วันเวลาปัจจุบัน 26 ก.ค. 2025, 08:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ธ.ค. 2006, 12:38
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทุกองค์ในนิพพาน มีอยู่ ยังดำรงอยู่ และอายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)ของพวกท่าน ก็มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ที่ไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนาด้วย

จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าอ่านในพระสุตตันตปิฎกตอนที่พระสารีบุตรทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อนิพพาน ท่านว่าเป็นการเห็นพระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้าย จะไม่ได้เห็นพระองค์อีก หากเป็นอย่างที่ยกข้อความมาข้างต้น มีอยู่ ดำรงอยู่ อายตนะนิพพานยังมี บังคับได้ตามปรารถนา ก็ไม่น่ายากที่พระสารีบุตรจะพบเห็นพระพุทธองค์อีก เล่มที่อ่านมาคือฉบับภาษาไทย พิมพ์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ซื้อมาจากมหาจุฬาบรรณาคาร เล่มที่ 10 ครับ อาจไม่ได่ลงรายละเอียดถึงขนาดยกเล่มที่ เลขที่ หรือวรรคอย่างที่นิยมทำกัน แต่หากจะตรวจสอบ ก็ไม่น่ายากที่จะสืบค้น :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกทั้หมดครับนิพพานเป็นอัตตาก็ได้เป็นอนัตตาก็ได้แล้วแต่คุณจะคิดเพราะคุณยังไม่เคยเห็นกันทั้งนั้นมันก็ถูกทุกคน ถ้าพบแล้วจะร้องอ๋อ!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ธ.ค. 2006, 12:38
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิริพงศ์ เขียน:
ถูกทั้หมดครับนิพพานเป็นอัตตาก็ได้เป็นอนัตตาก็ได้แล้วแต่คุณจะคิดเพราะคุณยังไม่เคยเห็นกันทั้งนั้นมันก็ถูกทุกคน ถ้าพบแล้วจะร้องอ๋อ!

อย่างน้อยก็ได้ข้อสรุปว่าควรเอาเวลาไปปฏิบัติเพื่อให้เห็นแจ้งด้วยตนเองจะดีกว่า อนัตตา หรือ อัตตา คงไม่สำคัญเท่ากับผลที่ได้จากอนัตตา หรือ อัตตานั้น อนัตตา หรือ อัตตา ก็เป็นภาษาที่บัญญัติขึ้นเพื่อแทนความเข้าใจ ถูกใจกับคุณศิริพงศ์ แต่ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เกจิ หรือผู้รู้อย่างหลายท่าน ถูกใจอย่างมือใหม่ที่พยายามต่อไปให้โผล่พ้นน้ำครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
นิพพานไม่ใช่วิสัยของผู้ที่ยังเต็มไปด้วยกิเลสจะรู้นี้ นิพพานจะรู้ได้เฉพาะผู้ที่ละราคะ โทสะ โมหะ ได้ในระดับที่เข้าข่ายพระอริยะบุคคลแล้วเท่านั้น


ข้อนี้เข้าใจ

แต่อภิพลใบสุวิชัย555เข้าใจหรือเปล่าว่า

นิพพานจะรู้ได้เฉพาะผู้ที่ละราคะ โทสะ โมหะ ได้ในระดับที่เข้าข่ายพระอริยะบุคคลแล้วเท่านั้น



ไม่เห็นตอบปัญหาคญิตศาสตราเลยว่า

ทำไม 0 หาร 0 ไม่ได้

เฉลยเลยแล้วกัน

1 หาร 1 = 1

7 หาร 7 = 1

13793345 หาร 13793345 = 1

อสงไขย์ หาร อสงไขย์ = 1

คือ

ตัวเอง หาร ตัวเอง = 1

ฉนั้น

ถ้า 0 หาร 0 ได้

0 หาร 0 = 1 ซึ่งเป็นไปไม่ได้

เพราะ 0 นั้นไม่มีค่าผลลัพธ์

0 คูณตัวเลขทุกตัวได้ค่าเป็น 0

0 หารตัวเลขทุกตัวได้ค่าเป็น อนันต์

แต่ 0หาร0ไม่ได้


0 นั้นไม่มีค่า คือไม่มี

เมื่อไม่มีเรารับรู้ไม่ได้

ผัสสะไม่ได้

จึงต้องสมมุติใช้เลข0ไปพรางๆ

แต่แล้วมีผู้อภิธรรมมาปฏิสนธิว่า

0มีตัวตน

เราบอกไม่มีเงินคือ0

แล้ว0คือเงินกี่บาทกี่สตางค์

ท่านอภิพลใบสุวิชัยช่วยตอบที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
นิพพานไม่ใช่วิสัยของผู้ที่ยังเต็มไปด้วยกิเลสจะรู้นี้ นิพพานจะรู้ได้เฉพาะผู้ที่ละราคะ โทสะ โมหะ ได้
ในระดับที่เข้าข่ายพระอริยะบุคคลแล้วเท่านั้น


ข้อนี้เข้าใจ
แต่อภิพลใบสุวิชัย555เข้าใจหรือเปล่าว่า
นิพพานจะรู้ได้เฉพาะผู้ที่ละราคะ โทสะ โมหะ ได้ในระดับที่เข้าข่ายพระอริยะบุคคลแล้วเท่านั้น



ข้อความนั้น เป็นคำสรุปนิพพานที่สมบูรณ์ที่สุด คือ เห็นตรงกันทั้งอภิพลในฯ และคุณ mes
คือต้องกำจัดกิเลส คือ ราคะ (โลภะ)โทสะ โมหะ ในจิตในใจให้หมดสิ้นไป
หรือถึงไม่หมดโดยสิ้นเชิง ก็ให้เบาลงกว่าปัจจุบันของแต่ละคนๆ ก็คงมองภาพนิพพานออก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อความนั้น เป็นคำสรุปนิพพานที่สมบูรณ์ที่สุด คือ เห็นตรงกันทั้งอภิพลในฯ และคุณ mes
คือต้องกำจัดกิเลส คือ ราคะ (โลภะ)โทสะ โมหะ ในจิตในใจให้หมดสิ้นไป
หรือถึงไม่หมดโดยสิ้นเชิง ก็ให้เบาลงกว่าปัจจุบันของแต่ละคนๆ ก็คงมองภาพนิพพานออก :b1:[/quote]


สาธุๆแจ่ม

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบเจ้าของกระทู้ดังนี้

จากหัวข้อกระทู้ ที่ตั้งไว้ว่า

"เหล่าพุทธพจน์ในพระไตรปิฏกที่ยืนยันว่า นิพพานเป็นอัตตา"

เมื่อได้อ่านพระสูตรและหลักฐานที่คุณได้นำมาลงแล้ว ยังไม่มีข้อความใดกล่าวยืนยันชัดเจนอย่างนั้นว่า "นิพพานเป็นอัตตา" อยู่เลย มีเพียงการกล่าวสรุปลงท้าย โดยอาศัยหลักตรรกของเจ้าของกระทู้ตามความเข้าใจเท่านั้น

ดังนั้นหัวข้อกระทู้ที่ตั้งมาเห็นว่าน่าจะไม่เหมาะ เพราะเป็นการกล่าวตู่คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ หากจะตั้งหัวข้อกระทู้อย่างนี้ จะต้องมีพระพุทธพจน์ระดับที่ชี้ชัดด้วยคำว่า "นิพพานเป็นอัตตา" อยู่ด้วยครับ

******************************
เรื่อง...

"นิพพานเป็นอัตตา หรือนิพพานเป็นอนัตตา"

ตีความต่างๆ กันมากมาย เป็นเวลายาวนาน นับหลายปีมาแล้ว แต่ความจริงแห่งนิพพานจะไม่ปรากฏขึ้นมาเลย จากการตีความ จากผู้ที่ยังกิเลส ยังมีความยึดติดถือมั่นในทิฐิ ในเรื่องนิพพาน ในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตานั้น

ขอให้เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณศิรัสพล ผมอ่านไม่เจอชื่อคุณหรือว่าคุณหายไป
ถ้าหายไป ยินดีต้อนรับกลับมา :b16: :b16:
นึกว่าไปเล่นที่พันทิบเพลินแล้วซะอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


dhama เขียน:
ข้อความนั้น เป็นคำสรุปนิพพานที่สมบูรณ์ที่สุด คือ เห็นตรงกันทั้งอภิพลในฯ และคุณ mes
คือต้องกำจัดกิเลส คือ ราคะ (โลภะ)โทสะ โมหะ ในจิตในใจให้หมดสิ้นไป
หรือถึงไม่หมดโดยสิ้นเชิง ก็ให้เบาลงกว่าปัจจุบันของแต่ละคนๆ ก็คงมองภาพนิพพานออก

สาธุๆแจ่ม



กรัชกายนึกชอบคำพูดสั้นๆของคุณ "สาธุๆแจ่ม" ฟังๆดูมีอารมณ์ขันปนอยุ่ด้วย แล้วก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ยืมไปใช้หลายครั้งแล้ว สาธุๆแจ่ม :b32:


เพิ่งนึกได้ ขอเสริมคำพูดก่อนหน้าอีกหน่อย ...เป็นคำสรุปนิพพานที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยถกเถียงกัน
เรื่องนิพพานที่เวปบอร์ดแห่งนี้มา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้น ประเด็นนิพพาน น่าจะพอได้แล้ว ไม่ต้องตั้งกระทู้อีกแล้ว เพราะได้ข้อสรุปแล้วว่า
ต้องกำจัดกิเลสคือ ราคะ (โลภะ) โทสะ โมหะ ในจิตใจของตนๆ ให้หมดไปหรือเบาบางลงตามสติกำลัง

ต่อไปมาถกเถียงกันถึงข้อปฏิบัติหรือปฏิปทาเพื่อกำจัดราคะ โทสะ โมหะบ้าง เห็นถ้าจะดีเป็นแน่แท้ทีเดียว
:b16: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เพิ่งนึกได้ ขอเสริมคำพูดก่อนหน้าอีกหน่อย ...เป็นคำสรุปนิพพานที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยถกเถียงกัน
เรื่องนิพพานที่เวปบอร์ดแห่งนี้มา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้น ประเด็นนิพพาน น่าจะพอได้แล้ว ไม่ต้องตั้งกระทู้อีกแล้ว เพราะได้ข้อสรุปแล้วว่า
ต้องกำจัดกิเลสคือ ราคะ (โลภะ) โทสะ โมหะ ในจิตใจของตนๆ ให้หมดไปหรือเบาบางลงตามสติกำลัง
ต่อไปมาถกเถียงกันถึงข้อปฏิบัติหรือปฏิปทาเพื่อกำจัดราคะ โทสะ โมหะบ้าง เห็นถ้าจะดีเป็นแน่แท้ทีเดียว
:b16: :b32:


ไปห้ามเขาตั้งกระทู้นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา เดี๋ยวเขาก็ได้อกแตกตายหรอก :b32: :b32:

สาธุ แจ่มๆ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 00:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
dhama เขียน:
ความเห็นส่วนตัวนะครับไม่ขัดแย้งกับผู้ใดทั้งสิ้น นิพพานมีแน่นอนนั้นก็หมายความว่า มี(อัตตา)แบบเป็นสภาวะ แต่สภาวะนั้นก็ไม่เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นตัวตนไม่เกิดไม่ดับคงที่ถาวร อมตะนิรันตกาล ไม่เหมือนสภาวธรรมทั้งหลายที่มี แต่มีลักษณะอนิจจัง ทุกข์ อนัตตา ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ


นิิพานเป็น"ธรรม"ชนิดหนึ่งใช่หรือไม่?

"สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ"
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา


คำว่าอัตตา ไม่ได้ยากอะไรหรอก
หลวงตาบัวท่านถวายวิสัชนาพระเจ้าอยู่หัว
ท่านก้บอกว่า นิพพานก็เหมือน"วัดบ้านตาด"
แต่จะมาชี้ไปที่กุฏิว่าเป้นวัดป่าบ้านตาด ก็ไม่เจอตัววัดป่าบ้านตาด
ชี้ไปที่กำแพง ก็ไม่เจอตัววัดป่าบ้านตาด ไม่ใช่ตัววัดป่าบ้านตาด
หาตัววัดป่าบ้านตาดนั้น หายังไงก็ไม่เจอ
แต่เรียกทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันนั้นว่าวัดป่าบ้านตาด
-----
หรืออย่างตัวเรา มีชื่ออย่างนี้ นิสัยอย่างนี้ แต่จะหาความเป็นตัวเราจริงๆนั้นไม่มี
ในแง่รูป ..จิ้มไปตรงไหนก้ไม่เจอ"ตัว"ที่ว่าเป็น"เรา" .....
ในแง่นาม ... ก็หาตรงไหนไม่เจอเหมือนกันว่าเป้น"ตัว" หรือที่ว่าเป็น"เรา"

อัตตาคือ "วัดป่าบ้านตาด" ,"ชาติสยาม" ,"ประเทศไทย","ความดี", "ความชั่ว"
อัตตามัน"มีอยู่" แต่มัน"ไม่จริง"

อนัตตา คือ อัตตานั้น เมื่อมองเข้าไป สืบเข้าไป ชำแหละเข้าไปจนถึงที่สุดของมันแล้ว
มันไม่มีอยู่จริงๆ มันแค่เป้นการประชุมกันของรูปนาม การประชุมกันของเหตุและปัจจัย
แล้วเราไปยึดถือสิ่งเหล่านั้นว่าเป้น วัด บ้าน ชาติสยาม ประเทศไทย ความดี ความชั่ว ฯลฯ

ส่วนสิ่งที่คุณเข้าใจว่านิพพานเป็ฯอัตตานั้น เพราะไม่เข้้ใจศัพท์เท่านั้นเอง แต่เข้าใจถูกแล้ว
ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่จริงตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ว่ามีเขตแดน มีตัวมีตน

เช่น "ความตาย"
ความตายมันมีอยู่จริงๆนะ ไม่ใช่ว่าเราตายไปคนเดียวแล้วไม่มีความตายเหลือแล้ว
คนอื่นก้ต้องตาย โลกนี้ก้ต้องตาย ความตายนี้เป็นสิง่ที่มีมาแต่อดีต ปัจจุบันก้มี อนาคตก้จะมีต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ความตายมันไม่มีตัวไม่มีตน มันเป้นอนัตตา แต่มันมีอยู่จริง
แต่เขาไม่ใช้คำว่าอัตตา

คำว่าอัตตา เขาใช้เรียกสิง่ที่ถูกปรุงขึ้น เช่น วัดป่า้นตาดก็ดี ชาติสยามก็ดี ประเทศไทยก็ดี ความดีความชั่วก็ดี
ทั้งหมดนี้คอการปรุงสร้าง เขาตั้งชื่อสมมุติกันไปต่างๆนาๆ
มันเป้นธรรมะประเภทที่ถูกปรุงถูกสร้างขึ้นมา
มีคนสร้างขึ้นมา จิตนี่แหละ สร้างมันขึ้น

แต่ความตายมันไม่มีใครสร้าง มันมีอยู่ของมันมาแต่ไหนแต่ไร
มีก่อนพระพุทธเจ้า มีมาก่อนโลกจะเกิด มีตลอดเวลา จริงตลอดเวลา
ความตายนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง ใครไปปรุงแต่งมันก็ไม่ได้ ดัดแปลงก็ไม่ได้
เป็นสัจจะธรรม

นิพพานก็เช่นกัน เป็นอนัตตา
พระพุทธเจ้าท่านว่า อัตตามันจะไม่เที่ยง แปรปรวน บังคับไม่ได้
แล้วท่านก็ไม่ได้พูดกลับกันเอาไว้นะ ท่านพูดแค่นี้
แต่คนบางประเภทเอาคำพูดนี้ไปกลับข้าง แล้วเข้าใจไปเองว่าถ้างั้นสิง่ที่ตรงกันข้ามก้คือ
ถ้างั้น สิ่งที่เที่ยง ที่ไม่แปรปรวน บังคับได้ ก็ต้องเป้นอนัตตาน่ะสิ
คิดได้อย่างนั้นแล้วก้กลายเป้นอรหันต์อินเตอร์เน้ตขึ้นมาทันทีเลย
ไปหาเถอะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้พูดไว้เลย ท่านพูดไว้แค่นั้น ไม่ได้กลับข้าง

คิดง่ายๆนะ พุทธพจน์มีอยู่ 3 พจน์
คือ ไม่เที่ยง แปรปรวน บังคับไม่ได้ ..... 3 อย่างนี้รวมกันอยู่ ท่านถึงเรียกว่า อัตตา
สิ่งใดมีคุณสมบัติครบสามอย่างนี้ ถึงเรียกว่าอัตตา

แต่คำพูดของอรหันต์อินเตอร์เน้ต ก็เอา 3 พจน์นั้นไปนิเสธ
ไม่เที่ยง กลายเป็น เที่ยง
แปรปรวน กลายเป้นไม่แปรปรวน
บังคับไมไ่ด้ กลายเป้นบังคับได้
แล้วไปเหมาว่า สิง่ที่ตรงกันข้ามนี่แหละ คืออนัตตา

ดูเผินๆผมก็เคยคล้อยตามหมอนี่นะ
แต่ดูดีๆนะ



ไม่เที่ยง แปรปรวน บังคับไม่ได้ <---- อันนี้พุทธพจน์
เที่ยง ไม่แปรปรวน บังคับได้ <---- อันนี้พลศักดิ์ในร่าง apisit555

แล้วสิ่งต่อไปนี้ล่ะ จะเรียกว่าอะไร

ไม่เที่ยง ไม่แปรปรวน บังคับไม่ได้ <----?
ไม่เที่ยง ไม่แปรปรวน บังคับได้ <----?
ไม่เที่ยง แปรปรวน บังคับได้ <----?
เที่ยง ไม่แปรปรวน บังคับไม่ได้ <----?
เที่ยง แปรปรวน บังคับไม่ได้ <----?
เที่ยง แปรปรวน บังคับได้ <----?

ตลกนะ เอาคณิตศาสตร์มาเอาถูกเอาผิดกับธรรมะ มันไม่ได้ผล

ธรรมะอะไรถ้ามันมีด้านกลับ พระพุทธเจ้าจะพูดกลับเอาไว้เลย อย่างละเอียด
แต่ถ้าท่านไม่พูดไว้ ก็ไม่ใช่ว่าเอาไปกลับข้างเองแล้วจะถูก


คุณศึกษานายคนนี้ต่อไปคุณจะพบว่า เขาบอกว่าเข้าๆออกๆนิิพพานได้ด้วย
บอกว่าเขาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วย ได้รับโองการมาแสดงธรรมด้วย
เรียกตัวเองว่าเป้นพระโพธิสัตวืที่เป้นผู้ชายด้วย
แล้วก้สอนให้ล้างบาปได้ด้วย เรียกว่าก้าวล่วงบาปกรรม
สอนคนให้ผิดศีลถ้าแล้วไม่บาป โดยที่ใจเราไม่ต้องไปคิดว่ามันผิด ก้จะไปบาป อะไรทำนองนั้น
แบบที่แกล้งแปลงร่างเป็นคนอื่นมาเชียตัวเองอยู่นี่แหละครับ คือโกหกแบบว่าไมรู้สึกอะไรเลย
หิริโอตัปปะไม่เหลือแล้ว
แล้วจะมีอีกเยอะ สารพัดสารเพ



ที่พูดนี่ พูดตามความเข้าใจเหมือนกันนะครับ
แล้วก้ที่ผมมาพูดเพราะว่าไม่อยากให้คุณไปเสียเวลากับนายคนนี้ เปลืองเวลา
เคยมาแล้ว รู้ไส้รู้พุงดี


พูดมาถูกต้องเกือบหมดเลยงับ แต่ดูก่อนว่าจะเพี้ยนมากมั้ย

ถ้ามากคงต้องขอฉันทามติละ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิิพานเป็น"ธรรม"ชนิดหนึ่งใช่หรือไม่?

"สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ"
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา


คำว่าอัตตา ไม่ได้ยากอะไรหรอก
หลวงตาบัวท่านถวายวิสัชนาพระเจ้าอยู่หัว
ท่านก้บอกว่า นิพพานก็เหมือน"วัดบ้านตาด"
แต่จะมาชี้ไปที่กุฏิว่าเป้นวัดป่าบ้านตาด ก็ไม่เจอตัววัดป่าบ้านตาด
ชี้ไปที่กำแพง ก็ไม่เจอตัววัดป่าบ้านตาด ไม่ใช่ตัววัดป่าบ้านตาด
หาตัววัดป่าบ้านตาดนั้น หายังไงก็ไม่เจอ
แต่เรียกทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันนั้นว่าวัดป่าบ้านตาด
-----
หรืออย่างตัวเรา มีชื่ออย่างนี้ นิสัยอย่างนี้ แต่จะหาความเป็นตัวเราจริงๆนั้นไม่มี
ในแง่รูป ..จิ้มไปตรงไหนก้ไม่เจอ"ตัว"ที่ว่าเป็น"เรา" .....
ในแง่นาม ... ก็หาตรงไหนไม่เจอเหมือนกันว่าเป้น"ตัว" หรือที่ว่าเป็น"เรา"

อัตตาคือ "วัดป่าบ้านตาด" ,"ชาติสยาม" ,"ประเทศไทย","ความดี", "ความชั่ว"
อัตตามัน"มีอยู่" แต่มัน"ไม่จริง"

อนัตตา คือ อัตตานั้น เมื่อมองเข้าไป สืบเข้าไป ชำแหละเข้าไปจนถึงที่สุดของมันแล้ว
มันไม่มีอยู่จริงๆ มันแค่เป้นการประชุมกันของรูปนาม การประชุมกันของเหตุและปัจจัย
แล้วเราไปยึดถือสิ่งเหล่านั้นว่าเป้น วัด บ้าน ชาติสยาม ประเทศไทย ความดี ความชั่ว ฯลฯ

ส่วนสิ่งที่คุณเข้าใจว่านิพพานเป็ฯอัตตานั้น เพราะไม่เข้้ใจศัพท์เท่านั้นเอง แต่เข้าใจถูกแล้ว
ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่จริงตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ว่ามีเขตแดน มีตัวมีตน

เช่น "ความตาย"
ความตายมันมีอยู่จริงๆนะ ไม่ใช่ว่าเราตายไปคนเดียวแล้วไม่มีความตายเหลือแล้ว
คนอื่นก้ต้องตาย โลกนี้ก้ต้องตาย ความตายนี้เป็นสิง่ที่มีมาแต่อดีต ปัจจุบันก้มี อนาคตก้จะมีต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ความตายมันไม่มีตัวไม่มีตน มันเป้นอนัตตา แต่มันมีอยู่จริง
แต่เขาไม่ใช้คำว่าอัตตา

คำว่าอัตตา เขาใช้เรียกสิง่ที่ถูกปรุงขึ้น เช่น วัดป่า้นตาดก็ดี ชาติสยามก็ดี ประเทศไทยก็ดี ความดีความชั่วก็ดี
ทั้งหมดนี้คอการปรุงสร้าง เขาตั้งชื่อสมมุติกันไปต่างๆนาๆ
มันเป้นธรรมะประเภทที่ถูกปรุงถูกสร้างขึ้นมา
มีคนสร้างขึ้นมา จิตนี่แหละ สร้างมันขึ้น

แต่ความตายมันไม่มีใครสร้าง มันมีอยู่ของมันมาแต่ไหนแต่ไร
มีก่อนพระพุทธเจ้า มีมาก่อนโลกจะเกิด มีตลอดเวลา จริงตลอดเวลา
ความตายนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง ใครไปปรุงแต่งมันก็ไม่ได้ ดัดแปลงก็ไม่ได้
เป็นสัจจะธรรม


ผมเห็นตรงกับคุณขงเบ้งทุกประการ แต่การที่ผมตอบว่ามี(อัตตา)นั้นผมกำลังสื่อให้ผู้ตั้งกระทู้ทราบคำว่ามีหมายถึงอัตตานี่หรือเปล่า ถ้าหมายความว่าอย่างนี้ถูกต้อง นิพพานมีมีอย่างสภาวะที่ถาวรอมตะนิรันกาลแต่ไม่ใช่แท่ง ก้อน เป็นตัวเป็นตน

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณdhama

นิพพานเป็นสมมุติ เป็นบัญญัติ

เช่นเดียวกับ สูญ เหว ช่องว่าง

ที่ว่างถ้าอยู่นอกโลกเรียกว่อวกาศ(นอกโลกเป็นเหตุปัจจัยเปรียบเทียบ)

ที่ว่างอยู่ในหลุมลึกระหว่างหลุบเขาเรียกว่าเหว(ภูเขาเป็นปัจจัยเปรียบเทียบ)

ที่ว่างอย่างเดียวกันทำไมจึงเรียกต่างกัน

เป็นเพราะเราสมมุติขึ้นมาเรียกเพื่อเราได้จิตนาการนึกภาพออกใช่ไหม

ถ้าเรีนกแต่ว่าที่ว่าง

ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

รถเกิดอุบัติเหตุตกที่ว่างมีคนตายนับสิบ

แล้วยังหลุมอากาศอีกละ

ล้วนแตเป็นเรื่องภาษา

สภาวะที่แท้จริงคือที่ว่าง

อย่างสูญ มันก็คือสูญไม่มีตัวตน

คำว่าสูญเราใช้เป็นภาษาเรียก

คำว่าสูญมี

แต่สูญคือไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
คุณdhama

นิพพานเป็นสมมุติ เป็นบัญญัติ

เช่นเดียวกับ สูญ เหว ช่องว่าง

ที่ว่างถ้าอยู่นอกโลกเรียกว่อวกาศ(นอกโลกเป็นเหตุปัจจัยเปรียบเทียบ)

ที่ว่างอยู่ในหลุมลึกระหว่างหลุบเขาเรียกว่าเหว(ภูเขาเป็นปัจจัยเปรียบเทียบ)

ที่ว่างอย่างเดียวกันทำไมจึงเรียกต่างกัน

เป็นเพราะเราสมมุติขึ้นมาเรียกเพื่อเราได้จิตนาการนึกภาพออกใช่ไหม

ถ้าเรีนกแต่ว่าที่ว่าง

ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

รถเกิดอุบัติเหตุตกที่ว่างมีคนตายนับสิบ

แล้วยังหลุมอากาศอีกละ

ล้วนแตเป็นเรื่องภาษา

สภาวะที่แท้จริงคือที่ว่าง

อย่างสูญ มันก็คือสูญไม่มีตัวตน

คำว่าสูญเราใช้เป็นภาษาเรียก

คำว่าสูญมี

แต่สูญคือไม่มี



ดีครับได้ความรู้ดีขอบคุณครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร