วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ค. 2025, 02:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 184 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ฌานสูตร


Quote Tipitaka:
[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้าง อากาส
นัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานบ้าง ฯ
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรม
ทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมี
อยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค
เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด
ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอ
ย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่ง
สังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด
ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิย-
*สังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงรูปหุ่นที่ทำด้วย
หญ้าหรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆ
ได้แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล สงัดจากกาม ฯลฯ
บรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็น
ทุกข์ ... ว่างเปล่าเป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้น
แล้วย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบ
แห่งสังขารทั้งปวง ... นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็น
อุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ข้อที่
เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายเพราะ
อาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว ฯ


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ บรรทัดที่ ๙๐๔๑ - ๙๑๔๕. หน้าที่ ๓๙๐ - ๓๙๔.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโทษครับ ใครคือ อ.สินธพ ครับ ผมสงสัยมานานมากแต่ไม่มีโอกาสถาม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักษา เขียน:
student เขียน:
ขอโทษครับ ใครคือ อ.สินธพ ครับ ผมสงสัยมานานมากแต่ไม่มีโอกาสถาม



เป็นอาจารย์ของคุณ Supareak Mulpong ครับ ท่านเป็นผู้ที่ตรัสรู้
เป็นอรหันต์แล้ว และคุณ Supareak Mulpong ก็ได้ศึกษาจากท่าน
จนตรัสรู้เป็นอรหันต์แล้วเช่นกัน


เอ้า เฮ!!!!!!

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามีการนินทาปรามาสกันอีก จขทก ขออนุญาตแจ้งลบกระทู้ Onion_L Onion_L


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าคุณ mes สนใจเรื่องญานทัศนะ ก็คงต้องหาโอกาสเสวนาธรรมกับ อ.สินธพเองแล้วละครับ เพราะพวกผมไม่มีใครอยากเสี่ยง ถ้าเกิดชาตินี้ไม่ถึงอรหันต์ ตายไปก่อน ถ้าได้แค่ปฐมฌาน ก็จะไปติดค้างอยู่ในพรมโลกถึง ๑ กัปเชียวนะครับ มันไม่ได้ต่างอะไรกับการถูกขังเลย ถ้ายังไม่ถึงอนาคามี ไม่มีอริยะที่ใหนโง่ไปเจริญสมถะหรอกครับ เพราะพวกเรากลัวเกิดมากกว่ากลัวตายอีก วิปัสสนาไปพอมีสมาธิแหลมๆ มาก็ยังต้องฆ่าทิ้ง เพระสมาธิที่มาจากวิปัสสนาจะเป็นอุเบกขาหรือฌาน ๔ และเกิดไ้ด้ง่ายมาก
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."



FLAME เขียน:
ถ้ามีการนินทาปรามาสกันอีก จขทก ขออนุญาตแจ้งลบกระทู้ Onion_L Onion_L



เชิญครับ

ไม่ได้ท้าท้าย

แต่ไม่ใช่นินทาตามที่คุณใส่ร้าย เจ้าตัวประกาศเอง

เชิญลบได้ครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านfalme อย่างนี้นินทาไหม



อ้างคำพูด:
ต้องบอกก่อนว่า ยังไม่มีอรหัตนต์เกิดขึ้นมาในโลก นับตั้งแต่ พ.ศ.๑๐๗๙ ตอนนี้สงสุดในโลก มีอนาคามีบุคคลเพียงท่านเดียวเท่านั้น คืออาจารย์สินธพ ส่วนผมบรรลุธรรมถึงขั้นใหนแล้ว มันลำบากที่จะตอบ มันก็มีทั้งผลดีผลเสียตามมา แต่ถ้าไม่บอกว่าถึงอริยะ ก็จะมีพวกถามเสมอว่า ที่แสดงธรรมมา บรรลุธรรมแล้วหรือยัง

ปุถุชน ยังไม่รู้จักวิธีการดับทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์ตามความเป็นจริง อย่างมากก็หลบทุกข์ได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ว่าจะหาอะไรมาทำ หรือกดข่มด้วยสมาธิ ก็คือการหลบทุกข์เหมือนกัน คนส่วนมากรู้จักแต่ทุกขเวทนา ยังไม่รู้จักทุกขอริยสัจจ์ พอพ้นทุกขเวทนาพบสุขเวทนา ก็จะคิดว่าพ้นดีแล้ว

ถ้ารู้จักทุกข์ รู้จักวิธีการดับทุกข์ ไม่ใช่ปุถุชนแล้ว เกิดดวงตาเห็นธรรมแล้ว ถือว่าล่วงภูมิปุถุชนไปแล้ว เป็นสัทธรานุสารี ธัมมานุสารี หรือเป็น โสดาบัน

สิ่งที่โสดาบันรู้ คือ ทุกข์ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด ทุกขเวทนา สุขเวทนา อุเบกขาเวทนา ก็เป็นทุกขอริยสัจจ์ด้วยกันทั้งนั้น ดับทุกข์ได้ ก็ดับความเกิดในชาติหน้าได้ ฯ

โสดาบันยังไม่พ้นทุกข์ เพราะโสดาบันไม่ได้ดับโลภะ โทสะ โมหะเลย ดับได้อย่างเดียวคือความเห็นผิดเท่านั้น โสดาบันอยู่ด้วยความเห็นถูก ความเห็นถูกหรือปัญญาใช้ดับเวทนาได้ก็เฉพาะตอนที่ไม่ประมาท หรือ ตอนที่วิปัสสนาทัน เรียกว่า การกำหนดรู้ผัสสะด้วยปัญญาก็ได้ เรียกว่าอินทรีย์สังวรก็ได้

เมื่อบรรลุโสดาปัตติผล ความคิดเห็นจะมั่นคง แต่ก็ยังไม่ได้ดับโลภะ โทสะ โมหะอยู่ดี แต่มีปัญญาที่จัดการกับมันได้มั่นคงขึ้น คือ ดับได้ทันทีที่มันเกิด ในที่ที่มันเกิด ถึงได้สกิทาคามีก็ทำให้โลภะ โทสะ โมหะ เบาบางลงเท่านั้น เพราะปัญญามั่นคงขึ้นมีกำลังมาขึ้น

เป็นโสดาบันได้เพราะปัญญา ศรัทราของโสดาบันเกิดจากปัญญา หรือเพราะได้รู้ความจริงของโลกและชีวิตฯ เมื่อความเห็นผิดดับไป ก็เกิดความเห็นถูกขึ้นมาแทน เมื่อวิปัสสนาแล้วดับความพอใจไม่พอใจและความหลงที่เกิดกับจิตปัจจุบันได้ ก็ไม่ต้องมามีอะไรสงสัยอีกในคำสอน โสดาบันจึงยกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม

ศีลของโสดาบันเกิดจากปัญญา เป็นพฤติกรรมปกติ หรือเป็นนิสัย ไม่ได้ผืนบังคับ เรียกว่า การมีศีล โสดาบันที่วิปัสสนาเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ศีลก็จะมั่นคงขึ้น เพราะความพอใจไม่พอใจและความหลงจะเกิดขึ้นได้น้อยลง ที่ไม่ขยันก็ยังผิดศีลได้อยู่ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความพอใจไม่พอใจและความหลงที่เกิดกับจิตปัจจุบันเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้คนทำผิดศีลทุกข้อ

ปุถุชนประกอบด้วยความพอใจไม่พอใจและความหลงหนาแน่นจนต้านทานได้ยาก นึกถึงศีลทีก็เป็นคนดีได้ที ตะบะแตกเมื่อใหร่ ศีลก็เอาไม่อยู่ พวกที่อยากจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ถึงอยู่ร่วมกับผู้คนได้ยาก เอาแต่จะหลบผัสสะไปหาที่สงบ ... ศีลแบบนี้ ไม่สามารถทำให้พ้นนรกไปได้

ผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์จึงมีแต่อรหันต์เท่านั้น เพราะท่านดับโลภะโทสะโมหะได้หมดสิ้นแล้ว นอกจากนั้นยังมีเชื้อเลวเหลืออยู่ ก็ยังเลวได้ มีมากเลวได้มาก มีน้อยเลวได้น้อย เพราะธรรมชาติเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

ศีลของโสดาบันบุคคล กับของพระโสดาบันบุคคล ไม่เหมือนกัน โดยมากสมัยนี้ จะเข้าใจว่า โสดาบันบุคคลจะมีศีลและวัตรเหมือนพระโสดาบัน ... ศีลของโสดาบันบุคคล ก็คือ ศีล ๕ ทำให้บริสุทธิ์ได้ข้อเดียวก็คือไม่กินเหล้า นอกจากนั้นก็ยังมีผิดได้ แต่ไม่ได้ผิดเป็นนิสัย เพราะยังต้องทำมาหากิน ยังต้องอยู่กับลูกกับเมียอยู่ ส่วนพระโสดาบันท่านต้องชำระศีล ๒๒๗ ข้อให้บริสุทธิ์ เพราะการอาบัติแม้เล็กน้อยจะเป็นตัวขวางในการบรรลุอรหันตผล

การเป็นโสดาบัน คือ การตายแล้วเกิดใหม่ จากปุถุชนโคตรเป็นอริยโคตร เป็นแล้วก็เป็นเลย ไม่ต้องมาคอยบอกตัวเองว่าเป็นอะไร
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ถ้ามีการนินทาปรามาสกันอีก จขทก ขออนุญาตแจ้งลบกระทู้ Onion_L Onion_L


คุณflame กำลังใส่ร้ายผมอยู่หรือเปล่า

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณflame



Onion_L Onion_L Onion_L Onion_L Onion_L Onion_L Onion_L Onion_L

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 19:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทักษา เขียน:
student เขียน:
ขอโทษครับ ใครคือ อ.สินธพ ครับ ผมสงสัยมานานมากแต่ไม่มีโอกาสถาม


เป็นอาจารย์ของคุณ Supareak Mulpong ครับ ท่านเป็นผู้ที่ตรัสรู้
เป็นอรหันต์แล้ว และคุณ Supareak Mulpong ก็ได้ศึกษาจากท่าน
จนตรัสรู้เป็นอรหันต์แล้วเช่นกัน


อนาคามี..ครับ...เขาว่าอนาคามี..ไม่ใช่อรหันต์..

แล้วท่านซุปฯ..ก็ว่าเป็นแค่..โสดา..ครับ

:b31: :b31: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธองค์ตรัสสอนให้อริยสาวกอยู่ด้วยความไม่ประมาท คือ ไม่ประมาทต่ออกุศล หรือ โลภะ โมหะ โทสะ ที่จะเกิดขึ้นร่วมกับจิตปัจจุบัน วิธีการที่จะไม่ทำให้โลภะ โทสะ โมหะ เกิด ก็คือ ใช้เจตนาเจตสิก พิจารณารูป รส กลิ่น เสียง ความคิด ตามความเป็นจริงว่า มันไม่เที่ยงฯ เมื่อโลภะ โทสะ โมหะ ไม่เกิด อโลภะ อโทสะ อโมหะ ก็จะเกิดขึ้นมาแทน

ปัญญาของโสดาบันยังไม่แข็งแรง หรือ ปัญญินทรีย์ยังอ่อน โลภะ โทสะ โมหะ ยังเกิดร่วมได้กับจิตปัจจุบัน ยังเกิดความหลงได้อยู่ ในขณะโสดาปัตติมรรค โลภะ โทสะ โมหะ เกิดได้เป็นปกติ ยกเว้นตอนวิปัสสนา ตอนได้ฟังธรรม และตอนทำบุญ

เมื่อบรรลุโสดาปัตติผล ปัญญาตั้งมั่นแล้ว กำลังของโลภะ โทสะ โมหะ จะอ่อนลงแต่ก็ไม่มาก โสดาบันจึงปกติดูเหมือนคนธรรมดา ถ้าไม่ได้พูดคุยด้วยจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเป็นอริยบุคคล บางทีสติก็ควานไปเจอความจริง บางทีก็ควานไปเจอความเห็น สลับกันไปๆ มา หรือ จิตเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ปนกัน แล้วแต่ความหนาแน่นของปัญญาที่ได้สะสมมา โสดาบันจึงแบ่งเป็นหลายระดับ ตามอินทรีย์ของปัญญา

ศีลของโสดาบันเกิดมั่นคงเป็นนิสัย การผิดศีลของโสดาบันไม่ได้ผิดเหมือนคนทั่วไป เช่นจะโกหก ก็รู้ว่าโกหก รู้ว่ามันผิด ไม่ได้โกหกหน้าตาเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว เรียกว่า ไม่ได้ผิดจากกิเลสตัณหา ผิดศีลจริงๆ นี่ พวกผิดกันทุกวัน ผิดเป็นนิสัย โสดาบันบุคคลอยู่ปกติเหมือนคนธรรมดาแหละครับ ไม่ได้สนใจในศีล เพราะมีศีลแล้ว ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ มีชีวิตปกติ ทำมาหากินปกติ ปกติก็ไม่ได้ทำอะไรผิดรุนแรงหรอกครับ เป็นพ่อค้าก็ยังต้องโกหกบ้าง อีกวันก็ไปทำบุญหนีเอา ฯ บ้างก็วิปัสสนา บ้างก็ไม่วิปสสนา ปล่อยเลยตามเลยก็มี ไม่เหมือนพระโสดาบันที่บวชเพื่ออรหันตผลชาตินี้ พอเกิดกิเลสขึ้นในใจ ท่านก็รีบวิปัสสนาฆ่าไม่รีรอ

โสดาฯ สกิทาฯ ดับได้อย่างเดียวคือ ความเห็นผิด โสดาบัน คือ บุคคลที่ได้ปัญญามาจากการฟัง (โสตตะ+บุคคล) สกิทาฯ มีปัญญาแข็งแรงมากขึ้น โลภะ โทสะ โมหะ ถึงจะมีอยู่ แต่ส่งอิทธิพลได้น้อยลง จึงถือว่า โลภะ โทสะ โมหะ เบาบาง อนาคาฯ ดับโทสะลงไปได้ ยังเหลือโลภะ โมหะ อย่างละเอียดอยู่ และสุดท้ายจะไปดับหมดตอนบรรลุอรหันต์ผลโน่น

อย่าพยายามเอาศีลของโสดาบันบุคคลไปเทียบกับศีลของพวกฤาษี พวกนั้นถือศีลบริสุทธิ์ด้วยอาการสำรวมระวังรักษาหรือกดข่มไว้ ผิดนิดผิดหน่อยจะถือว่าเป็นผิดอย่างรุนแรง เพราะจะส่งผลให้ฌานเสื่อม หมดจากฌานฤาษีก็กลายเป็นคนธรรมดา อริยบุคคลละศีลแบบนี้ และปฏิบัติวิปัสสนาอันเห็นเหตุของศีลต่อไป เมื่อปัญญาแข้มแข็งขึ้น ศีลก็บริบูรณ์ตามมาเอง ถ้าปัญญายังไมาแข็งแรง อย่างไรมันก็ต้องมีผิด

เนื่องจากไม่มีโสดาบันมาเป็นเวลานานแล้ว โสดาบันจึงดูเหมือนภาพในความฝัน บ้างก็ยกโสดาบันจนเลิศเลอ ซึ่งความเป็นจริง คนที่ได้ฟังธรรม เข้าใจเรื่องโลกและชีวิต เข้าใจเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ หรือถึงบางอ้อขึ้นมา ก็ถือได้ว่าเป็นโสดาบันแล้ว ในอดีตที่ได้โสดาฯ กันทั้งหมู่บ้าน เขาก็อยู่กินปกติเหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ

โสดาบันบุคคลกับพระโสดาบันไม่เหมือนกันนะครับ บารมีทางธรรมต่างกันมาก บุคคลธรรมดาบรรลุโสดาปัตติผล ก็เรียกว่า โสดาบันบุคคล ถ้าบวชถึงจะเรียกว่าพระโสดาบัน ถือเป็นพระอริยเจ้า แต่ทั้ง ๒ ก็ถือว่าเป็นสงฆ์สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน

คุณหลับอยู่ นอกจากสมาธิสูตร ฌานสูตร หรือสูตรที่พระพุทธองค์ตรัสสอนฌานลาภีบุคคล ท่านคงไม่ได้อ่านสูตรอื่นหรือไม่ก็ข้ามๆ ไปสินะครับ แต่ละสูตรที่ท่านยกมา เป็นสูตรที่พระพุทธงค์ตรัสสอนพระอริยสงฆ์ทั้งนั้นนะครับ รบกวนพิจารณาให้ดีอีกที ผิดบุคคลก็ผิดธรรมเหมือนกันนะครับ

อาจารย์สินธพเป็นอนาคามีมรรค ยังไม่ถึงอนาคามีผล ถึงผลเมื่อใหร่ท่านคงบวช ถึงตอนนั้นใครไปถามอะไรท่าน ท่านก็ตอบได้คำเดียวว่า ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ... ตอนเป็นโสดาบันท่านเป็นกายะสักขี ชาติๆ ก่อนๆ ท่านเป็นฤาษีที่ทรงฌานอภิญญามากที่สุดท่านหนึ่ง ชาติต่อๆ มาก็ได้บวช แต่ก็ปฏิบัติถึงแค่ฌานอภิญญา เคยเป็นถึงสังฆราช (เปรียญ ๑๘ ประโยค) ถึงชาตินี้ ท่านเลยมีของเก่าติดตัวมามาก จึงเกิดฌานทัศนะตอนบรรลุโสดาปัตติผลเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐

ยังไม่มีอรหันต์เกิดขึ้นมนโลกมากว่า ๑๔๐๐ ปีแล้ว อรหันต์องค์แรกที่จะเกิดขึ้นมาในยุคนี้ อาจจะเป็นคุณก็ได้ ใครจะรู้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 23:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มรรค4 มรรค8 ไตรสิกขา

มรรค ๔ ถ้าจำไม่ผิด มีปรากฏ ๒ ที่ในพระไตรปิฏก ที่หนึ่งพระพุทธองค์ตรัส อีกที่หนึ่งพระสารีบุตรถามพระิอานนท์ เป็นการปฏิบัติธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ใช่การปฏิบัติของฆราวาส สมัยนั้น

พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่พิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ อยู่เป็นประจำว่ามันไม่เที่ยงฯ คือผู้ที่กำลังเจริญอริยมรรคอยู่ เมื่ออริยมรรคบริบูรณ์แล้ว สติปัฏฐานถึงจะเกิดตามมา ฯ

ไตรสิกขา เป็นเรื่องที่พระอริยะกลุ่มหนึ่งไปต่อรองกับพระพุทธเจ้า บอกว่า ศีล ๑๕๐ ข้อมีมากไป ปฏิบัติไม่ใหว จะขอสึก ท่านจึงลดลงเหลือ ๓ ข้อ ฯ ก็ยังเป็นเรื่องของพระอริยเจ้าอยู่ดี ไม่ใช่เรื่องของฆราวาส สมมุติสงฆ์เอามาปฏิบัติก็ยังผิด นี่เป็นฆราวาสจะเอามาปฏิบัติ ก็เป็นการทำเหตุไม่ตรงผลที่ต้องการ เมื่อเหตุผิด ผลก็ผิด เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 02:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


พอเหอะ ซุปเอ๋ย ขาดทุนอย่างเดียว เห็นเคยนำพระอภิธรรมมาไว้ในห้องพระอภิธรรมตั้งเยอะตั้งแยะ นึกว่าจะเข้าใจ.... เฮ้อ...!
ดันมา เจ๊งบารมี เอาบาปใส่ตัว เปล่าๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อาจารย์สินธพเป็นอนาคามีมรรค ยังไม่ถึงอนาคามีผล ถึงผลเมื่อใหร่ท่านคงบวช ถึงตอนนั้นใครไปถามอะไรท่าน ท่านก็ตอบได้คำเดียวว่า ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ...

อาจารย์ท่านเป็นพระ..หรือ..ท่านซุปฯ
แล้วอยู่แห่งหนตำบลใด...เผื่อหากได้ผ่านไปทางเหนือใกล้ ๆ...
จะได้เข้าไปสังเกตุการณ์....

อ้างคำพูด:
ยังไม่มีอรหันต์เกิดขึ้นมนโลกมากว่า ๑๔๐๐ ปีแล้ว อรหันต์องค์แรกที่จะเกิดขึ้นมาในยุคนี้ อาจจะเป็นคุณก็ได้ ใครจะรู้

:b8: ให้พรก็รับ...รับหมดแหละ..

แต่..จะให้เป็นอรหันต์องค์แรกในยุคนี้...ขอไม่รับ :b32:
กลัวขี้กลากจะขึ้นหัว.. :b14: :b14:
ขึ้นหัวแน่ ๆ :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 22:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ไตรสิกขา เป็นเรื่องที่พระอริยะกลุ่มหนึ่งไปต่อรองกับพระพุทธเจ้า บอกว่า ศีล ๑๕๐ ข้อมีมากไป ปฏิบัติไม่ใหว จะขอสึก ท่านจึงลดลงเหลือ ๓ ข้อ ฯ ก็ยังเป็นเรื่องของพระอริยเจ้าอยู่ดี ไม่ใช่เรื่องของฆราวาส สมมุติสงฆ์เอามาปฏิบัติก็ยังผิด


พระอริยะ....ท่านปฏิบัติไม่ใหว จนเหนื่อยหน่ายกับศีล 150 ข้อรึงัย...ท่านซุปฯ..ถึงไปต่อรองกับพระพุทธเจ้า...
อริยะแบบไหน..นี้???...ทำไม่ได้...จนจะขอสึก...นี้นะ :b10:

ตื้น ๆ ไปมั้งท่านซุปฯ....คิดแบบนี้...จะเขาข่ายปรามาสพระรัตนไตรเอานะ...ท่านเอ๋ย

มันจะขาดทุน..จริง ๆ อย่างที่เพื่อนสมาชิกหลับอยู่...เตือนเอาหน่า.. :b25: :b25:

เพราะอะไร..รู้มั้ย??...เพราะไม่ใช่ว่าท่านปฏิบัติไม่ใหวจนอยากจะสึกหรอก....

เพราะ..ท่านเหล่านี้เป็นคนจำพวกมีปัญญามาก...คนฉลาดมาก ๆ ..มักไม่ชอบอะไรเยิ่นเย่อมากความ...ต้องการสรุปสั้น ๆ ..พวกเขาก็สามารถทำต่อกันเองได้จนครบนั้นแหละ...จาก 3 ให้เหลือแค่ 1 ...ก็ยังได้เลย...นี้ของจริงไม่ได้แกล้งพูด

(เห็นจะเดาได้ราง ๆ แล้วละว่าทำเหตุอะไรใว้..ท่านซุปฯ..ถึง....)

ขอฝากคติธรรมของหลวงปู่ชา สุภัทโท..ใว้ให้พิจารณา..นะครับ..ท่านซุปฯ

"เธอจงระวังความคิดของเธอ
เพราะความคิดของเธอจะกลายเป็นความประพฤติของเธอ

เธอจงระวังความประพฤติของเธอ
เพราะความประพฤติของเธอจะกลายเป็นความเคยชินของเธอ

เธอจงระวังความเคยชินของเธอ
เพราะความเคยชินของเธอจะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ

เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ
เพราะอุปนิสัยของเธอจะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชีวิต
"

( หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง )


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
คุณflame



Onion_L Onion_L Onion_L Onion_L Onion_L Onion_L Onion_L Onion_L



ขออภัยที่ทำให้คุณ mes ไม่พอใจครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 184 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร