วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 00:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 133 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 07:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


LuiPan เขียน:
เวลาทำความเข้าใจ อรรถสาระทางธรรม

ต้องพยายาม ทวนดูเครื่องมือที่ใช้พิจารณาไว้ด้วย ซึ่งเครื่องมือนั้นจะมี 3 อย่าง

คือ ความจำได้ตามที่ได้ฟังมา , ความน้อมนึกระลึกได้ และ การรู้เห็นตามความเป็นจริง

อย่างคำว่า ไม่มีผัสสะ ปราศจากผัสสะ หากเราใช้เครื่องมือ คือ เอาที่คุ้นเคยจำได้ว่ามี
เคยฟัง คำว่า ไม่มีผัสสะ ก็จะอาศัยว่า เคยได้ยินใครพูดแบบนี้ไหม หากมี ก็อาจจะ
รับได้ว่า สภาวะนี้มีอยู่ แต่ถ้าใชเครื่องมือแบบนี้บวกกับมิจฉาทิฏฐิ ผู้สนทนาจะปล่อย
ทิฏฐิเกี่ยวกับ การสิ้นผัสสะแบบอิฐแบบปูน ก้อนหินไป

แต่ กรณีนี้ เครื่องมือแบบนี้ เราข้ามกันไปแล้ว

ก็มาที่ เครื่องมือการน้อมนึก ซึ่งจะพอเห็นได้ว่า ผัสสะนั้นมันผ่านไปผ่านมา มันไม่ได้
กระทบแล้วตั้งอยู่ไปตลอดกาล ดังนั้น ไม่มีผัสสะ ก็จะหมายเอาเป็นเรื่องๆ หากเรื่อง
นั้นๆ เราหมายเอาเฉพาะนิมิตอกุศล เราก็สัมผัสได้เลาๆว่า การสิ้นไปของผัสสะที่เป็น
อกุศล นั้นมีอยู่

แต่ความที่ นิมิตอกุศลอื่นยังมีอยู่ แถม นิมิตกุศลเองก็มีอยู่ เรายังอร่อยอยู่กับอารมณ์
มันก็มองไม่เห็นว่า การสิ้นไปของผัสสะ มันจะมีจริงๆ จังๆ หากมีมิจฉาทิฏฐิเจืออยู่ส่วน
มากก็เป็นการเลือกข้างอยู่กับนิมิตกุศลโลกยังเป็นสอง

ทีนี้เหลือเครื่องมือสุดท้าย แหมนะ เครื่องมือสุดท้ายนี้ ก็ ภาวนามันปัญญา ตรงนี้
สงสัยก็ต้องมีให้ได้เสียก่อนนั้นแหละ หากมีแล้ว คำถามที่ว่า ผัสสะไม่มี มันจะ
ออกมาจากสัมมาทิฏฐิที่สมบูรณ์ ไม่เอียงไปทาง ขาดสูญ หรือ เที่ยง เสียก่อน

คุณ mes ก็ลองพิจารณาละกันว่า ที่คำนึงไปว่า ไม่รู้จะเข้าใจคำว่า ผัสสะไม่มี
นี้อย่างไร ใช้เครื่องมือใดในการรีบร้อนปรารภออกมา


อภิโถ่ อภิถัง
นี่ก็อีกคน เอาแต่พูดคุยในห้อง
เดี๋ยวเอากระดานดำเขี้ยงหัวเลย
พูดไปจนถึง การตรัสรู้แล้ว
ยังจะไปหาบทเรียนที่หนึ่งมาขยายความอีก

กลับไปที่จิตตั้งมั่นซะ
มันตั้งระดับไหนกันเนี่ย จึงได้คอยโน้ม คอยน้าว คอยไปหยิบฉวยโน่นฉวยนี่
สอนไปจนจบถึง ตรัสรู้ สอนไปจนจะถึงนิพพานแล้ว
อาการวอกแวก ปฎิสัมภิทาญาณ จิตมันก็โน้มเข้าไปในนั้น

ที่ให้ไปอ่านอภิธรรมก็เพราะว่า
มัวแต่พูดคุย หาความเข้าใจเรื่องจิตจริงๆจังๆไม่ได้
ถ้าเข้าใจ มันก็ไม่โน้ม ไปส่องหาญาณอะไรหรอก

นี่แหละหนา สังสารวัฎมันหอมหวล
ตั้งจิตไว้ผิดที่ หาความตั้งมั่นจริงๆของจิต ไม่ได้
มันก็เลยหลงวนเวียน ไปโน้ม ไปน้าว
แล้วจะมาคุย ว่า เครื่องมือนี่ รู้เห้นตามเป้นจริงได้ไง

ก็ในเมื่อ ยังตั้งมั่นอย่างจริงๆจังๆ ไม่เป้น
ธรรมเอก ก็ไม่ผุดขึ้นมาให้เห้นหรอก

มัวแต่ไปฝอย เรืองของเจตสิก
เรียนรู้ เข้าใจกันยากเย็นจริงๆ
สอนไปจนถึงจิตตั้งมั่น ธรรมเอกโผล่
สอนไปถึงตรัสรู้
แล้วก็ชี้ไปจนถึงนิพพานแล้ว

ยังจะงมโข่ง กลับไปจุดเทียนเวียนวนอีก
สอบตกซ้ำชั้นไปเลย

ไปหาอาจารย์เรียนใหม่เลย
ขี้เกียจสอนแระ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าพึ่งชี้ นี้ถูก นี้ไม่ถูก
เพราะจะปลูก ผูกฝังจิต คิดงอกงาม
ทุกๆจิต ที่คิดตอบ คิดคำถาม
คือรูปนาม คือวิญญาณ ทั้งนั้นหนอ

อย่าพึ่งชี้ นี้ใช่ นี้ไม่ใช่
ไม่มีใคร ยอมรับภพ เป็นผู้ก่อ
หากจะชี้ ก็พึงชี้ ที่ต้นต่อ
สิ่งลวงล่อ ไม่ให้เห็น เย็นไม่เป็น

ทั้งทดสอบ ทั้งทดลอง มองถี่ถ้วน
สังขารล้วน ชวนให้ติด คิดจริงเล่น
หากไม่เผลอ ก็เป็นเกลอ หยอกล้อเย็น
หากเผลอเล่น กลายเป็นเวร วิบากไป

ผัสสะมี เพราะมีอายะตนะ
มีชนะ เพราะมีแพ้ มีเกิดมีตาย
ส่วนนิพพาน ไม่มีเสีย ไม่มีได้
จะให้อะไรๆ ไปรับรอง ตรองให้ดี... :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยรู้ เขียน:
อย่าพึ่งชี้ นี้ถูก นี้ไม่ถูก
เพราะจะปลูก ผูกฝังจิต คิดงอกงาม
ทุกๆจิต ที่คิดตอบ คิดคำถาม
คือรูปนาม คือวิญญาณ ทั้งนั้นหนอ

อย่าพึ่งชี้ นี้ใช่ นี้ไม่ใช่
ไม่มีใคร ยอมรับภพ เป็นผู้ก่อ
หากจะชี้ ก็พึงชี้ ที่ต้นต่อ
สิ่งลวงล่อ ไม่ให้เห็น เย็นไม่เป็น

ทั้งทดสอบ ทั้งทดลอง มองถี่ถ้วน
สังขารล้วน ชวนให้ติด คิดจริงเล่น
หากไม่เผลอ ก็เป็นเกลอ หยอกล้อเย็น
หากเผลอเล่น กลายเป็นเวร วิบากไป

ผัสสะมี เพราะมีอายะตนะ
มีชนะ เพราะมีแพ้ มีเกิดมีตาย
ส่วนนิพพาน ไม่มีเสีย ไม่มีได้
จะให้อะไรๆ ไปรับรอง ตรองให้ดี... :b45:


:b8: (เป็นกลอน)

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


พระโคดมผู้เจริญ ! ด้วยการปฏิบัติอย่างไร
สาวกของพระโคดมจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอน
ปฏิบัติตรงต่อโอวาท ข้ามพ้นความสงสัยไปได้
ไม่ต้องเที่ยวถามใครว่านี่อย่างไร นี่อย่างไร
มีความกล้าหาญ ไม่ต้องเชื่อตามบุคคลอื่นในคำสอนแห่งศาสดาตน ?


:b42: อัคคิเวสนะ ! สาวกของเรา ในศาสนานี้ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตรงตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม
ทั้งที่ล่วงไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มา ทั้งที่เกิดอยู่ในบัดนี้ก็ตาม
ที่เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม เลวก็ตามดีก็ตาม
ในที่ไกลก็ตาม ในที่ใกล้ก็ตาม
ทั้งหมดนั้น เป็นแต่สักว่า รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ,
นั้นไม่ใช่ของเรา, ไม่ใช่เป็นเรา, ไม่ใช่อัตตาของเรา ดังนี้. :b42:


บาลี จูฬสัจจกสูตร มู.ม. ๑๒/๔๓๓/๔๐๑. ตรัสแก่นิครนถ์สัจจกะ, ที่ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


เกวัฏฏะ! เรื่องเคยมีมาแล้ว : ภิกษุรูปหนึ่ง ในหมู่ภิกษุนี้เอง เกิด
ความสงสัยขึ้นในใจว่า
“มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิท
ไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหนหนอ” ดังนี้.


(ความว่า ภิกษุรูปนั้นได้เข้าสมาธิ อันอาจนำไปสู่เทวโลก ได้นำเอา
ปัญหาข้อที่ตนสงสัยนั้นไปเที่ยวถามเทวดาพวกจาตุมมหาราชิกา, เมื่อไม่มีใคร
ตอบได้ ก็เลยไปถามเทวดาในชั้นดาวดึงส์,เทวดาชั้นนั้นโยนให้ไปถามท้าวสักกะ,
ท้าวสุยามะ, ท้าวสันตุสิตะ, ท้าวสุนิมมิตะ, ท้าวปรนิมมิตวสวัตตี, ถามเทพพวก
พรหมกายิกา, กระทั่งท้าวมหาพรหมในที่สุด, ท้าวมหาพรหมพยายามหลีก
เลี่ยงเบี่ยงบ่ายที่จะไม่ตอบอยู่พักหนึ่ง แล้วในที่สุดได้สารภาพว่าพวกเทวดาทั้งหลาย
พากันคิดว่าท้าวมหาพรหมเอง เป็นผู้รู้เห็นไปทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ที่จริงไม่รู้ใน
ปัญหาที่ว่ามหาภูตรูปจักดับไปในที่ไหนนั้นเลย. มันเป็นความผิดของภิกษุนั้นเอง
ที่ไม่ไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ในที่สุดก็ต้องย้อนกลับมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า).


:b42: เกวัฏฏะ ! ภิกษุนั้นได้กลับมาอภิวาทเรา นั่ง ณ ที่ควร แล้วถามเราว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหน?” ดังนี้. :b42:

:b42: เกวัฏฏะ ! เมื่อเธอถามขึ้นอย่างนี้ เราได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่า
แน่ะภิกษุ ! เรื่องเก่าแก่มีอยู่ว่า
...พวกค้าทางทะเล ได้พานกสำหรับค้นหาฝั่งไปกับเรือค้าด้วย.
เมื่อเรือหลงทิศในทะเล และแลไม่เห็นฝั่ง พวกเขาปล่อยนกสำหรับค้นหาฝั่งนั้นไป.
นกนั้นบินไปทางทิศตะวันออกบ้าง ทิศใต้บ้าง ทิศตะวันตกบ้าง ทิศเหนือบ้าง ทิศเบื้องบนบ้าง ทิศน้อย ๆ บ้าง. เมื่อมันเห็นฝั่งทางทิศใดแล้วมันก็จะบินตรงไปยังทิศนั้น,
แต่ถ้าไม่เห็น ก็จักบินกลับมาสู่เรือตามเดิม. :b42:

:b42: ภิกษุ ! เช่นเดียวกับเธอนั้นแหละ ได้เที่ยวหาคำตอบของปัญหานี้
มาจนจบทั่วกระทั่งถึงพรหมโลกแล้ว ในที่สุดก็ยังต้องย้อนมาหาเราอีก. :b42:


:b42: ภิกษุ ! ในปัญหาของเธอนั้น เธอไม่ควรตั้งคำถามขึ้นว่า
“มหาภูตสี่คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมเหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือในที่ไหน?” ดังนี้เลย,
:b42:

:b42: อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำถามขึ้นอย่างนี้ว่า:
“ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน?
ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งามไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน?
นามรูป ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือในที่ไหน? ดังนี้ ต่างหาก. :b42:



:b42: ภิกษุ ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้:
“สิ่ง” สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ไม่มีที่สุด
แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ,นั้นมีอยู่.
ใน “สิ่ง”นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้.
ใน “สิ่ง”นั้นแหละความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งามไม่หยั่งลงได้. ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ.
นามรูป ดับสนิทใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ, ดังนี้”.
:b42:

...................................................................................................
บาลี เกวัฏฏสูตร สี. ที. ๙/๒๗๗/๓๔๓. ตรัสแก่เกวัฏฏะคหบดี ที่ปาวาริกัมพวัน เมืองนาลันทา.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


...ผัสสะดับ เพราะอายะตะนะดับ
อายะตะนะดับ เพราะนามรูปดับ
นามรูปดับ เพราะวิญญาณดับ
วิญญาณดับ เพราะสังขารดับ
สังขารดับ เพราะอวิชชาดับ...


“สิ่ง” สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ไม่มีที่สุด
แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ,นั้นมีอยู่.

ใน “สิ่ง”นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้.
ใน “สิ่ง”นั้นแหละความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งามไม่หยั่งลงได้.

ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ.

นามรูป ดับสนิทใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ,


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
...ผัสสะดับ เพราะอายะตะนะดับ
อายะตะนะดับ เพราะนามรูปดับ
นามรูปดับ เพราะวิญญาณดับ
วิญญาณดับ เพราะสังขารดับ
สังขารดับ เพราะอวิชชาดับ...


ขอบพระคุณครับ ท่านปล่อยรู้ :b8:

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเพิ่มเติบครับว่า

อวิชชาดับ เพราะ เกิด วิชชา

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค


จักษุและรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา
เพราะตัณหานั้นเทียวดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ
ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทว-
*ทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้ ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความดับแห่งทุกข์ เพราะอาศัยหูและเสียง ...
เพราะอาศัยจมูกและกลิ่น ... เพราะอาศัยลิ้นและรส ... เพราะอาศัยกายและ
โผฏฐัพพะ ... เพราะอาศัยใจและธรรม จึงเกิดมโนวิญญาณ ความประชุมแห่ง
ธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนา
เป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหานั้นเทียวดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ
อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะ
ชาติดับ ชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ ความดับแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความดับ
แห่งทุกข์ ฯ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


ดังนั้น...ความไม่เข้ายึดมั่นถือมั่น
ในเวทนา ในผัสสะ ในอายะตะนะ ในนามรูป ในวิญญาณ ในสังขาร ใดๆ
ว่าเป็นเรา ว่าเรา ว่าตัวตนของเรา
ในกาลใดๆ ในที่ใดๆ...นี้แหละคือที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 14:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 19:46
โพสต์: 12


 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
ขอเพิ่มเติบครับว่า

อวิชชาดับ เพราะ เกิด วิชชา



ดีละ ดีละ กล่าวอย่างนี้ ก็ ค่อยกลับมา เฉียดญาณ ได้

จะได้ไม่ต้องไป งงงงงวยงวยงงงง กับตัวภาษา ผัสสะดับ เอ๋ มันดับอย่างไรหนอ

เพราะมันไม่ได้ ดับ หาย หรือ หายสูญ มันคนละเรื่อง

เพราะ การมี วิชชา ไม่ได้แปลว่า ปุ๊ป ตูม หู ตา จมูก ปาก ระเบิด หรือ ใช้การไม่ได้

พระท่านที่ประกาศว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบ แล้ว ก็เห็นท่านยัง ช่วยประเทศชาติได้

ดังนั้น ผัสสะดับ นี้ ดับอย่างไร ก็ให้เป็นเรื่องของ บุคคลที่จะมี วิชชา ตามความเป็นจริง
เขาพิจาณาได้เฉพาะตน กันไป ส่วนคนที่ยังไม่มีวิชชา ก็เพียงแต่ ตั้งไว้เป็น อธิษฐานเสมอ
กันกับ อธิษฐานทำนิพพานให้แจ้ง หน้าที่มีแค่นั้น พอสำเร็จตามที่อธิฐานตั้งจิตไว้ ก็คง
ได้พิจารณาอาการนั้นไปแบบด้วยกริยา ไม่ใช่ด้วยผัสสะอีก หรือ หากยังเผลอก็อย่างมากก็
ไม่เกิน7ชาติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


LuiPan เขียน:
mes เขียน:
ขอเพิ่มเติบครับว่า

อวิชชาดับ เพราะ เกิด วิชชา



ดีละ ดีละ กล่าวอย่างนี้ ก็ ค่อยกลับมา เฉียดญาณ ได้

จะได้ไม่ต้องไป งงงงงวยงวยงงงง กับตัวภาษา ผัสสะดับ เอ๋ มันดับอย่างไรหนอ

เพราะมันไม่ได้ ดับ หาย หรือ หายสูญ มันคนละเรื่อง

เพราะ การมี วิชชา ไม่ได้แปลว่า ปุ๊ป ตูม หู ตา จมูก ปาก ระเบิด หรือ ใช้การไม่ได้

พระท่านที่ประกาศว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบ แล้ว ก็เห็นท่านยัง ช่วยประเทศชาติได้

ดังนั้น ผัสสะดับ นี้ ดับอย่างไร ก็ให้เป็นเรื่องของ บุคคลที่จะมี วิชชา ตามความเป็นจริง
เขาพิจาณาได้เฉพาะตน กันไป ส่วนคนที่ยังไม่มีวิชชา ก็เพียงแต่ ตั้งไว้เป็น อธิษฐานเสมอ
กันกับ อธิษฐานทำนิพพานให้แจ้ง หน้าที่มีแค่นั้น พอสำเร็จตามที่อธิฐานตั้งจิตไว้ ก็คง
ได้พิจารณาอาการนั้นไปแบบด้วยกริยา ไม่ใช่ด้วยผัสสะอีก หรือ หากยังเผลอก็อย่างมากก็
ไม่เกิน7ชาติ


ครับ

บางครั้งเราก็สับสนเรื่องภาษา

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือพุทธธรรมหน้า๓๖

.............................

ผัสสะ หรือ สัมผัส แปลตามรูปศัพท์ว่าการกระทบ

แต่มีความหมายทางธรรมว่า การประจวบหรือบรรจบพร้อมกันแห่งอายตนะ อารมณ์ และวิญาณ

พูดอย่างเข้าใจง่ายๆ


ผัสสะก็คือ การรับรู้นั่นเอง

............................................

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 133 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร