วันเวลาปัจจุบัน 25 มิ.ย. 2025, 01:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 23:07
โพสต์: 21

แนวปฏิบัติ: เจริญสติภาวนา
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


monmit เขียน:
:b8: ถามผู้รู้ว่าเราจะประเมินการภาวนาว่ามาถูกทางและก้าวหน้าแล้วอย่างไรคะ ขอบคุณมากค่ะ

:b8: ตามความเห็นของผมนะ น่าจะลองสังเกตุเข้าไปที่กายที่ใจของเราเองว่ามีความเปลี่ยนแปลง
บ้างหรือเปล่าไปในทางไหนบ้างครับ สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสงบที่เกิดจากการเจริญสมาธิหรือเจริญ วิปัสสนา ก็ตามถ้าผู้ปฏิบัติได้ปฏิบัติถึงที่สุดเต็มที่แล้ว บางทีมันรู้ได้ดวยตัวของตัวเอง...ปัญญามันเกิดขึ้นเอง รู้ ขึ้นมาเอง...โดยไม่ต้อง นึก คิด ตรึกตรอง อะไรๆ เลย (รู้ในที่นี้คือ...รู้ว่าได้เดินมาถูกทางตามรอยพระพุทธเจ้าแล้ว)
ขอเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


monmit เขียน:
:b8: ถามผู้รู้ว่าเราจะประเมินการภาวนาว่ามาถูกทางและก้าวหน้าแล้วอย่างไรคะ ขอบคุณมากค่ะ

"รู้" บ้าง "ไม่รู้" บ้าง แต่จะลองตอบตามที่พอจะ "รู้" นะครับ :b12: :b5:

เอาแบบวิชาการ (แบบยาก :b5: ) ก่อนนะครับ :b12:

การภาวนามี ๒ แบบคือ สมถภาวนา เพื่อฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ และวิปัสสนาภาวนา เพื่อฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งตามความเป็นจริง ซึ่งทั้ง ๒ แบบนั้น พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง

สมถภาวนา สามารถประเมินว่ามาถูกทางและก้าวหน้าได้จากความสงบในขั้นต่างๆของสมาธิ (สมถกรรมฐาน) ได้แก่

๑. ขณิกสมาธิ คือสมาธิชั่วขณะ เป็นสมาธิขั้นต้นที่สามารถใช้ในการเล่าเรียนทำการงานให้ได้ผลดี ให้จิตใจสงบสบายได้พักชั่วคราว และใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้
๒. อุปจารสมาธิ เป็นสมาธิจวนจะแน่วแน่ ยังไม่ดิ่งถึงที่สุด เป็นขั้นทำให้กิเลสมีนิวรณ์เป็นต้นระงับ
๓. อัปปนาสมาธิ ภาวนาขั้นแน่วแน่ คือเกิดอัปปนาสมาธิเข้าถึงฌาน และสามารถวัดความก้าวหน้าต่อในฌาน โดยรูปฌานที่ ๑ ถึง ๔ ให้พิจารณาจากองค์เจตสิกต่างๆที่มี และไม่มี (วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) ส่วนในอรูปฌานที่ ๑ ถึง ๔ ให้พิจารณาจากสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ (space, วิญญาณจิต, ความไม่มี, สัญญาที่มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ คือมีความจำได้หมายรู้อยู่ แต่ไม่รู้ว่ารู้อะไร)

วิปัสสนาภาวนา สามารถประเมินว่ามาถูกทางและก้าวหน้าได้จากวิปัสสนาญาณ ๙ (ละเอียดกว่านี้คือ โสฬสญาณ หรือญาณ ๑๖ แต่บางส่วนไม่จัดว่าเป็นวิปัสสนาญาณ) ได้แก่

๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดและความดับแห่งนามรูป
๒. ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นจำเพาะความดับเด่นขึ้นมา
๓. ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว
๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นโทษ
๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นด้วยความหน่าย
๖. มุจจิตุกัมยตาญาณ ญาณหยั่งรู้อันให้ใคร่จะพ้นไปเสีย
๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณอันพิจารณาทบทวนเพื่อจะหาทาง
๘. สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร
๙. สัจจานุโลมิกญาณ ญาณเป็นไปโดยควรแก่การหยั่งรู้อริยสัจจ์

ปล. ข้อธรรมบางอย่าง เช่น โสฬสญาณ ไม่ปรากฏโดยตรงจากพระโอษฐ์ แต่ปรากฏในคัมภีร์ชั้นรอง เช่น ปฏิสัมภิทามัคค์ และวิสุทธิมัคค์ ที่พระสาวกเทศนา หรือพระอรรถกถาจารย์รุ่นหลังแต่งขึ้น ดังนั้น อย่าพึ่งเชื่อโดยสนิทใจ โปรดใช้หลักกาลามสูตร ในการปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองนะครับ ว่าพัฒนาการทางจิต ทั้งสมถะและวิปัสสนานั้น เป็นไปตามที่ระบุไว้หรือไม่ครับ :b1:

เจริญในธรรมครับ :b8:

(อ้างอิงจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) และ โฬสญาณ http://nkgen.com/715.htm)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำเนื้อหามาลงเพิ่มเติมครับ อนุโมทนาครับ :b8: การฝึกสติปัฏฐานเคยอ่านมาว่าสามารถทำให้เราเข้าใจและเชื่อในเรื่องกรรมให้ผลจริงด้วยนะครับ

สติปัฏฐาน4 โพชฌงค์7
( สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์ ย่อมทำโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ )

ภิกษุทั้งหลาย !
ก็สติปัฏฐานทั้ง 4 อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า
จึงทำโพชฌงค์ทั้ง 7 ให้บริบูรณ์ได้ ?


--------------------------------------------------------------------------------

ภิกษุทั้งหลาย !

สมัยใด ภิกษุ
เป็นผู้ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำก็ดี,
เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำก็ดี,
เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำก็ดี,
เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำก็ดี
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้

สมัยนั้น
สติที่ภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง.

ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง,
สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่
ชื่อว่าย่อมทำการเลือก ย่อมทำการเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา.

ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ทำการเลือกเฟ้น ทำการใคร่ครวญซึ่งธรรมนั้นอยู่ด้วยปัญญา
สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

ภิกษุนั้น เมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญซึ่งธรรมนั้น ด้วยปัญญาอยู่
ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ก็ชื่อว่าเป็นธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว

ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน อันภิกษุผู้เลือกเฟ้น ใคร่ครวญธรรมด้วยปัญญาได้ปรารภแล้ว
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้วเช่นนั้น
ปีติอันเป็นนิรามิสก็เกิดขึ้น ( อามิส = รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ | นิรามัส = ไม่อิงอามิส )

ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว
สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

ภิกษุนั้น เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ
แม้กายก็รำงับ แม้จิตก็รำงับ.

ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำงับ
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

ภิกษุนั้น เมื่อมีกายอันมีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่
จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ.

ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่ ย่อมเป็นจิตตั้งมั่น
สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี.

ภิกษุทั้งหลาย !
สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี
สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ


--------------------------------------------------------------------------------

ภิกษุทั้งหลาย !
สติปัฏฐานทั้ง 4 อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
ย่อมทำโพชฌงค์ทั้ง 7 ให้บริบูรณ์ได้.


--------------------------------------------------------------------------------

มหาวาร. สํ. 19 / 424 / 1402-1

http://watnapp.com/read/anapanasati/006

(นำเนื้อหามาบางส่วน อ่านเนื้อหาแต่ล่ะส่วนคลิกตามลิ้งได้เลยครับ)


แก้ไขล่าสุดโดย Rotala เมื่อ 07 ส.ค. 2010, 23:27, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 23:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


monmit เขียน:
:b8: ถามผู้รู้ว่าเราจะประเมินการภาวนาว่ามาถูกทางและก้าวหน้าแล้วอย่างไรคะ ขอบคุณมากค่ะ

มาต่อ (เท่าที่รู้) ครับ

คราวนี้ เอาแบบง่ายบ้าง

การจะประเมินการภาวนาว่ามาถูกทางและก้าวหน้า ทั้งสมถะและวิปัสสนาภาวนา ให้พิจารณาที่ความบริสุทธิ์ของจิตครับ นั่นคือ พิจารณากิเลสทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด ที่ยังปนเปื้อนอยู่ในจิต

{ถ้าจะว่าตามอภิธรรม (ซึ่งเป็นพุทธพจน์หรือไม่ เราไม่นำมาถกกันตอนนี้นะครับ เดี๋ยวจะยาว แต่เอาแค่ว่า อภิธรรมสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการอธิบายสภาวะอะไรได้กันก่อนดีกว่า) นั่นคือ จิตประกอบด้วยเจตสิกกลุ่มอโสภณเจตสิก (โลภ โกรธ หลง) มากน้อยแค่ไหน และ/หรือประกอบด้วยเจตสิกกลุ่มโสภณเจตสิก (โสภณสาธารณเจตสิก เช่น รู้ตัว กลัวบาป เบา คล่องแคล่ว ว่องไว ควรค่าแก่การงาน, วีรตีเจตสิก ได้แก่ คิดดี ทำดี พูดดี, อัปปมัญญาเจตสิก ได้แก่ มีความกรุณา มุทิตา,และสุดท้ายคือ ปัญญาเจตสิก) มากน้อยแค่ไหน}

ถ้าถูกทางและก้าวหน้าดี กิเลสจะเบาบางลง จากหยาบ ไปกลาง ไปละเอียด จนหมดไปทีละส่วนเมื่อบรรลุมรรคผลตามลำดับขั้นครับ

แรกสุด กิเลสอย่างหยาบ ซึ่งกำจัดได้ด้วยศีล จะต้องค่อยๆเบาบางลง เหมือนตัดหญ้าทิ้ง
(คือกิเลสที่ฟุ้งออกมาทางกาย และวาจา ทําตนเองและสังคมให้ประสบความเดือดร้อนวุ่นวาย ได้แก่ กิเลส 7 ชนิด ซึ่งฟุ้งออกมาทางกาย 3 มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ฟุ้งออกมาทางวาจา 4 มีการพูดเท็จ พูดคําหยาบ พูดส่อเสียด)

อย่างที่สอง กิเลสอย่างกลาง ซึ่งกดข่มได้ด้วยสมาธิ จะต้องค่อยๆเบาบางลง เหมือนทับหญ้าด้วยหิน
(คือกิเลสที่กลุ้มรุมจิตใจให้เดือดร้อนกระวนกระวาย สกัดกั้นความสงบสุขของจิตใจ หมายถึงกิเลสจําพวกนิวรณ์ ได้แก่ กามฉันท์ ความรักใครในทางกาม, พยาบาท การคิดปองร้ายพยาบาทผู้อื่น, ถีนมิทธะ ความง่ีวงซึมและัเกียจคร้าน, อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรําคาญใจ, วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในแนวปฏิบัติ หรือในแนวดําเนินชีวิต โดยเฉพาะสําหรับนักปฏิบัติ คือ ไม่แน่ใจว่าปฏิบัุติแล้วจะได้ผลหรือเปล่า ปฏิบัติอย่างนี้ วิธีนี้ จะมีผลหรือเปล่า)

อย่างที่สาม กิเลสอย่างละเอียด (ซึ่งกำจัดได้ด้วยปัญญา) ที่นอนเนื่องเป็นตะกอนนอนก้นในจิต จะถูกกวนให้ฟุ้งได้ยาก แต่ถ้าฟุ้งขึ้นมาแล้ว สามารถตกตะกอนได้ไว จนสุดท้าย ไม่เหลือเป็นตะกอนนอนก้นให้ฟุ้งขึ้นมาได้อีก เหมือนใช้จอบขุดรากถอนโคนหญ้าไม่ให้เหลือเชื้อที่จะงอกได้อีก
(คืออนุสัย 7 หรือสังโยชน์ 10 ซึ่งจะละได้โดยเด็ดขาด (เป็นสมุจเฉทปหาน) ที่ละขั้นตามลำดับของอริยมรรค/ผล ที่ได้)

สรุปก็คือ ถ้ามาถูกทางและมีความก้าวหน้า จิตจะบริสุทธิ์ขึ้น คือ

1) กิเลสทั้งหยาบ กลาง ละเอียด จะต้องค่อยๆเบาบางลง (โมหะ, อหิริกกะ, อโนตตัปปะ, อุทธัจจะ, โลภะ, มิจฉาทิฏฐิ, มานะ, โทสะ, อิสสะ, มัจฉริยะ, กุกุจจะ, ถีนะ, มิทธะ, วิจิกิจฉาเจตสิก)
2) จิตจะมั่นคงในพุทธศาสนา รู้ตัว กลัวบาป ละอายต่อบาปมากขึ้น (ศรัทธา + สติ + หิริ + โอตตัปปะเจตสิก)
3) โลภและโกรธน้อยลง (อโลภะ + อโทสะเจตสิก)
4) มีกายและจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง สงบ เบา นุ่มนวลอ่อนโยน ความควรแก่การงาน คล่องแคล่ว ซื่อตรง มากขึ้น (ตัตรมัชฌัตตตา, กาย-จิตตปัสสัทธิ, กาย-จิตตลหุตา, กาย-จิตตมุทุตา, กาย-จิตตกัมมัญญตา, กาย-จิตตปาคุญญตา, กายุ-จิตตุชุกตาเจตสิก)
5) พูดดี ทำดี เลี้ยงชีพดี (สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะเจตสิก)
6) มีความกรุณา มุทิตา (กรุณา, มุทิตาเจตสิก)
7) มีปัญญารู้แจ้งในธรรม (ปัญญินทรีย์เจตสิก)

ซึ่งสภาพจิตเหล่านี้ จะทำให้จิตสุขสงบ และเบิกบานขึ้นเรื่อยๆครับ

เจริญในธรรมครับ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทธิปาละ เมื่อ 07 ส.ค. 2010, 23:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 01:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถามผู้รู้ว่าเราจะประเมินการภาวนาว่ามาถูกทางและก้าวหน้าแล้วอย่างไรคะ ขอบคุณมากค่ะ


smiley ข้าพเจ้าเองยังไม่ได้เป็นผู้รู้จริงแต่อย่างใด
ยังเป็นผู้ต้องเรียนอยู่อีกมากมายเหมือนกัน

แต่ครูบาอาจารย์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือท่านเคยบอกว่า

หาก "ปฏิบัติจริง และปฏิบัติถูก"
"ตัวตน"
ต้อง
"เล็กลง"


และข้าพเจ้า "เชื่อ" ในคำที่ครูอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ค่ะ

:b8: :b20: :b8: :b20: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร