วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 04:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2009, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรวจสอบความเข้าใจสักเล็กน้อยนะครับ

"ธรรม" ที่ท่านกล่าวถึงนี้เป็น อสังขตธรรม
"แตกออกเป็นธรรม" เห็นจิตในจิต
"เห็นอะไรเป็นธรรม" เห็นการเกิดดับ
"อะไรที่ไม่ใช่ธรรม" สังขาร (สังขตธรรม)

กระผมเข้าใจความหมายของท่านถูกรึป่าวครับ :b1: :b1:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2009, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตรวจสอบความเข้าใจสักเล็กน้อยนะครับ

"ธรรม" ที่ท่านกล่าวถึงนี้เป็น อสังขตธรรม
"แตกออกเป็นธรรม" เห็นจิตในจิต
"เห็นอะไรเป็นธรรม" เห็นการเกิดดับ
"อะไรที่ไม่ใช่ธรรม" สังขาร (สังขตธรรม)

กระผมเข้าใจความหมายของท่านถูกรึป่าวครับ :b1: :b1:


ไม่ต้องไปทำความเข้าใจกับบัญญัติครับ

ธรรมก็คือ ความจริงที่เป็นลักษณะเช่นนั้นเสมอ เป็นอกาลิโก เช่นว่า สรรพสิ่งเกิดแล้วดับจริงเสมอ
สรรพสิ่งไม่มีตัวตนที่แท้จริงก็จริงเสมอ ทีนี้เราเข้าใจไม่ได้ เราต้องไปมองเอาเองไปภาวนาเอาเองเพื่อให้เห็นจริงตามนั้นด้วยปัญญาของตนเอง อันไม่ได้มาจากการฟัง เมื่อจิตใจเราเห็นเองเป็นปัจจััตตังแล้ว นั่นแหละ เราเรียกว่า ธรรมเกิดที่ตน

แตกออกเป็นธรรม คือ การเคลื่อนของจิตทุกประการ ข้อนี้คุณนัท ต้องฝึกดู รูป นามให้มากจึงจะเห็นเวลา นามเกิด นามดับ นั่นแหละคือ การเคลื่อนของจิต เช่นว่า เราคิดพิจารณาธรรม จิตใจของเราที่คิดได้แปรเปลี่ยนไปเป็นเรื่องราวที่เราได้นึกคิด การได้ยินได้ฟังก็เช่นเดียวกัน เสียงต่างๆ ที่เราได้ยิน ล้วนแล้วแต่เกิดปรากฎแล้วหายวับไป ใครลองหยิบเสียงมาให้ดูหน่อยซิว่า รูปร่างมันเป็นอย่างไร ความรักความชอบรูปร่างมันเป็นอย่างไร มันไม่มี เราสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
ตรงนี้ดูให้ดี ให้ถึงใจ นั่นแหละ ทีนี้การจะพูดจะคิด จะจำ เมื่อเรามองตามความจริง เราก็พูด ก็คิด ก็ทำตามความจริงที่หัวใจนี้ เคยรับมา รับแต่ธรรมมา เวลาเคลื่อนไปก็มีแต่ธรรม

นั่นแหละ รวบตอบคำถามทั้งหมดแล้วครับ ลองพิจารณาดู

อย่าไปสนใจด้านบัญญัติ เพราะว่า บัญญัตินี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ใจได้รู้ แต่เมื่อรู้จริงๆ มันรู้ที่ใจ มันไม่มีชื่อเรียก ลองดูตัวนี้ให้ดี นี่แหละเขาเรียกว่า ตัววิญญาณ

อ่านข้อความแล้วรู้เป็นเรื่องเป็นราว นี่ใครรู้ครับ มันรู้ไปเป็นเรื่องเป็นราวได้อย่างไร แค่ตัวอักษรดำๆ

ไปพิจารณาให้มากตรงนี้แหละ จะวิ่งลงสู่สัมมาทิฎฐิ ในอริยมรรค

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2009, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณขันธ์กำลังเปล่งสีหนาทรึเปล่าหนอ

คุณขันธ์รู้ซึ้งจริงแท้แน่เทียวรึหนอ

คุณขันธ์เมตตา หรือร้อนวิชากันแน่หนอ

คุณขันธ์กล่าวออกมา ก็ได้ชีวิตชีวาหายเปลี่ยวอุราดีเหมือนกันหนอ

..........แค่เข้ามาแซวขอเชิญแสดงธรรมโปรดเหล่าผู้แกล้งสงสัยต่อไปเถิดครับ


สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2009, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ ขันธ์ จะเป็นอะไร ก็ช่างมันเถิดครับ
ถ้าจะถามธรรมก็เชิญครับ ดีกว่าไปสนใจเรื่องอื่นครับ

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2009, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


คนแกล้งสงสัย หรือ ใครจะลองภูมิ ผมก็ไม่สนครับ หากว่า คำถามนั้น
เป็นคำถามที่ ดีและ น่าตอบ ผมก็จะยอมโง่ไม่ไปสนใจถึงจิตใจคนถาม
ถามมา ตอบไป เผื่อว่า ใครมาอ่านเขาจะได้ธรรมไปบ้าง ก็เท่านั้น

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2009, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนกรณีนี้ไหมคุณขันธ์ :b1:

เท่าที่ได้พูดคุยกัน ขณะที่น้องเขากำลังนั่งสมาธิ เขาได้ยินเสียงเสียงผู้ชายพูดข้างหูเขา ทั้งๆที่ให้ห้องมีเขาคนเดียว ก็เลยตกใจ ลืมตาขึ้นมา พอจะนั่งสมาธิต่อ จิตมันฟุ้งไปเสียแล้ว จิตไม่รวมตัว เท่าที่ได้คุยกัน เวลาน้องเขานั่ง จะดูแค่อาการของกาย คือ ท้องพองยุบอย่างเดียว อาการอื่นๆที่มากระทบ เขาไม่เคยย้ายจุดดู เมื่อเอาจิตจดจ่ออยู่ในที่ๆเดียว สมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย แต่เนื่องจากสติ น้อยกว่าสมาธิ จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับน้องเขา ถ้า สติ สัมปชัญญะเขาดี เขาเพียงแค่ดู รู้ อยู่กับมันเท่านั้นเอง ตัวน้องเองก็ยอมรับว่าพลาดไป ก็เลยได้อธิบายรายละเอียดเพิ่มให้เขาฟัง ว่าต่อไปควรทำอย่างไร สติ สัมปชัญญะ จึงจะดีกว่านี้ ทำยังไงถึงจะรู้ตามความเป็นจริงได้ วันใดจิตเข้าถึงไตรลักษณ์ จิตก็จะปล่อยวางไปเอง มันมีแต่กิเลส ไม่มีอะไรหรอก เหมือนสภาวะจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จริงๆแล้วคือกิเลสในตัวเรานี่แหละ มันเปลี่ยนบทบาทมาเรื่อยๆ บทเดิมๆซ้ำๆ แต่เปลี่ยนรูปแบบมาเล่น ถ้าเราไม่ทัน เราก็เสร็จมัน ไปหลงทุกข์กับมัน จริงๆแล้ว มันมีของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว ยิ่งพยายามหาหนทางขจัด ยิ่งทุกข์หนักกว่าเก่า เอาจิตเข้าไปข้อง เอาจิตไปวุ่นวายกับมันเอง เพราะตัวอยาก ยังมีอยู่มาก เราก็เลยไปเล่นกับมันไม่รู้จบ เมื่อมีอะไรมากระทบเราเพียงมีหน้าที่ ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น รู้ลงไป อยู่กับมัน อย่าลงไปเล่นกับมัน อย่าไปชอบ อย่าไปชัง อย่าไปคิดขัดขืนแก้ไขอะไร วันใดจิตเข้าถึง จิตเห็นจิตโดยแท้จริง จิตเขาจะปล่อยของเขาเอง

ขณะที่นั่งสมาธิ อะไรที่เกิดขึ้นชัดเจนที่สุด ให้ดูตรงนั้น ไม่ใช่ดูแค่ท้องพองยุบ หรือ ดูลมหายใจอย่างเดียว .. ถ้าจับลมหายใจได้ชัดที่สุด ให้รู้ที่ลมหายใจ ลมหายใจหายไป เห็นท้องพองยุบชัดที่สุด ย้ายมาจับที่ท้องพองยุบแทน ความคิดเกิดชัดที่สุดให้ดูความคิดที่เกิดขึ้น เห็นการเคลื่อนไหวลมหายใจไปทั้งตัวชัดที่สุดก็รู้ลงไปตรงนั้น เห็นเวทนาเกิดชัดที่สุดก็รู้ลงไปตรงนั้น สลับไปสลับมาแบบนี้ ไม่ใช่เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับที่ใดที่เดียว ทำแบบนั้นได้แต่สมาธิ สติ สัมปชัญญะ ได้น้อยมาก

ถ้าทำแบบที่บอกไป ก็จะได้ทั้ง สติ สัมปชัญญะ สมถะ และวิปัสสนา ถ้าทำได้ จะรู้เท่าทันจิตมากขึ้น กิเลส ตัวตัณหาความทะยานอยากทั้งหลาย ย่อมลดน้อยลงไป .. ความที่เคยทุรนทุราย ดูวุ่นวายในใจก็จะลดน้อยลงไป ความฟุ้งซ่านต่างๆก็จะลดน้อยลงไป สมาธิย่อมตั้งมั่นได้ง่ายขึ้น นึกจะปฏิบัติตอนไหน สมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สมาธินี่สำคัญนะไม่ใช่ไม่สำคัญ แต่ต้องรู้จักวิธี ไม่ใช่ไปนั่งทื่อๆมุ่งหวังจะเอาแต่สมาธิอย่างเดียว แล้วตัวปัญญาจะเกิดได้ยังไง เลยติดแหง่กอยู่แค่นั้น เท่านั้นยังไม่พอ เพราะอำนาจของสมาธิ ไปเห็นหนอรู้หนอนอกตัวอีก นี่หนักกว่าเก่าอีก ไปสุดโต่งเลย บางคนหลุดโลกไปก็มี .. ก็แล้วแต่กุศลที่สร้างสั่งสมกันมา ไหนจะวิบากกรรมของแต่ละคนอีก

ท่องให้ขึ้นใจไว้เลย สร้างเหตุอย่างไร ผลย่อมได้เช่นนั้น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว หนีไม่ได้ มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้กระทำกันไว้ แล้วอีกอย่าง ที่บอกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น รู้ลงไปในขณะที่เกิดขึ้น อยู่กับมัน เหมือนที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ให้เราเฝ้าดู นี่ มีแค่นี้เอง จนกว่าจิตเขาจะอิ่มตัว จนกว่าจิตเขาจะเห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ( ไตรลักษณ์ ) จิตเขาจะปล่อยวางเอง ทุกอย่างต้องใช้เวลา จะกี่ปี จะนานเท่าไหร่ อย่าไปสนใจเรื่องเวลา แต่จงมีความเพียรอย่างต่อเนื่อง หนทางอยู่ข้างหน้านี่เอง ไม่ไกลเกินฝันอย่างที่คิดๆกันหรอก ความอยากนี่แหละตัวร้ายที่สุด ต้องรู้เท่าทันให้ดีๆ มันเนียนมากๆเลย แค่คิดว่า ต่อไปจะเป็นยังไง นี่ ความอยากรู้เกิดขึ้นแล้ว แต่ว่าจะรู้ทันไหม มันมีเท่านี้เอง ยิ่งอยากได้ ยิ่งห่างไกล ... เมื่อเกิดผัสสะ ให้จับที่ละตัว ตัวไหนเกิดชัดที่สุด จับตัวนั้น เพียงแค่หมั่นดู รู้ อยู่กับมันเท่านั้นเอง

ตำราน่ะวางไว้ก่อน ทำผ่านไปได้แล้ว กลับไปอ่านตำราแล้วจะเข้าใจชัดแจ๋ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้จากการปฏิบัตินั้น มันตรงกับตำราทุกอย่าง ไม่มีผิดเพี้ยนหรอก ยกเว้นพวกที่ชอบน้อมเอา คิดเอา แล้วนำไปเทียบเคียงกับตำราน่ะ ก็จะเฉียดไปเฉียดมา รังแต่จะสร้างกิเลสให้เกิดมากขึ้นเปล่าๆ ( ตัณหาความทะยานอยาก )

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2009, 00:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลืมบอกไปว่า เดี๋ยวนี้คุณขันธ์เปลี่ยนไปมากๆเลยค่ะ

โมทนา สาธุค่ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2009, 00:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอถามเลยครับ เกี่ยวกับสังโยชน์ข้อที่ 3 "สีลัพพตปรามาส"

อยากทราบถึงว่ามีขอบเขตมากน้อยแค่ไหน กว้างขวางขนาดไหน

อย่างไรเขาถึงเรียก "สีลัพพตปรามาส"

แล้วอย่างการถือเอาฤกษ์เอาเวลา ว่าต้องเวลานั้น เวลานี้เท่านั้น ถึงจะทำอย่างนั้นอย่างนี้

หรือการจัดหิ้งพระ ว่าจะต้องหันหน้าทางทิศนั้น ทิศนี้ ทิศนั้นไม่ดี ทิศนี้ถึงจะดี

เหล่านี้จะจัดว่าเป็น "สีลัพพตปรามาส" หรือเปล่าครับ

ขอคำอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ นะครับ ขอบคุณครับ........

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2009, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 09:03
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าทางจะบ้า ๆ กันนะ ฮิ ๆ :b24:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2009, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ขันธ์ เขียน:
คนแกล้งสงสัย หรือ ใครจะลองภูมิ ผมก็ไม่สนครับ หากว่า คำถามนั้น
เป็นคำถามที่ ดีและ น่าตอบ ผมก็จะยอมโง่ไม่ไปสนใจถึงจิตใจคนถาม
ถามมา ตอบไป เผื่อว่า ใครมาอ่านเขาจะได้ธรรมไปบ้าง ก็เท่านั้น

สาธุ ครับท่าน... :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2009, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขอถามเลยครับ เกี่ยวกับสังโยชน์ข้อที่ 3 "สีลัพพตปรามาส"
อยากทราบถึงว่ามีขอบเขตมากน้อยแค่ไหน กว้างขวางขนาดไหน
อย่างไรเขาถึงเรียก "สีลัพพตปรามาส"
แล้วอย่างการถือเอาฤกษ์เอาเวลา ว่าต้องเวลานั้น เวลานี้เท่านั้น ถึงจะทำอย่างนั้นอย่างนี้
หรือการจัดหิ้งพระ ว่าจะต้องหันหน้าทางทิศนั้น ทิศนี้ ทิศนั้นไม่ดี ทิศนี้ถึงจะดี
เหล่านี้จะจัดว่าเป็น "สีลัพพตปรามาส" หรือเปล่าครับ
ขอคำอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ นะครับ ขอบคุณครับ........


ถามแบบนี้ น่าตอบครับ สังโยชน์ 3 ตัวต้น สำหรับพระอริยะโสดาบันขออธิบายรวมไปเลย
สักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา และ สีลพตรปรามาส เป็น สังโยชน์ที่เกี่ยวกับตัวตนเราทั้งสิ้น

ตามธรรมดาปุถุชน มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่า จะมีผัสสะอะไรเกิดขึ้นกับตน ถ้าใจเราว่าดีมีความสุข
เราก็ชอบ แต่ถ้า เราว่าไม่ดีไม่มีความสุข เราก็ชัง ทีนี้ถ้า ชอบ หรือ ชังมาก มันก็เกิดความเป็น ตัวเราของเรา ขึ้นเพราะมันเริ่มจะหวงแหน หรือ ผลักไสออกไป ถ้าสิ่งนั้นไม่ดี ตัวที่เราเริ่มจะเห็นเป็นตัวเป็นตนของเรา นี่แหละ สักกายทิฎฐิ

จำไว้ว่า สักกายทิฎฐิ จะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อ มีอะไรมากระทบ เพราะตามธรรมดาเราไม่ได้คิดว่าอะไรเป็นของเรานอกจากกระทบกับสิ่งภายนอกให้เกิดผัสสะ ถ้าละไม่ทันมันก็ยึดไว้ ว่า เป็นของเราของเขา
เกิดทุกข์ ตามมามากมาย

ทีนี้พอเป็น เกิดๆ อะไรกับตัวเรา เพราะเราหลงไปแล้วว่า นี่คือเรา เมื่อเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราเราก็สงสัยว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้คืออะไร ทำไมมันเกิดกับเราขึ้น

พอมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา เราสงสัย เราไม่รู้อะไรคืออะไร ถ้าถูกใจก็ชอบก็หลงไป ถ้าไม่ถูกใจก็หนี หรือพยายามแก้ไข ก็หาวิธีการแก้ไข เช่น หาหมอดูบ้าง ให้ใจมันคลายทุกข์
ไปหาทรงเจ้าบ้าง ให้ใจมันคลายทุกข์ ถือข้อวัตรแบบผิดๆ เพราะฟังมาว่า ทำแบบนี้แล้วจะดี
สรุปว่า อะไรก็ตามที่ทำไป แบบผิดทาง ไม่ได้ตรงจุด เพราะคิดว่า นั่นคือสิ่งดี ที่จะช่วยให้เราดีขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็น สีลพตรปรามาส


สังโยชน์ทั้งสาม จึงเกี่ยวเนื่องกันเป็น ชุดเดียวกัน คือ หลงว่าเป็นตัวตน เมื่อหลงแล้วก็ย่อมมีสิ่งกระทบตัวตนนั้นจนสงสัยและเอะใจ เมื่อสงสัยก็วิ่งหาทางแก้ไขหรือวิ่งตักตวงโดยไม่รู้เหตุปัจจัยที่แท้จริง
เป็นชุดเดียวกันของกิเลส ที่พระโสดาบันละได้ด้วย การถอนอนุสัย การพิจารณาถึงปฏิจสมุบาท เพื่อเข้าใจ ถ่องแท้ว่า เหตุใดที่เกิดกับตน

เมื่อ อบรมบ่อยๆ ในรูปนาม จะเห็นเหตุปัจจัย แล้วจ่อลงที่ใจ ให้ใจเพิกเฉย ต่อความยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละ จะถึง มรรคญาณ เดินออกจากกิเลสเพราะเห็นภัย แม้เพียงน้อยนิดที่ปถุถุชนไม่เห็น

การแก้ปัญหา ต้องลงสู่ใจนี้ทั้งหมด คือ ไม่ว่าจะมีทุกข์อะไรก็ตาม ใจเป็นอันดับแรกที่จะต้องแก้ไขไม่ให้มันกระเพื่อม นั่นแหละจึงจะเรียกว่า ละสีลพตรปรามาสได้ ส่วนจะไปแก้ปลายทางอย่างไร อันนั้นเป็นเรื่องของปัญญาแล้ว

แต่ถ้าหากว่า พอเกิดเรื่องปั๊บ ยังไม่ทันดูที่ใจนี้ วิ่งไปแล้วฟูมฟายไปแล้วว่า ต้องไปดูหมอ แก้กรรม รวมถึง การถือวัตรผิดๆ เช่นว่า การไม่กินเนื้อสัตว์ เพราะอยากให้ตัวเราดี นั่นเป็นเพราะอยากเกิดขึ้นนะ
นั่นเป็นเรื่องปลายทาง ที่เป็น สีลพตรปรามาส

หวังว่าจะเข้าใจนะครับ

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าใจครับ
แล้วอย่างประเด็นที่ผมถามไปตอนแรก
จัดเป็นสีลัพพตปรามาสหรือเปล่าครับ

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แล้วอย่างการถือเอาฤกษ์เอาเวลา ว่าต้องเวลานั้น เวลานี้เท่านั้น ถึงจะทำอย่างนั้นอย่างนี้

หรือการจัดหิ้งพระ ว่าจะต้องหันหน้าทางทิศนั้น ทิศนี้ ทิศนั้นไม่ดี ทิศนี้ถึงจะดี

เหล่านี้จะจัดว่าเป็น "สีลัพพตปรามาส" หรือเปล่าครับ


ก็ ถ้าทำไป เพราะว่าทำตามๆ กันไปเป็นประเพณี โดยที่ตัวเราเอง ไม่ได้ร้อนรนอะไร
ก็ไม่ได้เป็นสีลพตรปรามาส เช่น ตั้งพระหันหน้าไปทางทิศตะวันออก แบบนี้โบราณเขาก็เชื่อถือกันมา
แล้วเราก็ไม่ได้ เป็นปัญหาอะไร ก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นสีลพตรปรามาส

แต่หากว่า เกิดปัญหาขึ้น คือ ชีวิตเราไม่ดี แล้วเราต้องไปย้ายหิ้งพระบ้าง จะเดินออกจากบ้านคอยดูเวลา
แบบนี้จึงเรียกว่า เป็นสีลพตรปรามาส

สรุปง่ายๆ เมื่อใดที่มีปัญหาขึ้น แล้วหาทางแก้ไข หรือ ถือข้อวัตรใดๆ เพื่อแก้ไขปัญหานั้น นั่นแหละสีลพตรปรามาส

บางคน ชีวิตไม่ดีก็ไป กินเจ มังสวิรัต แบบนี้จึงเรียกว่า เป็นสีลพตรปรามาส

แต่บางคน ไม่ชอบทานเนื้อสัตว์ ก็เลยไม่กินเนื้อสัตว์ แบบนี้ไม่เป็นสีลพตรปรามาส

บางคน ไม่กินเนื้อเพราะสงสาร ก็เรียกว่า ไม่เป็นสีลพตรปรามาส

ตราบใดที่ไม่ทำไปเพื่อแก้ไขปัญหาที่เรามีอยู่ ด้วยวิธีการผิดๆ ก็ไม่เป็นสีลพตรปรามาส

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


โมทนาด้วยครับคุณ ขันธ์
สาธุ สาธุ
:b8:

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 03:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 02:59
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่อยากทราบว่าการบรรลุธรรมเป็นอย่างไร
แต่ขออนุญาตถามว่า ทำอย่างไรถึงจะได้บรรลุธรรม...

ขอบคุณครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร