วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 12:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เคยฟังเรื่อง...เข้าถึงอรหันต์ในปากเสือ...มั้ย..โฮ..อิอิ...มันไม่เข้ากับเรื่องที่โฮคิดเลยนะ
:

เคยฟังแต่ไม่ค่อยสนใจเท่าไร ที่ว่าไม่สนใจไม่ใช่ไม่รู้ความหมายน่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่พุทธพจน์ เป็นเพียงเรื่องที่อรรถกถาจารย์แต่งขึ้น
เพื่อที่จะเป็นคำสอนในเชิงเปรียบเทียบ ว่าถ้าตกอยู่ในวิตกฤตการณ์อย่างนั้น สมควรที่จะทำอะไร

กะลาไปเอาเรื่องนี้มาอ้าง มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย แถมมันยังสนับสนุนความเห็นผมด้วย
ถามหน่อยภิกษุพวกนั้นไม่กลัวตายไม่กลัวเสือหรือ ถ้าไม่กลัวทำไมต้องตะโกนบอกให้ไปช่วยกัน
แล้วภิกษุถือไม้ ถือคบเพลิงไปตามหาเสือเพื่ออะไร ทำไมไม่ปล่อยให้เสือกินไปเลยล่ะ
:b32:


โฮ.นี้แปลก....ทีตัวเองตัดคอหมา...บอกว่าทำตามเหตุปัจจัย....
พระถือคบเพลิงตามช่วยเพื่อน...ผิดปกติตรงไหน...อิอิ...

:b32: :b32:

พูดจาไม่มีสติเอาซะเลย กลับไปดูความเห็นก่อนพูดว่าอะไร
ตัวเองพูดว่า โสดาบันทำอย่างที่ผมพูดไม่ได้(เรื่องตัดคอหมา)
นั้นหมายถึงว่า ห้ามไปทำอะไรหมา คือโสดาบันปล่อยให้หมากัดตัวเองไปจนตาย

แล้วกะลาก็ไปอ้างโสดาบันในปากเสือ อ้างทั้งๆที่มันเป็นคนล่ะเรื่อง
ผมก็ชี้ให้ดูว่า ที่เอามาอ้างนั้นน่ะ ภิกษุพวกนั้นก็ไม่ได้ปล่อยให้เสือกินโดยไม่ได้ทำอะไร
ต่างก็หาวิธีป้องกัน ที่สำคัญภิกษุต่างถือไม้ไปช่วยเพื่อน
ไม้ที่ภิกษุที่ไปไม่ใช่จะเอาไปแยงก้นเสือเล่นน่ะ เขาจะเอาไปตีเสือ เข้าใจมั้ย

ที่กะลาพูดมาแต่ต้น หมายความถึงหมากัดอย่ากัดตอบ แต่เอาเหตุผลมาอ้างมันคนละเรื่อง
สรุปก็คือ ทั้งเรื่องที่ผมพูดและเรื่องที่กะลาเอามาอ้าง เขาไม่ได้นั่งเฉยๆให้หมาหรือเสือกัด


สงสัยจะมีแต่กะลามั้ง ที่หมากัดแล้วไม่กัดตอบ หวังแค่จะไปดูนางฟ้าที่สวรรค์ชั้นเจ็ด :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 13:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

แล้วที่ถามมาว่า ความกลัวตาย เป็นกุศลหรืออกุศล ก็เป็นเพราะอย่างนี้ไง
อธิบายเหตุปัจจัยแรกให้ฟังก็เลยไม่เข้าใจ กะลาทำสมาธิให้ดีแล้วไล่เรียงเหตุปัจจัยให้ดีน่ะ

"ความกลัวตาย" แท้จริงแล้วมันเป็นการปรุงแต่ง อันเนื่องมาจากโมหะ
จริงแล้ว ความกลัวตายเป็นความฟุ้งซ่านเป็นสังโยชน์ที่เรียกว่า อุทธัทจะ

เมื่ออุทธัทจะเข้าครอบง้ำจิต ทำให้จิตเกิดตัณหาที่เรียกว่า วิภวตัณหา
วิภวตัณหา คือการที่จิตปฏิเสธหรือไม่ต้องการภพในปัจจุบัน
ภพนั้นก็คือ อุทธัทจะ(ฟุ้งซ่านหรือความกลัว)

เมื่อจิตเกิดวิภวตัณหา จนเกิดกระบวนการขันธ์เป็นอาการของจิต อาการของจิตนั้นก็คือ..
โมหะที่เจือด้วยโทสะ อธิบายก็คือ หลงอยู่กับความฟุ้งซ่าน จนเกิดเป็นความกลัวตาย
จิตเกิดอาการปฏิเสธอารมณ์เรียกว่า โทสะ


อธิบายมาก็ยาวดี.....แต่ยังไม่มีคำไหนที่โฮบอกตรง ๆ ว่า.ความกลัวตาย..แท้จริงแล้ว...มันปกติ...หรือ...ผิดปกติ
แต่..จากการอธิบายมานี้...ความกลัวตาย..เพราะการปรุงแต่ง..ผมจะตีความว่า..โฮ..หมายถึง..มันผิดปกติ..ได้มั้ย โฮ?

ส่วน..เป็นกุศล..หรือ.อกุศล..นี้...โฮยังไม่ได้บอกมาเน๊าะ?...รึบอกมาแล้วแต่ผมไม่เห็นเอง...ช่วยชี้ให้เห็นหน่อยก็ดีนะ
อิอิ...
:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 16:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่จริง..เรื่อง...ศีล...สมาธิ...ปัญญา....นี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน...ในมรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาก็ประกอบด้วย..ส่วนที่เป็น..ศีลส่วนที
เป็นสมาธิ..และส่วนที่เป็นปัญญา...ซึ่งเรา ๆ ก็ทราบกันดีอยูแล้วว่าอะไรเป็นส่วนของอะไร

แต่..อโศกะบอกว่าเรียงผิด..ต้องเอาปัญญานำหน้า

ทีนี้เพื่อน ๆ หลายคนก็บอกว่า...ตอนใช้ปัญญานั้นนะ..คน ๆ นั้นมีศีลเป็นชานอยู่ก่อนแล้ว...เพื่อนบางท่าน.ยังอุตส่านำคำของหลวงปึ่หลวงพ่อมาเสริมว่า....ทั้งศีลสมาธิปัญญามันก็อยู่บนท่อนไม้เดียวกัน...ยกปัญญาขึ้นมาศีลก็ขึ้นมาด้วย

อันนี.เข้าใจได้เลย...ซึ่งมันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้ถกกันอีกแล้ว...แต่..อโศกะก็ยังเลือกจะมองทีละอย่าง...โดยยกเรื่องสัมมา
ทิฏฐิโดยทฤษฎี...ก่อน...ก่อนที่จะเป็นสัมมาทิฏฐิจริง

ผมก็ว่า...สัมมาทิฏฐิโดยทฤษฎีไม่มี...หากเรารู้สึกว่าทุกข์...เห็นว่าอะไรทำให้เกิดทุกข์...จนรู้สึกอยากออกจากทุกข์ได้นี้...มันไม่โดยทฤษฎีแล้ว...มันเป็นความรู้สึกจริง ๆ....สัมมาทิฏฐิที่เกิดก็ต้องเป็นของจริง..แต่จะละเอียดลึกซึ่งหรือหยาบ ๆก็ขึ้นกับอินทรีย์ของผู้นั้น

แต่อโศกะ...ก็ยังจะเริ่มที่มรรค8อยู่อีก...โดยหาว่าถ้าไม่เรียนรู้มาก่อนจะรู้ได้ยังงัยว่าอะไรเป็นอะไร..แล้วจะปฏิบัติถูกได้อย่างไร

หากอโศกะ.มาเริ่มที่อริยะสัจ.คือเริ่มที่..รู้สึกถึงทุกข์..รู้สึกได้ถึงเ.หตุให้เกิดทุกข์...รู้สึกได้ว่าความไม่ทุกข์มีอยู่....ก็จะเห็นได้ว่า..สัมมาทิฏฐิโดยทฤษฎี...มันไม่มี...

ทิฏฐิ..มันเป็นความรู้สึก...ความรู้สึกจะมีอยู่ในทฤษฎีได้อย่างไร..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 20:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาละ....ปริยัติ....เป็นการเรียนรู้...เป็นทฤษฎีได้
แต่สัมมาทิฏฐิ...มันเป็นผล...ผลจากการรู้อริยะสัจ 3 ข้อแรก

ดังนั้น..ทฤษฎี...คือ...กำหนดรู้ทุกข์....เมื่อรู้ทุกข์ก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ...มันอยู่ตรงอริยะสัจ2ข้อแรก...จึงยังไม่เข้าเขตของสัมมาเลย...

ที่คุณอโศกะเอาข้อความหลวงพ่อมา...อธิบายมรรค8 ..ก็ไม่มีอะไรนะ...แต่ที่อโศกะวงเล็บมาว่าช่วงนี้เป็นทฤษฎี...ช่วงนี้เป็นอะไรนี้นะ...มัน..... :b6: :b6: :b6: ...นะคับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 22:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
มีคนทั่วโลกที่รู้จักทุกข์.....แต่เมื่อเขาไม่ได้ศึกษาข้อธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเขาจึงแก้ทุกข์ไม่เป็น แก้ทุกข์ไปตามสัญชาติญาณและวิสัยของปุถุชนทั่วไปในโลก

คุณกบก็เช่นกัน ตอนที่รู้ทุกข์โดยธรรมชาติสมัยที่ยังไม่รู้ปริยัติเรื่องอริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา คนกบก็คงหาวิธีแก้ทุกข์ไปตามสัญชาติญาณ .....แต่พอมาได้รู้เรื่องอริยสัจ 4 แล้ว จึงรู้วิธีการแก้ทุข์อย่างมีระบบ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า.......ความรู้ที่ได้มาทีหลังนี่คือความรู้ภาคทฤษฎี หรือปริยัติศาสนา เป็นสุตตมยปัญญา มรรค 8 ในครั้งแรกก็เป็นมรรค 8 โดยทฤษฎี .....หลังจากนั้นได้เจริญวิปัสสนาภาวนา หรือสติปัฏฐาน 4 หรือ มรรค 8 ความรู้เห็นที่เกิดขึ้นภายหลังจากภาคปฏิบัติจึงเป็นภาวนามยปัญญา

ที่กบค้านว่าสัมมาทิฏฐิโดยทฤษฎีไม่มีนั้นถ้าอย่างนั้นคนที่รู้จักทุกข์ทั่วโลกทุกชาติทุกศาสนา ก็คงเกิดสัมมาทิฏฐิกันหมดแล้ว บรรลุธรรมตามกันเป็นแถวโดยไม่ต้องศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า..
..
:b16: :b16: :b16: :b16: :b16:

อีกอย่างหนึ่ง ที่คุณกบว่า ทิฏฐิ เป็นความรู้สึกนั้น น่าจะผิดเพี้ยนจากธรรมไปมากเลยนะครับ ลองพิจารณาดูให้ดี

คำแปลของคำว่าทิฏฐิ คือ....ความเห็น นะครับ...ความเห็นเป็นเรื่องของปัญญา ความเห็น กับเวทนา มันคนละเรื่องกันนะครับ ลองตรองดูให้ดีๆ

s004 :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 23:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมก็ว่า...สัมมาทิฏฐิโดยทฤษฎีไม่มี...หากเรารู้สึกว่าทุกข์...เห็นว่าอะไรทำให้เกิดทุกข์...จนรู้สึกอยากออกจากทุกข์ได้นี้...มันไม่โดยทฤษฎีแล้ว...มันเป็นความรู้สึกจริง ๆ....สัมมาทิฏฐิที่เกิดก็ต้องเป็นของจริง..แต่จะละเอียดลึกซึ่งหรือหยาบ ๆก็ขึ้นกับอินทรีย์ของผู้นั้น



ก็เพราะมันรู้สึกที่ใจนี่ล่ะ มันจึงแส่ไปหาให้ได้มา ... :b4:

ตำรา เป็นสิ่งที่ออกมาจาก ใจ
ตำรา เขียนขึ้นตามที่ใจมันเป็น
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นไปโดยปัจจัย

ส่วน ปัญญา ศีล สมาธิ จริง ๆ ปัญญาตัวนี้คือ ปัญญินทรีย์
การจะรู้ว่า ปัญญินทรีย์ที่เขียนไว้ในตำรา แท้จริงนั้นมีลักษณะอย่างไร
จะรู้ได้ตรงนี้ "๓. มหาเวทัลลสูตร ตอนที่กล่าวถึง วิญญาณ กับ ปัญญา"
เมื่อนั่นจะเห็นสภาวะธรรมที่ ปัญญินทรีย์เป็นประธาน
การที่ ปัญญินทรีย์จะขึ้นมาเป็นประธานได้
สังขารต้องระงับ ... ให้พอเหมาะ
จิตต้องกำหนดรู้อยู่ที่ ... นามธรรม ก็คือกำหนดรู้ธรรมที่เป็นอรูปสัญญา
....
ซึ่งการจะทรงตัวอยู่ในสภาวะธรรมอันเป็นอรูปสัญญาได้เหมาะ
ผู้ปฏิบัติที่เข้าถึง จะรู้ของเขาเอง
ว่าต้องมีศีลที่เกื้อหนุนมาอย่างไร จึงจะได้สมาธิที่เหมาะ เกื้อหนุนปัญญาที่เหมาะ
สภาวะธรรมที่ปรากฎอยู่นั้น ประกอบด้วยอะไร
เมื่อทุกอย่างเหมาะ
ปัญญาที่ออกมานำ คือ ปัญญินทรีย์

แต่การจะเข้าถึง ปัญญินทรีย์ อะไร อะไร มันก็ต้องเกื้อหนุนกันอย่างเหมาะมาก่อน

เข้าถึงตรงนี้ ...จึงจะนับ

...

พอดีเห็นท่านอ๊บซ์พูดถึงอินทรีย์ ...

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2013, 23:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พวกเราเรียนรู้แบบทางโลกซะเคยชิน....จึงชินกับสูตร...และ...ตรวจสอบสูตร...พอเห็นมรรค์ 8 ก็เอาทั้ง 8 มาตรวจสอบ

แล้วใช้คำว่าเข้าใจแทนการจำได้....จำเหตุผลของสูตรนั้นได้...แล้วก็เชื่อสูตรนั้น...หลงว่าความเชื่อความจำว่าเราเข้าใจ

แต่....การรู้ในธรรม...เท่าที่สัมผัส....การรู้...ขึ้นอยู่กับคุณภาพของจิตใจ..คุณภาพของใจขึ้นอยู่กับระดับของ.ศีล...สมาธิ..
และการภาวนา

ยิ่ง ศีล สมาธิ ภาวนา มีความแก่รอบเท่าไร....ความรู้สึกในธรรมก็ยิ่งละเอียดอ่อนกระจ่างกว่าเดิม...แม้ในข้อธรรมอันเดิมที่เราว่า..เรารู้แล้ว

ตอนที่ศีลแค่ 50-50 สมาธิตามธรรมชาติ...ภาวนาเป็น 0...ตอนแรกที่รู้สึกถึงทุกข์...รู้ว่าเหตุของทุกข์คืออะไร...ไม่มีเหตุก็ไม่มีทุกข์...ตอนนั้น..ก็คิดว่า..แจ๋วแล้วนะ

แต่พอ..ศีลเราดีขึ้น...สมาธิดีขึ้น...ภาวนาทำตลอด....ความรู้สึกในทุกข์ข้อเดิมนั้นแหละ....มันลุ้มลึกขึ้น....กระจ่างกว่าเดิม

จึงเห็นความเกื่อกูลของ..ศีล.สมาธิ...ภาวนา..ที่มีต่อ....การเข้าไปรู้ในธรรมต่าง ๆ....

หรือแม้แต่ตัวมันเอง...มันก็ยังเกื่อกูลกันและกัน...ศีลดี...สมาธิก็ทำได้ง่าย...ศีลดี...ภาวนารู้สึกว่าจะคล่อง

นี้..มันเป็นอย่างนี้.แล้วจะแยกมันเป็นส่วน ๆ ..พูดเป็นส่วน ๆ...ไม่มององค์รวมได้อย่างไร

ที่เพื่อนสมาชิกยกคำครูบาอาจารย์มา...ที่ว่า...ยกปัญญา ศีลก็ติดมากด้วย...อันนี้เข้าใจได้เลย..ชัดเจน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 00:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:

อีกอย่างหนึ่ง ที่คุณกบว่า ทิฏฐิ เป็นความรู้สึกนั้น น่าจะผิดเพี้ยนจากธรรมไปมากเลยนะครับ ลองพิจารณาดูให้ดี

คำแปลของคำว่าทิฏฐิ คือ....ความเห็น นะครับ...ความเห็นเป็นเรื่องของปัญญา ความเห็น กับเวทนา มันคนละเรื่องกันนะครับ ลองตรองดูให้ดีๆ

s004 :b32: :b32: :b32:


ผมอาจเพี้ยนถ้ามองจากมุมอโศกะ..นะ...หรืออาจจะจากมุมของอีกหลาย ๆ คน...อิอิ

แค่ผมรู้สึกว่า....ใช้คำว่ารู้สึกนี้....มันให้ความรู้สึกคลุกวงในมากกว่านะครับ...
ตัวอย่างเช่น...

นาย ก เห็นว่าศาสนาพุทธดี....กับ...นาย ข รู้สึกว่าศาสนาพุทธนั้นดี

ผมว่า...คนที่จะรู้สึกในอะไรได้...ต้องผ่านอะไรอะไรมาแล้วบ้างละ
...ส่วนคนที่เห็น..อาจจะใช้แค่ความคิดอย่างเดียว..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 02:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:

แล้วที่ถามมาว่า ความกลัวตาย เป็นกุศลหรืออกุศล ก็เป็นเพราะอย่างนี้ไง
อธิบายเหตุปัจจัยแรกให้ฟังก็เลยไม่เข้าใจ กะลาทำสมาธิให้ดีแล้วไล่เรียงเหตุปัจจัยให้ดีน่ะ

"ความกลัวตาย" แท้จริงแล้วมันเป็นการปรุงแต่ง อันเนื่องมาจากโมหะ
จริงแล้ว ความกลัวตายเป็นความฟุ้งซ่านเป็นสังโยชน์ที่เรียกว่า อุทธัทจะ

เมื่ออุทธัทจะเข้าครอบง้ำจิต ทำให้จิตเกิดตัณหาที่เรียกว่า วิภวตัณหา
วิภวตัณหา คือการที่จิตปฏิเสธหรือไม่ต้องการภพในปัจจุบัน
ภพนั้นก็คือ อุทธัทจะ(ฟุ้งซ่านหรือความกลัว)

เมื่อจิตเกิดวิภวตัณหา จนเกิดกระบวนการขันธ์เป็นอาการของจิต อาการของจิตนั้นก็คือ..
โมหะที่เจือด้วยโทสะ อธิบายก็คือ หลงอยู่กับความฟุ้งซ่าน จนเกิดเป็นความกลัวตาย
จิตเกิดอาการปฏิเสธอารมณ์เรียกว่า โทสะ

อธิบายมาก็ยาวดี.....แต่ยังไม่มีคำไหนที่โฮบอกตรง ๆ ว่า.ความกลัวตาย..แท้จริงแล้ว...มันปกติ...หรือ...ผิดปกติ:

กะลานี่มันไม่มีสมาธิจริงๆ พูดหน้าลืมหลัง เรื่องของเรื่องไม่ใช่เพราะเราบอกว่า ความกลัวตายเป็น
เรื่องปกติ กะลาเลยแย้งความเห็นนี้ของเราไม่ใช่หรือ นี่ยังมาเซ้าซี้ถามอีกแน่ะ

ตอบให้ฟังอีกครั้งว่า ความกลัวตายมันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ บุคคลทุกระดับยกเว้นพระอรหันต์
ทุกคนย่อมมีความกลัว ความกลัวมันเป็นลักษณะไม่อยากเจอสิ่งที่ไม่ชอบในอดีตและอนาคต
ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันยังไม่เกิด เขาจึงเรียกมันว่า ความฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ) เป็นสังโยชน์เบื้องสูง
มีแต่พระอรหันต์ที่ละได้
กบนอกกะลา เขียน:
แต่..จากการอธิบายมานี้...ความกลัวตาย..เพราะการปรุงแต่ง..ผมจะตีความว่า..โฮ..หมายถึง..มันผิดปกติ..ได้มั้ย โฮ?:

มนุษย์ทั้งโลกเว้นพระอรหันต์ เขาก็เป็นแบบนี้ ดันมาบอกเขาผิดปกติ
แบบนี้เราว่ากะลานั้นแหล่ะผิดปกติ
กบนอกกะลา เขียน:
ส่วน..เป็นกุศล..หรือ.อกุศล..นี้...โฮยังไม่ได้บอกมาเน๊าะ?...รึบอกมาแล้วแต่ผมไม่เห็นเอง...ช่วยชี้ให้เห็นหน่อยก็ดีนะ
อิอิ... :b9: :b9: :b9:

ไม่ใช่ไม่เห็น แต่ที่กะลาถาม ก็ถามแบบเอาบัญญัติไม่เอาความเข้าใจ
อยากถามย้อนเพื่อจะได้หัดคิดหัดมีสมาธิซะบ้างว่า....โมหะและโทสะ มันเป็นกุศลหรืออกุศล
เราพูดโมหะและโทสะไว้ในคำตอบก่อนหน้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 10:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อ...ความกลัวตาย...เป็นโมหะ..เป็นโทสะ...เป็นอกุศล...แล้วไปกระทำตามอกุศล...ผลของการกระทำนั้นจะเป็นไปเพื่อความสงบระงับได้อย่างไร
เราควรทำปกติของวิชชา...หรือ..ควรทำปกติของอวิชชา??

แล้วตัวอวิชชาเอง...มันเป็นสิ่งปกติหรือเป็นสิ่งผิดปกติ??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อ...ความกลัวตาย...เป็นโมหะ..เป็นโทสะ...เป็นอกุศล...แล้วไปกระทำตามอกุศล...ผลของการกระทำนั้นจะเป็นไปเพื่อความสงบระงับได้อย่างไร
เราควรทำปกติของวิชชา...หรือ..ควรทำปกติของอวิชชา??

แล้วตัวอวิชชาเอง...มันเป็นสิ่งปกติหรือเป็นสิ่งผิดปกติ??

ความกลัวตายไม่ใช่โมหะ ไม่ใช่โทสะ มันเป็นกิเลสสังโยชน์ที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด
อาการของจิตที่เป็นอกุศล เช่นโมหะหรือโทสะ โมหะหรือโทสะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะมันมีเหตุให้เกิด มันก็ต้องเกิด เราถึงได้บอกว่า....มันเป็นเรื่องปกติ มันเป็นเช่นนั้นเอง

บุคคลตั้งแต่พระอนาคาลงมาทำได้แค่ ใช้สติหยุดอาการโมหะ โทสะที่เกิดจาก อุทธัจจะแค่ชั่วคราว
แต่การจะดับอาการโมหะ โทสะที่ว่าแบบถาวร ก็ต้องทำสติปัฏฐานเพื่อละเหตุ
นั้นก็คือละตัวสังโยช์ที่เรียกว่า...อุทธัจจะ(ความฟุ้งซ่าน) ซึ่งผู้ที่จะละได้มีแต่พระอรหันต์

เท่าที่ดูความเห็นนี้ของกะลา ก็รู้ว่า กะลายังไม่เข้าใจ เรื่องของ สติ
ยังไม่รู้ว่าสติเกิดได้อย่างไร

สติจะเกิดได้ กะลาต้องไปรู้เรื่องที่เป็นกุศลและจำเอาไว้ ต่อเมื่อเกิดอกุศลขึ้น
จิตจะจำได้หมายรู้อกุศลนั้น จากนั้นจิตจะไประลึกรู้สิ่งที่กะลาไปจำไว้ มันเป็นผัสสะตัวใหม่
อารมณ์ ที่เป็นอกุศลก็จะดับไป เกิดเป็นกุศลมาแทนที่

แล้วอะไรที่จิตควรไปจำเอามาเป็นกุศล ก็ อนุสติ๑๐ ฯลฯ

ก่อนที่กะลาจะไปยุ่งกับวิชชา กะลาจะต้องเข้าใจให้ได้ก่อนว่า สภาวะที่เกิดขึ้นภายในกายใจเรา
มันเป็นปกติ มันเกิดเพราะมีเหตุให้เกิด ทั้งกุศลหรืออกุศลที่เกิด มันก็เป็นเรื่องปกติ
ทั้งหมดจะกุศล อกุศล และอัพยากฤต ก็คือศีลที่พระพุทธองค์หมายถึง

พระพุทธเจ้าก็เคยบอกเรื่องความผิดปกติของศีลไว้ นั้นก็คือ ก่อนที่จะตรัสรู้
พระองค์ทรงทำทุกข์กิริยา ไอ้ทุกข์กิริยานี้แหล่ะคือ ความผิดปกติของศีล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 13:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
สำหรับคุณเอก้อนผู้เชี่ยวชาญในการค้นคว้าและยกข้อความในพระสูตรมาแสดง ผมก็ยังอนุโมทนาในความเพียรของคุณอยู่
tongue
สำหรับผมไม่ได้เอามากมายหลายสูตรจนหูตาลาย.....ที่ผมยึดถือมาใช้เป็นแนวปฏิบัติของตนเองจริงๆทุึกวันนี้ก็มีเพียงแค่...ธรรมจักกัปปวัตนสูตร...ว่าด้วยเรื่อง ทาง 3 เส้น และอริยสัจ 4...มรรคแปด ....อนัตตลักขณสูตร.....สติปัฏฐานสูตร ธรรมดา ไม่ใช่ มหาสติปัฏฐานสูตร...ภัทเทกรัตตคาถา..
.ติลักขณาทิคาถา และโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ เท่านั้นเอง...สติปัญญาผมคงน้อยกว่าท่านเอก้อนเยอะเลย เลยไม่ได้สนใจพระสูตรที่ท่านชวนไปอ่าน....จะกรุณาสรุปมาให้ฟังสั้นๆก็จะได้บุญเยอะนะครับ ไม่ต้องยกมาทั้งดุ้น เพราะผมไม่ค่อยเก่งศัพท์แสงในคัมภีร์สักเท่าไหร่ครับ

:b8: tongue smiley :b11: :b4: :b4: :b4:


:b32: :b32:

อธิบายไปแล้วจะได้บุญเยอะตรงไหน ท่านช่วยแจกแจงให้ดูหน่อยซิ

:b32: :b32: :b32:

:b8:
ทางหนึ่งได้บุญ แต่

อีกทางหนึ่งก็อาจได้บาป เพราะไปตีความผิดๆให้ผู้อื่นฟัง ทำให้เขาสับสนและผิดเพี้ยนไปจากธรรม เรื่องนี้ต้องระวังให้มากๆนะครับ ....เป็นบาปที่เกิดได้โดยไม่เจตนา แต่เป็นกรรมหนักที่พาคนเดินทางผิดไปจากทางธรรมตามคำสอนของพระบรมศาสดา...ทำให้เขาอาจไปติดค้างในเทวโลก พรหมโลก หลายกัปป์หลายกัลป์

Onion_L


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 14:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


อีกทางหนึ่งก็อาจได้บาป เพราะไปตีความผิดๆให้ผู้อื่นฟัง ทำให้เขาสับสนและผิดเพี้ยนไปจากธรรม เรื่องนี้ต้องระวังให้มากๆนะครับ ....เป็นบาปที่เกิดได้โดยไม่เจตนา แต่เป็นกรรมหนักที่พาคนเดินทางผิดไปจากทางธรรมตามคำสอนของพระบรมศาสดา...ทำให้เขาอาจไปติดค้างในเทวโลก พรหมโลก หลายกัปป์หลายกัลป์

Onion_L


ช่างคิด จริง ๆ เรย

คือ...
ภพ ในลักษณะนี้ ไม่เกิดกับเอกอน ... นะ
หมายถึง ภพ ที่วิตกไปว่าจะต้องเป็นบาป อะไร อะไร นั่นน่ะ ...
คือ ถ้าเข้าใจพระสูตรที่เอกอนยกมา ก็จะเข้าใจ...เอง ... :b12:
จะเห็นเอง ว่า ความคิด มันทำให้เรา หวาด/ระแวง/กลัว อย่างไร

คิด แต่ปฏิบัติไม่ถึง มันก็จะเป็นอย่างนี้ล่ะ ...
แต่ถ้าปฏิบัติถึงแล้ว มันก็เข้าใจ
การคิดมากอย่างนี้มันก็ไม่ค่อยมีหรอก เพราะมัน รู้เท่าทัน ...

:b13: :b13: :b13:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 05 มิ.ย. 2013, 19:45, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 14:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นความบังเอิญจริง ๆ ที่เอกอนก็เอา " ๓. มหาเวทัลลสูตร "
มาเคียงคู่อยู่กับ "สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาตปฏิสัมภิทาสูตรที่ ๒"

"...เวทนาย่อมเกิดขึ้น ย่อมปรากฏ ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ สารีบุตรทราบแล้ว สัญญาย่อมเกิดขึ้น ย่อมปรากฏ ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ สารีบุตรทราบแล้ว
วิตกย่อมเกิดขึ้น ย่อมปรากฏ ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ สารีบุตรทราบแล้ว...."


:b13: :b13: :b13:

ในท่อนนี้ ถ้าใครอ่านแล้ว มองภาพออก
มันจะสะท้อนถึงเรื่อง ภพ การดับภพ ...น่ะ :b12:

:b16: :b16: :b16:

ซึ่งสองพระสูตรนี้กล่าวถึงสภาวะเดียวกัน ... :b12:

ดังนั้นเรื่องการถูกขู่ในลักษณะ นำคำสอนมากล่าวผิด เอกอนไม่กลัว
เพราะ ... มันรู้เท่าทันต่อคำขู่เหล่านั้นเสียแล้ว ... น่ะ

ซึ่ง ... บางครั้ง ผู้ขู่ก็ไม่ได้รู้ทั่วถึงอะไรในสิ่งที่เขาขู่เลย ...
คือเขายังติดว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น

คือจริง ๆ แล้ว ธรรมมันเป็นไปตามปัจจัย ...

คือ คนเราบางครั้ง มัวแต่กลัว แต่ไม่เคยพิจารณากำหนดให้รู้ไปในความกลัว ...
คนที่ต้องไปเกิดเป็นอะไร ๆ ก็เพราะมันหลงอารมณ์

ถ้ามันไม่หลงอารมณ์ มันก็ไม่หลงไปไหน ...

คนที่ต้องไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม ก็เพราะเขาหลงในอารมณ์
อารมณ์สุขอันเป็นบุญบ้าง อารมณ์สุขอันเป็นสัญญาในฌาณบ้าง ...
มันเป็นเรื่องของ เวทนา สัญญา วิญญาณ

มันต้องให้ถึง วิญญาณ ปัญญา

ถ้าไม่ทำให้ถึง เราก็จะรู้อยู่ใน เวทนา สัญญา วิญญาณ
พวกที่เข้าถึง อรูปสัญญา พวกนี้จะเป็นพวกที่ถ้าทำวิปัสสนา
จะเป็นการวิปัสสนาในส่วนที่เป็น นาม ในส่วนที่เป็น มโนวิญญาณ
(เพราะ ได้ตัดความวุ่นวายเกี่ยวกับรูปไปหมดแล้ว ...)
สิ่งที่เขารับรู้ในนั้น คือ เวทนา และความจำได้หมายรู้ในเวทนานั้น ๆ ...
ผู้ปฏิบัติโดยมากจะชินกับการเรียก อรูปฌาณ ว่า อรูปฌาณ
แต่พระพุทธองค์ ใช้คำว่า อรูปสัญญา
เพราะ สภาวะธรรมในอรูปสัญญา มันปรากฏรับรู้เช่นนั้น
เวทนา/สัญญา/วิญญาณ ชุดหนึ่งดับไป เวทนา/สัญญา/วิญญาณ อีกชุดก็ปรากฎ
ซึ่งการเกิดดับของ เวทนา/สัญญา/วิญญาณ ชุดหนึ่งไปสู่อีกชุดหนึ่ง
คือเราจะเห็นการเข้าไปตั้งอยู่ และเห็นการละอารมณ์ ...
...
ถ้าเรารู้แจ้ง รู้ชัดในองค์ประกอบเหล่านี้ ไปเรื่อย ๆ
มันคือการกำลังเห็น กำลังกำหนดรู้ของจริงอยู่ ...
...

:b12:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 05 มิ.ย. 2013, 21:45, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 15:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นี้คือคำตอบของโฮ..ต่อคำถามว่า..ความกลัวตายเป็นกุศล..หรือ..อกุศล

โฮฮับ เขียน:

แล้วที่ถามมาว่า ความกลัวตาย เป็นกุศลหรืออกุศล ก็เป็นเพราะอย่างนี้ไง
อธิบายเหตุปัจจัยแรกให้ฟังก็เลยไม่เข้าใจ กะลาทำสมาธิให้ดีแล้วไล่เรียงเหตุปัจจัยให้ดีน่ะ

"ความกลัวตาย" แท้จริงแล้วมันเป็นการปรุงแต่ง อันเนื่องมาจากโมหะ
จริงแล้ว ความกลัวตายเป็นความฟุ้งซ่านเป็นสังโยชน์ที่เรียกว่า อุทธัทจะ

เมื่ออุทธัทจะเข้าครอบง้ำจิต ทำให้จิตเกิดตัณหาที่เรียกว่า วิภวตัณหา
วิภวตัณหา คือการที่จิตปฏิเสธหรือไม่ต้องการภพในปัจจุบัน
ภพนั้นก็คือ อุทธัทจะ(ฟุ้งซ่านหรือความกลัว)

เมื่อจิตเกิดวิภวตัณหา จนเกิดกระบวนการขันธ์เป็นอาการของจิต อาการของจิตนั้นก็คือ..
โมหะที่เจือด้วยโทสะ อธิบายก็คือ หลงอยู่กับความฟุ้งซ่าน จนเกิดเป็นความกลัวตาย
จิตเกิดอาการปฏิเสธอารมณ์เรียกว่า โทสะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 153 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร