคอเคล็ดเลยค่ะ

ตอนมีอาการเหล่านี้ เรารู้สึกตัวตลอดนะคะ คิดว่าถ้ารีบลืมตาก็คงหยุดอาการเหล่านี้ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นสมาธิจะหลุดไปด้วย เราก็ปล่อยให้อาการมันเกิดไปอย่างนั้น ซักระยะหนึ่งมันก็หยุดไปเอง แต่ว่าสมาธิเราก็จะคลายไปด้วย เสร็จแล้วเหนื่อยมากค่ะ


เราลองค้นๆดูข้อมูล อาการตัวสั่นนั่น อาจจะเป็นอาการของปิติรึเปล่าคะ แล้วพวกอาการ ปากอ้าค้าง ตัวเกร็ง คอเอียงอะไรเหล่า เป็นอาการของปิติด้วยรึเปล่าคะ เราติดอยู่ตรงนี้นานแล้ว เราทำสมาธิทุกวันค่ะ แต่ประมาณเดือนหนึ่งแล้วค่ะที่ไม่ก้าวหน้า คือบางวันที่มีเรื่องเครียดๆวุ่นๆ จิตใจไม่สงบนัก เข้าสมาธิได้ไม่ดี อาการเหล่านี้ก็ไม่เกิด
แต่วันไหนที่เข้าสมาธิได้ อาการเหล่านี้มาทุกที แล้วก็จะจบแค่นี้


สังเกตสภาวะตามที่เขาเล่า มันเกิดขึ้นๆๆๆ แล้วก็ดับไปๆๆๆ มีอะไรคงที่มั่ง ไม่มี

มองในแง่ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) มันเป็นไตรลักษณ์

มองในแง่ อริยสัจ ก็เป็นทุกขสัจ เพราะโยงถึงคน (ไตรลักษณ์เป็นธรรมชาติ แต่คนไม่ยึดมัน ก็กลายเป็นทุกข์ของคน=ทุกขอริยสัจ)

มองในแง่เวทนามันก็เป็นทุกขเวทนา

เราต้องดูรู้ทันมัน อย่าเป็นทุกข์ไปกับมัน

เห็นทุกข์จึงดับทุกข์ได้ ไม่ใช่เห็นทุกข์แล้วกลายเป็นทุกข์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 11 ต.ค. 2016, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
s004
กรัชกายนี่คงไม่เคยได้ยินทฤษฎีเพื่อการปฏิบัตินะครับ

ขอยกสรุปคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์มาให้พิจารณานะครับ เข้าใจว่าอย่างไรแล้วเล่าให้ฟังด้วย

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความเห็นผิดได้ ได้ความเป็นโสดาบันและสกิทาคามีบุคคล"

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความยึดถือในกายได้ ได้ความเป็นพระอนาคามี"

"รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน จนละความยึดถือในจิตได้ ได้ความเป็นพระอรหันต์"



ทฤษฎีก็ทฤษฎี อย่าเอามาถามกรัชกายเลยครับ มันไม่ได้ง่ายเหมือนปากพูดหรอก


ทางออกของนักวิชาการและคนไม่สู้จริง ไม่เอาจริง

s004
แล้วจับประเด็นคำสอน วิธีปฏิบัติของหลวงพ่อธีได้หรือยังล่ะ ช่วยสรุปให้ฟังหน่อยครับ
s006


กรัชกายชอบของหลวงพ่อธี :b1:



ยังไม่ได้ ท่านอโศกช่วยจับประเด็นวิธีปฏิบัติให้ชัดทีสิครับ สาธุ

onion
อนัตตา
onion
ท่องอนัตตา
บริกรรมอนัตตา
พิสูจน์อนัตตา
อนัตตาลูกเดียวกับทุกการกระทบสัมผัสและอารมณ์


อ้าวท่องอนัตตาลูกเดียวหรอ :b10:

แล้วที่แนะนำกรัชกายก่อนหน้าว่า ให้นิ่งสังเกตปัจจุบันอะไรที่ว่า จนดับมันดับไปต่อหน้าต่อตา ต่อแตนล่ะทำไง งงนะขอรับ :b32: เอาสักอย่างสิครับ

onion
ของหลวงพ่อธีกับของอโศกะคนละอันกันครับ

หลวงพ่อธี เน้นให้ค้นหาอนัตตา พิสูจน์อนัตตา

ของอโศกะ เน้นค้นหาอัตตา ทำลายอัตตาได้แล้วจะพบอนัตตา
:b38:


โพสต์ เมื่อ: 11 ต.ค. 2016, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2016, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:




ของหลวงพ่อธีกับของอโศกะคนละอันกันครับ

หลวงพ่อธี เน้นให้ค้นหาอนัตตา พิสูจน์อนัตตา

ของอโศกะ เน้นค้นหาอัตตา ทำลายอัตตาได้แล้วจะพบอนัตตา
:b38:



อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง :b14: หลวงพ่อค้นหาอนัตตา

ท่านอโศกค้นหาอัตตา แล้วทำลายมันเสียจะได้พบกับอนัตตา คิกๆๆ

ว่ากันไปครับ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ

ถ้ายังงั้นถามท่านอโศกต่อว่า ถ้าอัตตาไม่มีล่ะ ท่านอโศกจะไปค้นหาที่ไหน :b32: นี่แง่หนึ่งนะขอรับ



อีกแง่หนึ่ง ตามนี้

อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา (บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมฝึกตน) ท่านอโศกจะทำลาย (อตฺตา,ตน) ยังไง เอ้า

หรือเอาแบบที่คนไทยได้ยินบ่อยๆ ก็ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ (ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน) ท่านอโศกจะทำลาย อตฺตา,ตน ยังไงแบบไหน จึงจะพบกับอนัตตา ไหนลองว่าไปสิครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 13 ต.ค. 2016, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศกไปไหน ไม่ตอบคำถามเรื่อง อัตตา - อนัตตา :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 14 ต.ค. 2016, 06:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




เหตุ ปัจจัย นิพพาน_82kb.jpg
เหตุ ปัจจัย นิพพาน_82kb.jpg [ 82.9 KiB | เปิดดู 2548 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:




ของหลวงพ่อธีกับของอโศกะคนละอันกันครับ

หลวงพ่อธี เน้นให้ค้นหาอนัตตา พิสูจน์อนัตตา

ของอโศกะ เน้นค้นหาอัตตา ทำลายอัตตาได้แล้วจะพบอนัตตา
:b38:



อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง :b14: หลวงพ่อค้นหาอนัตตา

ท่านอโศกค้นหาอัตตา แล้วทำลายมันเสียจะได้พบกับอนัตตา คิกๆๆ

ว่ากันไปครับ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ

ถ้ายังงั้นถามท่านอโศกต่อว่า ถ้าอัตตาไม่มีล่ะ ท่านอโศกจะไปค้นหาที่ไหน :b32: นี่แง่หนึ่งนะขอรับ



อีกแง่หนึ่ง ตามนี้

อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา (บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมฝึกตน) ท่านอโศกจะทำลาย (อตฺตา,ตน) ยังไง เอ้า

หรือเอาแบบที่คนไทยได้ยินบ่อยๆ ก็ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ (ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน) ท่านอโศกจะทำลาย อตฺตา,ตน ยังไงแบบไหน จึงจะพบกับอนัตตา ไหนลองว่าไปสิครับ :b1:

:b8:
อัตตา....ไม่มีอยู่จริงโดยธรรม แต่

"ความเห็นผิดว่ารูปนามกายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน มีอยู่จริงในใจของปุถุชนทุกๆคน"


เมื่อพิจารณาตามอริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาสอนแล้ว สมุทัย เหตุทุกข์นั้นพระพุทธองค์ตรัสว่า ตัณหา

แต่สิ่งที่ซ่อนลึกอยู่เบื้องหลังตัณหานั้นพระองค์ไม่ทรงบอกทันทีคล้ายกับจะทิ้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ค้นพบด้วยตนเอง

ตัณหา แปลว่า ความอยาก

เราสามารถค้นลึกลงไปในตัณหาเพื่อให้เจอสมุทัยที่แท้จริง
ด้วยคำถามหาเหตุหาผลง่ายๆพื้นๆว่า

"ใครอยาก"

คนทั่วไปมักจะพากันตอบว่า "ใจอยาก"

ถ้าตอบอย่างนี้ก็จะมีคำถามต่อไปได้อีกว่า "ใจใคร"

ผู้คนทั้งหลายมักจะตอบว่า "ใจเรา"

คำตอบนี้ยังถือว่าผิด เพราะยังไม่ได้ตัวผู้ร้ายตัวจริงเนื่องจากคำว่า "เรา" เป็นพหูพจน์ คือมีตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จึงเป็นคำตอบที่ไม่ถูกตามหลักภาษาและไวยากรณ์ไทย

คำตอบที่ถูกต้องควรต้องตอบว่า "ใจฉัน"

แต่ถ้าจะให้ทราบซึ้งถึงใจต้องใช้ภาษาพ่อขุนฯตอบว่า

"ใจกู"

ใจ หรือ จิตใจ เป็นธรรมชาติที่เป็นกลางๆแต่จะถูกปรุงแต่งให้เป็นไปต่างๆได้เมื่อมีเจตสิกมาย้อมให้เป็นไป

กู=อัตตา = สักกายทิฏฐิ เป็นสมมุติบัญญัติ ไม่มีอยู่จริง แต่

"ความเห็นผิดว่ารูปนาม กายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกูของกูมีอยู่จริงในใจปุถุชนทุกๆคน"


สังเกตและพิสูจน์ได้ง่ายๆทันทีเดี๋ยวนี้ขณะที่ดูที่อ่านข้อความอยู่ขณะนี้ก็อ่านด้วยความเห็นเป็นกูที่ตอบโต้อยู่ภายในไปตามอำนาจสัญญาและความเห็นที่ตนได้เรียนรู้บันทึกมา น้อยคนนักที่จะตอบโต้ด้วยเหตุผลตามธรรม

จากเรื่องนี้จึงพอจะมองเห็นได้ว่าภาษิตที่ว่า
"บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน"

"ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" และภาษิตอื่นที่เกี่ยวกับตนตัวของตนนั้น ล้วนแต่เป็นภาษิตที่เอาประโยชน์จากความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนนั้นแหละมาชำระและขุดถอนความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนนั้นออก

ดังคำกล่าวที่ว่า "โคลนเกิดขึ้นได้จากน้ำแต่การจะชำระล้างโคลนให้หมดไปก็ต้องใช้น้ำนั่นแหละชำระ"

นักวิชาการทั้งหลายท่านพึงพากันฉลาดเลือกใช้บัญญัติให้เป็นให้ถูกต้องตามกาละ เทศะและสถานการณ์ให้เป็นเถิดจึงจะได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริง

ที่สุดของธรรมะเช้าวันนี้ต้องพากันเข้าใจให้ดีว่า

อัตตา....ไม่มีอยู่จริงโดยธรรม แต่

"ความเห็นผิดว่ารูปนามกายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน มีอยู่จริงในใจของปุถุชนทุกๆคน"

หลักฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า สมุทัย เหตุทุกข์ที่แท้จริงซึ่งเป็นสังโยชน์ที่จะต้องชำระออกให้ได้เป็นอันดับแรกนั้นคือ
สักกายทิฏฐิ = อัตตา = กู เป็นสำคัญ ไม่ใช่ตัณหา" พึงพิจารณากันให้ดีๆเพื่อที่เป้าหมายการปฏิบัติธรรมจะได้ชี้ตรงไปที่เหตุทุกข์ที่แท้จริง

onion
โพสต์ เมื่อ: 14 ต.ค. 2016, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:




ของหลวงพ่อธีกับของอโศกะคนละอันกันครับ

หลวงพ่อธี เน้นให้ค้นหาอนัตตา พิสูจน์อนัตตา

ของอโศกะ เน้นค้นหาอัตตา ทำลายอัตตาได้แล้วจะพบอนัตตา
:b38:



อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง :b14: หลวงพ่อค้นหาอนัตตา

ท่านอโศกค้นหาอัตตา แล้วทำลายมันเสียจะได้พบกับอนัตตา คิกๆๆ

ว่ากันไปครับ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ

ถ้ายังงั้นถามท่านอโศกต่อว่า ถ้าอัตตาไม่มีล่ะ ท่านอโศกจะไปค้นหาที่ไหน :b32: นี่แง่หนึ่งนะขอรับ



อีกแง่หนึ่ง ตามนี้

อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา (บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมฝึกตน) ท่านอโศกจะทำลาย (อตฺตา,ตน) ยังไง เอ้า

หรือเอาแบบที่คนไทยได้ยินบ่อยๆ ก็ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ (ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน) ท่านอโศกจะทำลาย อตฺตา,ตน ยังไงแบบไหน จึงจะพบกับอนัตตา ไหนลองว่าไปสิครับ


ท่านอโศกตอบชัดๆ อย่าอธิบายกว้างเป็นน้ำท่วมทุ่ง จนจับประเด็นจับใจความไม่ได้

"อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา" บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน ท่านอโศกจะฝึกตนไหม ? หรือไม่ฝึกเพราะไม่มีตนให้ฝึก :b1: ถ้าไม่มีตนแล้วใครนั่งหัวโด่อยุ่นั่นน่า :b32:


ทีนี้ลงพุทธพจน์ให้เต็มๆเลย

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา

อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ.

ตนแลเป็นที่พึ่งของตน, บุคคลอื่นใครเล่าพึงเป็นที่พึ่งได้
เพราะบุคคล มีตนฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่ง อันบุคคลได้โดยยาก.

ท่านอโศกจะทำยังไง หรือท่านอโศกไม่ยอมรับพุทธพจน์นี้ ระวังตกนรกนะขอรับ :b13:


ถ้าท่านอโศกยังนึกภาพนรกไม่ออก เทียบกันกับนี่ครับ

https://www.youtube.com/watch?v=lDxOhfiFsuc



ประเด็นต่อมา ท่านอโศกจะค้นหาตนแล้วทำลายเพื่อไปพบกับอนัตตายังไง เอ้า :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 14 ต.ค. 2016, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:




ของหลวงพ่อธีกับของอโศกะคนละอันกันครับ

หลวงพ่อธี เน้นให้ค้นหาอนัตตา พิสูจน์อนัตตา

ของอโศกะ เน้นค้นหาอัตตา ทำลายอัตตาได้แล้วจะพบอนัตตา
:b38:



อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง :b14: หลวงพ่อค้นหาอนัตตา

ท่านอโศกค้นหาอัตตา แล้วทำลายมันเสียจะได้พบกับอนัตตา คิกๆๆ

ว่ากันไปครับ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ

ถ้ายังงั้นถามท่านอโศกต่อว่า ถ้าอัตตาไม่มีล่ะ ท่านอโศกจะไปค้นหาที่ไหน :b32: นี่แง่หนึ่งนะขอรับ



อีกแง่หนึ่ง ตามนี้

อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา (บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมฝึกตน) ท่านอโศกจะทำลาย (อตฺตา,ตน) ยังไง เอ้า

หรือเอาแบบที่คนไทยได้ยินบ่อยๆ ก็ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ (ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน) ท่านอโศกจะทำลาย อตฺตา,ตน ยังไงแบบไหน จึงจะพบกับอนัตตา ไหนลองว่าไปสิครับ :b1:

:b8:
อัตตา....ไม่มีอยู่จริงโดยธรรม แต่

"ความเห็นผิดว่ารูปนามกายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน มีอยู่จริงในใจของปุถุชนทุกๆคน"


เมื่อพิจารณาตามอริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาสอนแล้ว สมุทัย เหตุทุกข์นั้นพระพุทธองค์ตรัสว่า ตัณหา

แต่สิ่งที่ซ่อนลึกอยู่เบื้องหลังตัณหานั้นพระองค์ไม่ทรงบอกทันทีคล้ายกับจะทิ้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ค้นพบด้วยตนเอง

ตัณหา แปลว่า ความอยาก

เราสามารถค้นลึกลงไปในตัณหาเพื่อให้เจอสมุทัยที่แท้จริง
ด้วยคำถามหาเหตุหาผลง่ายๆพื้นๆว่า

"ใครอยาก"

คนทั่วไปมักจะพากันตอบว่า "ใจอยาก"

ถ้าตอบอย่างนี้ก็จะมีคำถามต่อไปได้อีกว่า "ใจใคร"

ผู้คนทั้งหลายมักจะตอบว่า "ใจเรา"

คำตอบนี้ยังถือว่าผิด เพราะยังไม่ได้ตัวผู้ร้ายตัวจริงเนื่องจากคำว่า "เรา" เป็นพหูพจน์ คือมีตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จึงเป็นคำตอบที่ไม่ถูกตามหลักภาษาและไวยากรณ์ไทย

คำตอบที่ถูกต้องควรต้องตอบว่า "ใจฉัน"

แต่ถ้าจะให้ทราบซึ้งถึงใจต้องใช้ภาษาพ่อขุนฯตอบว่า

"ใจกู"

ใจ หรือ จิตใจ เป็นธรรมชาติที่เป็นกลางๆแต่จะถูกปรุงแต่งให้เป็นไปต่างๆได้เมื่อมีเจตสิกมาย้อมให้เป็นไป

กู=อัตตา = สักกายทิฏฐิ เป็นสมมุติบัญญัติ ไม่มีอยู่จริง แต่

"ความเห็นผิดว่ารูปนาม กายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกูของกูมีอยู่จริงในใจปุถุชนทุกๆคน"


สังเกตและพิสูจน์ได้ง่ายๆทันทีเดี๋ยวนี้ขณะที่ดูที่อ่านข้อความอยู่ขณะนี้ก็อ่านด้วยความเห็นเป็นกูที่ตอบโต้อยู่ภายในไปตามอำนาจสัญญาและความเห็นที่ตนได้เรียนรู้บันทึกมา น้อยคนนักที่จะตอบโต้ด้วยเหตุผลตามธรรม

จากเรื่องนี้จึงพอจะมองเห็นได้ว่าภาษิตที่ว่า
"บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน"

"ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" และภาษิตอื่นที่เกี่ยวกับตนตัวของตนนั้น ล้วนแต่เป็นภาษิตที่เอาประโยชน์จากความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนนั้นแหละมาชำระและขุดถอนความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนนั้นออก

ดังคำกล่าวที่ว่า "โคลนเกิดขึ้นได้จากน้ำแต่การจะชำระล้างโคลนให้หมดไปก็ต้องใช้น้ำนั่นแหละชำระ"

นักวิชาการทั้งหลายท่านพึงพากันฉลาดเลือกใช้บัญญัติให้เป็นให้ถูกต้องตามกาละ เทศะและสถานการณ์ให้เป็นเถิดจึงจะได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริง

ที่สุดของธรรมะเช้าวันนี้ต้องพากันเข้าใจให้ดีว่า

อัตตา....ไม่มีอยู่จริงโดยธรรม แต่

"ความเห็นผิดว่ารูปนามกายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน มีอยู่จริงในใจของปุถุชนทุกๆคน"

หลักฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า สมุทัย เหตุทุกข์ที่แท้จริงซึ่งเป็นสังโยชน์ที่จะต้องชำระออกให้ได้เป็นอันดับแรกนั้นคือ
สักกายทิฏฐิ = อัตตา = กู เป็นสำคัญ ไม่ใช่ตัณหา" พึงพิจารณากันให้ดีๆเพื่อที่เป้าหมายการปฏิบัติธรรมจะได้ชี้ตรงไปที่เหตุทุกข์ที่แท้จริง

onion

Kiss
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:
อัตตาก็มีอยู่จริงๆสำหรับผู้ที่ยังมีโมหะมีอุปาทานขันธ์
อนัตตาก็มีอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่รู้ว่าเป็นอนัตตาเพราะ
มีตัวตนไปท่องคำว่าอนัตตาก็คือเป็นอัตตาเต็มๆเลย
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 15 ต.ค. 2016, 18:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
กรัชกายเข้าใจไหม
คุณRosarinก็มาช่วยย้ำแล้ว
cool
onion


โพสต์ เมื่อ: 15 ต.ค. 2016, 19:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
อัตตา....ไม่มีอยู่จริงโดยธรรม แต่

"ความเห็นผิดว่ารูปนามกายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน มีอยู่จริงในใจของปุถุชนทุกๆคน"


เมื่อพิจารณาตามอริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาสอนแล้ว สมุทัย เหตุทุกข์นั้นพระพุทธองค์ตรัสว่า ตัณหา

แต่สิ่งที่ซ่อนลึกอยู่เบื้องหลังตัณหานั้นพระองค์ไม่ทรงบอกทันทีคล้ายกับจะทิ้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ค้นพบด้วยตนเอง

ตัณหา แปลว่า ความอยาก

เราสามารถค้นลึกลงไปในตัณหาเพื่อให้เจอสมุทัยที่แท้จริง
ด้วยคำถามหาเหตุหาผลง่ายๆพื้นๆว่า

"ใครอยาก"

คนทั่วไปมักจะพากันตอบว่า "ใจอยาก"

ถ้าตอบอย่างนี้ก็จะมีคำถามต่อไปได้อีกว่า "ใจใคร"

ผู้คนทั้งหลายมักจะตอบว่า "ใจเรา"

คำตอบนี้ยังถือว่าผิด เพราะยังไม่ได้ตัวผู้ร้ายตัวจริงเนื่องจากคำว่า "เรา" เป็นพหูพจน์ คือมีตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จึงเป็นคำตอบที่ไม่ถูกตามหลักภาษาและไวยากรณ์ไทย

คำตอบที่ถูกต้องควรต้องตอบว่า "ใจฉัน"

แต่ถ้าจะให้ทราบซึ้งถึงใจต้องใช้ภาษาพ่อขุนฯตอบว่า

"ใจกู"

ใจ หรือ จิตใจ เป็นธรรมชาติที่เป็นกลางๆแต่จะถูกปรุงแต่งให้เป็นไปต่างๆได้เมื่อมีเจตสิกมาย้อมให้เป็นไป

กู=อัตตา = สักกายทิฏฐิ เป็นสมมุติบัญญัติ ไม่มีอยู่จริง แต่

"ความเห็นผิดว่ารูปนาม กายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกูของกูมีอยู่จริงในใจปุถุชนทุกๆคน"


สังเกตและพิสูจน์ได้ง่ายๆทันทีเดี๋ยวนี้ขณะที่ดูที่อ่านข้อความอยู่ขณะนี้ก็อ่านด้วยความเห็นเป็นกูที่ตอบโต้อยู่ภายในไปตามอำนาจสัญญาและความเห็นที่ตนได้เรียนรู้บันทึกมา น้อยคนนักที่จะตอบโต้ด้วยเหตุผลตามธรรม

จากเรื่องนี้จึงพอจะมองเห็นได้ว่าภาษิตที่ว่า
"บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน"

"ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" และภาษิตอื่นที่เกี่ยวกับตนตัวของตนนั้น ล้วนแต่เป็นภาษิตที่เอาประโยชน์จากความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนนั้นแหละมาชำระและขุดถอนความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนนั้นออก

ดังคำกล่าวที่ว่า "โคลนเกิดขึ้นได้จากน้ำแต่การจะชำระล้างโคลนให้หมดไปก็ต้องใช้น้ำนั่นแหละชำระ"

นักวิชาการทั้งหลายท่านพึงพากันฉลาดเลือกใช้บัญญัติให้เป็นให้ถูกต้องตามกาละ เทศะและสถานการณ์ให้เป็นเถิดจึงจะได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริง

ที่สุดของธรรมะเช้าวันนี้ต้องพากันเข้าใจให้ดีว่า

อัตตา....ไม่มีอยู่จริงโดยธรรม แต่

"ความเห็นผิดว่ารูปนามกายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน มีอยู่จริงในใจของปุถุชนทุกๆคน"

หลักฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า สมุทัย เหตุทุกข์ที่แท้จริงซึ่งเป็นสังโยชน์ที่จะต้องชำระออกให้ได้เป็นอันดับแรกนั้นคือ
สักกายทิฏฐิ = อัตตา = กู เป็นสำคัญ ไม่ใช่ตัณหา" พึงพิจารณากันให้ดีๆเพื่อที่เป้าหมายการปฏิบัติธรรมจะได้ชี้ตรงไปที่เหตุทุกข์ที่แท้จริง

onion

ผมจะชี้ให้อโสกะเห็นว่า..ที่อโสกะว่าตัณหาไม่สำคัญ..นั้น..เป็นความผิดอย่างมาก...
(ต้นเหตุเพราะอโสกะ...ไม่ภาวนา..แล้วเอาสังโยชน์อันเป็นชื่อกลุ่มของกิเลส...กับตัณหาอันเป็นปฏิจจสมุปบาท..มามั่วปนกัน)

ลองตอบคำถามนี้ดูนะคับ..อโสกะ..
การตอบคำถามนี้..อโสกะต้องทำใจแล่นตามกระแสธรรมของการใคร่ครวญพินิจพิจารณา..อย่านิ่งๆเป็นตอไม้..นะคับ

อัตตา..เกิดจากอะไร..คับ
สักกายทิฏฐิ...เกิดจากอะไรคับ.
.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 280 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร