วันเวลาปัจจุบัน 30 ก.ค. 2025, 12:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 03:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...ต้องขออภัยท่านชาติสยามด้วยครับ (ข้าพเจ้าผิดเองที่อ่านไม่ละเอียด..ตอบกันหลายท่าน เลยสับสนไปหน่อย..ขออภัยอีกครั้งครับ)...

...หากถืออุเบกขา ปล่อยวางไปตามธรรมชาติ เท่ากับละเลยเรื่องเมตตาธรรม..แบบนี้จะดีหรือครับ...

...หากถือเมตตาธรรม ช่วยลูกนก เท่ากับล่อแหลมเรื่องแทรกแซงกฏแห่งกรรม..แบบนี้ก็ไม่ดีอีก...

...จะโยนอาหารให้งู งูก็ไม่รู้เรื่องคิดว่าคนจะทำร้าย ก็รนรานเลื่อยหนี แล้วก็หิวโหยต่อไป..แบบนี้ย่อมไม่ดีแน่...

...ปัญหานี้ดูเหมือนจะเป็นทางตันที่มืดมิด ข้าพเจ้าครุ่นคิดกลับมากลับไปอยู่หลายรอบ ก็ไม่สามารถคิดแก้ไขได้...แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่า จะต้องมีรูหรือช่องเล็กๆ ที่จะนำพาเรื่องซึ่งเป็นปัญหานี้ ให้คลี่คลายออกไปสู่แสงสว่างได้ (ตามแนวทางหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์พระศาสดา)...เพราะปัญหานี้เป็นปริศนาธรรม..ทุกปริศนาธรรมย่อมต้องมีคำตอบเสมอ (ช่วยกันถก ช่วยกันตอบนะครับ..ข้าพเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับกับปัญหานี้มาหลายวันแล้ว..ถูกผิดอย่างไรไม่ว่ากัน ถือเป็นการศึกษาเรียนรู้ร่วมกันครับ)...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 03:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าขอเลือก ข้อ ข. ครับ
เพราะว่าถ้าหากเราต้องเข้าไปประสบพบเจอเหตุการณ์ ที่งู กำลัง จะกินลูกนกพอดี
ขอถือคติว่า "เห็นเขาเป็นมิอาจเห็นเขาตาย เห็นผู้อื่นตกทุกข์ต้องช่วย"
ข้าพเจ้าคิดว่า คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ อาจจะเป็นเพราะว่าเราอาจมีวาสนากับลูกนกพวกนั้น
ก็คงจะพยายามช่วยอย่างถึงที่สุด ครับ และถ้าสามารถช่วยลูกนกพวกนั้นได้
ก็เท่ากับว่าสามารถช่วยงูไม่ให้ทำปาบกรรม ฆ่าชีวิตผู้อื่นไปด้วย 1 ครั้ง
เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็มีกรรมอยู่แล้ว ยิ่งเกิดเป็นสัตว์กินเนื้อที่ต้องฆ่าชีวิตผู้อื่นเป็นอาหาร
ปาบเวรก็ยิ่งเพิ่มมาก ก็น่าเห็นใจงูครับ..

ผู้ไม่รู้ เขียน:

หากงูที่กำลังหิวแล้วถูกเราขับไล่ไปตัวนั้น เกิดความโกรธแค้นและอาฆาตเรา...ทีนี้เรื่องก็จะกลายเป็นว่า ตัวของเราจะต้องชดใช้หนี้กรรมครั้งนี้ให้กับงูตัวนั้น (ซึ่งแรงอาฆาตของงูที่มีต่อตัวเรา + การที่เราเข้าไปสอดแทรกกับการจองเวรระหว่างกันของพวกเขาในชาตินี้ จนทำให้เรื่องต้องเปลี่ยนไป...ผลกรรมจะออกมาในรูปแบบใดก็ไม่อาจจะทราบได้)...สำหรับบุญกุศลที่ตัวเราได้ช่วยนก ให้รอดตายจากการตกไปเป็นอาหารของงู เราย่อมต้องได้รับผลบุญนั้นแน่นอน...เพียงแต่ก็เป็นคนละส่วนกับแรงอาฆาตที่งูตัวนั้นได้จองเวรกับเราไว้...

หากแม้การช่วยลูกนกในครั้งนั้น ต้องทำให้ถูกงูจองเวรอาฆาต
ข้าพเจ้า ก็ยังยืนตอบ ข้อ ข. เหมือนเดิมครับ
ข้าพเจ้ายังยินดีที่จะช่วยลูกนก ที่อ่อนแอกว่า แม้ว่าจะต้องถูกงูจองเวรอาฆาต
ก็ยินดีแบกรับผลกรรมนั้นไว้ เพราะทุกชีวิตก็มีค่าเสมอกัน แม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อย
ต่างก็รักและหวงแหนชีวิตตัวเองทั้งนั้น..
:b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...สาธุ สาธุ สาธุ จิตของท่านอมิตาพุทธนั้นสูงส่งมากครับ...สูงส่งจริงๆ...

...ในกาลครั้งหนึ่ง พระโพธิสัตว์(จีน)ทรงเห็นพญานกกำลังบินไล่นกตัวเล็กๆ เพื่อจะกินเป็นอาหาร นกตัวนั้นได้บินหนีเข้าไปซ่อนอยู่ใต้ผ้าตรงหน้าอกของพระโพธิสัตว์ ด้วยความโกรธพญานกจึงพูดขึ้นมาว่า “ ข้าแต่พระโพธิสัตว์! พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็ก ๆ แล้วจะปล่อยให้ข้าพระองค์อดตายหรืออย่างไร” พระโพธิ์สัตว์จึงทรงหยิบมีดขึ้นมา เฉือดเนื้อที่แขนของตัวเองตัวเองทันที แล้วยื่นให้พญานกนั้นได้กินเป็นอาหาร เพื่อแลกกับเนื้อนกตัวเล็กๆตัวนั้น...

..เฉือนครั้งแรก พญานกบอกว่าน้อยไป ยังไม่เท่าเนื้อของนกตัวเล็ก...เฉือดครั้งที่สอง พญานกบอกว่ามากเกินไป...พระโพธิสัตว์จึงต้องเฉือนเนื้อของเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งเจ็บปวดทั้งทรมาน เพียงเพราะเมตตาธรรมเพื่อจะช่วยนกตัวนั้น...

...เมื่อมาวิเคราะห์พฤติกรรมของพระโพธิสัตว์ จะเห็นว่า พระองค์ทรงกระทำการเฉือนเนื้อตัวเองด้วยความเจ็บปวด ในขณะนั้นทันทีทันใด...รายละเอียดตรงนี้ จึงแตกต่างจากกรณีของงูและลูกนกตามที่ข้าพเจ้าได้ตั้งปัญหาขึ้น เพราะงูตัวนั้นพูดไม่ได้เหมือนกับกรณีของพระโพธิสัตว์กับพญานกครับ...

...ขอบพระคุณที่กรุณาช่วยชี้ทางสว่างให้ครับ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผู้ไม่รู้ เขียน:
...สาธุ สาธุ สาธุ จิตของท่านอมิตาพุทธนั้นสูงส่งมากครับ...สูงส่งจริงๆ...

ข้อความนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ
เมตตาจิตของคุณอมิตาพุทธ สูงส่งจริง ๆ ค่ะ
ยอมรับกรรมแทนผู้อื่น

และแถมด้วยคุณ ผู้ไม่รู้ ยังมีการนำเรื่องโพธิสัตว์ มาเสริมอีก

:b8: :b8: :b8:

เราก็กลั๊ว กลัว ว่าคุณอมิตพุทธผู้มีจิตอันเมตตาอยู่แล้ว
จะตกอยู่ในอาการซาบซึ้งใจและอยากเจริญรอยตาม

ความเมตตาบางอย่างต้องยั้งใจเอาไว้บ้างนะคะ
เพราะหวั่นใจกลัวคุณจะเผลอไปตั้งจิตอธิษฐาน
เพราะมันจะกลายเป็น...สัจจะ...ติดตัวไปตลอด
ถ้าตั้งจิตอธิษฐานได้ จงปราถนาจะเป็นผู้บรรลุธรรม
ที่จะประกอบคุณงามความดีด้วยการเป็นผู้สั่งสอนสรรพสัตว์
ให้มุ่งสู่การหลุดพ้นจากทุกข์เถอะนะท่าน...

การปราถนาที่จะสละตนอะไรประมาณนี้ เก็บไว้ท้าย ๆ เลย...

:b14: :b14: :b14:
เพราะความเป็นจริง เมื่อพญานกตัวนี้กินอิ่ม
กลับไปถึงรัง ไปเล่าให้ลูกกับเมีย และเพื่อนบ้านฟัง
และประกอบกับหน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง
พญากระรอกได้ยิน ไปเล่าต่อพญาลิง โอยยย...
เชื่อเถอะ... ลองไม่ได้กินของอร่อยกันเสมอถ้วนหน้ากันแล้ว
เป็นได้ตบตีกัน สนั่นป่า...
:b14: :b14: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีใครรักสงสารงูบ้างเลยหรอขอรับ น่าน้อยใจเกิดเป็นงู :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไม่มีใครรักสงสารงูบ้างเลยหรอขอรับ น่าน้อยใจเกิดเป็นงู :b32:


แอะ แอะ รู้แล้วค่ะ...ว่าใครจะมาเฉือนเนื้อให้งูกิน

:b32: :b32: :b32:

แม๊ะ..แอบดูอยู่เงียบ ๆ เฉย ๆ ท่านก็ไม่ต้องมาโดนแซวแล้วน่ะนี่
...
:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมมุติ มีคนเฉือนเนื้อตนเอง ให้งูกิน เกิดงูพูดว่า ม่ายเอ้า...ฉันจะกินนกอ่ะ แงๆ :b2:
ทำไงทีนี้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 01:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไม่มีใครรักสงสารงูบ้างเลยหรอขอรับ น่าน้อยใจเกิดเป็นงู :b32:

ขออนุญาต...อิ๊ อิ๊ ด้วยคนค่ะ :b32: :b32:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 11:50
โพสต์: 147

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ไม่รู้ เขียน:
...สำหรับคำตอบของท่าน taksa ซึ่งเลือกข้อ ค. เป็นคำตอบที่น่าจะถูกต้องที่สุดตามหลักของพระพุทธศาสนาครับ...เพียงแต่ในกรณีดังกล่าว งูที่เราพบเห็นเป็นงูที่อยู่ตามธรรมชาติ (ไม่ใช่งูเลี้ยง) จึงไม่เชื่องคน หากเราเข้าใกล้หรือโยนอะไรไปใกล้ๆเขา..แม้สิ่งนั้นจะเป็นของกินก็ตาม...โดยสัญชาตญาณของงู(ตามธรรมชาติ) ย่อมต้องตกใจแล้วเลื้อยหนีไปเป็นธรรมดา...ด้วยเหตุนี้ วิธีการตามที่ท่านได้แสดงไว้ จึงไม่มาสามารถนำมาใช้ปฏิบัติตามความเป็นจริงได้ครับ...

:b16: ท่าน ผู้ไม่รู้ครับ คำถามของท่านนี่ไหลลื่นจริงๆนะครับ ดีนะครับที่งูพูดไม่ได้ ไม่งั้นสงสัยต้องเฉือนเนื้อตัวเองแน่ๆ ถ้าท่านบอกว่ไม่ใช่งูเลี้ยง ผมก็จะเปลี่ยนวิธีใหม่ โดยช่วยลูกนกแล้วเอางูมาเลี้ยงเมื่อมันกินอาหารได้แล้วจึงปล่อยไป
. ถ้าท่านยังบอกไม่ใช่คำตอบอีก ผมก็ต้องเลือกข้อ ก.แล้วละครับ เพราะว่าถ้าเราเอาสาเหตุ
ต่างๆมาประมวลแล้ว ยึดหลักพรหมวิหารสี่ คือเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา พยายามสามข้อต้นแล้วยังทำไม่ได้ ก็ต้องวางอุเบกขาพรหมวิหาร คือการวางเฉยต่อสัตว์ ละความวุ่นวายสืบเนื่อง
กับ เมตตา กรุณา มุทิตาแล้วละครับ
. คราวนี้เรามาวิเคราะห์จากผู้ที่เลือก ข้อ ข.แล้วให้ความเห็นว่า
"เห็นเขาเป็นมิอาจเห็นเขาตายเห็นเขาตกทุกข์ต้องช่วย" ลักษณะนี้ดูๆก็คล้ายๆจะมีเมตตาธรรม
และเสียสละ อยากช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ แต่ผมขอแย้งหน่อยครับ ถ้าเราจะดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่
เจอแล้ว ดูลงที่ใจของเราขณะนั้น ตั้งแต่ที่พบงูกำลังจะกินลูกนก เราจะรู้สึกตกใจ หดหู่สิ่งนี้เรียกว่าโทษะ ต่อเนื่องด้วยโมหะ เกิดความหลงไปว่าลูกนกจะมีสภาพอย่างไร จนในที่สุดก็เกิดโลภะขึ้น คืออยากช่วยลูกนก(ในกรณีนี้ต้องดูที่ความอยากอย่างเดียวไม่ต่อไปถึงการช่วย) สามอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น มันเป็นอกุศลจิตครับ เมื่อเกิดแล้วมันทำให้เกิดทุกข์ทางใจมันบีบเค้น ใจก็เลยพยายามสลัดออก วิธีสลัดออกก็ด้วยการ ปล่อยให้กายกระทำไปตามที่ใจปรารถนา ด้วยเหตุนี้พอสรุปได้ว่า เป็นการช่วยตัวเองให้พ้นจากสภาพความทุกข์ทางใจครับในขณะนั้น
. คราวนี้เรามาดูว่า จะเป็นผู้เสียสละได้อย่างไร เป็นได้โดยการเลือกข้อ ก. ดูเหตุตอนต้นแล้ว เมื่อเกิดอกุศลจิตซึ่งเป็นทุกข์จากการที่เห็นงูจะกินลูกนก เราก็พยายามข่มใจไว้ด้วยสติและศีล
เพื่อมิให้ใจไปสั่ง ให้กายทำตามใจเมื่อมีการบีบเค้นทางใจ นั้นและครับคือการที่เรายอมรับความทุกข์
ทั้งหมดมาไว้ที่เรา จึงเรียกว่าเป็นผู้เสียสละ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...ขอคาราวะท่านTaksaครับ...

...ข้าพเจ้าย่อมทราบดี ว่าหลายท่านกำลังเบื่อหน่ายกับการหาคำตอบของคำถามนี้ จึงไม่อยากเขียนอะไรมาก...ท่านTaksaทราบหรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดข้าพเจ้าจึงบอกว่าท่านอมิตาพุทธมีจิตใจที่สูงส่ง..พร้อมกับยกเรื่องพระโพธิสัตว์จีนขึ้นมาประกอบ...จะขยายความให้ฟังครับ...

...ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านลองสังเกตุถึงพฤติกรรมของพระโพธิสัตว์ตามที่ผมเขียนมาให้ดีๆ...ในขณะที่เกิดเหตุท่านยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระโพธิ์สัตว์ ต่อเมื่อท่านยอมเสียสละอวัยวะของตัวเอง(เอามีดเฉือนเนื้อที่แขนของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า) เพื่อช่วยชีวิตนกตัวนั้น ก็หมายความว่า ท่านได้เข้าถึงความถ่องแท้ในความหมายของคำว่า "เมตตา" อย่างแท้จริง ท่านจึงได้บรรลุเป็นพระโพธิสัตว์...ซึ่งเหตุการณ์นี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที พระโพธิสัตว์ต้องตัดสินใจ เลือกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้ถูกต้องในเสี้ยววินาทีนั้น...หากเลือกตัดสินใจผิด ก็จะเป็นแค่นักบวชผู้ถือศีลธรรมดาๆคนหนึ่ง...แต่ถ้าเลือกตัดสินใจกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ถูกต้อง ก็จะบรรลุได้เป็นพระโพธิสัตว์ครับ...

...ในกรณีคำถามที่ข้าพเจ้าตั้งขึ้นมา เรื่องงูจะกินลูกนกนั้น ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในฉับพลันทันทีเช่นกัน...ความแตกต่างอยู่ตรงที่ งูที่ข้าพเจ้าตั้งโจทย์ขึ้นมานั้นไม่สามารถพูดภาษาได้เหมือนพญานก จึงไม่อาจพูดคุยต่อรองได้ เหมือนกับที่พระโพธิสัตว์เจรจาต่อรองเอาเนื้อของท่านแลกกับชีวิตนก...งูนั้นมีแต่จิตที่พยาบาทอาฆาตจองเวรต่อผู้ที่มาขัดขวางกลไกแห่งกรรม ที่พวกเขาผลัดกันเกิดผลัดกันกินอีกฝ่ายหนึ่งมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว...

...ดังนั้น เมื่อท่านอมิตาพุทธยอมช่วยชีวิตลูกนกแล้วไปขับไล่งู..ยอมรับแรงอาฆาตจองเวรของงูเอาไว้อย่างเต็มใจ บาปกรรมนี้จะเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งมีผลต่อการบรรลุธรรมของท่านอมิตาพุทธเองในอนาคตหรือภายภาคหน้า (ข้าพเจ้าคาดว่าผลของกรรมตามที่งูได้จองเวรไว้นั้น คงจะมีระดับที่ใกล้เคียงกัน กับกรณีความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของพระโพธิสัตว์ ที่เอามีดเฉือนเนื้อของท่านเอง)...ด้วยเหตุนี้ คำตอบของท่านอมิตาพุทธโดยเฉพาะการแสดงเหตุผล จึงทำให้ข้าพเจ้าได้ทราบว่าท่านอมิตาพุทธนั้นมีจิตใจที่สูงส่งจริงๆ...

...ส่วนคำตอบที่ท่านTaksaเลือกใหม่เป็นข้อ ก.พร้อมทั้งแสดงถึงเหตุผลนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่าฟังอยู่มิใช่น้อย เพียงแต่เราต่างก็เป็นผู้ฝักใฝ่ในธรรมด้วยกันทั้งสิ้น (หากเป็นปุถุชนธรรมดา ที่ไม่ใส่ใจในหลักธรรมเท่าไหร่ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)...ทีนี้คำตอบของท่าน Taksa ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาอีกแล้ว เพราะไปเปิดประเด็นอื่น ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ขึ้นมาทันที ดังนี้...

...ในฐานะที่เราๆท่านๆ เป็นผู้ประพฤติปฎิบัติหรือผู้ซึ่งฝักใฝ่ในธรรมะ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ระหว่างหลักธรรมที่สำคัญทั้งสองประการคือ "อุเบกขา การปล่อยวาง" กับ "เมตตาธรรมอันพึงมีต่อสรพพสัตว์" อะไร? คือสิ่งที่สำคัญสูงสุดกว่ากัน???...

...แต่เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมา ทั้งพระโพธิสัตว์ในอดีต และ มหาเทพในคัมภีร์ปุราณะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (กรณีที่พระศิวะยอมดื่มยาพิษหลาฮาล(Halahal) ของพญานาควาสุกี เพื่อช่วยชีวิตเหล่าสรพสัตว์)...ต่างก็ยึดถือหลักธรรมในข้อ "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก" เป็นพื้นฐานหลักไว้ในจริตด้วยกันทั้งนั้นครับ...

.....................................................
..." นิพพาน " ไม่ใช่สิ่งที่ถูกค้นพบบนฟูก หากแต่เป็นป่าเขาที่เต็มไปด้วยอันตรายและอสรพิษ...

..." หลักธรรม " ไม่ใช่สิ่งที่ถูกค้นพบในผับหรือสถานเริงรมย์ หากแต่เป็นสองข้างถนนที่เต็มไปด้วยซากศพ และผู้คนที่เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41:


...จากกรณีดังกล่าว ท่านยังจะยืนยันเลือก ข้อ ข. อยู่อีกหรือไม่?...หากท่านยังยืนยันว่าจะเลือกข้อนี้อยู่ ท่านมีเหตุผล วิธีคิด หรืออิงหลักธรรมจากพระพุทธศาสนาข้อไหน? ในเรื่องใด? และอย่างไร?...โปรดอธิบายชี้ทางสว่างให้กับข้าพเจ้า " ผู้ไม่รู้ " ด้วยครับ... ???

:b6: :b6: :b6:

ผมยังยืนยันเลือก ข้อ ข. ครับ

:b43: ยังคงใช้หลักพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และกรรม คำตอบในด้าน เมตตา กรุณา มุทิตา ผมคิดว่า ท่านอมิตาพุทธ ได้กล่าวไว้ครอบคลุมหมดแล้ว ก็เหมือนที่ท่านผู้ไม่รู้ได้กล่าวเป็นพื้นในตอนแรก ส่วน อุเบกขา คือ ภาวะของจิตที่มีอาการเป็นกลางเห็นเสมอกันในสัตว์ บุคคลทั้งหลาย ในคราวทั้งสองคือในคราวประสบสมบัติ และในคราวประสบวิบัติ ไม่ยินดียินร้าย มองเห็นว่าทุกๆ คนมีกรรมที่ทำไว้เป็นของของตน จะมีสุข จะพ้นทุกข์ จะไม่เสื่อมจากสมบัติที่ได้เพราะกรรม จึงวางเฉยได้ คือ วาง ได้แก่ ไม่ยึดถือไว้ วางลงได้ เฉย คือไม่จัดแจงวุ่นวาย ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมหรือตามกำหนดของกรรม

:b43: อุเบกขานี้เป็นพรหมวิหารธรรมอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อสุดท้าย ในทางพุทธกล่าวถึงกฏแห่งกรรม แต่ไม่ได้หมายถึงการไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องแก้ไขอะไรในชีวิตเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของเวรกรรมเสียหมด ความคิดเห็นและความเข้าใจผิด ทำให้เราห่างจาก วิถีพุทธที่แท้ ไปเยอะทีเดียว (หลวงพ่อชาฯ ท่านบอกว่า ปล่อยวางแบบควายๆ) เมื่อท่านมีพรหมวิหารธรรมเป็นพิ้นฐาน มีเมตตา กรุณา มุทิตา ก็แล้ว สุดท้ายจึงมีอุเบกขาครับ ในส่วนที่ควรวางอุเบกขาก็วางด้วยเหตุผล ด้วยปัญญา ด้วยการพิจารณาอย่างแยบคาย จนสามารถปลงใจได้ ในความเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ในสัตว์ บุคคลทั้งหลาย ซึ่งพ้นวิสัยแห่งตนที่จะสงเคราะห์ด้วยความเมตตา กรุณา หรือแม้แต่จะมุทิตา พลอยยินดีใด ๆ

:b43: สำหรับเรื่องกรรม นั้น พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต) ได้พูดถึงเรื่องกรรมไว้ว่า.......... :b48: :b48: :b48: กรรมเป็นหลักธรรมสำคัญ คนโดยมากมองกรรมไปในแง่ผล คือมองว่าเป็นผลของการกระทำ เพราะฉะนั้น จึงพูดกันว่าก้มหน้ารับกรรม คำว่ากรรมในที่นี้ เป็นผล หรืออย่างเราไปเห็นคนหรือสัตว์ได้รับภัยพิบัติหรือเหตุร้ายประสบทุกข์ยากต่างๆ เราบอกว่านั่นกรรมของสัตว์ ก็เท่ากับบอกว่า กรรม คือ ความทุกข์ยากอะไรต่ออะไรที่เป็นผล ซึ่งเขาได้รับอยู่นั้น

ประการต่อไป เราพูดถึงกรรมโดยมุ่งเอาแง่ชั่ว แง่ไม่ดี หรือเรื่องร้ายๆ ไม่ว่า “ก้มหน้ารับกรรม” “ชาตินี้มีกรรม” “กรรมของสัตว์” “สุดแต่บุญแต่กรรม” ล้วนแต่เป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องร้ายๆเป็นเรื่องผล และเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาติก่อนทั้งนั้น

ตามหลักคำสอนที่แท้จริง เพียงหลักต้นๆ ท่านก็บอกไว้แล้วว่า กรรมก็คือการกระทำนั่นเอง ง่ายที่สุด การกระทำนี้ไม่ได้หมายถึงผล แต่เป็นตัวการกระทำนั่นเอง ซึ่งเป็นเหตุมากกว่าเป็นผล ต่อไปในแง่เวลา จะมุ่งถึงกาลเป็นอดีตก็ได้ ปัจจุบันก็ได้ อนาคตก็ได้ ไม่เฉพาะต้องเป็นอดีตอย่างเดียว คือ ปัจจุบันที่ทำอยู่นี้ก็เป็นกรรมแล้วจะมองในแง่ลักษณะว่าดีหรือชั่วก็ได้ทั้งสองข้าง คือ กรรมดีก็มี กรรมชั่วก็มี แล้วแสดงออกได้ทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ

รวมความว่า ในความหมายที่ถูกต้องนั้น กรรมหมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา จะแสดงออกทางกายก็ตาม วาจาก็ตาม หรืออยู่ในใจก็ตาม เป็นอดีตก็ตาม ปัจจุบันก็ตาม อนาคตก็ตาม ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เป็นกรรมทั้งนั้น

ถ้าเรามองความหมายของกรรมเพียงในแง่ของการยอมรับและเสร็จสิ้นไปเท่านั้น ก็แสดงว่าเราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากหลักคำสอนเกี่ยวกับกรรมอย่างถูกต้องสมบูรณ์ และอาจจะให้เกิดผลเสียได้
:b48: :b48: :b48:

ครับ ... เมื่อทำกรรมดี กุศลกรรม (เหตุ) ก็สามารถวางใจได้ว่า ผลของกรรมจะต้องดีแน่นอน เมื่อท่านมีใจเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (มีพรหมวิหาร ๔) ต่อสรรพสัตว์ (ปัจจุบัน) กุศลกรรมอันนี้ย่อมให้ผลแก่ท่านนี่แหละ ในอนาคต ...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ครับ

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:



:b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 11:50
โพสต์: 147

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ไม่รู้ เขียน:
...ขอคาราวะท่านTaksaครับ...
...ดังนั้น เมื่อท่านอมิตาพุทธยอมช่วยชีวิตลูกนกแล้วไปขับไล่งู..ยอมรับแรงอาฆาตจองเวรของงูเอาไว้
อย่างเต็มใจ บาปกรรมนี้จะเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งมีผลต่อการบรรลุธรรมของท่านอมิตาพุทธเองใน
อนาคตหรือภายภาคหน้า (ข้าพเจ้าคาดว่าผลของกรรมตามที่งูได้จองเวรไว้นั้น คงจะมีระดับที่ใกล้เคียงกัน กับกรณีความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของพระโพธิสัตว์ ที่เอามีดเฉือนเนื้อของท่านเอง)...ด้วยเหตุนี้
คำตอบของท่านอมิตาพุทธโดยเฉพาะการแสดงเหตุผล จึงทำให้ข้าพเจ้าได้ทราบว่าท่านอมิตาพุทธนั้น
มีจิตใจที่สูงส่งจริงๆ...
...ส่วนคำตอบที่ท่านTaksaเลือกใหม่เป็นข้อ ก.พร้อมทั้งแสดงถึงเหตุผลนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่าฟังอยู่มิใช่
น้อย เพียงแต่เราต่างก็เป็นผู้ฝักใฝ่ในธรรมด้วยกันทั้งสิ้น (หากเป็นปุถุชนธรรมดา ที่ไม่ใส่ใจในหลักธรรม
เท่าไหร่ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)...ทีนี้คำตอบของท่าน Taksa ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาอีกแล้ว
เพราะไปเปิดประเด็นอื่น ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ขึ้นมาทันที ดังนี้...
...ในฐานะที่เราๆท่านๆ เป็นผู้ประพฤติปฎิบัติหรือผู้ซึ่งฝักใฝ่ในธรรมะ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ
เจ้า...ระหว่างหลักธรรมที่สำคัญทั้งสองประการคือ "อุเบกขา การปล่อยวาง" กับ "เมตตาธรรมอันพึงมี
ต่อสรพพสัตว์" อะไร? คือสิ่งที่สำคัญสูงสุดกว่ากัน???...

. ผมเคยอ่านพบเรื่องในแนวนี้มาเหมือนกันครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับนายพรานกับพระธุดงธ์ เกี่ยว
กับเมตตาธรรมนี้ละครับ แต่เรื่องนั้นตัดสินใจได้ง่าย เพราะไม่มีสภาวะอื่นมาบังคับ และเป็นปริศนา
ธรรมที่บอกเขื่อนไขมาทีเดียวเลย
. พระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่วิเศษสุดเป็นเหตุเป็นผลในตัวมันเอง พระธรรมของ
ท่านแยกเป็นหมวดหมู่ขั้นตอนการปฏิบัติ ถ้าเห็นปัญหานี้ใช้วิธีใดไล่เรียงไปที่ละขั้น ดูจากปริศนา
ของท่าน มันมีประเด็นสำคัญให้ขบคิด คือลูกนกกับงู เพราะทั้งคู่เป็นผู้ได้ผลกระทบ ฉะนั้นเรา
ต้องใช้หลักธรรมที่เหมาะสมและยุติธรรมกับทั้งคู่ พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นถึงการดำรงชีวิตของเหล่า
สรรพสัตว์ จึงทรงบัญญัติคำสอนไว้ใช้กับปัญหานั้นๆ
. จากการที่ท่านบอกว่า เกิดขึ้นเฉพาะหน้าจึงต้องรีบตัดสินใจ ผลของการตัดสินใจนั้นบ่งบอก
ถึงว่าผู้นั้นมีคุณธรรมระดับใด ท่านว่าผู้ที่ยอมรับผลกรรมแทนเองเป็นผู้มีจิตสูงส่ง ถ้าเราเอาเหตุ
ลักษณะคล้ายๆกันมาเปรียบเทียบ ถ้าท่านเห็นนกกำลังกินหนอนอยู่ท่านจะไล่นกมั้ย หรือว่าแมว
กำลังไล่จับหนูในบ้านของท่านท่านจะไล่แมวมั้ย ถ้าจะดูการกระทำตั้งแต่ต้นแล้วมันก็เป็นแค่ การ
กระทำของปุถุชนเท่านั้นเอง อาจจะดูแรงถ้าจะกล่าวว่าเลือกที่รักมักที่ชัง
. และจากการที่ท่านเอาคำพูด มาให้ความสำคัญในการตัดสินนั้นผมว่า ดูแล้วมันขาดเหตุผลไป
ถ้าจะเอาให้ถูกจะต้องดูให้ถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในใจ พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องจิตให้เข้าใจว่า จิต
ใดเป็นกุศลจิตใดเป็นอกุศล
. ที่ท่านว่าผมเปิดประเด็นใหม่ มันไม่น่าจะใช่นะครับเพียงแต่ผมโยงให้เห็นถึงความเป็นจริงแห่ง
สัจจธรรมแห่งจิตเท่านั้น และถ้าคิดตามกรอบหรือเอาเหตุผลตามกรอบที่ท่านกำหนด ผลมันก็คง
เป็นแบบในกรอบที่ท่านกำหนด และนี้เป็นปัญหาธรรมะนะครับ ไม่ใช่ปัญหาเชาว์ ต้องให้รู้แจ้งเห็น
จริงไปเลย
. มันไม่ดูตลกไปหน่อยหรือครับ ที่ท่านสนับสนุนผู้มีเมตตากับนกและยอมรับกรรมแทน เป็นผู้
ผู้มีจิตสูงส่ง แล้วงูละครับถ้าไม่กินอาหารมันอาจตายก็ได้ สัตว์ถ้าไม่หิวมันไม่กินหรอกครับ
ผมว่าท่าน เลือกใช้ธรรมะแต่ละบทอย่างไม่เป็นธรรมนะครับ กับนกใช้เมตตาธรรมแต่กับงูใช้กฎแห่ง
กรรม ทำไมไม่ใช้เมตตาธรรมให้เหมือนๆกันครับ
. ต้องเสียมรรยาทรบกวนถาม ท่านศึกษาธรรมะแนวไหนอยู่ครับ เถรวาทหรือมหายาน คือเรา
จะได้สนทนาไปในแนวทางเดียวกันครับ หวังว่าคงไม่โกรธนะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2009, 23:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


TAKSA เขียน:
พระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่วิเศษสุดเป็นเหตุเป็นผลในตัวมันเอง พระธรรมของ
ท่านแยกเป็นหมวดหมู่ขั้นตอนการปฏิบัติ ถ้าเห็นปัญหานี้ใช้วิธีใดไล่เรียงไปที่ละขั้น ดูจากปริศนา
ของท่าน มันมีประเด็นสำคัญให้ขบคิด คือลูกนกกับงู เพราะทั้งคู่เป็นผู้ได้ผลกระทบ ฉะนั้นเรา
ต้องใช้หลักธรรมที่เหมาะสมและยุติธรรมกับทั้งคู่ พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นถึงการดำรงชีวิตของเหล่า
สรรพสัตว์ จึงทรงบัญญัติคำสอนไว้ใช้กับปัญหานั้นๆ
. จากการที่ท่านบอกว่า เกิดขึ้นเฉพาะหน้าจึงต้องรีบตัดสินใจ ผลของการตัดสินใจนั้นบ่งบอก
ถึงว่าผู้นั้นมีคุณธรรมระดับใด ท่านว่าผู้ที่ยอมรับผลกรรมแทนเองเป็นผู้มีจิตสูงส่ง ถ้าเราเอาเหตุ
ลักษณะคล้ายๆกันมาเปรียบเทียบ ถ้าท่านเห็นนกกำลังกินหนอนอยู่ท่านจะไล่นกมั้ย หรือว่าแมว
กำลังไล่จับหนูในบ้านของท่านท่านจะไล่แมวมั้ย ถ้าจะดูการกระทำตั้งแต่ต้นแล้วมันก็เป็นแค่ การ
กระทำของปุถุชนเท่านั้นเอง อาจจะดูแรงถ้าจะกล่าวว่าเลือกที่รักมักที่ชัง
. และจากการที่ท่านเอาคำพูด มาให้ความสำคัญในการตัดสินนั้นผมว่า ดูแล้วมันขาดเหตุผลไป
ถ้าจะเอาให้ถูกจะต้องดูให้ถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในใจ พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องจิตให้เข้าใจว่า จิต
ใดเป็นกุศลจิตใดเป็นอกุศล
. ที่ท่านว่าผมเปิดประเด็นใหม่ มันไม่น่าจะใช่นะครับเพียงแต่ผมโยงให้เห็นถึงความเป็นจริงแห่ง
สัจจธรรมแห่งจิตเท่านั้น และถ้าคิดตามกรอบหรือเอาเหตุผลตามกรอบที่ท่านกำหนด ผลมันก็คง
เป็นแบบในกรอบที่ท่านกำหนด และนี้เป็นปัญหาธรรมะนะครับ ไม่ใช่ปัญหาเชาว์ ต้องให้รู้แจ้งเห็น
จริงไปเลย
. มันไม่ดูตลกไปหน่อยหรือครับ ที่ท่านสนับสนุนผู้มีเมตตากับนกและยอมรับกรรมแทน เป็นผู้
ผู้มีจิตสูงส่ง แล้วงูละครับถ้าไม่กินอาหารมันอาจตายก็ได้ สัตว์ถ้าไม่หิวมันไม่กินหรอกครับ
ผมว่าท่าน เลือกใช้ธรรมะแต่ละบทอย่างไม่เป็นธรรมนะครับ กับนกใช้เมตตาธรรมแต่กับงูใช้กฎแห่ง
กรรม ทำไมไม่ใช้เมตตาธรรมให้เหมือนๆกันครับ
. ต้องเสียมรรยาทรบกวนถาม ท่านศึกษาธรรมะแนวไหนอยู่ครับ เถรวาทหรือมหายาน คือเรา
จะได้สนทนาไปในแนวทางเดียวกันครับ หวังว่าคงไม่โกรธนะครับ :b8:



...ขอคาราวะท่าน Taksa อีกครั้งครับ...

...ก่อนอื่น ต้องขออนุญาตตอบคำถามสุดท้ายก่อนนะครับ..แรกเริ่ม ข้าพเจ้าได้ศึกษาหลักธรรมมาทั้งเถรวาทและมหายาน รวมทั้งหลักธรรมของศาสนาสนาอื่น ทั้งศาสนาเชน และศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ส่วนศาสนาทางตะวันออกกลาง และตะวันตก ก็พอจะมีบ้างนิดหน่อย(นิดหน่อยจริงๆครับ เป็นจับนวนที่นับไม่ได้)...จากนั้น เมื่อพอได้รู้ได้เห็นแล้ว(เอาเฉพาะแก่นที่เป็นเนื้อๆของศาสนานั้นๆ..ส่วนที่เป็นน้ำๆไม่เอา) ข้าพเจ้าจะทยอยคัดออกจากสมอง คือไม่ศึกษาเรียนรู้ต่อ เหตุผลเพราะยังไม่ใช่ที่สุดของความเป็นสุดยอดอย่างแท้จริง...

...จากนั้นก็มา Classify จัดแบ่งหัวใจของแต่ละศาสนาออกมาเป็นกลุ่มเป็นหมวด เช่น ว่าด้วยเรื่องความรักความเมตตา ก็จะมีสอนอยู่ในทุกศาสนา ซึ่งรายละเอียดมองผิวเผินอาจจะคล้ายกัน แต่ความลึกซึ้งนั้นจะแตกต่างลดหลั่นกันออกไป...ว่าด้วยเรื่องบุญ-กรรม จะมีความแตกต่างกันไกลออกไปมาก จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะตัวในหลักคำสอนของแต่ละศาสนา เป็นต้น...

...หลักในศาสนาที่ข้าพเจ้าเก็บไว้ในใจนั้นมีอยู่ 3 เรียงตามลำดับความสำคัญ จาก 1 (ยึดถือปฏิบัติตาม) ได้แก่ ศาสนาพุทธแบบเถรวาท ธรรมยุตนิกาย , 2 (หลักบางประการเป็นความรู้ประกอบไว้เฉยๆ เท่านั้น) คือศาสนาเชน ทั้งทิฆัมพร และ เสวตตัมพร , 3 (หลักบางประการจากคัมภีร์ต่างๆ ในศาสนาพรหมณ์-ฮินดู) ครับ...

...ทีนี้ลองมาพิจารณาถึงคำตอบ และการแสดงเหตุผลของท่าน Taksa ตามที่ท่านยกตัวอย่างมาเรื่องนกกินหนอน หรือ แมวกินหนูนั้น...เป็นวิธีคิดตามหลักเมตตาธรรม(เกี่ยวกับสัตว์โลก)ของศาสนาเชน นิกายเสวตตัมพร ซึ่งใช้ผ้านุ่งห่มมิดชิดปิดหน้า เพราะยึดถือหลักที่ว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกไม่ว่าจะเป็นปลาวาฬ หรือจุลินทรีย์ๆ ล้วนแต่เป็นหนึ่งชีวิตมีค่าเท่ากันหมด...เวลาหายใจเข้าออกแต่ละครั้ง ก็กลัวว่าสิ่งมีชีวิตเล็กนั้น จะหลุดเข้ามาในร่างกายพร้อมหายใจ แล้วเสียชีวิตในร่างกายของเรา ก็จะเป็นบาปกรรมทำให้ไม่บรรลุธรรม จึงต้องเอาผ้ามาปิดหน้าไว้ เป็นต้น...

...แต่วิธีคิดตามหลักเมตตาธรรมในศาสนาพุทธเถรวาท "ไม่ใช่แบบนี้" ครับ...เพราะมีการคำถึงเหตุปัจจัยขณะนั้นเป็นหลักสำคัญประกอบด้วย อย่างที่ท่านยกมาเรื่องนกกินหนอน หรือ แมวกินหนู(เฉพาะกรณีธรรมชาติไม่ใช่สัตว์เลี้ยง)...คงต้องขออนุญาตถามว่า ท่านสามารถระงับเหตุที่รวดเร็วนั้นทันหรือ? (หากไม่ทันก็ต้องว่าเป็นเหตุสุดวิสัย...เมื่อเป็นเหตุสุดวิสัย ก็ต้องยึดหลักอุเบกขา)...และถ้าสมมุติว่าท่านสามารถระงับเหตุได้ทัน เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ตามที่ข้าพเจ้ายกมา..ก็ต้องถามต่อว่า ท่านจะยอมสละอวัยวะของท่าน เพื่อช่วยเหลือให้ฝ่ายหนึ่งได้อิ่มในมื้อนั้น และช่วยเหลือให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รอดชีวิตหรือไม่?...หรือถ้าเป็นกรณีที่สัตว์นั้นไม่สามารถพูดได้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ถึงวาระจิตของพวกเขาว่าคิดประการใด...หากฝ่ายหนึ่งต้องการอาฆาตจองเวรต่อท่าน..แล้วท่านพร้อมที่จะรับบาปกรรมนั้น(ทั้งๆที่บาปกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องของท่านเลย..เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่าย) เช่นเดียวกับท่านอมิตาพุทธหรือไม่?...

..."เมตตาธรรม" ในความหมายของศาสนาพุทธนั้น "ลึกซึ้งกว้างไกลยิ่งนัก" มีลักษณะที่ยิ่งใหญ่กว่าเมตตาธรรมของศาสนาอื่นๆ (ที่ข้าพเจ้ายกเอาเรื่องในคัมภีร์ปุราณะขึ้นมา เรื่องมหาเทพศิวะ ยอมดื่มยาพิษจนพระสอเป็นสีคล้ำดำ...หากวิเคราะห์เรื่องนี้ให้ลึกๆ จะพบว่ามีเกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่เป็นเจ้าของ เปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน ย่อมต้องปกป้องทรัพย์สินภายในบ้านของตนเอง ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น)...

...เมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะยืนยันว่า กรณีการเสียสละตนเอง ให้กับผู้ที่เราไม่รู้จักซึ่งไม่ได้เป็นทั้งญาติพี่น้อง และไม่ได้เป็นทั้งบุพการี แต่เป็นเพียงแค่สัตว์เดรัจฉานนั้น..ยังไม่ใช่ความประเสริฐตามหลักเมตตาธรรมของศาสนาพุทธเถรวาท อีกหรือไม่?...ยังจะเป็นเพียงแค่ปัญหาเชาว์ของปุถุชนทั่วๆอยู่อีกหรือเปล่าครับ?...

...โดยส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว ปัจจุบัน กำลังฝึกฝนในเรื่องของ "ความนิ่งของกระแสจิต" อยู่ครับ...ใครมาชื่นชม ก็ไม่เพลิดเพลินกับถ้อยคำนั้น จนทำให้จิตสั่นไหวยินดียินร้าย ปล่อยให้มันผ่านเลยไปเหมือนสายลม...หรือใครจะมาด่ามาประนาณด้วยถ้อยคำหยาบคาย ก็จะไม่โกรธแค้น จนทำให้จิตต้องสั่นไหวแล้วเกิดเป็นความยินดียินร้ายเช่นกัน...ปล่อยทุกอย่างไปกับสายลมทั้งหมดไม่ยึดติดใดๆครับ...

:b8: ...ขอคาราวะท่านผู้เจริญในธรรมทุกท่านครับ... :b8:

.....................................................
..." นิพพาน " ไม่ใช่สิ่งที่ถูกค้นพบบนฟูก หากแต่เป็นป่าเขาที่เต็มไปด้วยอันตรายและอสรพิษ...

..." หลักธรรม " ไม่ใช่สิ่งที่ถูกค้นพบในผับหรือสถานเริงรมย์ หากแต่เป็นสองข้างถนนที่เต็มไปด้วยซากศพ และผู้คนที่เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 06:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 11:50
โพสต์: 147

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
"ผู้ไม่รู้"
...แต่วิธีคิดตามหลักเมตตาธรรมในศาสนาพุทธเถรวาท "ไม่ใช่แบบนี้" ครับ...เพราะมีการคำถึงเหตุปัจจัยขณะนั้นเป็นหลักสำคัญประกอบด้วย อย่างที่ท่านยกมาเรื่องนกกินหนอน หรือ แมวกินหนู(เฉพาะกรณีธรรมชาติไม่ใช่สัตว์เลี้ยง)...คงต้องขออนุญาตถามว่า ท่านสามารถระงับเหตุที่รวดเร็วนั้นทันหรือ? (หากไม่ทันก็ต้องว่าเป็นเหตุสุดวิสัย...เมื่อเป็นเหตุสุดวิสัย ก็ต้องยึดหลักอุเบกขา)...และถ้าสมมุติว่าท่านสามารถระงับเหตุได้ทัน เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ตามที่ข้าพเจ้ายกมา..ก็ต้องถามต่อว่า ท่านจะยอมสละอวัยวะของท่าน เพื่อช่วยเหลือให้ฝ่ายหนึ่งได้อิ่มในมื้อนั้น และช่วยเหลือให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รอดชีวิตหรือไม่?...หรือถ้าเป็นกรณีที่สัตว์นั้นไม่สามารถพูดได้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ถึงวาระจิตของพวกเขาว่าคิดประการใด...หากฝ่ายหนึ่งต้องการอาฆาตจองเวรต่อท่าน..แล้วท่านพร้อมที่จะรับบาปกรรมนั้น(ทั้งๆที่บาปกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องของท่านเลย..เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่าย) :



. ที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมาเพื่อที่จะเปรียบเทียบให้เห็น ถึงจุดประสงค์ในใจของคน ไปตามความเป็นจริง ถ้าท่านจะอ่านเหตุผลของผม ท่านควรจะปล่อยวางข้อมูลที่ท่านศึกษามาเสียก่อน แล้วค่อยลงความเชื่อถือในสิ่งที่เป็นไปได้ ในเหตุผลและที่ผมนำมาหักล้าง
. พอเวลาผมยกตัวอย่างและเหตุผลมาอ้าง ท่านว่าสภาวะขณะนั้นทำไม่ได้ ห้ามไม่ทันหรือไม่ก็เป็นสัตว์เลี้ยง ท่านไม่รู้บางเลยหรือมามันมีสภาวะเดียวกับของท่าน ในความเป็นจริงถ้าเราเดินมาเจอนกกำลังกินหนอนหรือแมลงสาป แทนที่จะไล่นกเปล่าเลยครับกลับทำตรงกันข้าม คือหยุดยืนดูเฉยๆเพราะกลัวนกจะบินหนีไป เพราะในใจมีความรังเกียจหนอนหรือแมลงสาป ซึ่งก็เป็นสัตว์เช่นกัน แล้วการที่ท่านบอกว่าเป็นเหตุเฉพาะหน้า นี่ก็เป็นเหตุผลให้รู้แล้วว่าทำไปโดยสัญชาตญาณ
แล้วท่านคิดว่าผู้ที่จะช่วยลูกนก จะคิดถึงเหตุที่ต้องรับกรรมแทนนี้ทันมั้ย ซึ่งมันสวนทางกับคำที่ท่านบอกว่า ยอมรับกรรมในส่วนนั้น
. การตอบปริศนาของผม ยึดหลักความเป็นจริงและตัวอย่างจากประสบการณ์ แต่คำตอบในใจ
ท่านยึดหลักตามคัมภีร์หรือตำรา ซึ่งผลการตอบจะต้องให้ตรงกับตำรา ผิดจากนี้ถือว่าใม่ใช่
. ท่านบอกว่าท่านคิดตามหลักเถรวาท ผมมีความข้องใจเป็นอย่างมาก เพราะตามหลักคำสอน
แล้ว เรื่องเมตตาธรรมก็มีสอนและเป็นหัวใจหลัก มีเป็นข้อๆไล่เรียงกันไว้แก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้น
หลักคำสอนที่ว่านี้ก็คือพรหมวิหารสี่ ผมจึงอยากให้ท่านบอก ที่มาที่ไปถึงหลักเมตตาธรรมของท่าน
เพื่อความเข้าใจ เพราะรู้สึกว่าเรื่องหลักเมตตาธรรมของเราจะไปกันคนละทาง รบกวนนะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบเจ้าของกระทู้คุณ "ผู้ไม่รู้" ดังนี้

จากคำถาม ตอบตามจริงที่ควรจะทำ คือ

๑) นกนั้นตายแล้ว

หากนกนั้นตายแล้ว เราควรปล่อยวางเสีย พิจารณาให้เห็นว่านี้หนอ เป็นไปตามกฏแห่งกรรม ความเกิดเป็นทุกข์ ความเจ็บไข้เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ฯลฯ

๒) นกนั้นยังไม่ตาย

ดูว่าเราสามารถช่วยได้หรือไม่ หากเราเข้าไปช่วยได้ ควรเข้าไปช่วย เพราะเป็นการเอื้อเฟื้อต่อนกเอง ไม่ให้ถูกฆ่า และเป็นการยับยั้งไม่ให้งูก่อบาปกรรมในเหตุการณ์นี้ต่อไป ซึ่งเป็นเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย

แต่หากเราไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ เช่น เราอยู่ไกลมาก, เราเป็นคนอัมพาต เป็นต้น ควรปล่อยวางเสีย พิจารณาอย่างที่กล่าวแล้วในกรณีนกนั้นได้ตายไปแล้วนั่นเอง

"เราหยุดแล้ว ท่านละหยุดหรือยัง"

ขอให้เจริญในธรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร