วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 12:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณกบ

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว...มางั้ยไปงั้ยครับ...

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไรนี่เพื่อน

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 23:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ส่วนเรื่องสัมมาทิฏฐิโดยทฤษฎีไม่มีนั้น....วินิจฉัยของคุณกบอาจจะหยาบไปหน่อยนะครับ

คุณกบไม่ได้เรียนรู้เรื่อง อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา โดยสุตตมยปัญญา หรือปริยัติศาสนามาก่อน แล้วคุณกบจะรู้เรื่องหรือครับว่าสัมมาทิฏฐิโดยทฤษฎีคืออะไร ต้องพิสูจน์หรือปฏิบัติอย่างไรจึงจะเข้าถึงสัมมาทิฏฐิโดยการปฏิบัติ

คุณโฮฮับท่านอธิบายไว้เป็นลำดับดีแล้ว...ลองไปตรองดูใหม่ให้ดีนะครับว่าคุณกบเกิดมาก็ไม่เคยได้รู้เรื่อง อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา สัมมาทิฏฐิมาจากท้องพ่อท้องแม่...ต้องมาศีกษาเอาภายหลัง

]

ทุกข์...อยู่กับตัว..กลับไม่รู้....แต่ไปรู้ตอนได้อ่านตำรา..นี้นะ..มันควรจะแปลกมากกว่า..
อิอิ

อโศกะว่าผู้อื่นยกแต่พระสูตรมา...ไม่เข้าใจชีวิต....แต่อีกมุมหนึ่ง..อโศกะก็พูดว่า..ต้องรู้ทฤษฎีก่อน

เห็นอะไรที่มันขัดแย้งในตัวของมันเองมั้ย?...

อริยะสัจ 4 ..นี้เรียนมาตั้งแต่เด็ก. ๆ...แล้ว..ทุกคน...บางคนก็จำได้บ้าง..ไม่ได้บ้าง...แต่ผมจำได้ครับ

แต่...ตอนที่ผมอ่านหนังสือพระรูปหนึ่ง...แล้วเห็นความทุกข์ของตัวเอง.(
คนละตัวกับเรื่องกับที่กำลังอ่านอยู่)...มันไม่ได้เกี่ยวกับทุกข์ที่เราจำมาจากหนังสือเรียนเรื่องอริยะสัจ..เลย..สักนิด...นี้มันทุกข์ของผมนะ....ทุกข์ขำขำด้วยอีกต่างหาก...เหตุให้เกิดทุกข์ก็เรื่องธรรมดา ๆไม่มีธรรมะซับซ้อนแต่อย่างใด...คือเพราะเกิดมามีร่างกาย...เท่านั้นเอง.....แต่มันทำให้ผมอยากออกจากวัฏฏะสงสารนี้เลยที่เดียว...และขณะนั้นก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอริยะสัจหรือไม่เป็น...เข้ากันได้ตามทฤษฎีหรือไม่..ก็ไม่รู้....รู้แต่ว่า..จุดนั้นทำให้ผมหันมาปฏิบัติธรรม....แล้วผมต้องกลับไปพิสูจน์ว่ามันตรงกับทฤษฎีอะไรตรงไหนมั้ย?...มันผ่านไปแล้ว...จะไปแก้ไขอะไร....มีแต่ต้องทำอัน..ณ..ปัจจุบันเท่านั้น


นั้นคือ...รอบที่ 1....ง่าย ๆ แบบคนไม่รู้อะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2013, 23:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โกเมศวร์ เขียน:
ไม่มีอะไรนี่เพื่อน


:b13: :b13: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 00:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
สำหรับคุณเอก้อนผู้เชี่ยวชาญในการค้นคว้าและยกข้อความในพระสูตรมาแสดง ผมก็ยังอนุโมทนาในความเพียรของคุณอยู่
tongue
สำหรับผมไม่ได้เอามากมายหลายสูตรจนหูตาลาย.....ที่ผมยึดถือมาใช้เป็นแนวปฏิบัติของตนเองจริงๆทุึกวันนี้ก็มีเพียงแค่...ธรรมจักกัปปวัตนสูตร...ว่าด้วยเรื่อง ทาง 3 เส้น และอริยสัจ 4...มรรคแปด ....อนัตตลักขณสูตร.....สติปัฏฐานสูตร ธรรมดา ไม่ใช่ มหาสติปัฏฐานสูตร...ภัทเทกรัตตคาถา..
.ติลักขณาทิคาถา และโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ เท่านั้นเอง...สติปัญญาผมคงน้อยกว่าท่านเอก้อนเยอะเลย เลยไม่ได้สนใจพระสูตรที่ท่านชวนไปอ่าน....จะกรุณาสรุปมาให้ฟังสั้นๆก็จะได้บุญเยอะนะครับ ไม่ต้องยกมาทั้งดุ้น เพราะผมไม่ค่อยเก่งศัพท์แสงในคัมภีร์สักเท่าไหร่ครับ

:b8: tongue smiley :b11: :b4: :b4: :b4:


:b32: :b32:

อธิบายไปแล้วจะได้บุญเยอะตรงไหน ท่านช่วยแจกแจงให้ดูหน่อยซิ

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 03:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ทฤษฎีของสัมมาทิฐิ ก็คือการ .......รู้ไตรลักษณ์(ปัญญาเบื้องต้น)

ทฤษฎีนี้...ไม่เคยได้ยินมาก่อน..แฮ่ะ...
เคยแต่ได้ยินมาว่า...การเห็นทุกข์...เห็นเหตุแห่งทุกข์...เห็นความดับทุกข์...แล้วคิดจะดับทุกข์...จึงจะเข้าข่ายการมีสัมมาทิฏฐิ

ก็เพราะมัวเล่นแต่คำศัพท์กันไง มันเลยทำให้กะลาสับสนกับสิ่งที่ตัวกล่าว
อาจเป็นไปได้ว่า กะลาไม่รู้ไม่เข้าธรรมแต่ต้นแล้ว นี่เป็นเพราะเอาศีลข้อห้ามมาบดบังวิชชา
มาปิดกันอริยสัจจ์
ศีลต้องเป็นความปกติ ความปกติไม่ได้หมายถึง ฉันต้องทำหรือไม่ต้องทำ
สิ่งใดต้องทำหรือไม่ต้องทำมันขึ้นอยู่กับเหตุผล

ฟังให้ดีน่ะกะลา ที่เราว่า ไตรลักษณ์เป็นทฤษฎีของ สัมมาทิฐิก็เพราะ
การจะเป็นสัมมาทิฐิได้นั้น เราต้องรู้ไตรลักษณ์ก่อน

ไตรลักษณ์คือการรู้ทุกข์และเหตุแห่งทุกข์ นี่แหละทฤษฎี เพราะมันเป็นเพียงแค่รู้
มันยังต้องเอาไตรลักษณ์หรือความรู้นี้ไปปฏิบัติในเรื่องของมรรคอีก เพื่อให้เกิดผลเป็นสัมมาทิฐิ

การจะทำให้เกิดสัมมาทิฐิได้ จะต้องไตรลักษณ์ไปพิจารณาธรรมในลักษณะของสติปัฏฐาน
เพื่อดับสังโยชน์สามเสียก่อน

กบนอกกะลา เขียน:
ผมก็เลยมานั่งตรองดูว่า...
ไตรลักษณ์..เป็นทุกข์..มั้ย?...ก็เห็นว่า..ไม่
แล้ว..ไตรลักษณ์..เป็นเหตุให้เกิดทุกข์..มั้ย?...ก็เห็นว่า..ไม่....พระอรหันต์องค์เป็น ๆ ไตรลักษณ์ก็ยังปรากฎกับท่าน..แต่ท่านไม่ทุกข์...ก็เลยเห็นว่า...ตัญหา..อุปทาน...ต่างหาก(ปฏิจจะสายเกิด)
...ใจที่ห็นทุกข์...เข้าใจว่าอะไรทำให้เกิดทุกข์...ได้นี้...มันไม่ใช่ทฤษฎีแล้วละ
ดังนั้น..สัมมาทิฏฐิในทฤษฎี...ไม่มี...มีแต่สัมมาทิฏฐิของจริง..แต่กำลังอ่อนแก่ต่างกันเท่านั้น

ที่กะลาพูดมา มันเป็นลักษณะของจินตนาการ คิดเอาเอง ไม่เข้าใจในไตรสิกขา
คำว่า"ทฤษฎี" ที่พวกคุณพูดกันแต่เริ่ม มันเป็นการเอามาพูดโดยขาดความเข้าใจ
แบบนี้ทำให้เพิ่มคำศัพท์มาแบบรกรุุงรัง
คำว่า"ทฤษฎี" มันก็มีความหมายในทางธรรมว่า...ปริยัตินั้นแหละ นั้นหมายความว่า
เราต้องรู้เสียก่อน แล้วลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดผล
อธิบายก็คือ ทฤษฎีหรือปริยัติก็คือการรู้ไตรลักษณ์
ปฏิบัติก็คือ การทำสติปัฏฐาน
ปฏิเวธหรือผลที่ได้ก็คือ สัมมาทิฐิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 03:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล เป็นเครื่องช่วยให้เกิดปัญญา ที่มาจาก ความคิดเห็น การปฏิบัติ การปฏิบัตินั้นยิ่งต้องอาศัยศีล เช่น การฟังด้วยหู เมื่อได้ยินเสียง หากมีจิตปรุงแต่งต่อเสียง น่าฟัง ไม่น่าฟัง ปัญญาก็ไม่เกิด แต่เมื่อตั้งใจฟัง รู้ว่าอะไรเป็นเหตุเกิดของการได้ยินเสียง ก็จะเกิดการพิจารณาว่า เพราะมีธาตุรู้ทำงานอยู่ประจวบกับ เหตุของสภาวะธรรมภายนอก เช่น อากาศทำให้เกิดเสียง ระยะทางทำให้ได้ยินเสียง ความแปรปรวนของธาตุที่กระทบกันทำให้ได้ยินเสียง เมื่อตั้งใจที่จะฟังก็เกิดผัสสะขึ้น คือวิญญาณขันธ์เข้าไปรู้ แต่ปัญญายังไม่เกิด แม้ศีลก็จะเกิดตอนนี้ ว่าเราปรุงแต่งธรรมที่เกิดด้วยอะไร เมื่อปรุงแต่งธรรมที่เกิดด้วยกิเลส ก็มีแนวน้อมว่าปัญญาจะไม่เกิดแล้วศีลไม่บริสุทธิ์ด้วย แต่เมื่อมีศีลที่ไม่บกพร่อง ก็จะพิจารณาธรรมด้วยอาศัยมรรค ว่าเหตุเกิดของธรรมนั้นเพราะมีเหตุคือธาตุรู้ สภาวะธรรม และ วิญญาณขันธ์ แต่ถ้ามีสมาธิก็จะเกิดความชัดเจน สมาธิการอาศัยสติที่มั่นคง แน่นแฟ้น อยู่กับสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น แล้วเข้าไปรู้ว่าสภาวะธรรมที่เกิดนั้น มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นอารมณ์วิปัสสนา หรือปัญญาได้เกิดขึ้น ตั้งแต่เห็นการเกิดดับของธรรมตามความเป็นจริง ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป โดยไม่มีกิเลสเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือ มีศีลที่บริสุทธิ์นะตอนนั้น ปัญญาที่เกิดขึ้นก็จะมีการอาศัยญาณวิปัสสนา ตามขั้นตอนขึ้นไปเรื่อยๆ ญาณวิปัสสนานั้นต้องมีอริยะสัจ4เข้ามาเกี่ยวข้องครับ จึงเป็น ศีล สติ สมาธิ ปัญญา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 03:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

ส่วนที่โฮว่า...จิตระลึกรู้ว่า..กุศลหรือ..อกุศล...อันนี้มันเลยเข้ามาในอริยะมรรคแล้ว.ไม่ใช่ความเป็นปกติของปุถุชน

อย่าโยงกันไปมาให้มั่ว..ซิ...

เราไม่ได้โยงมัว มันเป็นกะลาเองที่เอาสัมมาศีลของพระพุทธเจ้าไปโยงมั่ว
ศีลของพระพุทธเจ้ากับศีลของกะลา มันเป็นคนละเรื่อง
พระพุทธองค์ไม่ได้สอนสาวกให้ทำดีหรือทำชั่ว ในลักษณะที่กะลากล่าวถึง

แต่พระพุทธองค์สอนให้ละอกุศลที่ใจ ทำใจให้เกิดกุศล
กุศลไม่ใช่ความดีความชั่ว มันคนละเรื่อง

ชาวบ้านมององคุลีมาลเป็นคนชั่ว แต่พระพุทธองค์มององคุลีมาลเป็นมิจฉาทิฐิ
ลองเปรียบเทียบกันดูระหว่าง ชาวบ้านที่ชอบอ้างศีลห้าฆ่าสัตว์(เป็นคนดีในสายตาของตัวเอง)
กับองคุลีมาลที่เป็นคนชั่วในสายตาชาวบ้าน(ผิดศีลฆ่าสัตว์)

ถามหน่อยใครเกิดดวงตาเห็นธรรมก่อนกันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 04:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ศีล...ก็คือศีล...ศีล..แปลว่า..ปกติ
ในสังคมทัวไป...ก็คือ..ปกติของมนุษย์...คือ..ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่นเขา...ซึ่งมีมาก่อนจะเกิดพระพุทธศาสนา
พอสังคมอยู่รวมกันมาก ๆ..ก็มีการปกครองกันขึ้น...ก็มีกฎหมายเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง...ซึ่งมันก็เป็นศีลอีกประเภทหนึ่ง..เป็นศีลทางการปกครอง...อันนี้เริ่มเกินจากมนุษย์ธรรมดาแล้วเพราะสังคมซับซ้อนขึ้น
พอเกิดพระสงฆ์ขึ้น...แล้วมีอธิกรณ์ขึ้นมา....จึงทรงบัญญัติศีลในหมู่สงฆ์เพื่อให้หมู่สงฆ์อยู่ร่วมกันอย่างปกติ

ศีล..มันก็คือศีล...มันเป็นเรื่องของคนทั่วไป..เป็นปกติ

ศีลที่หมายถึงความเป็น "ปกติ" เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า หมายถึงความเป็นปกติที่ใจ
แต่ที่กะลากล่าวมามันเป็นเรื่องของ กฎข้อบังคับ
ในสมัยก่อนหรือในสังคมที่พระพุทธเจ้าอยู่ พวกพรหมณ์ก็ยังเอาสัตว์มาบูชายัญ
พวกพราหมณ์นับถือว่า การบูชายัญเป็นศีลที่ต้องปฏิบัติ
แต่พระพุทธองค์สอนว่า มันเป็นมิจฉา เข้าใจความแตกต่างศีลที่พระพุทธองค์หมายถึงหรือยัง

กับคำสอนของพระพุทธองค์ ที่เกี่ยวข้องกับศีลข้อห้าม ก็คือปฏิบัติตามสังคมหรือกฎเพื่อ
ไม่ให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นที่กายใจ มันเป็นอุปสรรคต่อความเป็นกุศลในใจ
ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อบุญบาป ดีชั่ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เคยฟังเรื่อง...เข้าถึงอรหันต์ในปากเสือ...มั้ย..โฮ..อิอิ...มันไม่เข้ากับเรื่องที่โฮคิดเลยนะ
:

เคยฟังแต่ไม่ค่อยสนใจเท่าไร ที่ว่าไม่สนใจไม่ใช่ไม่รู้ความหมายน่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่พุทธพจน์ เป็นเพียงเรื่องที่อรรถกถาจารย์แต่งขึ้น
เพื่อที่จะเป็นคำสอนในเชิงเปรียบเทียบ ว่าถ้าตกอยู่ในวิตกฤตการณ์อย่างนั้น สมควรที่จะทำอะไร

กะลาไปเอาเรื่องนี้มาอ้าง มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย แถมมันยังสนับสนุนความเห็นผมด้วย
ถามหน่อยภิกษุพวกนั้นไม่กลัวตายไม่กลัวเสือหรือ ถ้าไม่กลัวทำไมต้องตะโกนบอกให้ไปช่วยกัน
แล้วภิกษุถือไม้ ถือคบเพลิงไปตามหาเสือเพื่ออะไร ทำไมไม่ปล่อยให้เสือกินไปเลยล่ะ

มันคนละเรื่อง! เรื่องโสดาบันในปากเสือ อรรถกถาจารย์ท่านจะสอนว่า ให้หมั่นเพียรภาวนา
การภาวณาเจริญสติ สามารถทำได้ทุกที ทุกเวลา แม้แต่ตอนใกล้ตาย การบรรลุโสดาจนถึง
อรหันต์ก็สามารถทำได้แม้ตัวเองใกล้จะตาย

มันไม่ใช่การปล่อยให้เสือกินไปโดยไม่หาทางเอาตัวรอด
การเอาตัวรอดมันก็เป็นอีกเรื่อง มันขึ้นอยู่ที่สถานะการณ์ ที่ภิกษุต้องปล่อยให้เสือกิน
เพราะหมดหนทางช่วยตัวเอง หรือแม้แต่ความช่วยเหลือจากคนอื่น

กบนอกกะลา เขียน:
มีที่ไหน..โสดา..กลัวตายเลยฟันคอหมา...เพื่อให้ตัวรอด..โดยไม่สนชีวิตใคร...แต่ปุถุชนกลับระลึกรู้ในเรื่องบุญกรรม..ซะเนี้ย

ชีวิต..มันจะสับสนเอาหนา :b5: :b5:

ที่กะลาพูดอยู่ มันเป็นความคิดของปุถุชน ปุถุชนกำลังเอาความคิดของตัวเอง
ไปคิดแทนโสดาบัน เพราะปุถุชนยังติดในศีลพรตปรามาส เลยคิดไปว่า
การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ลืมคิดไปว่า ที่ต้องฆ่าหมาเพราะมันมีเหตุปัจจัยให้ทำ

สังโยชน์ทำให้คิดไปว่า การปล่อยให้หมางับอยู่อย่างนั้นคือความเสียสละ
แบบนี้เขาเรียกว่าคนขาดปัญญา หาเหตุผล

อีกอย่างคำพูดของกะลามันไม่มีเหตุผลตั้งแต่แรก ลำดับใจความมั่ว

หมามันมากัดเราก่อน ดันพูดมาได้ว่า ไม่สนใจชีวิตคนอื่น ...เหตุมันเกิดจากหมา หมานั้นแหละ
ไม่สนใจชีวิตคนอื่น

แล้วที่พูดว่า"กลัวตายเลยฟันคอหมา" กลัวตายมันเป็นเรื่องหนึ่ง ฟันคอหมามันก็อีกเรื่อง
เรื่องกลัวตาย พระอนาคาก็ยังมีความกลัว และเรื่องฟันคอหมา เพราะไม่มีหนทางอื่นแล้ว
มีหนทางเดียวเท่านั้น

"เอาตัวรอด" มันคือการทำให้เกิดความเป็นปกติขึ้นที่กายใจเรา หมามันมาทำให้กายใจเรา
ผิดไปจากความเป็นปกติ เข้าใจมั้ย

แล้วที่บอกว่า "ปุถุชนกลับระลึกรู้บุญกรรม" ถามหน่อยถ้าปุถุชนหรือแม้แต่กะลาเองถูกหมากัด
กะลาจะปล่อยให้หมากัดไม่คิดที่จะทำอะไร นั่งยิ้มเพื่อจะไปสวรรค์ชั้นเจ็ดใช่มั้ย
พูดอะไร จินตนาการเองซะงั้น คนที่ชีวิตสับสนท่าจะเป็นกะลาล่ะไม่ว่า :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


หมาก็กัดไปตามหน้าที่ ตามเหตุตามปัจจัย

ส่วนคนที่โดนกัด ก็ทำการป้องกันตามหน้าที่ ตามเหตุตามปัจจัย

เพียงแต่การป้องกันนั้นไม่ได้หวังทำลายชีวิต แค่ทำไปตามหน้าที่

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 09:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
หมามันมากัดเราก่อน ดันพูดมาได้ว่า ไม่สนใจชีวิตคนอื่น ...เหตุมันเกิดจากหมา หมานั้นแหละ
ไม่สนใจชีวิตคนอื่น

แล้วที่พูดว่า"กลัวตายเลยฟันคอหมา" กลัวตายมันเป็นเรื่องหนึ่ง ฟันคอหมามันก็อีกเรื่อง
เรื่องกลัวตาย พระอนาคาก็ยังมีความกลัว และเรื่องฟันคอหมา เพราะไม่มีหนทางอื่นแล้ว
มีหนทางเดียวเท่านั้น

"เอาตัวรอด" มันคือการทำให้เกิดความเป็นปกติขึ้นที่กายใจเรา หมามันมาทำให้กายใจเรา
ผิดไปจากความเป็นปกติ เข้าใจมั้ย
:


:b32: :b32:

ถามหน่อย...โฮ.....การกลัวตาย...แท้จริงแล้ว...มันเป้นเรื่องปกติหรือ...ที่จริงมันผิดปกติ....?

แล้วความกลัวตาย....มันเป็นกุศล...หรืออกุศล?....
?
เห็นชอบพูดเหลือเกิน...แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจมั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 10:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เคยฟังเรื่อง...เข้าถึงอรหันต์ในปากเสือ...มั้ย..โฮ..อิอิ...มันไม่เข้ากับเรื่องที่โฮคิดเลยนะ
:

เคยฟังแต่ไม่ค่อยสนใจเท่าไร ที่ว่าไม่สนใจไม่ใช่ไม่รู้ความหมายน่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่พุทธพจน์ เป็นเพียงเรื่องที่อรรถกถาจารย์แต่งขึ้น
เพื่อที่จะเป็นคำสอนในเชิงเปรียบเทียบ ว่าถ้าตกอยู่ในวิตกฤตการณ์อย่างนั้น สมควรที่จะทำอะไร

กะลาไปเอาเรื่องนี้มาอ้าง มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย แถมมันยังสนับสนุนความเห็นผมด้วย
ถามหน่อยภิกษุพวกนั้นไม่กลัวตายไม่กลัวเสือหรือ ถ้าไม่กลัวทำไมต้องตะโกนบอกให้ไปช่วยกัน
แล้วภิกษุถือไม้ ถือคบเพลิงไปตามหาเสือเพื่ออะไร ทำไมไม่ปล่อยให้เสือกินไปเลยล่ะ
:b32:


โฮ.นี้แปลก....ทีตัวเองตัดคอหมา...บอกว่าทำตามเหตุปัจจัย....
พระถือคบเพลิงตามช่วยเพื่อน...ผิดปกติตรงไหน...อิอิ...

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
หมามันมากัดเราก่อน ดันพูดมาได้ว่า ไม่สนใจชีวิตคนอื่น ...เหตุมันเกิดจากหมา หมานั้นแหละ
ไม่สนใจชีวิตคนอื่น

แล้วที่พูดว่า"กลัวตายเลยฟันคอหมา" กลัวตายมันเป็นเรื่องหนึ่ง ฟันคอหมามันก็อีกเรื่อง
เรื่องกลัวตาย พระอนาคาก็ยังมีความกลัว และเรื่องฟันคอหมา เพราะไม่มีหนทางอื่นแล้ว
มีหนทางเดียวเท่านั้น

"เอาตัวรอด" มันคือการทำให้เกิดความเป็นปกติขึ้นที่กายใจเรา หมามันมาทำให้กายใจเรา
ผิดไปจากความเป็นปกติ เข้าใจมั้ย
:


:b32: :b32:

ถามหน่อย...โฮ.....การกลัวตาย...แท้จริงแล้ว...มันเป้นเรื่องปกติหรือ...ที่จริงมันผิดปกติ....?

แล้วความกลัวตาย....มันเป็นกุศล...หรืออกุศล?....
?
เห็นชอบพูดเหลือเกิน...แต่ไม่รู้ว่าเข้าใจมั้ย

สาเหตุที่ที่ชอบพดหรือพูดบ่อย เพราะคนฟังๆแล้วไม่ยอมที่จะเข้าใจ เลยต้องพูดบ่อยไง
และอีกอย่างที่กล้าที่จะพูดก็เพราะ รู้และเข้าใจในสิ่งที่พูด
อยากเตือนกะลาไว้ว่า การฟังความเห็นคนอื่นแล้วไม่เข้าใจ ไม่ใช่จะไปตัดสินว่า
ความเห็นนั้นไม่ถูกต้อง มันต้องพิจารณาตัวเองว่า ทำไมเราถึงไม่เข้าใจ
การที่เราไม่เข้าใจแสดงว่าเราไม่รู้
เพราะถ้าเรารู้ เราต้องหาเหตุผลมาอธิบายความเห็นคนอื่นได้ว่ามันผิดตรงไหน เข้าใจมั้ยกะลา

แล้วที่ถามมาว่า ความกลัวตาย เป็นกุศลหรืออกุศล ก็เป็นเพราะอย่างนี้ไง
อธิบายเหตุปัจจัยแรกให้ฟังก็เลยไม่เข้าใจ กะลาทำสมาธิให้ดีแล้วไล่เรียงเหตุปัจจัยให้ดีน่ะ

"ความกลัวตาย" แท้จริงแล้วมันเป็นการปรุงแต่ง อันเนื่องมาจากโมหะ
จริงแล้ว ความกลัวตายเป็นความฟุ้งซ่านเป็นสังโยชน์ที่เรียกว่า อุทธัทจะ

เมื่ออุทธัทจะเข้าครอบง้ำจิต ทำให้จิตเกิดตัณหาที่เรียกว่า วิภวตัณหา
วิภวตัณหา คือการที่จิตปฏิเสธหรือไม่ต้องการภพในปัจจุบัน
ภพนั้นก็คือ อุทธัทจะ(ฟุ้งซ่านหรือความกลัว)

เมื่อจิตเกิดวิภวตัณหา จนเกิดกระบวนการขันธ์เป็นอาการของจิต อาการของจิตนั้นก็คือ..
โมหะที่เจือด้วยโทสะ อธิบายก็คือ หลงอยู่กับความฟุ้งซ่าน จนเกิดเป็นความกลัวตาย
จิตเกิดอาการปฏิเสธอารมณ์เรียกว่า โทสะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร