วันเวลาปัจจุบัน 30 ก.ค. 2025, 13:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 03:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
พระไตรปิฏกเป็นการ รวบรวมพุทธพจน์มาไว้ในที่เดียวกัน
เพื่อเป็นหลักอันมั่นคง ต่อผู้ศึกษา ในการพิจารณาธรรม อย่างถูกต้อง

ขอย้ำพุทธพจน์ไม่ใช่แบบเพื่อให้ศีกษา ยิ่งในพระสูตรยิ่งไม่ใช่ พูดให้ตรงความหมายก็คือ
พุทธพจน์ คือการปฏิบัติ ซึ่งต้องอาศัย การเลือกเฟ้นธรรม(ธัมมวิจยะ)
โดยมีปัญญาเป็นหลัก

เริ่มแรก พุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน เรียกว่า"พระธรรมวินัย"
นั้นคือมีในเรื่อง วินัยของสาวกและธรรมต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงสอนบุคคลต่างสถานที่
ต่างสถานะ

แต่ต่อมาหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เหล่าสาวกที่ทำสังคายนา
ได้เพิ่ม บทพระอภิธรรมปิฎกเข้าไป จากพระวินัยหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้ๆ
จีงกลายเป็น พระไตรปิฎก ดังนั้นส่วนที่ใช่สำหรับศึกษาก็คือ...พระอภิธรรมปิฎก
ไม่ใช่พระสูตร

คุณเช่นนั้นครับ ผมเห็นคุณแย้งผมหัวชนฝาเรื่อง "ไตรลักษณ์"
คุณบอกว่า"ไตรลักษณ์ไม่ใช่พุทธพจน์" แล้วนี่ไม่เข้าใจหรือว่า พระอภิธรรมก็ไม่ใช่พุทธพจน์

เช่นนั้น เขียน:
การศึกษาพุทธพจน์ และน้อมนำเข้าสู่จิตสู่ใจ แม้เพียงในชั้นบัญญัติ ก็ยังสามารถนำให้เกิดสุตตมยปัญญาได้ และนำไปปฏิบัติยิ่งขึ้นไป ก็นำให้เกิดจินตามยปัญญา ต่อๆไป ซึ่งหากขาดเสียซึ่งความเข้าใจในบัญญัติ ก็อย่าหวังว่าจะรู้ธรรมในปรมัตถสภาวะ คือมรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 อีกต่อไปเลย

ก็เป็นแบบนี่ไงครับ เข้าใจผิดกัน สอนกันมาผิด หยิบเอาพุทธพจน์มาสอน
โดยไม่เข้าใจ

ปัญญาที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงมีหลายระดับ
สุตตะ จินตะและภาวณา มันเป็นวิธีการพัฒนาปัญญา
นั้นก็คือใช่ สุตตะ จินตะและภาวนามาพัฒนาปัญญาให้สูงขึ้น

แต่ที่แน่ๆ บุคคลที่พระพุทธเจ้าทรงสอนในเรื่องนี้
จะต้องเป็นบุคคลที่ผ่านสภาวะไตรลักษณ์มาแล้ว จึงจะเข้าใจในสุตตะได้
การได้เห็นสภาวะไตรลักษณ์ คือเห็นการเกิดดับของสภาวะ และเมื่อได้มาได้รับฟัง
จากผู้อื่นว่า สภาวะที่เห็นคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่ใช่ตัวตนของขันธ์ห้า
นี่แหล่ะเรียกว่า......การเกิดสุตตมยปัญญา เป็นปัญญาขั้นต้นเรียกว่า..สัจจานุโลมิกญาณ

สรุปก็คือไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วแค่ฟังแค่อ่านจะทำให้เกิดปัญญา
บุคคลนั้นจะต้องเคยผ่านสภาวะไตรลักษณ์มา ไตรลักษณ์ก็เป็นปัญญาเบื้องต้น
แต่เพราะยังไม่เข้าใจในสภาวะที่เห็น จึงต้องอาศัยการฟังการอ่านอธิบายว่า.
ไตรลักษณ์คืออะไร เมื่อรู้แล้วจีงเรียกว่าปัญญาเบื้องต้นที่แท้จริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 03:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เมื่อในขณะที่จิตยังมี วิจิกิจฉา อันสืบเนื่องจากความเข้าใจต่อความรู้เดิมๆ ขัดแย้ง กับความรู้ความเข้าใจซึ่งแสดงไว้ในพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ..
วิจิกิจฉา อันเกิดจาก ทิฏฐานุสัยในชั้นแรกๆนั้น จำเป็นต้องอาศัย ศรัทธาปสาสทะ ในการขจัดออก เพื่อเปิดโอกาสให้จิตนั้น ได้น้อมนำคำสอนมาสู่จิตสู่ใจ ซึ่งเรียกว่า โยนิโสมนสิการ อันจะนำไปสู่ความเห็นชอบในกาลต่อไปได้

จิตที่มีวิจิกิจฉา มันไม่ได้เกี่ยวกับความรู้เดิมๆ มันไม่เกี่ยวกับบัญญัติที่อ่านสักนิด
มันเกี่ยวกับสภาวะที่มาบดบังธรรม มันเป็นเรื่องเหตุปัจจัย การยึดมั่นถือมั่นสิ่งหนึ่ง
ทำให้ไม่เชื่ออีกอย่างหนึ่ง อาจจะมีใครบ้างคนบอกว่า เชื่อซิทำไมไม่เชื่อ
ก็ขอบอกเลยว่า งมงาย
สิ่งที่ทำให้ให้เกิดวิจิกิจฉา มันเป็นกิเลสอีกตัวที่เรียกว่า สักกายทิฐิ
แล้วสักกายะคืออะไร มันก็คือการหลงว่า กายนี้ใจนี่เป็นตัวเป็นตน
ผู้ซี่งยังไม่เคยผ่านไตรลักษณ์ ไม่รู้ความเป็นอนิจจัง ทุกขังและอนัตตาของสังขาร

ฉะนั้นผู้ที่จะสิ้นวิจิกิจฉา จะต้องเป็นผู้มองวภาวะตามความเป็นจริงเสียก่อน
เพราะมันเป็นต้นเหตุหรือเหตุปัจจัยของสัมมาทิฐิ เมื่อมีสัมมาทิฐิ วิจิกิจฉาก็จะหมดไป
ทำให้สามารถพิจารณาธรมของพระพุทธองค์ได้ เพราะธรรมของพุทธองค์ก็เป็นเรื่องราว
ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ
ธรรมชาติในที่นี้คือ ธรรมชาติของรูปนามน่ะ ที่สำคัญรูปนามเป็นปรมัตถ์
การอ่านการฟังโดยไม่เห็นการทำงานของรูปนามก่อน ย่อมต้องไม่ใช่การเห็น
ธรรมตามความเป็นจริง
ก็บอกแล้วไงแค่งมงาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เมื่อ โยนิโสมนสิการ เกิดขึ้นจนดวงจิต เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว

โยนิโสนมสิการเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีสัมมาทิฐิมาน้อมนำ โยนิโสฯเกิดจากมีสัมมาทิฐิเป็นเหตุ
ที่คุณเช่นนั้นบอกว่า "โยนิโสฯเกิดขึ้นจนดวงจิตเป็นสัมมาทิฐิ" แบบนี้มันเป็นเพียงความคิด

ความหมายของโยนิโสฯ คือการเอาสัมมาทิฐิเป็นหลักในการ
น้อมนำลงไปพิจารณาธรรม เพื่อดับสังโยชน์ พูดง่ายโยนิโสฯเป็นตัวเชื่อมระหว่าง..
สัมมาทิฐิกับธรรมที่กำลังพิจารณา

เช่นนั้น เขียน:
สติปัญญาอันได้ตั้งแต่ถือกำเนิดมาเพราะกุศลนำอยู่ในขณะที่มีโอกาสเป็นคนนั้น แม้มีกำลังอ่อนก็สามารถพัฒนาให้มีกำลังมากขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการพิจารณาธรรม ตามสมควรแก่กำลังสติปัญญาในเวลาต่างๆกันไป ซึ่งเรียกว่า การทำจิตตภาวนา โดยอาศัยพุทธพจน์เป็นมรรค เป็นทางดำเนินไป

สัตว์โลกไม่ว่าคนหรือเดรัญฉาน ที่ต้องเกิดมาเวียนว่าย ก็เพราะขาดปัญญา
ไม่ใช่ว่า การได้เกิดเป็นคนเพราะมีปัญญา เกิดเป็นเดรัญฉานเพราะไม่มีปัญญา

คนแตกต่างจากเดรัญฉานตรงที่ คนมีสติที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการได้มาแห่งปัญญา
แต่เดรัญฉานไม่มี

การกล่าวโดยเอาสติกับปัญญามาร่วมเป็นสิ่งเดียวกัน มันผิดผิดหลักความเป็นจริง
เพราะสติก็คือสติ ปัญญาก็คือปัญญา เป็นคนละส่วนกัน

คนไม่มีปัญญาก็สามารถมีสติได้
ส่วนคนมีปัญญาต้องอาศัยสติเป็นเครื่องนำทาง

ที่กล่าวมาเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า การเอาพระสูตรเอาพุทธพจน์มาเป็นบทเรียน
ผลก็อย่างที่เห็น คือไม่เข้าใจในสภาวะที่เป็นจริง สับสนกับอาการของจิต

จำไว้เลยว่า พระสูตรมีไว้เพื่อแก้จริต จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้จะใช้ต้องมีสัมมาทิฐิ
เพื่อน้อมนำมาพิจารณาพระสูตร ไม่ใช่มาอ้างกันลอยๆ

การจะเข้าใจในพระธรรมได้ต้องอาศัยพระไตรปิฎก ในส่วนของ พระอภิธรรม
พระอภิธรรมที่มีขึ้นมา เพราะเหล่าพระอรหันต์สาวก มีจุดประสงค์มีไว้เพื่อศึกษา
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นการอธิบายสภาวะธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้

เช่นนั้น เขียน:
ดังนั้น การแสดงธรรม แม้เพียงพยายามอ้างพุทธพจน์ ด้วยความสำรวมระวัง ก็เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา
แต่หากแสดงธรรมเอง แล้วคิดเองเออเอง ว่าเป็นธรรมที่พระองค์แสดงไว้ ย่อมเป็นการแสดงถึงความด้อยปัญญา อันเป็นทิฏฐานุสัยเดิมที่แสดงออกมา

ต้องแยกแยะให้ดีว่า ธรรมที่บุคคลอื่นแสดงเป็นการคิดเองเออเอง หรือเป็นเพราะตัวเองไม่รู้
เลยทำให้เกิดอคติ เพราะความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนหลง จนเกิดอกุศลต่อต้าน

การอ้างพุทธพจน์เพื่อให้ระลืกนึกถีงพระพุทธเจ้า นั้นเป็นกุศล
แต่ถ้าจะเอาพุทธพจนน์มาอ้างโดขาดความเข้าใจ อาจเป็นกุศลแต่มันขาดปัญญาครับ
ถ้าคุณเช่นนั้น จะโพสพระอภิธรรมปิฎก อธิบายว่า..
ปรมัตถ์คืออะไร จิต เจตสิก รูปและนิพานคืออะไร ผมจะไม่เถียงเลยว่า..
มันเป็นบทเรียน เป็นปริยัติ แต่ไม่ใช้เอาพระสูตรมาโพสโดยไม่มีที่มาที่ไป
พอมีคนเขาถาม ก็ตอบแต่บัญญัติในลักษณะแปล กลับไปกลับมาระหว่าง...บาลีกับภาษาไทย


ถามครับ ถ้าเป็นแบบนี้ นกแก้วที่พูดจ้อๆอยู่ในกรง
กับนกเอี้ยงที่หากินแมลงบนหลังควาย
นกตัวไหนมันมีปัญญาและมีประโยชน์กว่ากันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮํบ เขียน:
สรุปก็คือไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วแค่ฟังแค่อ่านจะทำให้เกิดปัญญา
บุคคลนั้นจะต้องเคยผ่านสภาวะไตรลักษณ์มา ไตรลักษณ์ก็เป็นปัญญาเบื้องต้น
แต่เพราะยังไม่เข้าใจในสภาวะที่เห็น จึงต้องอาศัยการฟังการอ่านอธิบายว่า.
ไตรลักษณ์คืออะไร เมื่อรู้แล้วจีงเรียกว่าปัญญาเบื้องต้นที่แท้จริง


นี่คือสิ่งที่ไม่มีในพุทธพจน์ ..... พระพุทธองค์ไม่เคยสอน ว่าต้องผ่านสภาวะไตรลักษณ์มาก็เป็นปัญญาเบื้องต้น ......... โฮฮับจนป่านนี้ ก็เหมือนเดิม

โฮฮับ เขียน:
จิตที่มีวิจิกิจฉา มันไม่ได้เกี่ยวกับความรู้เดิมๆ มันไม่เกี่ยวกับบัญญัติที่อ่านสักนิด
มันเกี่ยวกับสภาวะที่มาบดบังธรรม มันเป็นเรื่องเหตุปัจจัย การยึดมั่นถือมั่นสิ่งหนึ่ง
ทำให้ไม่เชื่ออีกอย่างหนึ่ง อาจจะมีใครบ้างคนบอกว่า เชื่อซิทำไมไม่เชื่อ
ก็ขอบอกเลยว่า งมงาย

โฮฮับ เขียนเอง ก็คงเบลอเอง
อ่านกลับไปกลับมา เมื่อไม่เกี่ยวกับความรู้เดิมๆ ....การยึดมั่นสิ่งหนึ่งทำให้ไม่เชื่ออีกอย่างหนึ่ง
โฮฮับ จะค้านกับคำพูดตัวเองไปถึงไหนกันอีกล่ะ
การชำระวิจิกิจฉา ในขั้นนิวรณ์ ไม่จำเป็นต้องพิจารณา สิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้สอนคือไตรลักษณ์ หรอกนะโฮฮับ เพียงตั้งศรัทธาปสาทะขึ้นได้ ก็เพียงพอแล้ว โฮฮับ
ธรรมชาติรูปนามเป็นปรมัตถ์ ก็ไม่มีในคำสอนของพระพุทธองค์อีกเช่นกันนะโฮฮับ

โฮฮับ เขียน:
ความหมายของโยนิโสฯ คือการเอาสัมมาทิฐิเป็นหลักในการ
น้อมนำลงไปพิจารณาธรรม เพื่อดับสังโยชน์ พูดง่ายโยนิโสฯเป็นตัวเชื่อมระหว่าง..
สัมมาทิฐิกับธรรมที่กำลังพิจารณา

ต้องแจงว่า โยนิโสมนสิการ ในชั้นไหน
ถ้าโยนิโสมนสิการ ในชั้นแรก อันเป็นการนำให้เกิดศรัทธาปสาสทะก็เป็นอธิพรหมจรรย์ เป็นจุดตั้งต้นแห่งสัมมาทิฏฐิ โยนิโสมนสิการในชั้นนี้ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน และน้อมนำเข้าสู่จิตพินิจพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล จนเกิดเป็นสัมมาทิฏฐิได้ และตั้งพรหมจรรย์ไว้ในดวงจิตได้สำเร็จ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 20 ก.ย. 2012, 14:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
สัตว์โลกไม่ว่าคนหรือเดรัญฉาน ที่ต้องเกิดมาเวียนว่าย ก็เพราะขาดปัญญา
ไม่ใช่ว่า การได้เกิดเป็นคนเพราะมีปัญญา เกิดเป็นเดรัญฉานเพราะไม่มีปัญญา

คนแตกต่างจากเดรัญฉานตรงที่ คนมีสติที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการได้มาแห่งปัญญา
แต่เดรัญฉานไม่มี

การกล่าวโดยเอาสติกับปัญญามาร่วมเป็นสิ่งเดียวกัน มันผิดผิดหลักความเป็นจริง
เพราะสติก็คือสติ ปัญญาก็คือปัญญา เป็นคนละส่วนกัน

คนไม่มีปัญญาก็สามารถมีสติได้
ส่วนคนมีปัญญาต้องอาศัยสติเป็นเครื่องนำทาง

การไปสู่สุคติภพ หรือทุกคติภพ นั้น เพราะ กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม นำเกิด
เกิดเป็นคนได้ เพราะกุศลกรรมให้ผล
เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะอกุศลกรรมให้ผล
ดังน้้น เมื่อเกิดเป็นคนได้เพราะกุศลกรรมให้ผล คนจึงมีสิ่งที่ติดตนมา คือสติปัญญาอันเป็นสชาติกปัญญา
เพียงแต่จะมีสติพละ ปัญญาพละ อ่อนหรือแก่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำไว้ปรุงแต่ง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ถ้าคุณเช่นนั้น จะโพสพระอภิธรรมปิฎก อธิบายว่า..
ปรมัตถ์คืออะไร จิต เจตสิก รูปและนิพานคืออะไร ผมจะไม่เถียงเลยว่า..
มันเป็นบทเรียน เป็นปริยัติ แต่ไม่ใช้เอาพระสูตรมาโพสโดยไม่มีที่มาที่ไป
พอมีคนเขาถาม ก็ตอบแต่บัญญัติในลักษณะแปล กลับไปกลับมาระหว่าง...บาลีกับภาษาไทย

ถามครับ ถ้าเป็นแบบนี้ นกแก้วที่พูดจ้อๆอยู่ในกรง
กับนกเอี้ยงที่หากินแมลงบนหลังควาย
นกตัวไหนมันมีปัญญาและมีประโยชน์กว่ากันครับ

เช่นนั้น ไม่โพสต์ หรอกครับ สิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สอน เช่น ปรมรัตถ์ หมายถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน

และ เช่นนั้น ก็ไม่ทราบเรื่องนกแก้ว นกเอี้ยงหรอกครับ หรือโฮฮับทราบ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
จำไว้เลยว่า พระสูตรมีไว้เพื่อแก้จริต จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้จะใช้ต้องมีสัมมาทิฐิ
เพื่อน้อมนำมาพิจารณาพระสูตร ไม่ใช่มาอ้างกันลอยๆ

โฮฮับคงจำไว้อย่างเหนียวแน่นนะครับ

โฮฮับ จำไว้เลยว่า
พระสูตรต่างๆนั้น เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาและปฏิบัติ ตามมรรคปฏิปทาซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงจำแนกไว้เป็นอย่างดี

ผู้ที่ยกพระสูตร ด้วยความสำรวมระวัง ต่างก็มีความพยายามที่จะเดินตามมรรควิธีนั้น
และเขาก็เข้าใจตามภูมิปัญญาที่เขาเข้าใจได้ ซึ่งต่างกับผู้ที่เขียนเองเออเอง หรอกครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่คุณเช่นนั้นกล่าวก็น่าสนใจ สมควรพิจารณา

สิ่งที่คุณโฮฮับกล่าวก็น่าสนใจ สมควรนำไปพิจารณาเช่นกัน

ขออภัยที่เออออด้วยคน

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2012, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮํบ เขียน:
สรุปก็คือไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วแค่ฟังแค่อ่านจะทำให้เกิดปัญญา
บุคคลนั้นจะต้องเคยผ่านสภาวะไตรลักษณ์มา ไตรลักษณ์ก็เป็นปัญญาเบื้องต้น
แต่เพราะยังไม่เข้าใจในสภาวะที่เห็น จึงต้องอาศัยการฟังการอ่านอธิบายว่า.
ไตรลักษณ์คืออะไร เมื่อรู้แล้วจีงเรียกว่าปัญญาเบื้องต้นที่แท้จริง

นี่คือสิ่งที่ไม่มีในพุทธพจน์ ..... พระพุทธองค์ไม่เคยสอน ว่าต้องผ่านสภาวะไตรลักษณ์มาก็เป็นปัญญาเบื้องต้น ......... โฮฮับจนป่านนี้ ก็เหมือนเดิม

ถึงได้บอกไงว่าอย่าเอา พุทธพจน์มาโพสซี่ซั้ว ย้ำหนักย้ำหนาว่า
พุทธพจน์เป็นการ สอนธรรมจำเพราะแก่บุคคล พระองค์สอนเป็นเรื่องๆที่
เหมาะแก่บุคคลที่พระองค์พบ

ที่สำคัญพระองค์ไม่ได้เอาปัญญามาให้โดยตรง เพียงแต่พระองค์มาบอกวิธีการ
ให้ได้มาซึ่งปัญญา ดังนั้นปัญญาเราต้องรู้เอง เพราะปัญญามันเป็น...ปัจจัตตัง


อันที่จริงเหตุที่ทำให้เกิดไตรลักษณ์ มันมีด้วยกันทุกคน แล้วแต่ว่าใครจะมีปัญญาไปรู้
ที่บอกว่าพระพุทธองค์ไม่ได้สอนไตรลักษณ์ใช่ เพราะปัญญาสอนกันไม่ได้ สอนได้แต่เพียง
วิธีการให้ได้มาซึ่งปัญญา แล้วพระองค์สอนอะไรที่เกี่ยวกับไตรลักษณ์

พระองค์สอนหรือมาบอก เรื่องการมีอยู่ของ"ธรรมนิยาม"ในใจคน
ส่วนไตรลักษณ์คือ การเอาสิ่งที่พุทธเจ้าทรงกล่าวเรื่องธรรมนิยาม แล้วเอาไปเทียบเคียง
กับสิ่งที่เกิดในใจตนเอง ปัญญาหรือไตรลักษณ์จึงจะเกิด
สังเกตุ ธรรมนิยามเป็นพุทธพจน์ ไตรลักษณ์เป็นปัญญา..เป็นปัจจัตตัง
ไตรลักษณ์จึงไม่มีในพุทธพจน์....เข้าใจมั้ย

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
จิตที่มีวิจิกิจฉา มันไม่ได้เกี่ยวกับความรู้เดิมๆ มันไม่เกี่ยวกับบัญญัติที่อ่านสักนิด
มันเกี่ยวกับสภาวะที่มาบดบังธรรม มันเป็นเรื่องเหตุปัจจัย การยึดมั่นถือมั่นสิ่งหนึ่ง
ทำให้ไม่เชื่ออีกอย่างหนึ่ง อาจจะมีใครบ้างคนบอกว่า เชื่อซิทำไมไม่เชื่อ
ก็ขอบอกเลยว่า งมงาย

โฮฮับ เขียนเอง ก็คงเบลอเอง
อ่านกลับไปกลับมา เมื่อไม่เกี่ยวกับความรู้เดิมๆ ....การยึดมั่นสิ่งหนึ่งทำให้ไม่เชื่ออีกอย่างหนึ่ง
โฮฮับ จะค้านกับคำพูดตัวเองไปถึงไหนกันอีกล่ะ
การชำระวิจิกิจฉา ในขั้นนิวรณ์ ไม่จำเป็นต้องพิจารณา สิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้สอนคือไตรลักษณ์ หรอกนะโฮฮับ เพียงตั้งศรัทธาปสาทะขึ้นได้ ก็เพียงพอแล้ว โฮฮับ
ธรรมชาติรูปนามเป็นปรมัตถ์ ก็ไม่มีในคำสอนของพระพุทธองค์อีกเช่นกันนะโฮฮับ

คุณเช่นนั้นครับ อย่าแค่อ่านบัญญัติอยู่เลย พระพุทธองค์ทรงสอน ให้เราดับสังโยชน์นะครับ
การดับสังโยชน์เป็นการดับทุกข์ที่แท้จริง

สิ่งที่คุณเอามาพูดที่ว่า การชำระวิจิกิจฉาในขั้นนิวรณ์ มันเป็นคนละเรื่องกับ
การดับสังโยชน์
วิจิกิจฉาที่กล่าวถีงแม้จะเป็นตัวเดียวกัน แต่มันผิดกันที่สภาวะและเหตุปัจจัย

วิจิกิจฉาที่เป็นนิวรณ์ ไม่ใช่เป็นการดับสังโยชน์
มันเป็นเพียงการกดข่มสังโยชน์ไว้ชั่วคราว เพื่อไม่ให้มารบกวนการเดินวิปัสสนา

ส่วนการดับสนิทของวิจิกิจฉา ต้องอาศัยการเดินวิปัสสนา(สติปัฏฐาน)
และการดับไม่ใช่ไปกระทำที่ตัวมันโดยตรง ต้องไปดับเหตุ เหตุที่ทำให้เกิดวิจิกิจฉา
ก็คือ....สักกายทิฐิ


ไอ้ตัวสักกายทิฐินี้แหล่ะที่มาปิดบังไตรลักษณ์(ปัญญา) ไม่ให้เห็นธรรมหรือเรียกว่า.
ถูกวิจิกิจฉาเข้าครอบงำ


มันมีอรรถกถาอยู่บทหนึ่ง อยากเอามาให้คุณเช่นนั้นดู ไม่ใช่ให้เชื่อนะครับ
แค่อยากให้เอาเก็บไว้พิจารณา......


***ไตรลักษณะ คือ ลักษณะ ๓ ได้แก่ อนิจจํ ๑ ทุกขํ ๑ อนัตตา ๑ ซึ่งลักษณะทั้ง ๓ นี้

มีทั่วไปกับสังขารธรรม หรือ จิต เจตสิก รูป แต่ผู้ที่มีปัญญาน้อยย่อมไม่เห็นลักษณะ

ทั้ง ๓ นี้ตามเป็นจริง
เพราะว่าการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วของนามธรรมและ

รูปธรรม จึงไม่เห็นอนิจจัง เพราะมีอิริยาบถการดำเนินเปลี่ยนแปลงไปทั้งการยื่น การ

เดิน การนั่ง การนอน จึงปิดบังทุกขลักษณะ การยึดถือทรงจำสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรวม

กันเป็นกลุ่มก้อน(ฆนสัญญา)จึงปิดบังอนัตตา***


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2012, 02:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ความหมายของโยนิโสฯ คือการเอาสัมมาทิฐิเป็นหลักในการ
น้อมนำลงไปพิจารณาธรรม เพื่อดับสังโยชน์ พูดง่ายโยนิโสฯเป็นตัวเชื่อมระหว่าง..
สัมมาทิฐิกับธรรมที่กำลังพิจารณา

ต้องแจงว่า โยนิโสมนสิการ ในชั้นไหน
ถ้าโยนิโสมนสิการ ในชั้นแรก อันเป็นการนำให้เกิดศรัทธาปสาสทะก็เป็นอธิพรหมจรรย์ เป็นจุดตั้งต้นแห่งสัมมาทิฏฐิ โยนิโสมนสิการในชั้นนี้ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน และน้อมนำเข้าสู่จิตพินิจพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล จนเกิดเป็นสัมมาทิฏฐิได้ และตั้งพรหมจรรย์ไว้ในดวงจิตได้สำเร็จ

นี่ล่ะน่าชอบพูดเอาบัญญัติไทยกับบาลี กลับไปกลับมา แบบนี้มันใช่การอธิบายธรรมที่ไหน
จะอธิบายธรรมต้องพูดถึงเหตุปัจจัยหรือที่มาให้เห็น
ไม่ใช่แค่เอาบัญญัติมาประดับเฉยๆแล้วบอกว่า อธิบายธรรมตามพุทธพจน์

จะบอกคุณเช่นนั้นให้ครับว่า "ด้วยเหตุด้วยผล"ในความหมายของพระพุทธเจ้า
"สัมมาทิฐิที่เป็นโลกตตระ" และเหตุปัจจัยของสัมมาทิฐิที่เป็นโลกุตตระก็คือ.......
การได้เข้าไปรู้ไปเห็นสภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถ์ตามความเป็นจริง

มันไม่ใช่มานั่งพินิจพิจารณา แบบนี้เขาเรียก...ความคิดจินตนาการเอาเอง

การโยนิโสฯโดยปราศจากสัมมาทิฐิเป็นตัวนำ เรียกว่าโมเมเอาเองไร้เหตุผล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2012, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
สัตว์โลกไม่ว่าคนหรือเดรัญฉาน ที่ต้องเกิดมาเวียนว่าย ก็เพราะขาดปัญญา
ไม่ใช่ว่า การได้เกิดเป็นคนเพราะมีปัญญา เกิดเป็นเดรัญฉานเพราะไม่มีปัญญา

คนแตกต่างจากเดรัญฉานตรงที่ คนมีสติที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการได้มาแห่งปัญญา
แต่เดรัญฉานไม่มี

การกล่าวโดยเอาสติกับปัญญามาร่วมเป็นสิ่งเดียวกัน มันผิดผิดหลักความเป็นจริง
เพราะสติก็คือสติ ปัญญาก็คือปัญญา เป็นคนละส่วนกัน

คนไม่มีปัญญาก็สามารถมีสติได้
ส่วนคนมีปัญญาต้องอาศัยสติเป็นเครื่องนำทาง

การไปสู่สุคติภพ หรือทุกคติภพ นั้น เพราะ กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม นำเกิด
เกิดเป็นคนได้ เพราะกุศลกรรมให้ผล
เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะอกุศลกรรมให้ผล
ดังน้้น เมื่อเกิดเป็นคนได้เพราะกุศลกรรมให้ผล คนจึงมีสิ่งที่ติดตนมา คือสติปัญญาอันเป็นสชาติกปัญญา
เพียงแต่จะมีสติพละ ปัญญาพละ อ่อนหรือแก่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำไว้ปรุงแต่ง

นี่ไงถึงได้บอกชอบพูดอะไรในลักษณะจินตนาการ พระพุทธองค์ทรงสอนให้
รู้จักเหตุปัจจัย แต่ทำไมหนอคนที่ชอบอ้างพุทธพจน์ ถึงชอบพูดในลักษณะที่ไกลห่างจาก
พุทธพจน์

เอาสั้นๆเพราะเรื่องที่เช่นนั้นเอามาพูดเป็นเรื่องจินตนาการ ถ้าพูดมากก็ยิ่งขยายไปไม่จบ
เอาแค่เรื่อง...องคุลีมาลไปพิจารณาแล้ว
ลองดูซิว่ามันเกี่ยวกับความยึดมั่นหรือมันเกี่ยวกับเรื่องที่ เช่นนั้นจินตนาการ

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ถ้าคุณเช่นนั้น จะโพสพระอภิธรรมปิฎก อธิบายว่า..
ปรมัตถ์คืออะไร จิต เจตสิก รูปและนิพานคืออะไร ผมจะไม่เถียงเลยว่า..
มันเป็นบทเรียน เป็นปริยัติ แต่ไม่ใช้เอาพระสูตรมาโพสโดยไม่มีที่มาที่ไป
พอมีคนเขาถาม ก็ตอบแต่บัญญัติในลักษณะแปล กลับไปกลับมาระหว่าง...บาลีกับภาษาไทย

ถามครับ ถ้าเป็นแบบนี้ นกแก้วที่พูดจ้อๆอยู่ในกรง
กับนกเอี้ยงที่หากินแมลงบนหลังควาย
นกตัวไหนมันมีปัญญาและมีประโยชน์กว่ากันครับ

เช่นนั้น ไม่โพสต์ หรอกครับ สิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สอน เช่น ปรมรัตถ์ หมายถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน

และ เช่นนั้น ก็ไม่ทราบเรื่องนกแก้ว นกเอี้ยงหรอกครับ หรือโฮฮับทราบ

เหรอครับ พูดแต่ปากหรือเปล่า ถามหน่อยแล้วพุทธพจน์ที่คุณอ้าง
พระพุทธเจ้าท่านสอนคุณหรือครับ
ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวนำบ่อยๆว่า.. "ดูกรภิกษุ"
สงสัยคุณเช่นนั้นก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่แปลกดีครับทำไมถึงมาเกิดเป็นคุณเช่นนั้นอีก
ถ้าจะไม่สำเหนียกคำสอน นี่ขนาดรับฟังจากพุทธองค์โดยตรงแล้วน่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2012, 03:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
จำไว้เลยว่า พระสูตรมีไว้เพื่อแก้จริต จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้จะใช้ต้องมีสัมมาทิฐิ
เพื่อน้อมนำมาพิจารณาพระสูตร ไม่ใช่มาอ้างกันลอยๆ

โฮฮับคงจำไว้อย่างเหนียวแน่นนะครับ

โฮฮับ จำไว้เลยว่า
พระสูตรต่างๆนั้น เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาและปฏิบัติ ตามมรรคปฏิปทาซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงจำแนกไว้เป็นอย่างดี

ผู้ที่ยกพระสูตร ด้วยความสำรวมระวัง ต่างก็มีความพยายามที่จะเดินตามมรรควิธีนั้น
และเขาก็เข้าใจตามภูมิปัญญาที่เขาเข้าใจได้ ซึ่งต่างกับผู้ที่เขียนเองเออเอง หรอกครับ

พูดมาซะสวยหรูน่ะ เข้าใจความหมายหรือเปล่าครับ

ที่คุณบอกว่า"พระสูตรเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาและปฏิบัติ
ถามหน่อย การที่เอาพระสูตรหรือพุทธพจน์ มาโพสแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
แบบนี้เรียกว่ามีบรรทัดฐานหรือครับ

คุณเข้าใจคำว่าบรรทัดฐานมั้ย บรรทัดฐานมีไว้สำหรับเทียบเคียง
มันก็เหมือนมีกฎหมายไว้เทียบเคียง การกระทำว่าผิดอย่างไรตรงไหน
มันต้องเกิดการกระทำก่อน

พระสูตรหรือพุทธพจน์ก็เช่นกัน มันต้องมีการปฏิบัติหรือเกิดกระบวนการ
ของจิตซะก่อน จึงจะสามารถเอาสิ่งที่เกิดกับกายใจเราไปเทียบเคียงกับพระสูตรได้

การจะเข้าใจพระสูตร หรือคนที่พึ่งเริ่มการปฏิบัติ มันต้องอาศัยครูบาอาจารย์
กัลยาณมิตร เพราะท่านต่างเหล่านี้ ได้รับการถ่ายทอดกันมา บุคคลเหล่านี้
จะเป็นผู้สอนและอธิบาย ด้วยการเลือกเฟ้นธรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้รับคำสอน

มันไม่ใช่มาหัวชนฝาว่า ฉันจะเอาพระสูตร ฉันจะเอาพุทธพจน์
เอาอย่างนั้นก็ได้ ปัญหามันมีอยู่ว่า มีปัญญาใช้ธัมมวิจยะเลือกเฟ้นธรรมหรือเปล่า

และที่สำคัญการทำตามพุทธพจน์ไม่ใช่การแปลบัญญัติกลับไปกลับมา
ระหว่างบาลี กับภาษาไทยน่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2012, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2012, 15:16
โพสต์: 18


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
มาทำความเข้าใจกับคำว่าชีวิตกันหน่อย....ชีวิตเป็นสมมุติบัญญัติ
ที่บรรดาอรรถกถาจารย์กำหนดขึ้นมา เพื่อให้ทราบถึงสภาวะปรมัตถ์ธรรมที่เรียกว่า...ปฏิจสมุบาท


โฮฮับน้อยเอ๋ย เราจะบอกความจริงแก่เจ้าว่า ชีวิตนั้นเป็นสมมตินั้นถูกต้องอยู่แล้ว ไม่ต้องเติดคำว่าบัญญัติเข้าไปอีกแล้ว เพราะชีวิตนั้นมิใช่บัญญัติ คำว่าบัญญัติแปลว่าคำสั่ง ชีวิตของเรานี้มิมีผู้ใดมาสั่ง ล้วนเกิดเอง ตั้งอยู่ และดับไปเองตามเวลา ชีวิตจึงมิใช่บัญญัติ เป็นเพียงสมมติเท่านั้นนะเจ้าโฮฮับน้อยเอ๋ย และบรรดาอรรถกถาจารย์ของเจ้านั้นไม่มีสิทธิ์มากำหนดชีวิตดอกหนาเจ้าโฮฮับน้อย

โฮฮับ เขียน:
เกิด...แก่....เจ็บ...ตาย เป็นวัฎฎะสงสาร หรือเรียกว่าช่วงเวลาของชีวิต
ช่วงชีวิตหนึ่ง หมายถึงการดำเนินการของปฏิจจสมุบาท เริ่มตั้งแต่รูปนามจนถึง
มรณะนี่คือหนี่งช่วงชีวิต


เจ้าเข้าใจส่วนนี้ถูกแล้วหนา และนอกจากนี้ มรณา หรือ มรณะ ยังสามารถแยกออกเป็น รูปนาม และ อรูปนาม ได้อีกเช่นกัน โดยแบ่งเป็น สภาพมรณา เป็นรูปนาม และ นามมรณา เป็นอรูปนาม แลเจ้าโฮฮับน้อยเอ๋ย

โฮฮับ เขียน:
ถ้าเราจะเอาขันธ์ห้าไปเปรียบกับชืวิต มันไม่ถูกต้องนัก..เพราะ
ช่วงเวลาหนี่งชีวิต มีการเกิดดับของขันธ์ห้านับครั้งไม่ถ้วน


พระพุทธองค์ได้ทรงสอนให้เราพิจารณาขันธ์ของตนเอง ไม่ได้ให้เราไปเพ่งพินิจขันธ์หรือกะละมังของผู้อื่น คนเราเกิดและตายได้เป็นร้อยครั้งหรือเจ้าจึงกล่าวว่ามีการเกิดดับของขันธ์ห้านับครั้งไม่ถ้วน นั่นต้องเกิดกี่ชาติภพกันโฮฮับเอ๋ย พุทธองค์ทรงสอนให้อยู่กับตนเอง พิจารณาตนเอง ณ ปัจจุบันกาล ให้เราใช้ชีวิตและมีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ละเมอเพ้อพก คิดสับสนวกวน เจ้าอย่าได้คิดฟุ้งซ่านเลยโฮฮับเอ๋ย จงเพ่งพินิจขันธ์ของตนเองเถิด และอย่าเข้าใจผิดเลยระหว่างขันธ์และชีวิต พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าขันธ์และชีวิตคือสิ่งเดียวกันนั่นแล ทรงตรัสว่า ขันธ์คือชีวิต มิได้ตรัสว่าขันธ์เปรียบเสมือนชีวิต คำว่าชีวิตคือคำจำกัดความของขันธ์นั้นถูกต้องแล้วเจ้าเอ๋ย

โฮฮับ เขียน:
และที่สำคัญชีวิต(ปฏิจจสมุบาท)เป็นเรื่องของ...อวิชา
ส่วนขันธ์ห้าเป็นเรื่องของ...วิชชา


คำว่า ปฏิจจสมุปบาท ที่เจ้าได้เรียกว่าชีวิตนั้น แท้จริงมันมีความหมายกว้างกว่านั้นมากโฮฮับเอ๋ย เพราะปฏิจจสมุปบาทนั้นคือวงจรธรรมการเกิดและดับของจิต ที่ว่าด้วยกระบวนธรรมในการเกิดและดับของทุกข์ ซึ่งมีข้อมูลกว้างโยงไปถึงอีกหลายเรื่อง เช่นอริยสัจ อิทัปปัจจยตา สติปัฐฐาน 4 พระไตรลักษณ์ฯลฯ จงหมั่นศึกษาเถิดโฮฮับน้อยเอ๋ย

โฮฮับ เขียน:
ที่เกิดปฏิจจสมุบาท(ชีวิต)ขึ้นเป็นเพราะ เรายังไม่รู้ความมีอยู่ของขันธ์ห้า
การจะรู้ความมีอยู่ของขันธ์ห้าได้นั้น เราจะต้องได้รู้หรือเห็นกฎธรรมนิยามหรือไตรลักษณ์เสียก่อน
กระบวนการขันธ์ห้าจีงจะเกิดขึ้นได้ ธรรมนิยามหรือไตรลักษณ์มีลักษณะดังนี้...
ธรรมนิยาม กำหนดแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ,
ความจริงที่มีอยู่หรือดำรงอยู่ธรรมชาติของมัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ
แล้วทรงนำมาแสดงชี้แจงอธิบายให้คนทั้งหลายให้รู้ตาม มี ๓ อย่าง
แสดงความตามพระบาลีดังนี้
๑. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
๒. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งปวง คงทนอยู่มิได้
๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวง ไม่เป็นตัวตน;


เมื่อเราได้รู้ไตรลักษณ์หรือธรรมนิยามแล้ว พระพุทธองค์ทรงสอนว่า
กำหนดรู้ไตรลักษณ์เพื่อรู้ สฬายตนะ12และขันธ์ห้า ให้รู้ว่า ทั้งสองเป็นเหตุปัจจัยแก่กัน


เราจะรู้ความมีอยู่ของขันธ์ห้าหรือไม่รู้นั้น ความไม่รู้มิได้เป็นตัวกำหนดการเกิดหรือดับของปฏิจจสมุปบาทดอกหนาโฮฮับเอ๋ย ปฏิจจสมุปบาทมันมีของมันอยู่ก่อนแล้ว มันมิได้เกิดทีหลังเรา เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เราจะรู้จักมัน เข้าใจมันหรือไม่นั้น ความจริงเหล่านั้นก็มิได้แปรเปลี่ยนไปเลย เพียงแต่เราค้นพบมันทีหลังเท่านั้นเองโฮฮับเอ๋ย

โฮฮับ เขียน:
สรุปก็คือ ควรกำหนดรู้ไตรลักษณ์ สฬายตนะ12และขันธ์ห้าด้วยความเพียร
ก็จะรู้ว่า ชีวิตเป็นเพียงอุปาทานขันธ์ เป็นกองทุกข์ ทำให้เกิดกระบวนการวัฏฏสงสารไม่สิ้นสุด

แยกให้ดูความแตกต่างของขันธ์ห้ากับชีวิตตามเหตุปัจจัย....
ขันธ์ห้าไม่ใช่ชีวิตแต่เป็นรูปนาม อันมีเหตุปัจจัยมาจาก...วิญญาณ

ส่วนชีวิตมีเหตุปัจจัยมาจากกระบวนการวัฏฏสงสาร นั้นคือการทำงานของรูปนามจนถีงมรณะ :b13:


การจะเข้าใจ ปฏิจจสมุปบาท นั้น ต้องพิจารณาให้รอบหลายเรื่องด้วยกัน มิจำกัดเพียงไตรลักษณ์ สฬายตนะ12และขันธ์ห้าเท่านั้น เพราะหากเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ สฬายตนะไม่ครบ 12 นั้น มิต้องหมดโอกาสได้เข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทดอกหรือเจ้าโฮฮับน้อยเอ๋ย

นอกจาก สฬายตนะแล้ว มันก็ยังมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นก็คือ จิตสัมผัส หรือการใช้จิตกำหนดรู้ หรือเรียกอีกกย่างว่ากระบวนการเรียนรู้ของจิต เราสามารถนำส่วนนี้มากำหนดรู้ปฏิจจสมุปบาทได้เช่นกันนะโฮฮับเอ๋ย กระบวนปฏิจจสมุปบาทนั้นกว้าขวาง จงออกมาสู่โลกภายนอกแล้วเพ่งพินิจตนเองให้มากเถิดโฮฮับน้อยเอ๋ย แล้วเจ้าจะได้พบโอกาศดีๆอีกมากมายที่เจ้าไม่เคยค้นพบมาก่อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2012, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2012, 15:16
โพสต์: 18


 ข้อมูลส่วนตัว


โกเมศวร์ เขียน:
สิ่งที่คุณเช่นนั้นกล่าวก็น่าสนใจ สมควรพิจารณา

สิ่งที่คุณโฮฮับกล่าวก็น่าสนใจ สมควรนำไปพิจารณาเช่นกัน

ขออภัยที่เออออด้วยคน

:b8:


เจ้า โกเมศวร์ เอ๋ย เราจักบอกเจ้าว่าหากเจ้าจะพิจารณาสิ่งใดก็จงพิจารณาไปเถิด สมควรแล้ว แต่ที่มิสมควรกระทำคือคือการเหยียบเรือสองแคม โดยเฉพาะการเหยียบเรือสองแคมต่อหน้าสาธารณชนเพราะสิ่งนี้มิมีผลดีต่อเจ้าเลย หากเจ้าคิดว่า เจ้าเช่นนั้นและเจ้าโฮฮับทำคุณต่อเจ้า สิ่งที่เจ้าควรทำก็คือนั่งดูอยู่เงียบๆ มิต้องออกมาจำนรรจาเหมือนรักเผื่อเลือก รักพี่เสียดายน้อง รักเจ้าโฮฮับเสียดายเจ้าเช่นนั้น แบบที่ทำอยู่นี่ดอกหนา มันสะดุดตาไปนะเจ้าโกเมศวร์เอ๋ย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร