วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 02:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ปราชญ์ขยะ เขียน:
เรียนทุกท่านที่แสดงความคิดเห็นนะครับ ไม่ทราบว่าท่านมีเจตนาอย่างไร ท่านไปเข้าใจสมถะแบบไหน สมถะเป็นฐานของวิปัสสนา และ สมถะในพระพุทธศาสนาก็สามารถพ้นทุกข์ได้

ผมจะแสดงเหตุผลข้อมูลในเรื่องสมถะและวิปัสสนาให้ท่านพิจารณาใน ๒ ประเด็นนี้ คือ...

๑.เรื่องสมถะกรรมฐานและการพ้นทุกข์

๒.เรื่องการเห็น(ญาณทัสสนะ)กับวิปัสสนากรรมฐาน


การอ่านทำความเข้าใจนั้น ขอให้ท่านวางความยึดมั่นในความรู้เดิมลงก่อนแล้วท่านจะเข้าใจได้โดยตลอดนะครับ...






อ้างคำพูด:
เรียนทุกท่านที่แสดงความคิดเห็นนะครับ


อ่านมา เห็นมีผมกับคุณ คุยกันอยู่สองคน ในกระทู้... :b6:



อ้างคำพูด:
ไม่ทราบว่าท่านมีเจตนาอย่างไร


อย่าเพิ่ง มองกันในแง่ร้ายครับ
ผมมีเจตนา จะสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนมุมมอง กับเพื่อนทางธรรม


อ้างคำพูด:
ท่านไปเข้าใจสมถะแบบไหน


ประเด็น ที่สำคัญมาก ในเรื่อง สมถะ
คือ ต่างกลุ่มคนจะเข้าใจ สมถะ กันคนล่ะความหมาย


คำว่า "สมถะ" ในความหมายที่ชาวไทยพุทธในปัจจุบันกล่าวกันนั้น ครอบคลุมความหมายต่างๆ ดังนี้

๑ องค์ธรรมที่ไม่ใช่สมถะ หรือ สมาธิ แต่ถูกเข้าใจว่าเป็นสมาธิ
เช่น อาการตื้อตันมึนงงเวลาภาวนา(นิวรณ์ประเภทถีนมิทธะ)
การตั้งใจมากเกินไปในการภาวนา(วิริยะทางใจแรงไป)

๒ มิจฉาสมาธิ
เช่น การติดสุขจากสมาธิ
หรือ การหลงในนิมิต หรือ ญาณทัศนะ ต่างๆ

๓ เป็นสมาธิ... ที่ไม่ใช่มิจฉาสมาธิ แต่ยังไม่ถึงขั้นของ สัมมาสมาธิ ...
คือ มาถูกทางแล้ว แต่ ยังไม่ถึงจุดหมาย

๔ สัมมาสมาธิ หรือ สมาธิสัมโพชฌงค์ หรือ โลกุตรฌาน หรือ สมถะในอริยมรรคสมังคี อันเป็นจุดหมายที่แท้จริงของสมถะ


อนึ่ง คำว่า สมถะ ที่ปรากฏในพระสูตรต่างๆนั้น ผมเห็นว่าสมควรนับเพียงเฉพาะในข้อ๓ และ ข้อ๔ เท่านั้น....



อ้างคำพูด:
สมถะในพระพุทธศาสนาก็สามารถพ้นทุกข์ได้


สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้(ข้อ๓ และ ข้อ๔ จากข้างบน) นำไปสู่การพ้นทุกข์ จริงครับ

แต่ สมถะไม่ใช่เป็นการพ้นทุกข์โดยตรง ...สมถะ ต้องประกอบกับ วิปัสสนา เป็นอริยมรรคสมังคี จึงจะนำไปสู่ การพ้นทุกข์

เช่น เดียวกันที่ วิปัสสสนา ก็ต้องประกอบกับสมถะ หรือ ยืนอยู่บนพื้นฐานของสมถะ(เอกัคคตาจิต)จึงจะเป็นวิปัสสนาที่แท้จริง(สัมมาญาณะ)


จากพระสูตร

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ สุตตันตปิฎกที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?st ... yte=109458


[๑๔๗] อริยมรรคสมังคีบุคคล ย่อมเผาสังกิเลสที่ยังไม่เกิด ด้วยโลกุตตรฌานที่เกิดแล้ว

เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวโลกุตตรฌานว่าเป็นฌาน

บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆ เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานและวิโมกข์

ถ้าพระโยคาวจรตั้งใจมั่นดีแล้ว ย่อมเห็นแจ้ง ฉันใด
ถ้าเมื่อเห็นแจ้ง ก็พึงตั้งใจไว้ให้มั่นคงดี ฉันนั้น

สมถะและวิปัสสนาได้มีแล้วในขณะนั้น ย่อมเป็นคู่ที่มีส่วนเสมอกันเป็นไปอยู่



สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ มีทั้งส่วนที่สนับสนุนการเจริญวิปัสสนา(พระพุทธพจน์ที่ตรัสว่า สมาธิภาวนา ที่เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ)

และ สมถะเองก็เป็นองค์ประกอบแห่งอริยมรรคสมังคีโดยตรง เช่นที่ กล่าวระบุถึง โลกุตรฌาน ในพระสูตร




บ่ายๆ จะแวะมาคุยด้วยครับ ขอตัวไปทำธุระก่อน

ยินดีที่ได้สนทนา
ขอให้เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเสนอความเห็น ทิ้งไว้ น่ะครับ


1.เหตุใด ท่านอาฬารดาบส-อุทกดาบส ทั้งสอง...ที่เชี่ยวชาญใน อรูปฌานชั้นสูง จึงไม่บรรลุอริยมรรคผล?

2.สมถะที่พระพุทธองค์ใช้เป็นบาทของวิปัสสนาในคืนวันตรัสรู้ เป็นสมถะที่พระพุทธองค์ไปเรียนมาจากฤาษีทั้งสอง หรือ เป็นสมถะที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบเอง?

3.เอกัคคตาจิต หรือ จิตที่ทรงเอกัคคตารมณ์(ฌาน) นั้น... สามารถเป็นผลบังเกิดตามจากการเจริญวิปัสสนาโดยตรง โดยไม่ต้องไปฝึกสมถะกรรมฐาน(แบบสมถะกรรมฐาน40วิธี ตามคัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาล) ได้ไหม?


ในการสนทนา ขอช่วย เรียงลำดับ ความน่าเชื่อถือของข้อมูล แยกให้ชัดเจนเลยว่า นำมาจากแหล่งอ้างอิงไหน

เช่น

ตัวอักษรสีน้ำเงิน ใช้สำหรับอ้างอิงจาก พระไตรปิฎก
ตัวอักษรสีเขียว ใช้สำหรับอ้างอิงจาก คัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาล อาจาริยวาท
ตัวอักษรสีแดง ใช้สำหรับอ้างอิงจาก คำกล่าวของบุคคลอื่นๆ หรือ คู่ สนทนา



บ่ายๆ จะแวะมาใหม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2004, 19:48
โพสต์: 1735

ชื่อเล่น: admin
อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตอนนี้ได้ใส่โค๊ตสำหรับอ้างอิง จากพระไตรปิฎฏเรียบร้อยแล้ว "Quote-Tipitaka"
ส่วนการอ้างอิงคำพูดจากความคิดเห็นอื่นๆ นั้นก็มีแล้ว โดยวิธีกดจากไอคอน "อ้างอิง"


ตัวอย่าง

Quote Tipitaka:
ตัวอักษรสีน้ำเงิน ใช้สำหรับอ้างอิงจาก พระไตรปิฎก


ตรงประเด็น เขียน:
ตัวอักษรสีแดง ใช้สำหรับอ้างอิงจาก คำกล่าวของบุคคลอื่นๆ หรือ คู่ สนทนา


:b8: :b1:

.....................................................
-- วิธีใช้บอร์ด --
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=22930
- สมาชิกใหม่แนะนำตัวที่นี่
http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=29
- กฎกติกาบอร์ด
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19110
- เครื่องมือผู้ดูแลบอร์ด -
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=23048
facebook ลานธรรมจักร
http://www.facebook.com/larndhammajak


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณนะครับ...ผมยินดีสนทนากับทุกท่านนะครับ ผมเห็นว่าสมถะและวิปัสสนาต้องมีควบคู่กันเสมอ สมถะและวิปัสสนาเป็นธรรมเกื้อกูลกัน ผมไม่ได้ต้องการให้เรามาแยกว่าสมถะหรือวิปัสสนาอย่างไหนดีกว่ากัน แต่ทั้ง ๒ ต่างเกื้อกูลกัน เพราะเรากำลังสนทนากันถึงสมถะและวิปัสสนาตามหลักพุทธศาสนาตามที่ได้อ้างอิงแล้วนั่นเอง


ผมมุ่งนำเสนอข้อมูลนะครับ อาจจะเข้ามาคุยไม่บ่อยนัก ต้องขออภัยคู่สนทนาทุกท่านด้วย ยินดีที่ได้รู้จักครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


admin เขียน:
ตอนนี้ได้ใส่โค๊ตสำหรับอ้างอิง จากพระไตรปิฎฏเรียบร้อยแล้ว "Quote-Tipitaka"
ส่วนการอ้างอิงคำพูดจากความคิดเห็นอื่นๆ นั้นก็มีแล้ว โดยวิธีกดจากไอคอน "อ้างอิง"


ตัวอย่าง

Quote Tipitaka:
ตัวอักษรสีน้ำเงิน ใช้สำหรับอ้างอิงจาก พระไตรปิฎก


ตรงประเด็น เขียน:
ตัวอักษรสีแดง ใช้สำหรับอ้างอิงจาก คำกล่าวของบุคคลอื่นๆ หรือ คู่ สนทนา


:b8: :b1:



ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ย้อนกลับไป ยัง อุปปฏิกสูตร ที่ บทความอ้างอิงว่า มีคำว่า"นิมิต" ในการกล่าวถึงฌานทั้ง๔


Quote Tipitaka:
เพราะฉะนั้น “นิมิต” จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เป็นอุบายวิธี ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์วิตก วิจาร เครื่องประหานนิวรณ์ และเพื่อทำใจให้หยุดให้นิ่ง เป็นสมาธิที่แนบแน่นดีกว่าอย่างอื่น และเมื่อจิตเจริญภาวนาจนเป็นสมาธิระดับฌาณต่างๆ นั้น ก็จะต้องมีนิมิตหรือผ่านนิมิตทั้งสิ้น แม้แต่จะเป็นอรูปฌาณ ที่ว่าไม่กำหนดรูปเป็นอารมณ์ อย่างเช่น กำหนดยึดหน่วงเอาอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ เมื่อจิตละเอียดหนักเข้า ก็เห็นนิมิต คืออากาศนั้นแหละ หรือในกรณีที่กำหนดวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ หรือกำหนดยึดหน่วงเอาความว่างเปล่าไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ ก็เห็นวิญญาณ หรือความว่างเปล่านั้นแหละ ที่เห็นนั่นแหละคือนิมิตล่ะ,

แม้เมื่อจิตเป็นอุเบกขา ที่เรียกว่า อุเบกขินทรีย์ ก็ยังต้องมีนิมิต ดังพระพุทธดำรัสมีมาในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวรรค อุปปฏิกสูตร ข้อ ๙๑ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๙ หน้า ๒๖๙ ความว่า



“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุในธรรมวินัยนี้ไม่ประมาท มีความ

เพียร มีใจเด็ดเดี่ยว อุเบกขินทรีย์เกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า

อุเบกขินทรีย์เกิดขึ้นแล้วแก่เรา และ อุเบกขินทรีย์นั้น มีนิมิต มีเหตุ

มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย แต่จะอนุมานเอาว่า อุเบกขินทรีย์นั้น ไม่

ต้องมีนิมิต ไม่มีเหตุ ไม่มีเครื่องปรุงแต่ง ไม่มีปัจจัย จักเกิดขึ้นได้

ดังนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้…”





ต้องพิจารณาให้ดีๆ ว่า
คำว่า นิมิต ในพระสูตรนี้ หมายถึง นิมิต แบบในคัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาลหรือไม่ อย่างไร


ในพระสูตรนี้

กล่าวถึง อินทรีย์(ธรรมที่เป็นใหญ่ สภาพที่เป็นใหญ่) 5อย่างคือ

ทุกข์(หมายเอา ทุกข์กาย)
โทมนัส(หมายเอา ทุกข์ใจ)
สุข(หมายเอา สุขกาย)
โสมนัส(หมายเอาสุขใจ)
อุบกขา(หมายเอา วางสุข-ทุกข์ ทั้ง กาย-ใจ)

ว่า องค์ธรรม แต่ล่ะองค์ธรรม นั้น มี นิมิต เหตุ เครื่องปรุงแต่ง ปัจจัย เช่นใด

ปล..

อ้างคำพูด:
เวทนา ความเสวยอารมณ์, ความรู้สึก, ความรู้สึกสุขทุกข์ มี ๓ อย่าง คือ
๑. สุขเวทนา ความรู้สึกสุขสบาย
๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกไม่สบาย
๓. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ คือ เฉยๆ เรียกอีกอย่างว่า อุเบกขาเวทนา;
อีกหมวดหนึ่งจัดเป็น เวทนา ๕ คือ
๑. สุข สบายกาย
๒. ทุกข์ ไม่สบายกาย
๓. โสมนัส สบายใจ
๔. โทมนัส ไม่สบายใจ
๕. อุเบกขา เฉยๆ;

ในภาษาไทย ใช้หมายความว่าเจ็บปวดบ้าง สงสารบ้าง ก็มี




คำว่า นิมิต ใน พระสูตรนี้ (นิมิต เหตุ เครื่องปรุงแต่ง ปัจจัย แห่งองค์ธรรมทั้ง๕)

นิมิต ในพระสูตรนี้ สื่อถึง เครื่องหมาย หรือ เครื่องแสดงถึง หรือ สิ่งบ่งชี้ ต่างหาก

กล่าวคือ สภาวะธรรม ทุกข์(ทุกข์กาย) โทมนัส(ทุกข์ใจ) สุข(สุขกาย) โสมนัส(สุขใจ) อุเบกขา... ต่างล้วนมี เครื่องแสดงถึง เหตุเกิด เครื่องปรุงแต่ง ปัจจัย ทั้งสิ้น





ดังนั้น การที่
ในพระสูตร กล่าวถึง

Quote Tipitaka:
อุเปกขินทรีย์นั้น มีนิมิต มีเหตุ มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย


หมายถึง อุเปกขินทรีย์ มี เครื่องแสดงถึง เหตุเกิด เครื่องปรุงแต่ง ปัจจัย

นิมิตในพระสูตรนี้ จึงไม่เกี่ยวกับ บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต ใดๆเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเสนอว่า

เวลา เรา เจอคำ คำหนึ่งๆ ใน พระไตรปิฎก
เราควรจะอ่านให้ละเอียด พิจารณา ดูบริบท ต่างๆ... เช่น ข้อความเนื้อธรรมในจุดอื่นๆ ในพระสูตรนั้นๆ หรือ พระสูตรอื่นๆ

ไม่ใช่ว่า ไปเจอคำว่า นิมิต ... แล้ว ก็จะ สรุปทันทีว่า นี่ละ คือ บริกรรมนิมิต-อุคคหนิมิต-ปฏิภาคนิมิต แบบในคัมภีร์รุ่นหลัง




### ความจริง มันมีประเด็นที่สำคัญ เกี่ยวกับ คำจำกัดความของ โลกตรฌาน(สัมมาสมาธิ)
ที่เป็นปัญหาในลักษณะนี้อีก

เนื่องจาก สมาชิก มีทั้งที่เพิ่งศึกษา และ ศึกษามาบ้างแล้ว....
มีทั้งที่ชอบอ่านพระสูตร และ ไม่ชอบอ่านพระสูตร

ผมจึงนำ พระพุทธพจน์ดั้งเดิมในพระสูตร
เกี่ยวกับ คำจำกัดความ ของ"สัมมาสมาธิ"มาลงในกระทู้นี้

เผื่อว่าใครยังไม่เคยอ่าน



“สัมมาสมาธิ” คือ อย่างไร?


สัมมาสมาธิ ที่อยู่ในพระสูตรโดยตรง มีกล่าวถึงคุณสมบัติไว้ คือ

1. เป็นสมาธิที่มีกำลังแห่งสมาธิในระดับ รูปฌาน๑ ถึง รูปฌาน๔

จาก http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?st ... yte=447351

Quote Tipitaka:
”.....สัมมาสมาธิ เป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่

เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะ
วิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่

เธอมี อุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข

เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส
โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯ …..”


มีคนเคยปารภ ในลักษณะที่ว่า พระสูตรนี้ ไม่เห็นมีข้อความในลักษณะที่ว่า"ต้องมีสัมมาสติเป็นเหตุนำ" แห่ง สัมมาสมาธิ เลย ...
ฌาน ในที่นี้ ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นโลกุตรฌานเสียหน่อย ...เห็น ใช้คำว่า ฌาน เฉยๆ
ฌาน ในที่นี้ก็สามารถบับรวมฌานของฤาษีชีไพรทั่วๆไปด้วยสิ???
ฌานของฤาษีชีไพรทั่วๆไป ก็ต้องนับเป็นสัมมาสมาธิ ด้วยสิ???

ความจริงคือ

ต้องไม่ลืมว่า พระสูตรนี้ ตรัสแสดงไว้ใน มหาสติปัฎฐานสี่ (สัจจบรรพ)

กล่าวคือ กำลังตรัสแสดงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานอยู่.... นั่นเอง
และ การภาวนาตามหลักการแห่งสติปัฏฐานนั้น ก็คือ การเจริญสัมมาสตินั่นเอง(อ่าน จากพุทธธรรม)

และ อยากเสนอให้สังเกตุ คำว่า "ภิกษุในธรรมวินัย"...
ซึ่งคำว่า ธรรมวินัย นี้ก็สื่อถึง การเดินตามทางแห่งอริยมรรค...ซึ่ง ก็ต้องมีสัมมาสติเป็นองค์ประกอบแห่งอริยมรรคอยู่แล้ว
ก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้น ไม่มีฤาษีชีไพรที่ไหน จะสามารถรู้อริยมรรคได้(เว้น พระปัจเจกๆ)

อีกทั้ง ฌานสี่ที่ทรงตรัสว่า "มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่" ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่า ฌานในที่นี้ ไม่ใช่ ฌานแบบขาดสัมมาสติ เช่นที่ฤาษีชีไพรทั่วๆไป บำเพ็ญกัน

ดังนั้น รูปฌานหนึ่งถึงสี่ ที่กล่าวในพระสูตรนี้ จึงจำกัดเฉพาะ โลกุตรฌาน เท่านั้น


2.สัมมาสมาธิในองค์มรรคนี้ เป็นสมาธิที่มีองค์แห่งอริยมรรคอีก7อย่างแวดล้อม(เป็นบริขาร)

เช่น ที่ทรงแสดงใน มหาจัตตารีสกสูตร

Quote Tipitaka:
”.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง
ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิ …..”


(ปล... คำว่า "ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง" ก็คือ "เอกัคคตารมณ์" ... ข้อสุดท้าย ในองค์แห่งฌาน)


ฌานฤาษี (เช่น จาก การเพ่งกสิณ) ถึงแม้นจะมีกำลังแห่งสมาธิในระดับรูปฌาน๑ ถึง รูปฌาน๔ ได้เช่นกัน..... แต่ขาด คุณสมบัติ ตามมหาจัตตารีสกสูตร(ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่มีสัมมาสตินำหน้า). จึงไม่จัดเป็นสัมมาสมาธิในอริยมรรค และ ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเห็นธรรม.....
เว้นเสียแต่ จะนำฌานนั้นมา เป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนา ดังที่มีพระสูตรแสดงกล่าวเอาไว้ ในฌานสูตร


สัมมาสมาธิ เป็นจุดประชุมขององค์แห่งอริยมรรคทั้งเจ็ด ก่อนที่จะบังเกิดผลเป็น สัมมาญาณะ และ สัมมาวิมุติ

ถ้า ปฏิบัติถูกตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้.... ต่อให้ปฏิบัติแบบแนวทางไหน....สัมมาสมาธิ ก็จะต้องบังเกิดขึ้นแน่นอน.

เพราะ ถ้าหากปราศจาก สัมมาสมาธิ เสียแล้ว มรรคย่อมไม่ครบองค์ประกอบ และมรรคสมังคี ย่อมไม่บังเกิดขึ้น......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ในบทความ อ้างอิง คำว่า นิมิต ถึงพระสูตรนี้อีก

Quote Tipitaka:
[๕๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมาธินิมิต อัพยัคคนิมิต (นิมิตรแห่งจิตอันมีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน) มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์



คำว่า สมาธินิมิต และ อัพพยัคคนิมิต... หมายถึง ความหมายเดียวกับ บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต... จริงหรือ?


เช่นกันครับ

คำว่า นิมิต นี้... คือ เครื่องหมาย เครื่องแสดง...
สมาธินิมิต คือ เครื่องแสดงแห่งสมาธิ เช่น วิตก วิจาร
อัพพยคคนิมิต คือ เครื่องแสดงแห่งจิตอันมีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน ได่แก่ เอกัคคตา(ฌาน)

จากพระสูตร
ก็คือ เครื่องแสดงแห่งสมาธิ(สมาธินิมิต และ อัพพยคคนิมิต) จะนำไปสู่ โลกุตรฌาน...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ปราชญ์ขยะ เขียน:
๑.เรื่องสมถะกรรมฐานและการพ้นทุกข์(ต่อ)



--->>> คำสอนเรื่องสมถกรรมฐานและเรื่องฌานสมาบัตินี้มีมากมายหลายแห่งมากที่แสดงไว้ในที่ต่างๆ อันแสดงว่า เป็นหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาซึ่งมีสอนตั้งแต่หลักสูตรนักธรรมชั้นตรีเป็นต้นมา เป็นที่น่าแปลกใจผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อจุดประสงค์นิพพานกับไม่รู้ว่า สิ่งนี้เป็นของพระพุทธศาสนา เวลาแสดงธรรมปาฐกถาท่านจะพูดเสมอว่า การทำสมาธิในทางพระพุทธศาสนามี ๒ อย่างคือสมถะและวิปัสสนา [b]สมถกรรมฐานมีอารมณ์ ๔๐ อย่าง คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปกรรมฐาน ๔ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ รวมเป็น ๔๐ อย่างเป็นต้น คำสอนเหล่านี้ได้ยินจนชินหู แต่แปลกใจว่า เวลาพูดถึงสมถะโดยตรงกับถูกปฏิเสธว่า สมถะ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นชาวบ้านตามชายแดนพูดเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่กลับเป็นคำพูดของนักวิชาการทางพระพุทธศาสนาพูดเสียเองจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย [/b]






เข้าใจเจตนาที่ดี ของท่านเจ้าของบทความครับ :b8:



แต่ ที่มีการกล่าวว่า สมถะกรรมฐาน๔๐กอง นั้น...
พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเอาไว้ เป็น สมถะกรรมฐาน๔๐กอง น่ะ...ก็มีส่วนถูก ของเขา จริงครับ

ในระดับพระสูตร พระพุทธองค์ท่านจะตรัสเน้นบ่อยสุด คือ การเจริญสติปัฏฐาน และ บางโอกาสก็จะแสดง กรรมฐานหมวดอื่นๆ ไว้ เช่น อานาปานสติสูตร มรณกรรมฐานสูตร กายคตาสติสูตร ๆลๆ ตามโอกาส

สมถะกรรมฐาน๔๐กอง นี้ อาจารย์รุ่นหลังพุทธกาล รวบรวม ประมวลเข้า เป็นหมวดหมู่.. ก็อาศัย จากพุทธพจน์ดั้งเดิมบ้าง แต่งเสริมเนื้อความเข้าไปบ้าง เช่น การกล่าวถึงบริกรรม-อุคคห-ปฏิภาคนิมิต ในการภาวนาอานาปานสติ(ในพระสูตรไม่มี) แบบที่บทความกล่าวถึง

แถม อาจารย์บางท่าน ยังไปจัดให้ อานาปานสติ กายคตาสติ และ ๆลๆ มีแต่ส่วนแห่งสมถะ เข้าไปเสียอีก!!!
มันเลยยุ่ง เข้าไปใหญ่... เพราะ บางคนที่รู้สึกว่า ฌานฤาษีที่ปราศจากส่วนนำไปสู่วิปัสสนาไม่ใช่ทางพ้นทุกข์(เขาเข้าใจ มีส่วนถูกน่ะ) เลยพาลไม่สนใจอานาปานสติไปเลย!!!




อนึ่ง
การภาวนาตามแนวมหาสติปัฏฐานสี่ นั้นก็มีทั้งส่วนของ สมถะ และ วิปัสสนา อยู่ในตัวแล้ว
การเจริญ สติปัฏฐาน ก็เจริญไปทั้ง สมถะ และ วิปัสสสนา อยู่แล้ว

จาก

Quote Tipitaka:
๘๓๑] เมื่อบุคคลนั้นเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า มี
สติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗ ถึงความเจริญบริบูรณ์

บุคคลนั้นย่อมมีธรรมทั้งสองดังนี้ คือ สมถะและ วิปัสสนา คู่เคียงกันเป็นไป


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ สุตตันตปิฎกที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์



และ ดังเช่น ที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านสรุปประมวลไว้ดังนี้


อ้างคำพูด:
สติปัฏฐานในฐานะสัมมาสติ


”......สติปัฏฐาน แปลกันว่า ที่ตั้งของสติบ้าง การปรากฏของสติบ้าง ฯลฯ

ถือเอาแต่ใจความง่ายๆ ก็คือ การใช้สติ หรือ วิธีปฏิบัติเพื่อใช้สติให้บังเกิด
ผลดีถึงที่สุด

อย่างที่กล่าวถึงในพุทธพจน์ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า
ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นมรรคาเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้ง
หลาย เพื่อข้ามพ้นโสกะและปริเทวะ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุโลกุตตรมรรค เพื่อกระทำ ให้แจ้งซึ่งนิพพาน นี้คือสติปัฏฐาน

การเจริญสติปัฏฐานนี้ เป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่นิยมกันมา และยกย่อง
นับถือกันอย่างสูง ถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะ และวิปัสสนาในตัว.....”



ดังนั้น
การเจริญภาวนาตาม มหาสติปัฏฐานสูตร จึงเป็น คำตอบที่เหมาะสมสุด ของข้อขัดแย้งนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


มาต่อกันที่ข้อ ๒ นะครับ

ข้อ ๒ เรื่องการเห็น(ญาณทัสสนะ)กับวิปัสสนากรรมฐาน


วิปัสสนาแปลว่า “เห็นแจ้ง” ก็หมายความว่า วิปัสสนากรรมฐานต้องมีการเห็นเป็นหลักสำคัญเลย ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าก็ต้องทรงใช้ศัพท์อื่นไปแล้ว นี่ว่ากันตามหลักการของภาษาล้วนๆ นอกจากชื่อจะบ่งแสดงให้เห็นว่า วิปัสสนาต้องมีการเห็นเป็นองค์ประกอบสำคัญ ยังมีพระสูตรเป็นจำนวนมากที่สนับสนุนว่า วิปัสสนาต้องมีการเห็น




ธัมมจักรกัปปวัตนสูตรเป็นพระสูตรแรกที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกมาสอนปัจจวัคคีย์ และน่าจะเป็นพระสูตรที่สำคัญมาก เพราะ พระพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ด้วยวิธีการใด ในพระสูตรนี้พระองค์ได้ทรงกล่าวกับปัจจวัคคีย์ว่า ไม่ควรทรมาณ ตนเองให้ลำบาก และหมกมุ่นอยู่ในกาม เพราะไม่เป็นประโยชน์ ต่อจากนั้นพระองค์ทรงกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์มีดวงตาเกิดขึ้นแล้ว ญาณ/ความรู้จึงเกิดตามขึ้นมา ดังนี้




ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?



-->> จะเห็นได้ว่า พระองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงทำดวงตาให้เกิด หลังจากนั้นมาจึงทรงทำญาน/ความรู้ให้เกิด ทั้งดวงตาและญาน/ความรู้นั้นจะทำให้บรรลุพระนิพพานได้ หลังจากนั้น พระองค์ทรงอธิบายต่อถึงเรื่องอริยสัจ 4 ซึ่งรวมถึงมรรค 8 ด้วย หลังจากพระองค์ตรัสว่า



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ



-->> พระองค์ตรัสข้อความดังกล่าว 3 รอบ รอบแรกทรงกล่าวว่า พระองค์รู้จักอริสัจ 4 รอบที่สองทรงกล่าวว่า จะทำอะไรกับอริสัจ 4 และรอบที่สาม ทรงกล่าวว่า ได้ทำอะไรไปแล้วกับอริยสัจ 4 ซึ่งเมื่อกระทำแล้วพระองค์จึงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ข้อความในส่วนนี้ก็เช่นเดียวกัน พระองค์ตรัสว่า ดวงตาของพระองค์เกิดขึ้น ลำดับญาณ/ความรู้จึงเกิดขึ้น ต่อจากนั้น ปัญญา วิทยา/วิชา และแสงสว่างจึงเกิดขึ้นมาตามลำดับ


ต่อจากนั้นมา พระสูตรนี้กล่าวว่า
ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.



-->> จะเห็นได้ว่า ในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสธัมมจักรกัปปวัตรสูตรอยู่นั้น ปัจจวัคคีย์ก็ปฏิบัติธรรมตามไปด้วย เมื่อใจสงบเป็นหนึ่งเดียว/เอกัคคตารมณ์แล้ว พระโกณฑัญญะจึงมีดวงตาเกิดขึ้น และเห็น “ธรรม” ซึ่งผ่องใส ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เมื่อพระโกณฑัญญะเห็นธรรมแล้ว จึงกล่าวขอบรรพชาอุปสมบท



ครั้งนั้น ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้วได้รู้ธรรม แจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วตรัสต่อไปว่าธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น.



-->> จากธัมมจักกัปปวัฒนสูตรข้างต้น คำว่าดวงตานั้นต้องไม่ใช่ดวงตาที่เป็นตาเนื้อของพระพุทธเจ้าและปัจจวัคคีย์ เพราะ ตาเนื้อนั้นมนุษย์ทุกคนต้องมีมาตั้งแต่เกิดแล้ว แสดงว่า ดวงตาในพระสูตรนี้ต้องเป็นดวงตาชนิดอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


-->> มีนักวิชาการทางศาสนาเป็นจำนวนมากที่อธิบายคำว่า “เห็น” ในพระสูตรนี้เป็นไปในทำนองว่า “เข้าใจ” หรืออธิบายคำว่า “เห็น” เป็นเพียงชื่อของปัญญา บางท่านก็กล่าวว่า เป็นสภาวธรรม โดยไม่อธิบายให้ชัดเจนว่า เป็นสภาวธรรมอย่างไร ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าไม่ถูกต้อง คำว่าเห็นจะต้องอาศัยอายตนะตาเป็นเครื่องมือ ซึ่งตาหรือจักษุอื่นๆ ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระสุตตันตปิฎก เล่ม21 ขุททกนิกาย มหานิทเทส ดังนี้



พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราย่อมเห็นหมู่สัตว์นี้ ไปในตัณหาในภพทั้งหลาย ดิ้นรนอยู่ในโลก นรชนทั้งหลายที่เลว ยังไม่ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อม ร่ำไรใกล้ปากมัจจุ. สัตว์ดิ้นรนอยู่ในโลกเพราะตัณหา
คำว่า เราย่อมเห็น... ดิ้นรนอยู่ในโลก มีความว่า คำว่า ย่อมเห็น คือ ย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู ด้วยมังสจักษุบ้าง ทิพยจักษุบ้าง ปัญญาจักษุบ้าง พุทธจักษุบ้าง สมันตจักษุบ้าง คำว่า ในโลก คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก. คำว่า ดิ้นรนอยู่ คือ เราย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู [ซึ่งหมู่สัตว์นี้] ดิ้นรน กระเสือกกระสน ทุรนทุราย หวั่นไหว เอนเอียง กระสับกระส่ายไปมา



-->> จากพระสูตรดังกล่าวจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสก่อนว่า พระองค์เห็นหมู่สัตว์ทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในโลกเพราะตัณหา พระองค์ทรงใช้คำที่ต้องใช้ตาเป็นเครื่องมือแทบจะคลอบคลุมทั้งหมด คือ เห็น แลดู ตรวจดู พิจาณาดู ด้วยดวงตา 5 ประเภทคือ 1) มังสจักษุ/ตาเนื้อ 2) ทิพยจักษุ 3) ปัญญาจักษุ 4) พุทธจักษุ 5) สมันตจักษุ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าและพระปัจจวัคคีย์นั้น ต้องเห็นด้วยทิพยจักษุ, ปัญญาจักษุ, พุทธจักษุ หรือสมันตจักษุ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจจะหลายอย่างแต่ต่างกรรมต่างวาระกัน



หลังจากทรงสอนธัมมจักรกัปปวัตนสูตรแก่ปัจจวัคคีย์ไปแล้ว ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 คนดังกล่าวมีดวงตาเห็นธรรมในระยะเวลาไล่เลี่ยกันแต่ไม่พร้อมกัน กล่าวคือ พระอัญญาโกณฑัญญะ มีดวงตาเห็นธรรมก่อน หลังจากนั้นพระวัปปะกับพระภัททิยะมีดวงตาเห็นธรรมต่อมา และคู่สุดท้ายที่มีดวงตาเห็นธรรมก็คือ พระมหานามะกับพระอัสสชิ แต่พระปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 รูป ยังไม่มีใครบรรลุพระอรหันต์ หลังจากนั้นมา พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนอนัตตลักขณสูตร หลังจากได้ฟังพระสูตรนี้แล้ว พระปัจจวัคคีย์จึงบรรลุพระอรหันต์ทั้ง 5 รูป



อนัตตลักขณสูตรเริ่มต้นด้วยคำสอนที่ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอนัตตา ไม่ได้เป็นอัตตาอย่างที่พระปัจจวัคคีย์ยังมีความเห็นความเชื่อเช่นนั้นอยู่ การที่พระปัจจวัคคีย์เห็นว่า ที่ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอัตตาจึงทำให้ไม่สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้ หลังจากนั้นพระองค์จึงตรัสถามพระปัญจวัคคีย์ ดังนี้



ตรัสถาม ความเห็น ของพระปัญจวัคคีย์


พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉนรูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.



-->> ในข้อความข้างต้นนั้น มีคำว่า “ความเห็น” ซึ่งในภาษาที่ใช้กันในชีวิตประจำวันจะตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า opinion; view; viewpoint; idea; suggestion; assumption; belief; thought เป็นต้น ความเห็นในภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันอาจจะเกิดมาจาก การเห็น การอ่าน การฟัง แล้วมาคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ให้เกิดเป็นความเห็นขึ้นมา แต่ในพระสูตรดังกล่าวนี้ พระพุทธเจ้ามีพระสงค์จะทรงถามความเห็นที่เกิดจากการ “เห็น” จริงๆ จะสังเกตได้จากข้อความ ที่ว่า “ควรหรือจะตามเห็น” สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?



หลังจากที่ตรัสถามความเห็นของปัจวัคคีย์จนครบทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณแล้ว พระองค์ตรัสต่อไปว่า ตรัสให้พิจารณาโดย ยถาภูตญาณทัสสนะ



พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่ สักว่ารูป เธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

.......................................................................................................................


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก ผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้นเมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.


-->> ขอให้สังเกตข้อความในพระสูตรส่วนนี้ จำนวน 3 ข้อความนี้ “ยถาภูตญาณทัสสนะ”, “เห็นรูปนั้น”, “อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้”

คำว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ แปลว่า การรู้เห็นตามความเป็นจริง ซึ่งเมื่อคำนึงถึงธัมมจักกัปปวัตนสูตรที่กล่าวไปแล้วว่า พระองค์ทรงทำดวงตาให้เกิด หลังจากนั้นมาจึงทรงทำญาน/ความรู้ให้เกิด ดังนั้น การรู้เห็นในพระสูตรนี้จึงเกิดจาก “การเห็น” และ “การรู้” หรือเมื่อเห็นแล้วจึงรู้ และเป็นการรู้การเห็นตามความเป็นจริงด้วย ซึ่งสามารถยืนยันได้จากข้อความที่ต่อมาว่า เธอทั้งหลายพึงเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณด้วยปัญญาอันชอบ



ข้อความที่ยืนยันได้อย่างชัดแจ้งที่สุดก็คือ ข้อความที่ว่า “อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้” ข้อความนี้แสดงว่า ในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศน์สั่งสอนอยู่นั้น พระปัจจวัคคีย์ได้ปฏิบัติธรรมตามไปด้วย ขณะที่หูได้ยินหรือกำลังฟังอยู่ ใจ/จิต/วิญญาณก็กระทำตามไปด้วย จึง “เห็น” ตามไปตามคำที่พระองค์สอน เมื่อทั้งฟังทั้งเห็นตามความเป็นจริง พระปัจจวัคีย์จึงบรรลุพระอรหันต์ทั้ง 5 รูป



จากหลักฐานจากพระไตรปิฎกและที่อธิบายมาข้างต้น โดยยกธัมมจักกัปปวัตนสูตรและอนัตตลักขณสูตรซึ่งเป็นพระสูตรแรกและพระสูตรที่สองที่พระพุทธเจ้านำมาทรงสอนปัจจวัคคีย์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ในการปฏิบัติธรรมให้เพื่อ “รู้” และ “เข้าใจ” ในหัวข้อธรรมะต่างๆ ต้องมี “การเห็น” ด้วยตา คือ ตั้งแต่ตาเนื้อของร่างกายตลอดจนตาภายใน อย่างไรก็ดี เพื่อให้ข้อเขียนของผู้เขียนมีน้ำหนักแน่นขึ้นไปอีก ผู้เขียนขอยกตัวอย่างสำคัญอีกสองตัวอย่างดังนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างแรก


ในพระไตรปิฎก เล่ม 19 สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค หัวข้อนีวรณสูตร พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงนิวรณ์ 5 กับโพชฌงค์ 7 นิวรณ์ 5 ก็รู้กันทั่วๆ ไปว่าเป็นเครื่องกั้นคุณความดี สำหรับโพชฌงค์ 7 นั้น เป็นหัวข้อธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ซึ่งก็แสดงว่ามีความสำคัญมากเลยทีเดียว



ในนีวรณสูตรนี้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า นิวรณ์ 5 ทำให้มืดเพราะจักษุไม่มี และญาณ/ความรู้ไม่มี แต่โพชฌงค์ 7 นั้น กระทำสิ่งตรงกันข้ามกับนิวรณ์ 5 คือ ทำให้มีจักษุ ซึ่งก็หมายถึงมีการเห็นเกิดขึ้น และก็มีญาณ/ความรู้เกิดขึ้น ดังนี้



[501] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์ 5 เหล่านี้ กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน


[502] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างที่สอง


ตัวอย่างแรกนั้น เป็นกระบวนการในการที่จะตรัสรู้ซึ่งก็ต้องมีการเห็น ญาณ/ความรู้จึงเกิดขึ้น พระสูตรต่อไป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ยืนยันอีกว่า จะต้องมีการเห็น คือ มีจักษุเกิดขึ้น จักษุนี้มีประสิทธิภาพดีกว่าตาเนื้อ


พระสูตรนี้กล่าวถึงความเป็นมาว่า มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อเวรัญชพราหมณ์ กล่าวหาว่า พระพุทธเจ้าทรงขาดสัมมาคารวะกับพราหมณ์ผู้ใหญ่ ซึ่งตามวัฒนธรรมประเพณีของอินเดียสมัยนั้น ผู้มีอายุน้อยกว่าต้องให้ความเคารพกับผู้มีอาวุโสกว่า



พระพุทธเจ้าก็ทรงอธิบายเปรียบเทียบการกระทำของพระองค์กับการฟักไข่ ว่าไก่ที่ออกมาทีหลังๆ นั้น จะต้องเรียกไก่ที่ฟักตัวแรกว่าพี่ พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้ก่อนคนอื่น และนำมาสอน คนอื่นก็ต้องให้ความเคารพกับพระองค์ หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงบรรยายถึงเหตุการณ์ที่พระองค์ตรัสรู้วิชชา 3 วิชชาแรกก็คือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ การรู้จักระลึกชาติได้ แต่เป็นการระลึกชาติของตนเอง ต่อมาวิชชาที่สองคือ จุตูปปาตญาณ คือ การรู้จักระลึกชาติของคนอื่นได้ ซึ่งมีข้อความบางส่วนดังนี้




เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้


-->> จากข้อความดังกล่าว พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า พระองค์ทรงเห็นการเกิดของหมู่สัตว์ทั้งหลายด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าจักษุของมนุษย์ นี่ก็หมายถึงว่า ในการระลึกชาติของพระองค์เองก็ต้องเห็นในลักษณะนี้ ถ้าอธิบายง่ายๆ ก็คือ เห็นเหมือนเราดูหนัง ไม่ใช่นึกเอาแบบมัวๆ ซัวๆ ไม่ได้เห็นเป็นภาพชัดเจน ในกรณีก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า สายปฏิบัติใดก็ตามที่ปฏิเสธการเห็น ก็ไม่สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้เลย



ต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงกล่าวถึงวิชชาสุดท้ายว่า



เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้น รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ



-->> ข้อความที่ว่า “รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้” ก็เป็นหลักฐานสำคัญว่า ในการพิจารณาหัวข้อธรรมะขั้นละเอียดลึกซึ้งจนถึงการบรรลุพระอรหันต์ต้องใช้การเห็นเป็นสำคัญ พูดให้ง่ายเข้าก็คือ ทั้งเห็นทั้งรู้ และก็ทั้งรู้ทั้งเห็น จะรู้อย่างเดียวโดยปราศจากการเห็นไม่ได้ เพราะ รู้อย่างนั้นไม่ใช่การรู้แจ้งเห็นจริง [1]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 15:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:
ขอเสนอความเห็น ทิ้งไว้ น่ะครับ


1.เหตุใด ท่านอาฬารดาบส-อุทกดาบส ทั้งสอง...ที่เชี่ยวชาญใน อรูปฌานชั้นสูง จึงไม่บรรลุอริยมรรคผล?

2.สมถะที่พระพุทธองค์ใช้เป็นบาทของวิปัสสนาในคืนวันตรัสรู้ เป็นสมถะที่พระพุทธองค์ไปเรียนมาจากฤาษีทั้งสอง หรือ เป็นสมถะที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบเอง?

3.เอกัคคตาจิต หรือ จิตที่ทรงเอกัคคตารมณ์(ฌาน) นั้น... สามารถเป็นผลบังเกิดตามจากการเจริญวิปัสสนาโดยตรง โดยไม่ต้องไปฝึกสมถะกรรมฐาน(แบบสมถะกรรมฐาน40วิธี ตามคัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาล) ได้ไหม?





ผมขอเสนอ ความเห็น เพิ่มครับ

4.สัมมาสมาธิ ที่ในระดับพระสูตรตรัสว่า เป็น สมาธิระดับฌาน(ถ้า ในคัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาลจะเรียกว่า อัปปานาสมาธิ)นั้น จำเป็นต้องเกิดแล้วดำรงอยู่นานๆไหม?



รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้สนทนา กับ ท่าน จขกท น่ะครับ :b8:

เพราะ ชาวพุทธรุ่นใหม่ เดี๋ยวนี้ มีแต่ จะเจริญวิปัสสสนาอย่างเดียว โดยระมัดระวังไม่ให้สมถะเกิดกัน

เวลาพูดถึงสมถะ เขาจะพูดเหมือน กำลังกล่าวถึง น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ เมื่อ 2-3ปีก่อน(คือ อะไรที่ไม่ดี ต้องเป็นสมถะ หรือ เป็นเพราะสมถะ)

ผมไม่ค่อยได้ไปเว็บอื่นๆ
ประจำอยู่เพียงสองเว็บ
ถ้าท่านใดๆก็ตาม จะใช้ ข้อมูลที่ผมแสดงไว้ ไปแสดงให้ท่านอื่นในเว็บอื่นๆรับทราบ ก็ยินดีอย่างยิ่งครับ ไม่ต้องอ้างอิงใดๆ เพราะ ธรรมเป็นของกลางโลก...

หลายข้อมูล ที่ผมคัดค้านแนวทางสุทธวิปัสสนายานิก(มุ่งเอาวิปัสสนาล้วนๆ)... ผู้เดินแนวทางสุทธวิปัสสนายานิก เขาไม่สามารถอธิบายไก้เคลียร์

เพียงแต่ เราเอง ต้องสามารถบอกความเหมือนในความแตกต่าง และ ความแตกต่างในความเหมือน ของ ฌาษฤาษีทั่วๆไป กับ สัมมาสมาธิ(โลกุตรฌาน) ให้เคลียร์

โดยเน้นใช้คำสอนในระดับพระสูตร... ที่ชัดเจนมากในเรื่องนี้เป็นหลักตัดสิน
เพราะ ถ้าใช้ คำสอนในคัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาล มายืนยันกันทั้งสองฝ่าย ...จะงงด้วยกันทั้งคู่ และ ไม่มีทางยุติปัญหานี้ได้



ขอตัวไปพักครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นประโยชน์ในสมถะและวิปัสสนาแล้วเจ้าค่ะ

จิตที่มีสมถะเป็นฐาน เมื่อจิตสงบดีควรแก่การงาน ก็ใช้ปัญญาพิจารณา ใน ขันธ5 มีขน,ผม,เล็บ,ฟัน,หนัง เห็นทุกข์ในธรรมทั้งปวง ปลงในสังขาร...... ใช้ปัญญาพิจารณาไปตามสภาวะที่เป็นจริงจึงเห็นจริง

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร