วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 12:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การรักษาศีลหรือปฏิบัติตามศีล แยกออกเป็น ๒ ด้าน คือ การฝึกหัดขัดเกลาตนเอง (เพื่อความก้าวหน้า

ในคุณธรรมที่ยิ่งๆขึ้นไป) อย่างหนึ่ง

และการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นหรือของสังคมอย่างหนึ่ง



1. เว้นจากปาณาติบาต คือ ไม่ทำลายชีวิต จับเอาสาระว่า ความประพฤติหรือการดำเนินชีวิตที่ปราศจาก

การเบียดเบียนผู้อื่นทางด้านชีวิตร่างกาย

2. เว้นจากอทินนาทาน คือ ไม่ถือเอาของที่เขามิได้ให้ หรือไม่ลักขโมย จับเอาสาระว่า ความประพฤติ

หรือการดำเนินชีวิตที่ปราศจากการเบียดเบียนผู้อื่นทางด้านทรัพย์สินและกรรมสิทธิ์

3.เว้นกาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผิดในกามทั้งหลาย จับเอาสาระว่า ความประพฤติหรือการดำเนิน

ชีวิตที่ปราศจากการเบียดเบียนผู้อื่นทางด้านคู่ครอง บุคคลที่รักหวงแหน ไม่ผิดประเพณีทางเพศ ไม่นอก

ใจคู่ครองของตน

4. เว้นจากมุสาวาท คือ ไม่พูดเท็จ จับเอาสาระว่า ความประพฤติหรือการดำเนินชีวิตที่ปราศจากการเบียด

เบียนผู้อื่นด้วยวาจาเท็จโกหกหลอกลวงตัดรอนประโยชน์ หรือ แกล้งทำลาย

5. เว้นจากของเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท คือ ไม่เสพของมึนเมา จับเอาสาระว่า

ความประพฤติ หรือ การดำเนินชีวิตที่ปราศจากความประมาทพลั้งพลาดมัวเมาเนื่องจากการใช้สิ่งเสพติดที่ทำให้

เสียสติสัมปชัญญะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 21 พ.ค. 2010, 19:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้เห็นเหตุผลศีลทางพุทธศาสนามากขึ้น มีข้อเทียบระหว่างศีลพุทธธรรมกับศีลทางศาสนาเทวนิยม

ข้อสังเกตบางอย่างที่ควรทราบเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างศีลในพระพุทธศาสนา

กับศีลในศาสนาเทวนิยม (รวมถึงเรื่องกรรม ความดี ความชั่ว)



1.ในพุทธธรรม ศีลเป็นหลักความประพฤติที่กำหนดขึ้นตามหลักเหตุผลของกฎธรรมชาติ

ส่วนศีลในศาสนาเทวนิยม ศีลเป็นเทวโองการ ที่กำหนดขึ้นโดยเทวประสงค์

2. ในแง่ปฏิเสธ ศีลตามความหมายของพุทธธรรม เป็นหลักการฝึกอบรมตนในการงดเว้นจากความชั่ว

จึงเรียกศีลที่กำหนดเป็นข้อๆว่า สิกขาบท (ข้อฝึกหัด-rule of training)

ส่วนศีลในศาสนาเทวนิยมเป็นข้อห้าม หรือคำสั่งห้ามจากเบื้องบน (divine commandment)

3.แรงจูงใจ ที่ต้องการในทางการปฏิบัติตามศีลแบบพุทธธรรม ได้แก่ อาการวตีศรัทธา คือ ความมั่นใจ

(confidence) ในกฎแห่งกรรม โดยมีความเข้าใจพื้นฐานมองเห็นเหตุผลว่าพฤติกรรมและผลของมัน

จะต้องเป็นไปตามแนวทางแห่งเหตุปัจจัย

ส่วนแรงจูงใจ ที่จะต้องการในการปฏิบัติตามศีลของศาสนาเทวนิยม ได้แก่ศรัทธาแบบภักดี (faith)

คือ เชื่อ ยอมรับ และทำตามสิ่งใดๆ ก็ตามที่กำหนดว่าเป็นเทวประสงค์ มอบความไว้วางใจให้โดยสิ้นเชิง

ไม่ต้องถามหาเหตุผล

4. ในพุทธธรรม การรักษาศีลตามความหมายที่ถูกต้อง ก็คือ การฝึกอบรมตนในทางความประพฤติ

เริ่มแต่เจตนาที่จะละเว้นความชั่วอย่างนั้นๆจนถึงประพฤติความดีงามต่างๆ ที่ตรงข้ามกับความชั่วนั้นๆ

ส่วนในศาสนาเทวนิยม การรักษาศีล ก็คือการเชื่อฟังและปฏิบัติตามเทวโองการโดยเคร่งครัด

5.ในพุทธธรรม การประพฤติปฏิบัติในขั้นศีล มีวัตถุประสงค์เฉพาะ คือ เพื่อเป็นบาทฐานของสมาธิ

กล่าวคือเป็นระบบการฝึกอบรมบุคคลให้มีความพร้อมและความสามารถที่จะใช้กำลังงานของจิต

ให้เป็นประโยชน์อย่างมากที่สุด ในทางที่จะก่อให้เกิดปัญญาและนำไปสู่ความหลุดพ้น หรืออิสรภาพสมบูรณ์

ในที่สุด
ส่วนการไปสวรรค์เป็นต้น เป็นเพียงผลพลอยได้ ของวิถีแห่งความประพฤติโดยทั่วไป

แต่ในศาสนาเทวนิยม การประพฤติศีลตามเทวโองการ เป็นเหตุให้ได้รับความโปรดปรานจากเบื้องบน

เป็นการประพฤติถูกต้องตามเทวประสงค์ และเป็นเหตุให้พระองค์ทรงประทานรางวัลด้วยการส่งไปเกิดในสวรรค์


6.ในพุทธธรรม ผลดีหรือผลร้ายของการประพฤติหรือไม่ประพฤติศีล เป็นสิ่งที่เป็นไปเองโดยธรรมชาติ

คือ เป็นเรื่องการทำงานอย่างเที่ยงธรรมเป็นกลางของกฎแห่งธรรมชาติที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม

การให้ผลนี้ แสดงออกตั้งต้นแต่จิตใจ กว้างออกไปจนถึงบุคลิกภาพและวิถีชีวิตไปของบุคคลผู้นั้น


ไม่ว่าในชาตินี้หรือชาติหน้า

ส่วนในศาสนาเทวนิยม ผลดีผลร้ายของการประพฤติตามหรือการละเมิดศีล (เทวโองการ)เป็นเรื่องของ

การให้ผลตอบแทน (retribution) ผลดีคือการได้ไปเกิดในสวรรค์ เป็นรางวัล (reward)

ส่วนผลร้าย คือ ไปเกิดในนรกเป็นฝ่ายการลงโทษ (punishment) การจะได้ผลดีหรือผลร้ายนั้นย่อมสุด

แต่การพิพากษาหรือวินิจฉัยโทษ (judgment) ของเบื้องบน

7.ในแง่ความเข้าใจเกี่ยวกับความดีความชั่ว ทางฝ่ายพุทธธรรมสอนว่า ความดีเป็นคุณค่าที่รักษาและส่งเสริม

คุณภาพของจิต ทำให้จิตใจสะอาดผ่องใสบริสุทธิ์ หรือยกระดับให้สูงขึ้น จึงเรียกว่าบุญ (good,

moral หรือ meritorious) เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามแก่ชีวิตจิตใจ เป็นไปเพื่อ

ความหลุดพ้นหรืออิสรภาพทั้งทางจิตใจและทางปัญญา เป็นการกระทำที่ฉลาด ดำเนินตามวิถีแห่งปัญญาเอื้อ

แก่สุขภาพจิต จึงเรียกว่า กุศล (skilful หรือ wholesome)

ส่วนความชั่ว เป็นสภาพที่ทำให้คุณภาพของจิตเสื่อมเสีย หรือทำให้ตกต่ำลง จึงเรียกว่า บาป (evil)

เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมแก่ชีวิตจิตใจ ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด

ไม่เอื้อแก่สุขภาพจิต จึงเรียกว่า อกุศล (unskillful หรือ unwholesome)

ส่วนในศาสนาเทวนิยม ความดีความชั่ว กำหนดด้วยศรัทธาแบบภักดี ต่อองค์เทวะเป็นมูลฐาน คือ ถือเอาการ

เชื่อฟังยอมรับและปฏิบัติตามเทวประสงค์และเทวบัญชาหรือไม่เป็นหลัก โดยเฉพาะ ความชั่ว หมายถึง

การผิดหรือล่วงละเมิดต่อองค์เทวะ (sin) ในรูปใดรูปหนึ่ง


(ศีลเพื่อสมาธิ สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุตติ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 21 พ.ค. 2010, 22:30, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 21:56
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: ทำตัวน่ารักไปวัน ๆ
สิ่งที่ชื่นชอบ: คู่มือสะกดใจคน - เดวิด เจ.ไลเบอร์แมน
ชื่อเล่น: นุช
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


cool สวัสดีคร๊า




ศีลเป็นเครื่องยกระดับจิตใจของคนทุกคนให้เป็นไปในทิศทางบวก เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ว่าเราจะรักษาได้หรือไม่ ... ถ้าคุณแน่อย่าแพ้ ป.4 (เกี่ยวกันป่ะเนี่ย 5555+) :b9: อยากให้ทุกคนรักษาศีลนะคะ เพราะจะมีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตแน่นอน ...




















.....................................................
กฏเหล็กข้อแรกสุด ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 06:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้ ให้ปัญญาคะ tongue
ขอโมทนานะค่ะ สาธุ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีลคือฐานรากของนิพพาน

จะทำนิพพานให้แจ้งได้ต้องเริ่มต้นจากมีศีลก่อน

เริ่มจากศีล5, 8, 227,

การรักษาศีลคือการมีเจตนารักษาศีล

ศีลที่บริสุทธิ์คือเจตนาที่บริสุทธิ์มิได้หมายถึงการรักษาศีลโดยไม่มีข้อผิดพลาดเลย

การรักษาศีลก่อให้เกิดปิติองค์ธรรมตั้งต้นของสมาธิ

จึงเท่ากับศีลเป็นเครื่องกำจัดความหม่นหมอง

กำจัดนิวรณ์

ศีลนอกจากเป็นข้อละเว้นยังเป็นระดับวัดคุณธรรมของปัจเจกบุคคลอีกด้วย

ผู้ที่มีศีลยิ่งมากโดยธรรมชาติ หมายความว่ามีคุณธรรมที่สูงด้วย

เช่นพระอรหันต์จะมีศีล227โดยปริยาย

ข้อผิดพลาดในการรักษาศีลคือ สีลัพพัตปรามาส

คือการรักษาศีลที่ผิดพลาดเช่น

การตั้งกฎที่เข้มงวดกันตนเองให้ปฏิบัติเป็นต้นว่า

กินแต่ผัก ผลไม้หล่น นอนบนหนาม ยืนขาเดียว เป็นต้น

ซึงไม่นำไปสู่นิพพาน

ทางที่ถูกคือใช้ศีลเป็นบาทฐานของสมาธิ ทำให้มีจิตใจมั่นคง

ศีลในอริยะมรรคที่มีองค์แปดได้แก่

สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ

ในโลกียะ(พุทธธรรมหน้า757)

1. "ภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจาเป็นไฉน?นี้เรียกว่าสัมมาวาจาคือ

1)มุสาวาทา เวรมณี เจตนาเว้นจากการพูดเท็จ

2)ปิสุนาย วาจาย เวรมณ๊ " วาจาส่อเสียด

3)ผรุสาย วาจาย เวรมณี " วาจาหยาบคาย

4)สมฺผปฺปลาป เวรมณี " การพูดเพ้อเจ้อ"

2."ภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน?นี้เรียกว่าสัมมากัมมันตะ คือ

1)ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนงดเว้นจากการตัดรอนชีวิต

2)อทินฺนาทานา เวรมณี " การถือเอาของที่เขามิได้ให้

3)กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี " การประพฤติผิดในกามทั้งหลาย"

3."ภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะเป็นไฉน?นี้เรียกว่าสัมมาอาชีวะ คือ อริยะสาวกละมิจฉาอาชีวะเสีย หาเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ(มิจฉอาชีวะได้แก่ การโกง หรือ หลอกลวง การประจบสอพลอ การทำเลศนัยใช้เล่ห์ขอ การบีบบังคับขู่เข็ญ การต่อลาภด้วยลาภ มะอุ 14/27/186)

ในระดับโลกุตระมีดังนี้

1.สัมมาวาจาที่เป็นโลกุตระได้แก่ "ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนาเว้นขาดจากวจีทุจริตทั้ง4ของท่านผู้มีจิตเป็นอริยะ มีจิตไร้อาสวะ มีอริยมรรคเป็นสมังคี กำลังเจริญอริยมรรคอยู่"

2.สัมมากัมมันตะที่เป็นโลกุตระ ได้แก่ "ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนาเว้นขาดจากกายทุจริตทั้ง3ของท่านผู้มีจิตเป็นอริยะ..."

3.สัมมาอาชีวะที่เป็นโลกุตระ ได้แก่ "ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนางดเว้นจากมิจฉาอาชีวะของท่านผู้มีจิตเป็นอริยะ..."

เรียกระบบการอบรมขั้นศีลธรรมนี้ว่า อธิศีลสิกขา

นอกจากนี้แล้วการรักษาศีลเปรียบเสมือนกับการชำระล้างจิตใจตนเองให้บริสุทธิ์

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดังกล่าวมาข้างต้นคงพอเห็นการปฏิบัติตามศีล 2 ด้าน คือ


การรักษาศีลหรือปฏิบัติตามศีล แยกออกเป็น ๒ ด้าน คือ การฝึกหัดขัดเกลาตนเอง (เพื่อความก้าวหน้าใน

คุณธรรมที่ยิ่งๆขึ้นไป) อย่างหนึ่ง

และการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น หรือ ของสังคมอย่างหนึ่ง

บ้างแล้ว

ต่อไปขอนำพุทธพจน์เกี่ยวกับศีลแห่งหนึ่งพิจารณาดูเอง



“คหบดีทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมบรรยายสำหรับน้อมเข้ามาเทียบตัว...

1. อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเองอยากมีชีวิต ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์

ถ้าใครจะปลงชีวิตเรา ผู้อยากอยู่ ไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา

ก็ถ้าเรา จะปลงชีวิตคนอื่นผู้อยากอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น

เหมือนกัน

สิ่งใด ตัวเราเองไม่ชื่นชอบ ไม่พอใจ ถึงคนอื่นเขาก็ไม่ชื่นชอบ ไม่พอใจเหมือนกัน

สิ่งใด ตัวเราเองก็ไม่ชอบ ไม่พอใจ ไฉนจะพึงเอาไปผูกใส่ ให้คนอื่นเล่า

อริยสาวกนั้น พิจารณาเห็นดังนี้ ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาต ด้วยตนเองด้วย

ย่อมชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากปาณาติบาตด้วย ย่อมกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากปาณาติบาตด้วย

กายสมาจาร ของอริยสาวกนั้น ย่อมบริสุทธิ์ทั้งสามด้านอย่างนี้


2. อีกประการหนึ่ง อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ถ้าใคร จะถือเอาสิ่งของที่มิได้ให้ด้วยอาการขโมย

ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา

ก็ถ้าเรา จะถือเอาของที่ผู้อื่นมิได้ให้ด้วยอาการขโมย ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน...


3. อีกประการหนึ่ง อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็ถ้าใคร จะประพฤติผิดในภรรยาของเรา ก็จะไม่เป็นข้อ

ที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา

ก็ถ้าเรา จะประพฤติผิดในภรรยาของคนอื่น ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน...


4. อีกประการหนึ่ง อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็ถ้าใคร จะทำลายประโยชน์ของเรา ด้วยการกล่าวเท็จ

ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา

ก็ถ้าเรา จะทำลายประโยชน์ของคนอื่น ด้วยการกล่าวเท็จก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบ ที่พอใจแก่คนอื่น

เหมือนกัน..


5. อีกประการหนึ่ง อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ถ้าใครจะยุยงเราให้แตกจากมิตร ด้วยคำส่อเสียด

ก็จะไม่เป็นข้อที่ ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา

ก็ถ้าเราจะยุยงคนอื่นให้แตกจากมิตร ด้วยคำส่อเสียด ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบ ที่พอใจแก่คนอื่น เหมือนกัน...


6. อีกประการหนึ่ง อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ถ้าใครจะพูดจากะเราด้วยคำหยาบ ก็จะไม่เป็นข้อที่

ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา

ก็ถ้าเราจะพูดจากะคนอื่นด้วยคำหยาบ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบที่พอใจ แก่คนอื่น เหมือนกัน...


7. อีกประการหนึ่ง อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่าถ้าใครจะพูดจากะเราด้วยถ้อยคำเพ้อเจ้อ ก็จะไม่เป็น

ข้อที่ชื่นชอบที่พอใจแก่เรา ก็ถ้าเราจะพูดจากะคนอื่นด้วยคำเพ้อเจ้อ ก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบไม่พอใจ

เหมือนกัน

สิ่งใดตัวเราเอง ก็ไม่ชอบ ไม่พอใจ ไฉนจะพึงเอาไปผูกใส่ ให้คนอื่นเล่า

อริยสาวกนั้น พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ด้วยตนเองด้วย ย่อมชักชวนผู้อื่นให้งดเว้น

จากการพูดเพ้อเจ้อด้วย

ย่อมกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการพูดเพ้อเจ้อด้วย วจีสมาจารของอริยสาวก นั้น ย่อมบริสุทธิ์ ทั้งสามด้านอย่างนี้

(สํ.ม.19/1458-1465/442-6)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 14:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณค่ะ ได้ความรู้เพิ่มเติมอีก สาธุคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 16:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณาอีกจะเห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้ามิได้ทิ้งสังคมที่แวดล้อมอยู่

ดูตัวอย่างต่อไปนี้ แต่ไม่พึงยึดติดถ้อยคำจับเอาแต่สาระ

(ท่านแปลรวบความตัดที่ซ้ำๆกัน)



“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเข้าใจว่าอย่างไร เธอทั้งหลายเคยได้เห็น หรือได้ยินบ้างไหมว่า บุรุษนี้ละปาณาติบาต

เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาตแล้ว พระราชาทั้งหลายจับเขามาประหาร จองจำ เนรเทศ หรือกระทำการตามปัจจัย

เพราะการงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นเหตุ ?


“ไม่เคย พระเจ้าข้า”


“ถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน...

มีแต่เขาจะประกาศการกระทำชั่วว่า คนผู้นี้ ฆ่าหญิงหรือชายตาย

พระราชาทั้งหลายจึงจับเขามาประหาร จองจำ เนรเทศ หรือกระทำการตามปัจจัย เพราะปาณาติบาตเป็นเหตุ

อย่างนี้เธอทั้งหลาย เคยเห็นหรือเคยได้ยินบ้างไหม ?


“เคยเห็น เคยได้ยิน และจักได้ยินต่อไปด้วย พระเจ้าข้า”


“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเข้าใจว่าอย่างไร เธอทั้งหลายเคยได้เห็นหรือได้ยินบ้างไหมว่า-(บุรุษนี้ละอทินนาทาน

เป็นผู้งดเว้นจากอทินนาทานแล้ว...

จากกาเมสุมิจฉาจารแล้ว...

จากมุสาวาทแล้ว...

จากสุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานแล้ว

พระราชาทั้งหลาย จึงจับเขามาประหาร จองจำ เนรเทศ หรือ กระทำการตามปัจจัย เพราะการงดเว้นจาก

อทินนาทาน...

จากกาเมสุมิจฉาจาร...

จากมุสาวาท...

จากสุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานเป็นเหตุ” ?


“ไม่เคย พระเจ้าข้า”


“ถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน...

มีแต่เขาจะประกาศการกระทำชั่วว่า คนผู้นี้ ลักทรัพย์เขามาจากบ้าน หรือจากป่า...

คนผู้นี้ ประพฤติละเมิดในสตรีหรือในบุตรีของผู้อื่น....

คนผู้นี้ ทำลายประโยชน์ของชาวบ้าน หรือ ลูกชาวบ้าน ด้วยการกล่าวเท็จ...

คนผู้นี้ ร่ำสุราเมรัย ฯ แล้วประพฤติละเมิดในสตรี หรือ ในบุตรีของผู้อื่น....

คนผู้นี้ ร่ำสุราเมรัยฯ แล้วทำลายประโยชน์ของชาวบ้าน หรือลูก ชาวบ้าน ด้วยการกล่าวเท็จ

พระราชาทั้งหลายจึงจับเขามาประหาร จองจำ เนรเทศ หรือกระทำการตามปัจจัยเพราะอทินนาทาน...

กาเมสุมิจฉาจาร...

มุสาวาท...สุราเมรัยฯ เป็นเหตุ

อย่างนี้เธอทั้งหลาย เคยเห็นหรือเคยได้ยินบ้างไหม ?”


“เคยเห็น เคยได้ยิน และจักได้ยินต่อไปด้วย พระเจ้าข้า”


(องฺ.ปญฺจก.22/178/232)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




2p222.jpg
2p222.jpg [ 241.23 KiB | เปิดดู 3766 ครั้ง ]
อาชญากรรมที่ร้ายแรงแทบทั้งหมดเป็นเรื่องของการละเมิดศีล 5 ในสังคมที่มากด้วยการสังหารผลาญชีวิต

การปองร้าย การทำร้ายกัน การลักขโมย ปล้น แย่งชิง การทำความผิดทางเพศ มีคดีฆาตกรรม โจรกรรม

การข่มขืน หลอกลวง การเสพของมึนเมาและสิ่งเสพติด ตลอดจนการก่อปัญหาและอุบัติเหตุต่างๆ เนื่องมา

จากของมึนเมาและสิ่งเสพติดเหล่านั้น ระบาดแพร่หลายทั่วไป ชีวิตและทรัพย์สินไม่ปลอดภัย จะอยู่ไหนหรือ

ไปที่ไหนก็ไม่มีความมั่นใจเต็มไปด้วยความห่วงใยวิตกกังวล จิตใจหวาดผวาบ่อย ๆ

ผู้คนพบเห็นกันแทนที่จะอบอุ่นใจ ก็หวาดระแวงกัน อยู่กันไม่เป็นปกติสุข สุขภาพจิตของประชาชน

ย่อมเสื่อมโทรม ยากที่จะพัฒนา

คุณภาพและสมรรถภาพของจิต และสังคมเช่นนั้นก็ไม่เป็นสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลสำหรับการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม

ที่สูงยิ่งขึ้นไป
เพราะมีความเดือดร้อนระส่ำระสายยุ่งแต่การแก้ปัญหา และมีแต่กิจกรรมที่บ่อนทำลายให้สังคม

เสื่อมโทรมลงไปทุกที

การขาดศีล 5 จะเนื่องมาจากเหตุใดก็ตาม จึงย่อมเป็นมาตรฐานวัดความเสื่อมโทรมของสังคม


ส่วนสภาพพฤติกรรม และการดำเนินชีวิตที่ตรงข้ามจากนี้นั่นแหละคือการมีศีล 5 ดังนั้น ศีล 5 จึงเป็นเกณฑ์

มาตรฐานอย่างต่ำที่สุดของความประพฤติมนุษย์ สำหรับรักษาสภาพแวดล้อมทางสังคมให้อยู่ในภาวะเกื้อกูล

และเป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิตที่ดีงาม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 19:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเข้าใจศีลมุมกว้างแล้ว ดูอีกมุมหนึ่งว่า พระอรรถกถาจารย์กล่าวประมวลหลักเกณฑ์เรื่องนี้ไว้อย่างไร

พระอรรถกถาจารย์ ได้ประมวลหลักเกณฑ์บางอย่างไว้สำหรับกำหนดว่า การกระทำแค่ไหนเพียงใด

จึงจะชื่อว่าเป็นการละเมิดศีลแต่ละข้อๆ เป็นการให้ความสะดวกแก่ผู้รักษาศีล โดยจัดวางเป็นองค์ประกอบ

ของการละเมิด เรียกว่าสัมภาระ หรือ เรียกกันง่ายๆ ว่าองค์ บุคคลจะชื่อว่าละเมิดศีล (เรียกกันง่ายๆว่าศีลข้อนั้น

จะขาด) ต่อเมื่อกระทำการครบองค์ทั้งหมด ของการละเมิด ดังนี้

ศีลข้อ 1 ปาณาติบาต มีองค์ 5 คือ

1. สัตว์มีชีวิต

2. รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต

3. จิต คิดจะฆ่า

4. มีความพยายาม

5. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น


ศีลข้อ 2 อทินนาทาน มีองค์ 5 คือ

1. ของผู้อื่นหวงแหน

2. รู้อยู่ว่าเขาหวงแหน

3. จิตคิดจะลัก

4.มีความพยายาม

5.ลักของได้ด้วยความพยายามนั้น


ศีลข้อ 3 กาเมสุมิจฉาจาร มีองค์ 4 คือ

1. อคมนียวัตถุ ได้แก่ สตรี หรือ บุรุษที่ไม่ควรละเมิด

2.จิตคิดจะเสพ

3. มีความพยายามในการเสพ

4. ยังมรรค คือ อวัยวะสืบพันธุ์ให้ถึงกัน


ศีลข้อ 4 มุสาวาท มีองค์ 4 คือ

1.เรื่องไม่จริง

2. จิตคิดจะกล่าวให้คลาดเคลื่อน

3. มีความพยายามเกิดจากจิตที่คิดจะกล่าวให้คลาดเคลื่อนนั้น

4. ผู้อื่นเข้าใจความที่พูดนั้น


ศีลข้อ 5 สุราเมรัย ฯ มีองค์ 4 คือ

1. สิ่งนั้นเป็นของเมา

2. จิตใคร่จะดื่ม

3. มีความพยายามเกิดจากจิตที่ใคร่จะดื่มนั้น

4. กลืนให้ล่วงลำคอลงไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาระของศีลอยู่ที่เจตนา ได้แก่ การไม่คิดล่วงละเมิด

คำว่า ละเมิดแง่หนึ่ง คือ ละเมิดระเบียบ ละเมิดกฎเกณฑ์ บทบัญญัติ ละเมิดวินัยที่วางกันไว้

อีกแง่หนึ่ง ละเมิดผู้อื่น หมายถึง เจตนาที่จะเบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง

ศีล จึงหมายถึงการไม่เจตนาละเมิดระเบียบวินัย หรือการไม่เจตนาล่วงเกินเบียดเบียนผู้อื่น

ถ้ามองแต่อาการ หรือ การกระทำ ศีล ก็คือความไม่ละเมิดและการไม่เบียดเบียน


มองอีกด้านหนึ่ง ศีลอยู่ที่ความสำรวมระวัง กล่าวคือการสำรวมระวังคอยปิดกั้นหลีกเว้นไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้น

นั่นเอง เป็นศีล และถ้ามองให้ลึกที่สุด สภาพจิตของผู้ไม่คิดจะละเมิดไม่คิดจะเบียดเบียนใครนั่นแหละ

คือ ตัว ศีล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับศีลข้อที่ 1 แม้ว่าการฆ่าสัตว์ ท่านจะมุ่งเอาสัตว์ที่เรียกว่ามนุษย์เป็นหลัก ดังพุทธพจน์ที่ยกมา

แสดงแล้ว

แต่สัตว์จำพวกที่เรียกว่าดิรัจฉาน ก็รักชีวิต รักสุขเกลียดทุกข์ เป็นเพื่อนร่วมโลก เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน

ไม่ควรเบียนเช่นเดียวกัน

ศีลข้อนี้ ท่านจึงให้แผ่คลุมไปถึงสัตว์จำพวกที่เรียกว่าดิรัจฉานด้วย แต่ยอมรับว่าการฆ่าสัตว์จำพวกดิรัจฉาน

มีโทษน้อยกว่าการฆ่าสัตว์จำพวกมนุษย์

และพระอรรถกถาจารย์ก็ได้แสดงหลักสำหรับวินิจฉัยว่า การฆ่าสัตว์ใดมีโทษน้อยหรือโทษมาก คือ


1. คุณ สัตว์มีคุณมาก ฆ่าก็มีโทษมาก สัตว์มีคุณน้อยหรือไม่มีคุณก็มีโทษน้อย เช่น ฆ่าพระอรหันต์

มีโทษมากกว่าฆ่าปุถุชน ฆ่าสัตว์ช่วยงานมีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ดุร้าย เป็นต้น

2. ขนาดกาย สำหรับสัตว์จำพวกดิรัจฉานที่ไม่มีคุณเหมือนกัน ฆ่าสัตว์ใหญ่มีโทษมาก ฆ่าสัตว์เล็กมีโทษน้อย

3. ความพยายาม มีความพยายามมากในการฆ่ามีโทษมาก มีความพยายามน้อยมีโทษน้อย

4. กิเลสหรือเจตนา กิเลสหรือเจตนาแรงมีโทษมาก กิเลสหรือเจตนาอ่อนมีโทษน้อย เช่น ฆ่าสัตว์ด้วยโทสะ

หรือจงใจเกลียดชัง มีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ด้วยป้องกันตัว เป็นต้น


แม้ในศีลข้ออื่นๆ ท่านก็กล่าวถึงการละเมิดที่มีโทษมากหรือโทษน้อยไว้แนวเดียวกัน เช่น อทินนาทานมีโทษมาก

หรือน้อยตามคุณค่าของสิ่งของ คุณความดีของเจ้าของ และความพยายามในการลัก

กาเมสุมิจฉาจารมีโทษมากหรือน้อยตามคุณค่าของคนที่ถูกละเมิด ความแรงของกิเลสและความเพียรพยายาม

มุสาวาทมีโทษมากหรือน้อย แล้วแต่ประโยชน์ที่จะตัดรอนเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กน้อย และแล้วแต่ผู้พูด

เช่น คฤหัสถ์จะไม่ให้ของของตน พูดไปว่าไม่มี ก็ยังมีโทษน้อย

ถ้าเป็นพยานเท็จมีโทษมาก

สำหรับบรรพชิตพูดเล่นมีโทษน้อย จงใจบอกของที่ไม่เคยเห็นว่าเห็น มีโทษมาก

สำหรับการดื่มของเมา มีโทษมากน้อยตามอกุศลจิตหรือกิเลสในการที่จะดื่ม ตามปริมาณที่ดื่ม และตามผล

ที่จะก่อให้เกิดการกระทำผิดพลาดชั่วร้าย- (วิภงฺค. อ. 497)

สำหรับข้อ 5 ปัจจุบันมีสิ่งเสพติดที่เสพได้โดยวิธีการอย่างอื่นนอกจากดื่ม พึงจับเอาสาระมาเทียบเคียง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในยุคหลังต่อมา ปราชญ์ได้นำเอาธรรมบางข้อที่เข้าคู่กันกับสิกขาบทหรือศีล 5 นั้น มาจัดวางเป็นหมวดขึ้น

สำหรับแนะนำให้คฤหัสถ์ปฏิบัติคู่กันไปกับ เบญจศีล โดยเรียกชื่อว่า เบญจธรรม หรือเบญจกัลยาณธรรม ข้อ

ธรรมที่นำมาจัดนั้น ก็เดินตามแนวของหลักที่เรียกว่ากุศลกรรมบถนั่นเอง แต่ในการเลือกข้อธรรมมาจัดเข้ามีความ

แตกต่างกันอยู่บ้าง โดยเฉพาะในแง่ของข้อธรรมที่มีความหมายกว้างแคบกว่ากัน

หัวข้อของเบญจธรรมนั้น เรียกตามลำดับให้เข้าคู่กับศีล 5 คือ

1. เมตตาและกรุณา

2. สัมมาอาชีวะ (บางท่านเลือกเอาทานเข้าด้วย)

3.กามสังวร คือ ความรู้จักยับยั้งควบคุมตนในทางกามารมณ์ หรือเรื่องรักใคร่ไม่ให้ผิดศีลธรรม(บางท่านเลือก

เอาสทารสันโดษ คือ ความยินดีด้วยคู่ครองของของตน)

4. สัจจะ

5. สติสัมปชัญญะ (บางท่านเลือกเอาอัปปมาทคือความไม่ประมาท ซึ่งได้ความเกือบไม่ต่างกัน)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 20:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 22:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับข้อสทารสันโดษ ที่เป็นข้อปฏิบัติตรงข้ามกับกาเมสุมิจฉาจาร มีข้อสังเกตที่ควรกล่าวไว้

สทารสันโดษ แปลว่า ความพอใจด้วยภรรยาของตน ว่าโดยสาระก็คือความยินดีเฉพาะคู่ครองของตน

แม้ว่ามองกว้างๆ หลักการจะเปิดให้เกี่ยวกับจำนวนของคู่ครอง มิได้กำหนดไว้ตายตัวว่าคนเดียวหรือกี่คน

สุดแต่ตกลงยินยอมกันโดยสอดคล้องกับประเพณีและบัญญัติของสังคม โดยถือสาระว่า ไม่ละเมิดต่อคู่ครอง

หรือของหวงห้ามที่เป็นสิทธิของผู้อื่น ไม่ละเมิดฝ่าฝืนความสมัครใจของคู่กรณีและไม่นอกใจคู่ครองของตน

เมื่อพร้อมใจกันและเป็นไปโดยเปิดเผย ไม่ละเมิดและไม่เสียความซื่อสัตย์ต่อกันแล้ว ก็ไม่จัดเป็นเสีย

แต่กระนั้นก็ตาม เมื่อว่าโดยนิยมท่านยกย่องการมีคู่ครองแบบผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งมีความรักใคร่ภักดีต่อกัน

มั่นคงยั่งยืน มีความมั่นคงภายในครอบครัว ลูกหลานมีความร่มเย็นเป็นสุขและอบอุ่นใจ

ดังชีวิตของคู่อริยสาวกนกุลบิดและนกุลมารดาที่เป็นแบบฉบับบันทึกไว้ในพระสูตรเป็นตัวอย่าง

สามีภรรยาคู่นี้เป็นอริยบุคคลขั้นโสดาบันและเป็นเอตทัคคะในทางสนิทสนมคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า

ทั้งสองท่านมีความประสานสอดคล้องโดยความรักภักดี และความซื่อสัตย์ ซึ่งนำไปสู่ความกลมกลืนกัน

โดยคุณธรรมจนปรารถนาจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า


สทารสันโดษนี้ ท่านจัดเป็นพรหมจรรย์อย่างหนึ่ง แสดงว่าเป็นความประพฤติและการดำเนินชีวิตที่ได้รับยกย่อง

อย่างสูงในพระพุทธศาสนา ท่านว่าเป็นเหตุอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ไม่ตายแต่ยังหนุ่มสาว ดังความว่า

“พวกเราไม่ประพฤตินอกใจภรรยา และภรรยาก็ไม่ประพฤตินอกใจพวกเรา พวกเราประพฤติพรหมจรรย่

ในหญิงอื่น นอกจากภรรยาของพวกเรา ฉะนั้น พวกเราจึงไม่มีใครตายตั้งแต่ยังหนุ่มสาว”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




883184r5f62de18z.gif
883184r5f62de18z.gif [ 93.53 KiB | เปิดดู 3738 ครั้ง ]
ภาษิตต่อไปนี้ถือได้ว่า เป็นบทสรุปศีล

"ผู้ใดสำรวมด้วยกาย วาจา ใจ ไม่กระทำความชั่วใดๆ ไม่พูดเหลาะแหละเพราะเห็นแก่ตน

คนเช่นนั้น เรียกได้ว่าผู้มีศีล"

(ขุ.ชา.27/2466/540)

และพุทธพจน์ต่อไปนี้ ก็ถือได้ว่า เป็นสาระแห่งศีล

"จงสร้างความเกษมในปวงสัตว์"

ม.มู.12/98/70

อรรถกถาอธิบายว่า ความเกษม หมายถึง อภัย ความเกื้อกูล เมตตา และว่าข้อความนี้หมายถึงความบริสุทธิ์

ทางมโนทวาร-ม.อ.1/247

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร