วันเวลาปัจจุบัน 31 ก.ค. 2025, 04:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 16:38
โพสต์: 81

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 480

[๒๕๐] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ทีตำบลบ้านปาริไลยกะ
ตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินไปทางพระนครสาวัตถี เสด็จ
จาริกโดยลำดับถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่พระเขตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถีนั้น.
อุบาสกอุบาสิกาชาวพระนครโกสัมพีไม่อภิวาท
[๒๕๑] ครั้งนั้น อุบายสกอุบายสิกาชาวพระนครโกสัมพีได้หารือกันดัง
นี้ว่า พระคุณเจ้าเหล่าภิกษุชาวพระนครโกสัมพีนี้ ทำความพินาศใหญ่โตแก่พวก
เรา พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกท่านเหล่านี้รบกวน จึงเสด็จหลีกไปเสีย เอาละ พวก
เราไม่ต้องอภิวาท ไม่ต้องลุกรับ ไม่ต้องทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม ไม่
ต้องทำสักการะ ไม่ต้องเคารพ ไม่ต้องนับถือ ไม่ต้องบูชาซึ่งพระคุณเจ้าเหล่า
ภิกษุชาวพระนครโกสัมพี แม้เข้ามาบิณฑบาต ก็ไม่ต้องถวายบิณฑบาต ท่าน
เหล่านี้ ถูกพวกเราไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา เป็นผู้ไม่มีสักการะ
อย่างนี้ จักหลีกไปเสีย หรือจักสึก หรือจักให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรด
ครั้นแล้วไม่อภิวาท ไม่ลุกรับ ไม่ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม ไม่สักการะ
ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา ซึ่งพวกภิกษุชาวพระนครโกสัมพี แม้เข้ามา
บิณฑบาตก็ไม่ถวายบิณฑบาต.
ครั้งนั้น พวกภิกษุชาวพระนครโกสัมพี ถูกอุบาสกอุบาสิกาชาวพระ-
นครโกสัมพี ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา เป็นผู้ไม่มีสักการะ
จึงพูดกันอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย มิฉะนั้น พวกเราพึงไปพระนครสาวัตถี
แล้วระงับอธิกรณ์นี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้ว เก็บงำเสนาสนะ
ถือบาตรจีวร พากันเดินทางไปพระนครสาวัตถี.


เล่ม 3 หน้า 663

...ครั้งนั้น นางวิสาขามิคารมาตา ได้ถูกเชิญไปสู่สกุลนั้น
นางได้เห็นท่านพระอุทายี นั่งในที่ลับ คือในอาสนะ (ที่นั่ง) กำบัง
ซึ่งพอจะทำการได้กับหญิงสาวนั้น หนึ่งต่อหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะท่านพระอุทายีว่า
" ข้าแต่พระคุณเจ้า การที่พระคุณเจ้าสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือในอาสนะกำบัง
ซึ่งพอจะทำการได้กับมาตุคาม (ผู้หญิง) หนึ่งต่อหนึ่งเช่นนี้ ไม่เหมาะ ไม่ควร
แม้พระคุณเจ้าจะไม่ต้องการด้วยธรรมนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น
พวกชาวบ้านผู้ที่ไม่เลื่อมใส จะบอกให้เชื่อได้โดยยาก "

ท่านพระอุทายี แม้ถูกนางวิสาขา มิคารมาตา ว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ก็มิได้เชื่อฟัง
เมื่อนางวิสาขามิคารมาตา กลับไปแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย....

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 22:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ....
ตรงไหนละที่บอกว่าเป็นหน้าที่ ตรงไหนที่ตรัสว่าควรออกมาติเตียน
ตรงไหนล่ะที่ตรัสบอกสรรเสริญการออกมาติเตียนพระ รู้สึกว่าการปรับ
อาบัติพระเป็นหน้าที่ของพระด้วยกัน

ก็เข้าใจว่ารักห่วงศาสนา แต่รักแบบนี้ก็หากรรมใส่ตัว มัวหมองใจ
เอาเวลาไปทำใจให้ผ่องใสดีกว่า เวลากราบพระหรือยกมือไหว้พระที่เห็นตามวัดจะ
ได้ไม่สะดุดในใจถึงเรื่องอาบัติพระ ไปงานศพชาวบ้าน ไปงานบุญเวลาเห็นเขาถวายเงินพระ
ไปงานกฐินผ้าป่าแล้วเห็นพระรับซองใส่เงิน จะได้อนุโมทนาให้แช่มชื่น จะกราบได้อย่างสนิทใจ
ไม่มีเศษผงในตาให้มาระคาย

เห็นสักว่าเห็น รู้สักว่ารู้ ก็เป็นการสำรวมจิตได้อย่างหนึ่ง การไปปรุงแต่งเพิ่ม
ส่วนมากจะเอาอัตตะ มานะ วิจิกิจฉา เข้ามาวิ่งเล่นในสภาวะเปล่าๆ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 22:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมเป็นพระถึงต้องขออาหารไม่ทำอาหารกินเอง ?

เพื่อการปฏิบัติธรรม..ทุกที่..ทุกเวลา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 23:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่อยากเอาเนื้อความต่างๆมาลงเพราะเห็นว่า ความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่อุปกรณ์
ที่จะมาฟาดฟันกัน ถ้านำมาทำเช่นนั้นก็เหมือนจับงูที่หาง สุดท้ายวกกลับมากัดตัวเอง

ปัตตสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงฆ์หวังอยู่ พึงคว่ำบาตรแก่
อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ องค์ ๘ ประการเป็นไฉน
คือ อุบาสกพยายามเพื่อความเสื่อมลาภแก่ภิกษุทั้งหลาย ๑ พยายาม
เพื่อความฉิบหายแก่ภิกษุทั้งหลาย ๑ พยายามเพื่อความอยู่ไม่ได้แก่
ภิกษุทั้งหลาย ๑ ย่อมด่าย่อมบริภาษภิกษุทั้งหลาย ๑ ยุยงภิกษุ
ทั้งหลายให้แตกจากภิกษุทั้งหลาย ๑ ติเตียนพระพุทธเจ้า ๑ ติเตียน
พระธรรม ๑ ติเตียนพระสงฆ์ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงฆ์หวังอยู่
พึงคว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล.

สุต.อัง. (สูตรนี้ไม่มีตรัสบอกให้ด่าหรือบริภาษ หรือติเตียนพระสงฆ์ได้ แม้พระจะไม่ดี
เพราะติเตียนด้วยการพูดกระทบ เปรียบเปรย เป็นวจีทุจริต คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญ)


ปฐมพลสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลัง ๘ ประการนี้ ๘ ประการ
เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทารกทั้งหลายมีการร้องไห้เป็นกำลัง ๑
มาตุคามทั้งหลายมีความโกรธเป็นกำลัง ๑ โจรทั้งหลายมีอาวุธเป็น
กำลัง ๑ พระราชาทั้งหลายมีอิสริยยศเป็นกำลัง ๑ คนพาลทั้งหลาย
มีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง ๑ บัณฑิตทั้งหลายมีการไม่เพ่งโทษ
เป็นกำลัง ๑
พหูสูตบุคคลทั้งหลายมีการพิจารณาเป็นกำลัง ๑
สมณพราหมณ์ทั้งหลายมีขันติเป็นกำลัง ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กำลัง ๘ ประการนี้แล.

สุต.อัง.(ข้อนี้ก็ไม่มีว่า คนอื่นถ้าไม่ดีแล้วสามารถเพ่งโทษได้ ตอนท้ายยังบอกอีกว่า
บัณฑิตไม่เพ่งโทษ)



อาสวะทั้งหลาย ย่อมเจริญแก่ผู้ตามเห็นโทษ
ผู้อื่น ผู้สำคัญในการเพ่งโทษเป็นนิจ บุคคลนั้นชื่อว่า
เป็นผู้ไกลจากธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุชฺฌานสญฺิโน ความว่า บรรดา
ธรรมทั้งหลายมีฌานเป็นต้น ธรรมแม้อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เจริญแก่บุคคลผู้
ชื่อว่ามากไปด้วยการยกโทษ เพราะความเป็นผู้แส่หาโทษของชนเหล่าอื่น
ว่า "ควรนุ่งอย่างนั้น, ควรห่มอย่างนี้" เป็นต้น โดยที่แท้อาสวะทั้งหลาย
ย่อมเจริญ; เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้อยู่ไกล คือแสนไกล
จากความสิ้นไปแห่งอาสวะ กล่าวคือพระอรหัต.

ขุท.คาถาธัมมบท (ข้อนี้ ท่านอธิบายแล้ว)

จะพูดจะคิดอะไร ก็อย่าพึงไกล้สิ่งที่พระพุทธองค์เตือนไว้ เพราะปัญญาเราเอง และคัมภีร์
ทั้งหลายยังตัดสินไม่ได้ว่า ที่เราคิดเราพูด พ้นจากข้อที่พระพุทธองค์เตือนไว้

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 16:38
โพสต์: 81

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จะพูดจะคิดอะไร ก็อย่าพึงไกลสิ่งที่พระพุทธองค์เตือนไว้ เพราะปัญญาเราเอง และคัมภีร์
ทั้งหลายยังตัดสินไม่ได้ว่า ที่เราคิดเราพูด พ้นจากข้อที่พระพุทธองค์เตือนไว้
ไม่อยากเอาเนื้อความต่างๆมาลงเพราะเห็นว่า ความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่อุปกรณ์
ที่จะมาฟาดฟันกัน ถ้านำมาทำเช่นนั้นก็เหมือนจับงูที่หาง สุดท้ายวกกลับมากัดตัวเอง


พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 178

อนาปัตติวรรคที่ ๑๒



ว่าด้วยผู้ทำให้พระสัทธรรมอันตรธาน



[๑๓๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงอนาบัติว่า เป็นอาบัติ

ฯลฯ ที่แสดงอาบัติว่า เป็นอนาบัติ ฯลฯ ที่แสดงลหุกาบัติว่า เป็นครุกาบัติ

ฯลฯ ที่แสดงครุกาบัติว่า เป็นลหุกาบัติ ฯลฯ ที่แสดงอาบัติชั่วหยาบว่า

เป็นอาบัติ ไม่ชั่วหยาบ ฯลฯ ที่แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ

ฯลฯ ที่แสดงอาบัติ มีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ฯลฯ ที่แสดง

อาบัติไม่มีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ ฯลฯ ที่แสดงอาบัติทำคืน

ได้ว่า เป็นอาบัติทำคืนไม่ได้ ฯลฯ ที่แสดงอาบัติทำคืนไม่ได้ว่า เป็นอาบัติ

ทำคืนได้ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกู

เพื่อไม่เป็นสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนัตถะเพื่อมิใช่ประโยชน์

เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ทั้งย่อมประสบบาปใช่บุญเป็นอันมาก และย่อมทำให้สัทธรรมนี้

อันตรธาน.


[๑๓๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงอนาบัติว่า

เป็นอนาบัติ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ

ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออัตถะเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็น

อันมาก เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบ

บุญเป็นอันมาก และย่อมดำรงสัทธรรมนี้ไว้มั่น.

[๑๓๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงอาบัติว่า เป็นอาบัติ

ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข



พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 179

แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออัตถะเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อ

ความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบบุญเป็นอันมาก

และย่อมดำรงสัทธรรมนี้ไว้มั่น.


[๑๓๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงลหุกาบัติว่า

เป็นลหุกาบัติ ฯลฯ ที่แสดงครุกาบัติว่า เป็นครุกาบัติ ฯลฯ ที่แสดง

อาบัติชั่วหยาบว่า อาบัติชั่วหยาบ ฯลฯ ที่แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า

เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ ฯลฯ ที่แสดงอาบัติที่มีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติมีส่วน

เหลือ ฯลฯ ที่แสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ฯลฯ

ที่แสดงอาบัติทำคืนได้ว่า เป็นอาบัติทำคืนได้ ฯลฯ ที่แสดงอาบัติทำคืน

ไม่ได้ว่า เป็นอาบัติทำคืนไม่ได้ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อ

ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออัตถะเพื่อประโยชน์

เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ทั้งย่อมประสบบุญเป็นอันมาก และย่อมดำรงสัทธรรมนี้ไว้มั่น.



จบ อนาปัตติวรรคที่ ๑๒


พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 176

อธรรมวรรคที่ ๑๑



ว่าด้วยผู้ทำให้พระสัทธรรมเสื่อมและมั่นคง


[๑๓๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงอธรรมว่าธรรม

ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชงเกื้อกูล ไม่เป็น

ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนัตถะเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชน

เป็นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบ

บาปใช่บุญเป็นอันมาก และย่อมจะยังสัทธรรมนี้ให้อันตรธาน.

[๑๓๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงธรรมว่า อธรรม

ฯลฯ ที่แสดงสิ่งที่มิใช่วินัยว่า วินัย ฯลฯ ที่แสดงวินัยว่า มิใช่วินัย ฯลฯ

ที่แสดงคำพูดอันตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้กล่าวไว้ว่าตถาคตภาษิตไว้

กล่าวไว้ ฯลฯ ที่แสดงคำพูดอันตถาคตได้ภาษิตไว้ กล่าวไว้ว่า ตถาคต

มิได้ภาษิตไว้ มิได้กล่าวไว้ ฯลฯ ที่แสดงกรรมอันตถาคตมิได้สั่งสมว่า

ตถาคตสั่งสม ฯลฯ ที่แสดงกรรมอันตถาคตได้สั่งสมไว้ว่า ตถาคตมิได้

สั่งสมไว้ ฯลฯ ที่แสดงสิ่งอันตถาคตบัญญัติไว้ว่า ตถาคตมิได้บัญญัติไว้

ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็น

ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนัตถะเพื่อมิใช่ประโยชน์กื้อกูล ชน

เป็นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบ

บาปใช่บุญเป็นอันมาก และย่อมยังสัทธรรมนี้ให้อันตรธาน.


[๑๓๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงอธรรมว่าอธรรม

ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 177

แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออัตถะเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก

เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบบุญเป็น

อันมาก และย่อมดำรงสัทธรรมนี้ไว้มั่น.

[๑๓๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงธรรมว่า ธรรม

ฯลฯ ที่แสดงสิ่งที่มิใช่วินัยว่า มิใช่วินัย ฯลฯ ที่แสดงวินัยว่า วินัย ฯลฯ

ที่แสดงคำพูดอันตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้กล่าวไว้ว่าตถาคตมิได้ภาษิต

ไว้ มิได้กล่าวไว้ ฯลฯ ที่แสดงคำพูดอันตถาคตได้ภาษิตไว้ ได้กล่าวไว้ว่า

ตถาคตได้ภาษิตไว้ได้กล่าวไว้ ฯลฯ ที่แสดงกรรมที่ตถาคตมิได้สั่งสมว่า

ตถาคตมิได้สั่งสม ฯลฯ ที่แสดงสิ่งอันตถาคตมิได้บัญญัติว่า ตถาคตมิได้

บัญญัติ ฯลฯ ที่แสดงสิ่งอันตถาคตบัญญัติว่า ตถาคตบัญญัติ ภิกษุ

เหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชน

เป็นอันมาก เพื่ออัตถะ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อ

ความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบบุญเป็นอันมาก

และย่อมดำรงสัทธรรมนี้ไว้มั่น.

จบ อธรรมวรรคที่ ๑๑


และในประเทศไทยมีภิกษุ ที่ต้องอาบัติแทบทุกรูป(หาทำบุญด้วยสิ่งของที่เราตั้งใจถวายเพื่อเป็นเนื้อนาบุญของเราได้น้อยมาก แม้ท่านพระอรหันต์รับของผิดวินัยโดยไม่บอกโยม แต่ความเป็นอรหันต์ของท่านไม่มีโทษแล้ว ตัวท่านสบายแต่ญาติโยมที่นำสิ่งของที่ผิดวินัยไปถวายหละ ..จะทำอย่างไร) ทำพฤติกรรมอาบัติแทบทุกข้ออยู่เป็นนิจเป็นประจำ และไปแสดงอาบัติ....กับผู้ต้องอาบัติ......และสิ่งของที่ต้องอาบัติโดยโยมนำไปถวายท่านก็ไม่สละออกไปเช่นเงิน ทอง ตั๋วแลกเงิน บัตรเอทีเอ็ม บัญชีเงินฝาก เช็ค.ฯลฯ ...แต่ไปร้องประกาศปาวๆ...ต่อประชุมสงฆ์ว่าข้าพเจ้าสละแล้ว.....ให้ท่านกาม...อธิบายให้ทราบหน่อยนะคะ เป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าสมณโคดม ด้วยกัน.....สิ่งใดผิดถูกก็น่าจะเตือนกันได้....เพื่อความดำรงอยู่ของพระศาสนาที่พระพุทธองค์ฝากไว้ให้สาวกรุ่นหลังต่อมาและจนตกมาถึงพวกเราชาวพุทธ....ที่เคารพศัทธาเลื่อมใสในความรู้(พระธรรม)ที่พระพุทธองค์ทรงทำความเพียรด้วยวิธีการต่าง ๆ มานั้นหาที่สุดและประมาณไม่ได้นั้น....และพุทธพจน์ที่สาวกรุ่นหลัง ๆ ต่อมาได้ทรงจำและบอก สอนกันต่อ ๆ มาและ"พระสัทธรรม"ที่ยังหลงเหลืออยู่นี้ สามารถที่เทียบเคียงได้กับความเป็นจริงตามธรรมชาตินั้น ๆ ...แต่ทำไมท่านกามฯ..บอกว่ามาใช้อ้างไม่ได้เต็มร้อย.....ใช่เพราะ"ผู้รู้ตาม"ส่วนมาก จะนำเอาแค่ความรู้ที่ตัวเองได้รู้มา ...เช่นถ้าจะเปรียบเทียบว่า เรียนรู้ร่างกายคนทั้งตัวนี้ แต่นำมาสอนกันแค่ มือข้างซ้าย อันเดียว....ใช่หรือเปล่าค่ะ .......แต่ในพระไตรปิฎก มีถึง 84,000 หัวข้อ.....และไม่ยากเลยถ้าจะเปิดกันให้อ่าน....เรียนกัน.........แต่เพราะอะไรไม่ทราบค่ะ...จึงกระทำกันแบบนี้........ผลประโยชน์หรือเปล่าค่ะ....ถ้าผู้คนเรียนรู้กันมากขึ้น....จบค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็เลือกที่จะทำ รู้แล้วก็เลือก ไม่ไช่ไม่เลือก
แต่ไม่ไช่ธุระที่จะมานั่งติ บางสำนักทำร้ายมาก
ผมก็ไม่ไป แต่ก็ไม่มานั่งติหรือว่า ไม่ไช่ธุระ
เอาเวลามาปฏิบัติให้ตัวเองหลุดพ้นดีกว่า
เสียเวลาติเตียน ติไป เขาก็ไม่ดี เราเองจะหมองเปล่าๆ
ใครจะทำ เชื่อหรือไม่ เป็นปัจเจกบุคคล
เพราะคนที่ไม่ออกมาติเตียนพระสงฆ์องค์เจ้า
เราก็บอกไม่ได้ว่าเขาดีหรือไม่ เพราะการออกมาพูดหรือไม่พูด บอกว่าคนนั้นดีหรือไม่
เน้นตรงที่ทุกวันนี้ก็เห็นกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร พูดไปก็เท่านั้น เจ้ากูไม่ทำตามบัญญัติ
นั่นก็เรื่องของเจ้ากู เราไม่เห็นดี ก็ไม่ต้องตามท่าน แล้วก็ไม่ต้องติเตียน
อย่าหวั่นไหวถ้าคนอื่นไม่ดี จงหวั่นไหวที่เรา จงกลัวว่าเราจะไม่ดีมากกว่า
ถ้าเจ้ากูคิดไม่ซื่อ สังคายนาครั้งหลังสมัยพระปุถุชนทำกัน ข้ออาบัติต่างๆคงหายไป
หรือถูกตีความไปทางเข้าข้างท่านแบบบางสำนักทำกันแล้ว อย่างน้อย
ท่านก็ยังคงไว้ให้หลายๆคนมาติเตียนท่านไง มองตรงที่ดีแบบที่นักปารชญ์บอกไงครับ
เก็บส่วนดีมาทำ ทิ้งไปอย่านำส่วนเสียมา ราคีใจเปล่าๆ

ดีชั่วปะปนไปส่วนดีก็ปนไป จึงมีวิบากตามกันมาดีเลวสลับไป
แล้วที่ผมพูดไปทั้งหมด ผมเตือนคุณเรื่องติเตียนแค่นั้นเอง
เพราะไม่ดีแก่ตัวคุณเอง ใครเขาคิดว่าดีก็ปล่อยเขา กรรมเขา
เราเตือนได้แค่ไหนก็แค่นั้น ผมเองพยายามวางใจกลางๆทุกเรื่อง
ดีชั่วเรารู้เราก็ปลอดภัย บอกคนอื่นว่าอันตราย เขาไม่เชื่อก็ต้องปล่อยไป
เพราะไม่ยอมเพื่อตัวเองจะได้สบายใจ กระทู้มันถึงได้ยาวแบบสาระไม่ค่อยมีครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กามโภคี เขียน:
ไม่อยากเอาเนื้อความต่างๆมาลงเพราะเห็นว่า ความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่อุปกรณ์
ที่จะมาฟาดฟันกัน ถ้านำมาทำเช่นนั้นก็เหมือนจับงูที่หาง สุดท้ายวกกลับมากัดตัวเอง

ปัตตสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงฆ์หวังอยู่ พึงคว่ำบาตรแก่
อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ องค์ ๘ ประการเป็นไฉน
คือ อุบาสกพยายามเพื่อความเสื่อมลาภแก่ภิกษุทั้งหลาย ๑ พยายาม
เพื่อความฉิบหายแก่ภิกษุทั้งหลาย ๑ พยายามเพื่อความอยู่ไม่ได้แก่
ภิกษุทั้งหลาย ๑ ย่อมด่าย่อมบริภาษภิกษุทั้งหลาย ๑ ยุยงภิกษุ
ทั้งหลายให้แตกจากภิกษุทั้งหลาย ๑ ติเตียนพระพุทธเจ้า ๑ ติเตียน
พระธรรม ๑ ติเตียนพระสงฆ์ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงฆ์หวังอยู่
พึงคว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล.

สุต.อัง. (สูตรนี้ไม่มีตรัสบอกให้ด่าหรือบริภาษ หรือติเตียนพระสงฆ์ได้ แม้พระจะไม่ดี
เพราะติเตียนด้วยการพูดกระทบ เปรียบเปรย เป็นวจีทุจริต คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญ)


ปฐมพลสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลัง ๘ ประการนี้ ๘ ประการ
เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทารกทั้งหลายมีการร้องไห้เป็นกำลัง ๑
มาตุคามทั้งหลายมีความโกรธเป็นกำลัง ๑ โจรทั้งหลายมีอาวุธเป็น
กำลัง ๑ พระราชาทั้งหลายมีอิสริยยศเป็นกำลัง ๑ คนพาลทั้งหลาย
มีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง ๑ บัณฑิตทั้งหลายมีการไม่เพ่งโทษ
เป็นกำลัง ๑
พหูสูตบุคคลทั้งหลายมีการพิจารณาเป็นกำลัง ๑
สมณพราหมณ์ทั้งหลายมีขันติเป็นกำลัง ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กำลัง ๘ ประการนี้แล.

สุต.อัง.(ข้อนี้ก็ไม่มีว่า คนอื่นถ้าไม่ดีแล้วสามารถเพ่งโทษได้ ตอนท้ายยังบอกอีกว่า
บัณฑิตไม่เพ่งโทษ)



อาสวะทั้งหลาย ย่อมเจริญแก่ผู้ตามเห็นโทษ
ผู้อื่น ผู้สำคัญในการเพ่งโทษเป็นนิจ บุคคลนั้นชื่อว่า
เป็นผู้ไกลจากธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุชฺฌานสญฺิโน ความว่า บรรดา
ธรรมทั้งหลายมีฌานเป็นต้น ธรรมแม้อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เจริญแก่บุคคลผู้
ชื่อว่ามากไปด้วยการยกโทษ เพราะความเป็นผู้แส่หาโทษของชนเหล่าอื่น
ว่า "ควรนุ่งอย่างนั้น, ควรห่มอย่างนี้" เป็นต้น โดยที่แท้อาสวะทั้งหลาย
ย่อมเจริญ; เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้อยู่ไกล คือแสนไกล
จากความสิ้นไปแห่งอาสวะ กล่าวคือพระอรหัต.

ขุท.คาถาธัมมบท (ข้อนี้ ท่านอธิบายแล้ว)

จะพูดจะคิดอะไร ก็อย่าพึงไกล้สิ่งที่พระพุทธองค์เตือนไว้ เพราะปัญญาเราเอง และคัมภีร์
ทั้งหลายยังตัดสินไม่ได้ว่า ที่เราคิดเราพูด พ้นจากข้อที่พระพุทธองค์เตือนไว้


:b8: :b8: :b8:

คุณขวางฟังไว้น๊า ของดีนะเนียะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


แม้ท่านพระอรหันต์รับของผิดวินัยโดยไม่บอกโยม แต่ความเป็นอรหันต์ของท่านไม่มีโทษแล้ว ตัวท่านสบายแต่ญาติโยมที่นำสิ่งของที่ผิดวินัยไปถวายหละ ..จะทำอย่างไร)

ติงหน่อย ตรงนี้ถ้าท่านรู้ว่าผิดวินัย ท่านจะไม่รับเลยครับ เพราะพระอริยะท่านรักษาศีลเสมอชีวิต
ไม่มีข้อยกเว้นว่าเป็นพระอรหันต์รับได้ไม่บาป รับเมื่อไรก็ผิดทันที ถ้ารู้ ท่านไม่รับ
ท่านจะผิดวินัยต่อเมื่อท่านไม่รู้ว่าข้อนั้นๆผิด และการรับถ้าเป็นโทษมาก ท่านจะไม่โยนบาปให้ใครเป็นอันขาด กลับ
จะเตือนด้วยซ้ำ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านชาติสยามขอรับ นี่ก็ของดีนะขอรับ

เมื่อเห็นพระทำผิด...โยมก็เตือนได้ เล่ม 3 หน้า 663

...ครั้งนั้น นางวิสาขามิคารมาตา ได้ถูกเชิญไปสู่สกุลนั้น
นางได้เห็นท่านพระอุทายี นั่งในที่ลับ คือในอาสนะ (ที่นั่ง) กำบัง
ซึ่งพอจะทำการได้กับหญิงสาวนั้น หนึ่งต่อหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะท่านพระอุทายีว่า
" ข้าแต่พระคุณเจ้า การที่พระคุณเจ้าสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือในอาสนะกำบัง
ซึ่งพอจะทำการได้กับมาตุคาม (ผู้หญิง) หนึ่งต่อหนึ่งเช่นนี้ ไม่เหมาะ ไม่ควร
แม้พระคุณเจ้าจะไม่ต้องการด้วยธรรมนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น
พวกชาวบ้านผู้ที่ไม่เลื่อมใส จะบอกให้เชื่อได้โดยยาก "

ท่านพระอุทายี แม้ถูกนางวิสาขา มิคารมาตา ว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ก็มิได้เชื่อฟัง
เมื่อนางวิสาขามิคารมาตา กลับไปแล้ว ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ.. ไม่เห็นมีเลยที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ติ อ้างตรงนู้นตรงนี้มา มีแต่เรื่องเล่า
ไม่เห็นบอกให้ติได้ ที่ผมเอามามีแต่บอกว่าเพ่งโทษติเตียนไม่ดี ตรงๆเลย

ถ้างั้น มาดู ตรงนี้น่าคิดดี

ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดง
ธรรมแก่บุคคลมีร่มในมือ.

(กางร่มห้ามพระเทศน์ ข้อนี้พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็เทศน์เวลาที่โยมกางร่ม)

ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่
บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ สวมเขียงเท้า.
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรม
แก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ สวมรองเท้า.

(ใส่รองเท้า ห้ามพระเทศน์ พระทำไม่ถูกกันตรึมเลย)

ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจัก ไม่แสดงธรรม
แก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ไปในยาน

(เข้าใจว่าคุยธรรมะบนรถ)

ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรายืนอยู่จักไม่แสดง
ธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ผู้นั่งอยู่.

(ข้อนี้เป็นไงครับ ยืนปาฐกถากันมาก)

อนึ่ง ภิกษุใด ขุดก็ดี ให้ขุดก็ดี ซึ่งปฐพี, เป็นปาจิตตีย์.
(แล้วหลวงพ่อหลวงพี่ที่ปฏิบัติดี ตกลงให้ญาติโยมขุดดินสร้างกุฏิกรรมฐานล่ะ เสร็จกัน)

อนึ่ง ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน,
เป็นปาจิตตีย์.

(ข้อนี้ห้ามผู้ไม่ใช่พระนอนที่เดียวกับพระในที่มุงที่บังเดียวกัน ห้องมุ้งลวดหรือที่ติดแอร์
จัดเป็นที่มุงที่บังเดียวกัน และไม่มียกเว้นป่วยไข้เฝ้าได้ กรณีนี้ถ้าสามเณรหรือโยม ก็นอนเฝ้าไข้ไม่ได้)

อนึ่ง ภิกษุใดทรงอติเรกจีวร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
(ข้อนี้มั่นใจได้แค่ไหนว่าพระทุกรูปมีจีวรเพียงสำรับเดียว แม้พระที่ท่านนับถือกันว่าอริยะ
ถ้าหากที่กุฏิที่วัดท่าน มีเกินมา ๑ ก็ผิดแล้ว พูดง่ายๆ คือให้มีแค่รูปละผืนเท่านั้น-จีวร)

จากตัวอย่างที่ผมยกมา จะมีพระดีในนิยามของท่านกี่รูป อาจไม่มีเลยก็ได้ นัยยะเรื่องอาบัติ
นอกจากตัวหนังสือที่บรรทึกกันแล้ว คงต้องมีมากกว่านี้แน่ อย่างที่บอกแล้ว อย่าไปเพ่งโทษติเตียน
เลย หาประโยชน์ไม่ได้ นี่แค่ตัวอย่างนะครับ ถ้าเลือกมาหมด ก็หมดเลย พระดีไม่มีเหลือกัน
ยิ่งไปนิกายที่ต่างประเทศ น่าตกใจกว่าเยอะ ผมก็สงสัยเลย ที่ว่าพระอาบัติอย่างนั้นอย่างนี้
พระในอุดมคติท่าน คิดว่าปลอดภัยแค่ไหนในอาบัติ ถ้าจะติเตียน มองดีกว่าว่า ใครผิดมากผิดน้อยข้อ
หรือเสียหายน้อยมากดีกว่าใครผิดน้อยเบาสุดที่สุด เราก็อุปถัมภ์ค้ำชูไป ก็เท่านั้น

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 16:38
โพสต์: 81

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: เอาหละเชื่อท่านกามฯ...เพราะดังที่มีภาษิตที่ว่า...ขนโคมีมากกว่าเขาโค...ถูกต้องจริง ๆ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เดี๋ยวดิคุณไม่สายเกินไป อย่าบอกว่าเชื่อ
แท้จริงแล้วเรื่องพวกนี้เรารู้กันอยู่ว่าอะไรถูกผิด
เพียงแต่เราจัดการหรือทำอะไรไม่ได้ กำลังเราไม่พอ
ผมก็รู้ คุณก็รู้ เลือกสิ่งที่ดีที่สุด ที่พอเหลืออยู่
แล้วเรามาเร่งตัวเราเองเพื่อหลุดพ้น ถ้าเราทำได้เท่าไร
เราก็เป็นพยานในพระธรรมวินัยได้เท่านั้น ตัวเราเองก็มี
ภพชาติที่สั้นลง
ถ้าเรามัวเสียเวลามาเห็นแต่เรื่องไม่ดี มันก็เห็นทุกวัน
เห็นแบบปัญญาไม่เกิด
ที่ผมพยายามโน้มน้าว ไม่ไช่ให้เชื่อว่าไม่ผิดไม่บาป
แต่จะบอกแค่ว่า ไม่ดีที่เราจะไปมัวสาลวนกับเรื่องแบบนี้
มันจะช้าสำหรับเรา ดี ชั่ว เรารู้กันอยู่

คุณมีความเข้าใจดีอยู่แล้ว เห็นก็ไม่ผิด ปัญญาก็ตรงดีในการปฏิบัติ
ตามธรรมตามวินัย แท้จริงถ้าแต่เดิมมีผู้ที่เห็นอย่างคุณมากพอ
ศาสนาเราจะร่มรื่นมากกว่านี้ ผมก็รู้ว่าอะไรถูกผิด พิจารณาได้
ทุกวันนี้เลยได้ทำบุญน้อยมาก เพราะต้องเลือกก่อนทุกครั้ง
แต่ก็ยังสบายใจ เพราะผมมุ่งทางหลุดพ้น ทางปัญญา ไม่ไช่
สวรรค์สมบัติหรือมนุษย์ภาวะที่จะต้องมาสบายด้วยวัตถุ
ผมเน้นไปทางปฏิบัติมากกว่า เรื่องทำบุญด้วยวัตถุเลยไม่หนักใจมาก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการอสรพิษมีพิษร้าย ย่อม
แสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย เมื่อเที่ยวแสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย เขาเห็นอสรพิษมี
พิษร้ายด้วยใหญ่ ก็พึงจับอสรพิษนี้นั้น ที่ขนดหรือที่หาง อสรพิษนั้นพึงแว้งขบ
เอาที่มือ หรือแขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษ
นั้นพึงเข้าถึงความตาย หรือทุกข์ปางตาย เพราะการขบกัดนั้นเป็นเหตุ ข้อนั้น
เพราะเหตุแห่งอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่อสรพิษร้ายอันบุรุษ
จับแล้วไม่ดี แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้
ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตะ ฯลฯ เวทัลละ บุรุษ
เหล่านั้นครั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้น
ด้วยปัญญา เมื่อโมฆบุรุษเหล่านั้นไม่ใคร่ครวญอรรถด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้น
ย่อมไม่ทนต่อการเพ่ง โมฆบุรุษเหล่านั้น มีการโต้แย้งเป็นอานิสงส์ และมีการ
ยังตน ให้พ้นจากวาทะนั้น ๆ เป็นอานิสงส์
ย่อมเรียนธรรม และย่อมเรียนธรรม
เพื่อประโยชน์แก่ธรรมใด ย่อมไม่เสวยผลแห่งธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้นอัน
โมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนแล้วไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความ
ทุกข์สิ้นกาลนานข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่
ธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษนั้นเรียนแล้วไม่ดี ดังนี้.

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 16:38
โพสต์: 81

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เล่ม 43 หน้า 44
(เป็นบทสนทนาระหว่างพระอานนท์กับพระพุทธเจ้า)


...อานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์ย่อมแทรกอวัยวะทั้งหลาย
มีผิวเป็นต้น (เข้า) ไปจดเยื่อในกระดูกตั้งอยู่
เพราะเหตุไร อุบาสกเหล่านี้แม้เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ จึงไม่ฟังโดยเคารพ ?

พระศาสดา. อานนท์ เธอเห็นจะทำความสำคัญว่า ธรรมของเราอันบุคคลพึงฟังได้โดยง่ายกระมัง ?

อานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ธรรม (ของพระองค์) อันบุคคลพึงฟังได้โดยยากหรือ ?

พระศาสดา. ถูกแล้ว อานนท์.

อานนท์. เพราะเหตุไร ? พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. อานนท์ บทว่า พุทฺโธ ก็ดี ธมฺโม ก็ดี สงฺโฆ ก็ดี

อันสัตว์เหล่านั้นไม่เคยสดับแล้ว ในแสนกัลป์ แม้เป็นอเนก เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านั้นจึงไม่สามารถฟังธรรมนี้ได้

แต่ในสงสารมีที่สุดอันใครๆ ตามรู้ไม่ได้ สัตว์เหล่านั้นฟังดิรัจฉานกถามีอย่างต่างๆ นั่นแล มาแล้ว
เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านี้จึงเที่ยวขับร้องฟ้อนรำอยู่ในที่ทั้งหลายมีโรงดื่มสุราและสนามเป็นที่เล่นเป็นต้น
จึงไม่สามารถจะฟังธรรมได้….

อะไร ๆ ก็จะไปมุ่งหลุดพ้น.....เห็นอะไรไม่ดีไม่งามก็ไม่มองแบบนี้ จะหลุดโลกมากกว่ามั๊ง...เฮ่อะน่าพระศาสนายังดำรงอีก สองพันกว่าปี ถ้ายังไม่หลุด ก็ยังมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกนับไม่ถ้วน ยังก็สะสมสิ่งที่เป็นพื้นฐานไว้ก่อนอย่างถูกต้องดีกว่า อย่ามั่วไปแบบนั้น...เห็นผิดก็ว่าถูก เห็นถูกก็ว่าผิด เห็นผิดก็เฉย ๆ มันจะวางอะไรป่านนั้น มาช่วยกันดีกว่าน่า....นะนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 22:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


คืออย่างนี้คุณไม่สาย ผมไม่อยากพูดเลยเรื่องนี้ แต่ซักหน่อยก็พองาม
สมัยกลางของกรุงรัตนโกสินทร์ เรื่องนี้เคยมีเจ้าชีวิตของชาวสยามท่านกำลัง
พยายามทำแล้ว ถึงขนาดแยกหน่อออกกอมาเป็นอีกหมู่หนึ่งเลย แต่ไม่กี่ปี
ที่แยกออกมา ก็รักษาขนบธรรมเนียบแบบเดิมไว้ได้ไม่กี่วัดเอง เช่นเรื่องไม่รับ
เงินนี่ล่ะ เดี๋ยวนี้นิกายที่ว่าไม่รับ เหลือไม่กี่วัดแล้ว ก็จนด้วยเกล้าครับ ขนาดท่าน
เจ้าชีวิตชาวสยามทำขนาดนี้ ยังไม่วายแปรเปลี่ยนเลย ผมไม่วางเฉยก็ไม่ไหว
ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเร่งตัวเองเพื่อหลุดพ้น แล้วตามแงะคนที่พอจะแงะได้ก็เท่านั้นครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 00:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เที่ยวตำนิผู้อื่นนี้เป็นความชั่วที่คนไม่รักดีชอบทำ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร