วันเวลาปัจจุบัน 23 ก.ค. 2025, 05:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพงพัน มีเหตุผล พอคุยกันได้ ถ้าผมไม่มีกิเลสจะได้ไมคับไม่ว่าจะกิเลสใดก็ได้ คือมันไม่เกิด และไม่ต้องไปรู้ทันมันเลย เปลี่ยบ เช่น แก้วน้ำมีน้ำอยู่คือมีกิเลส แต่อีกแก้วไม่มีน้ำคือไม่มีกิเลส ถึงจะเทน้ำลงแก้วที่ไม่มีน้ำน้ำก็ไม่อยู่ในแก้วนั้นไม่เปียกน้ำเลย จะเป็นไปได้ไหมคับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


“พระโสดาบันรู้ว่า สิ่งใดมีเกิด สิ่งนั้นมีดับ

พระอรหันต์รู้ว่า สิ่งใดไม่มีเกิด สิ่งนั้นไม่มีดับ”


ท่านเจ้าคุณนรๆ วัดเทพศิรินทร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าวังทอง เขียน:
ถ้าผมไม่มีกิเลสจะได้ไมคับไม่ว่าจะกิเลสใดก็ได้ คือมันไม่เกิด และไม่ต้องไปรู้ทันมันเลย เปลี่ยบ เช่น แก้วน้ำมีน้ำอยู่คือมีกิเลส แต่อีกแก้วไม่มีน้ำคือไม่มีกิเลส ถึงจะเทน้ำลงแก้วที่ไม่มีน้ำน้ำก็ไม่อยู่ในแก้วนั้นไม่เปียกน้ำเลย จะเป็นไปได้ไหมคับ


ตราบใดที่ยังมีแก้ว ยังมีน้ำ เมื่อเทน้ำลงไปที่ใด น้ำนั้นก็ยังคงต้องมีอยู่
เปรียบเสมือนกิเลสที่เกิดขึ้นจากขันธ์ เมื่อยังมีขันธ์ กิเลสก็ต้องมีอยู่
แต่เมื่อพิจารณาจนแจ้งแล้วว่า ขันธ์นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
แม้กระทั่งผู้ที่แจ้งนั้น ก็ไม่ใช่เรา
กิเลสที่เกิดขึ้นจากขันธ์ มันจะเป็นของเราได้อย่างไร

แก้วจะเป็นของใคร น้ำจะเป็นของใคร
จะมีแก้วหรือไม่มีแก้ว จะมีน้ำหรือไม่มีน้ำ อะไรจะเปียก มันจะมีความหมายอะไร
ในเมื่อผู้รู้ ผู้ที่ไปสนใจในแก้วและน้ำนั้น ก็ไม่มีเสียแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นคุยกันถึงเรื่อง ขันธ์ กับ กิเลส

หลวงปู่ดุลย์ ท่านสอนทั้ง จิตปรุงกิเลส และ กิเลสปรุงจิต



วิธีเจริญจิตภาวนา (หลวงปู่ดุลย์ อตุโล)


ดูจิต...เมื่ออารมณ์สงบแล้ว

ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก

ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น

เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือ กิเลสปรุงจิต)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน พงพัน สรุปว่า ไม่มีแก้วและก็ไม่มีน้ำ หรือ มีแก้ว และก็มีน้ำ ทั้งหมดนี้ เราไม่ต้องไปสนใจมันใช่ปะ
และถ้าเกิดไม่มีแก้วเลย แต่มีน้ำ เทน้ำยังไงก็ไม่โดนแก้วเพราะไม่มีแก้วตรงนั้นแล้ว มันต่างกับตรงที่สรุปว่าหรือเปล่า ตัวอย่าง มีคนเคยถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม"
หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี แต่ไม่เอา"
นั้นก็แสดงว่า ท่านยังมีแก้วน้ำ แต่ไม่เอาน้ำที่จะเทลงแก้ว แต่ถ้าท่านไม่มีแก้วเลยน้ำที่ไหนจะเทลงแก้วได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีแก้วมีน้ำ...ไม่มีแก้วไม่มีน้ำ

บางคนเห็นว่ามี....บางคนเห็นว่าไม่มี

อสูรย์..เห็นทั้ง มีและไม่มี แต่ อสูรย์ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทั้ง มีและไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าวังทอง เขียน:
ท่าน พงพัน สรุปว่า ไม่มีแก้วและก็ไม่มีน้ำ หรือ มีแก้ว และก็มีน้ำ ทั้งหมดนี้ เราไม่ต้องไปสนใจมันใช่ปะ
และถ้าเกิดไม่มีแก้วเลย แต่มีน้ำ เทน้ำยังไงก็ไม่โดนแก้วเพราะไม่มีแก้วตรงนั้นแล้ว มันต่างกับตรงที่สรุปว่าหรือเปล่า ตัวอย่าง มีคนเคยถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม"
หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี แต่ไม่เอา"
นั้นก็แสดงว่า ท่านยังมีแก้วน้ำ แต่ไม่เอาน้ำที่จะเทลงแก้ว แต่ถ้าท่านไม่มีแก้วเลยน้ำที่ไหนจะเทลงแก้วได้


การที่จะไม่สนใจมันแล้วนั้น ก็ต้องพิจารณาให้รู้รอบก่อนว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เป็นธรรมชาติของมันอยู่แบบนั้น
แต่ตัวอวิชชาคือความไม่รู้ จึงเกิดอุปาทานเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมชาติ
การที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมชาตินั้นต้องอาศัยปัญญาเข้าไปดูเข้าไปรู้ว่าเรายึดอะไรอยู่
ก็ยึดขันธ์๕ นั่นเอง ยึดอยู่ในกายในใจนี้ เมื่อเข้าไปพิจารณาเห็นขันธ์๕ ว่าไม่น่ายึด(เป็นทุกข์) ยึดไม่ได้(ไม่เที่ยง) ไม่มีอะไรให้ยึด(ไม่ใช่ตัวตน) อุปาทานดับ อวิชชาดับ วิชชาก็จะเกิดขึ้น
ก็จะสามารถไม่ต้องไปสนใจมันได้แบบผู้รู้ จะต่างกับการไม่สนใจมันแบบเป็นผู้หลงครับ

ถ้าจะเปรียบเรื่องแก้วน้ำกับน้ำที่มี
จากที่หลวงปู่ดุลย์พูดว่า"มีโกรธ แต่ไม่เอามัน"
แก้วน้ำก็เปรียบเสมือนขันธ์๕ น้ำก็เหมือนกับความโกรธ
ตราบใดที่ยังมีขันธ์ น้ำที่เทก็ย่อมจะลงแก้วได้เสมอ
แต่ที่ท่านบอก"ไม่เอา"นั้นเปรียบเหมือนกับการไม่มีแก้วน้ำเลยนั้นก็ใช่
เมื่อท่านละอุปาทานในขันธ์๕ ทั้งหมดเสียแล้ว
แก้วน้ำยังมีอยู่แต่ไม่ใช่ท่าน เมื่อเทน้ำลงในแก้วนั้น แก้วก็ยังเปียก น้ำก็ยังเต็มแก้วได้อยู่
แต่ก็ไม่ใช่สาระอะไรที่จะไปสนใจมัน ไม่ใช่ธุระของท่านแล้ว เป็นธุระของแก้วน้ำนั้น ก็เรื่องของมัน
เป็นสภาพที่จิตหยุดปรุงแต่งกิเลสละอุปาทานในขันธ์ กิเลสที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นที่ขันธ์ ไม่ได้เกิดขึ้นที่จิตแล้ว

การจะรู้แจ้งในความรู้สึกอย่างนั้นเป็นการรู้โดยปรมัตถ์
ถึงเราจะศึกษาให้เข้าใจเพียงไรก็เข้าใจได้โดยสัญญาเท่านั้น จึงไม่มีประโยชน์นักในการรู้สภาวะเหล่านั้น
ประโยชน์ของมันก็คือเป็นแนวทางในการปฏิบัติโดยไม่ไปไล่ดับกิเลสที่เกิดขึ้นมา
ฉนั้นเราควรหมั่นพิจารณาและปฏิบัติในแนวทางที่จะสามารถไปเห็นในจุดนั้นได้ผมว่าน่าจะดีกว่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุถุชน...เห็นว่า ขันธ์ ๕ มีเป็นอัตตา

ว่าโดยปรมัติ...เห็นว่า ขันธ์ ๕ ไม่มีเป็นอนัตตา

อสูรย์...เห็นว่าขันธ์ ๕ ของเรา มีอยู่ก็เห็นๆอยู่ว่าตอนนี้มันมีอยู่ แต่พอ

อสูรย์...คิดไปคิดมาก็คิดไปถึงอนาคตว่าที่จริงแล้ว ร่างกายเราไม่สามารถ
.........จะอยู่โดยไม่แตกสลายแน่นอน ซากอาจจะอยู่ได้เป็นพันปีแต่ไม่น่าถึงล้านปี

อสูรย์...จึงสรุปว่า ขันธ์ ๕ เรานะมีอัตตาในเวลาที่มันยังมีอยู่และจะไม่มีเมื่อ
.........เรายอมรับกฏของความเป็นจริง ในเรื่อง อนิจัง ทุกขัง อนัตตา

อสูรย์...เลยไม่สนใจว่ามันมีหรือไม่มี เพราะเห็นแล้วว่า ทั้งมีและไม่มี มันเป็น
.........ธรรมดาของโลก เป็นเรื่องของโลก

อสูรย์...จึงขอแค่รู้จักโลก รู้แจ้งโลก ขอรู้ก็พอ อสูรย์ไม่ต้องการให้ ขันธ์ ๕ เป็นพระอรหันต์

อสูรย์...ไม่สามารถบังคับบัญชา ขันธ์ ๕ ได้ แต่ อสูรย์ สามารถ รู้เท่าทันอุปาทานขันธ์ ๕ ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณท่าน พงพันมากๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องวิปัสนา สักเท่าไรตอนนี้เริ่มเข้าใจละว่า จิตไม่ไปยึด รูป ยึด นาม นี้เอง จิตมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นแล้ว มันต่างจากที่ผมฝึกมานะ ผมอาศัยฌานดับสังขารเอาคือดับที่ความคิดเลยดับที่ต้นเหตุของสิ่งที่เกิด ที่นี้ก็แล้วแต่อินทรีย์ ว่าจะแก่งมากน้อยแค่ไหน มาก็ไปภูมิสูงหรือสินชาติเลยก็ได้ น้อยก็ลงมาต้นหรือกลางๆของชั้นธรรม ผมเลยอย่างหันมาฝึกวิปัสนาบางอาจได้ความรู้ใหม่ๆ ก็เลยลองถามซักไซ้ไปเลื่อย หรือถามแบบไม่น่าคบปะมาณนั้น ถ้าไม่ทำอย่างนี้สะก็ไม่มีผู้รู้ที่รู้จิง กลัวรู้แบบงูๆปลาๆ คงไม่ว่ากันนะคับ ขอบคุณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:
ปุถุชน...เห็นว่า ขันธ์ ๕ มีเป็นอัตตา

ว่าโดยปรมัติ...เห็นว่า ขันธ์ ๕ ไม่มีเป็นอนัตตา

อสูรย์...เห็นว่าขันธ์ ๕ ของเรา มีอยู่ก็เห็นๆอยู่ว่าตอนนี้มันมีอยู่ แต่พอ

อสูรย์...คิดไปคิดมาก็คิดไปถึงอนาคตว่าที่จริงแล้ว ร่างกายเราไม่สามารถ
.........จะอยู่โดยไม่แตกสลายแน่นอน ซากอาจจะอยู่ได้เป็นพันปีแต่ไม่น่าถึงล้านปี

อสูรย์...จึงสรุปว่า ขันธ์ ๕ เรานะมีอัตตาในเวลาที่มันยังมีอยู่และจะไม่มีเมื่อ
.........เรายอมรับกฏของความเป็นจริง ในเรื่อง อนิจัง ทุกขัง อนัตตา

อสูรย์...เลยไม่สนใจว่ามันมีหรือไม่มี เพราะเห็นแล้วว่า ทั้งมีและไม่มี มันเป็น
.........ธรรมดาของโลก เป็นเรื่องของโลก

อสูรย์...จึงขอแค่รู้จักโลก รู้แจ้งโลก ขอรู้ก็พอ อสูรย์ไม่ต้องการให้ ขันธ์ ๕ เป็นพระอรหันต์

อสูรย์...ไม่สามารถบังคับบัญชา ขันธ์ ๕ ได้ แต่ อสูรย์ สามารถ รู้เท่าทันอุปาทานขันธ์ ๕ ได้


อนุโมทนาสาธุครับ :b8:

ผมสงสัยบางอย่างน่ะครับ :b12:
ผมขออนุญาตถามคุณอสูรย์หน่อยได้มั้ยครับ
ว่าที่คุณอสูรย์บอกว่า เห็นแล้วว่าขันธ์ ๕ มันทั้งมีและไม่มี ใครเป็นผู้เห็นหรอครับ
ที่บอกว่าขอรู้แจ้งโลก ใครเป็นผู้รู้หรอครับ
และที่บอกว่า รู้เท่าทันอุปาทานขันธ์๕ นั้น ใครเป็นผู้รู้หรอครับ

แบบว่าสงสัยนิดหน่อย รบกวนไขข้อสงสัยของผมหน่อยได้มั้ยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าวังทอง เขียน:
ขอบคุณท่าน พงพันมากๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องวิปัสนา สักเท่าไรตอนนี้เริ่มเข้าใจละว่า จิตไม่ไปยึด รูป ยึด นาม นี้เอง จิตมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นแล้ว มันต่างจากที่ผมฝึกมานะ ผมอาศัยฌานดับสังขารเอาคือดับที่ความคิดเลยดับที่ต้นเหตุของสิ่งที่เกิด ที่นี้ก็แล้วแต่อินทรีย์ ว่าจะแก่งมากน้อยแค่ไหน มาก็ไปภูมิสูงหรือสินชาติเลยก็ได้ น้อยก็ลงมาต้นหรือกลางๆของชั้นธรรม ผมเลยอย่างหันมาฝึกวิปัสนาบางอาจได้ความรู้ใหม่ๆ


อนุโมทนาสาธุครับ:b8:

การฝึกฌานเป็นสิ่งที่ดี ทำให้มีสมาธิสูงในการวิปัสสนา
ตัวผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอกครับ พอให้คำตอบอะไรได้ก็ยินดีให้ และยังต้องขอคำแนะนำจากทุกท่านอีกมากครับ

ยังไงก็ขอให้ประสบความสำเร็จในการฝึกวิปัสสนานะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:



ผมสงสัยบางอย่างน่ะครับ :b12:
ผมขออนุญาตถามคุณอสูรย์หน่อยได้มั้ยครับ
ว่าที่คุณอสูรย์บอกว่า เห็นแล้วว่าขันธ์ ๕ มันทั้งมีและไม่มี ใครเป็นผู้เห็นหรอครับ
ที่บอกว่าขอรู้แจ้งโลก ใครเป็นผู้รู้หรอครับ
และที่บอกว่า รู้เท่าทันอุปาทานขันธ์๕ นั้น ใครเป็นผู้รู้หรอครับ

แบบว่าสงสัยนิดหน่อย รบกวนไขข้อสงสัยของผมหน่อยได้มั้ยครับ



ตอบรวมเลยละกัน....ก็ตัวเรานั่นแหละ รู้

ศีลเป็นฐาน สมาธิเป็นกำลัง ปัญญาเป็นตัวรู้แจ้ง

ตัวเรา(ขันธ์๕)พิจารณาตัวเรา(ขันธ์๕)จนละเอียดถึงที่สุดแล้วก็ จะเห็น จะรู้



แก้ไขล่าสุดโดย lnwoสูsย์ เมื่อ 04 ก.พ. 2010, 15:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:
พงพัน เขียน:



ผมสงสัยบางอย่างน่ะครับ :b12:
ผมขออนุญาตถามคุณอสูรย์หน่อยได้มั้ยครับ
ว่าที่คุณอสูรย์บอกว่า เห็นแล้วว่าขันธ์ ๕ มันทั้งมีและไม่มี ใครเป็นผู้เห็นหรอครับ
ที่บอกว่าขอรู้แจ้งโลก ใครเป็นผู้รู้หรอครับ
และที่บอกว่า รู้เท่าทันอุปาทานขันธ์๕ นั้น ใครเป็นผู้รู้หรอครับ

แบบว่าสงสัยนิดหน่อย รบกวนไขข้อสงสัยของผมหน่อยได้มั้ยครับ



ตอบรวมเลยละกัน....ก็ตัวเรานั่นแหละ รู้

ศีลเป็นฐาน สมาธิเป็นกำลัง ปัญญาเป็นตัวรู้แจ้ง

ตัวเรา(ขันธ์๕)พิจารณาตัวเรา(ขันธ์๕)จนละเอียดถึงที่สุดแล้วก็ จะเห็น จะรู้



รบกวนอีกหน่อยนะครับ
แล้วศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของใครอ่ะครับ เราสามารถยึดมั่นถือมั่นมันได้หรือเปล่าครับ

เมื่อขันธ์๕ เป็นผู้รู้ ผู้พิจารณาขันธ์๕
หลักในการพิจารณาควรพิจารณาอย่างไรดีครับ เพื่อให้เห็น ให้รู้ แล้วจะรู้ในจุดใดอ่ะครับ


แก้ไขล่าสุดโดย พงพัน เมื่อ 04 ก.พ. 2010, 17:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
lnwoสูsย์ เขียน:
พงพัน เขียน:



ผมสงสัยบางอย่างน่ะครับ :b12:
ผมขออนุญาตถามคุณอสูรย์หน่อยได้มั้ยครับ
ว่าที่คุณอสูรย์บอกว่า เห็นแล้วว่าขันธ์ ๕ มันทั้งมีและไม่มี ใครเป็นผู้เห็นหรอครับ
ที่บอกว่าขอรู้แจ้งโลก ใครเป็นผู้รู้หรอครับ
และที่บอกว่า รู้เท่าทันอุปาทานขันธ์๕ นั้น ใครเป็นผู้รู้หรอครับ

แบบว่าสงสัยนิดหน่อย รบกวนไขข้อสงสัยของผมหน่อยได้มั้ยครับ



ตอบรวมเลยละกัน....ก็ตัวเรานั่นแหละ รู้

ศีลเป็นฐาน สมาธิเป็นกำลัง ปัญญาเป็นตัวรู้แจ้ง

ตัวเรา(ขันธ์๕)พิจารณาตัวเรา(ขันธ์๕)จนละเอียดถึงที่สุดแล้วก็ จะเห็น จะรู้



เมื่อขันธ์๕ เป็นผู้รู้ ผู้พิจารณาขันธ์๕
หลักในการพิจารณาควรพิจารณาอย่างไรดีครับ เพื่อให้เห็น ให้รู้ แล้วจะรู้ในจุดใดอ่ะครับ

ลองแบบยากดูก่อนนะว่าได้ไหม

ให้กำหนดวิญญาณตัวรู้ มาเป็นตัวเราก่อน(เรียกว่าจิตก็ได้)

แล้วเข้าสมาธิให้ได้เท่าที่ได้แล้วถอยมาที่อารมณ์ คิด (ตอนนี้จะเป็นวิปัสสนาญาณ)

ก็ใช้ตัวรู้นั้นพิจารณา รูป ก่อน ไล่ไปตั้งแต่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ เรา(ตัวรู้)

เอาเท่านี้ก่อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 20:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:

ลองแบบยากดูก่อนนะว่าได้ไหม

ให้กำหนดวิญญาณตัวรู้ มาเป็นตัวเราก่อน(เรียกว่าจิตก็ได้)

แล้วเข้าสมาธิให้ได้เท่าที่ได้แล้วถอยมาที่อารมณ์ คิด (ตอนนี้จะเป็นวิปัสสนาญาณ)

ก็ใช้ตัวรู้นั้นพิจารณา รูป ก่อน ไล่ไปตั้งแต่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ เรา(ตัวรู้)

เอาเท่านี้ก่อน


ขออภัยที่ตอบช้านะครับ

ถ้าทำอันนี้ได้แล้วอ่ะครับ แล้วยังไงต่อไปหรอครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ลุงหมาน และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร