วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 03:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


การซ้อมแบบนั้นเป็นการซ้อมให้คล่อง ไม่ใช่ว่าจะซ้อมอภิธรรมให้เกิดความชำนาญแล้วนำไปสวดศพเพื่อหวังจะได้ปัจจัยมาหล่อเลี้ยงชีวิต พระสมัยนั้นท่านไม่ได้คิดแบบนั้น ท่านคิดอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรหนอเราจะเป็นอรหันต์เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ นี่เป็นอารมณ์ใจส่วนใหญ่ และมีปริมาณสูงสุด ในขณะที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่

เมื่อพระทั้งหลายเหล่านั้นเรียนอภิธรรม จากสำนักของสมเด็จพระบรมครูแล้ว จึงได้นำเอาพระอภิธรรมที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอน ไปสาธยายให้ขึ้นใจ เพื่อจะได้จำข้อธรรมไว้ประพฤติปฏิบัติ

ฉะนั้น ในขณะที่ท่านทั้งหลายเข้าไปซ้อมอภิธรรมในถ้ำหลังนั้น คือในถ้ำเดียวกันกับที่งูเหลือมนอนอยู่ แต่ว่าค้างคาวพวกนี้ไม่ได้ชอบธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมครู หรือชอบเสียงอภิธรรมแต่เฉพาะบทอายตนะ ท่านชอบฟังเสียงทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่าเสียงนั้นว่าอย่างไร พระทั้งหลายไปซ้อมกันก็ซ้อมแบบเสียงพร้อม ๆ กัน ทำเสียงให้สม่ำเสมอกันเพื่อความคล่องและความมีระเบียบ ค้างคาวทั้งหมดชอบใจเสียงทั้หมด เพราะว่าฟังเรียบ ๆ เสนาะดี จะรู้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงธรรมก็หาไม่ ฟังมาฟังไป ฟังไปฟังมา เผลอหลับ เท้าก็หลุดหล่นลงมา ศีรษะกระทบหินตายหมดทั้ง 500 ตัว

เมื่อตายแล้วเพราะฟังเสียงในธรรม พอใจในธรรม ก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกทั้งหมด มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า 500 เป็นบริวาร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ฟังพระสูตรคือบุคคลตัวอย่าง ก็ดูตัวอย่างค้างคาว บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มีเครื่องบันทึกเสียง เมื่อฟังธรรมจากเสียง ถ้าบังเอิญเสียงในธรรมบทใดบทหนึ่งก็ตาม อันเป็นที่พอใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท พยายามฟังบทนั้นไว้ให้ขึ้นใจ เราจะจำได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำจิตใจให้รัดรึงผูกติดเข้าไว้กับธรรมบทนั้น หมายความว่าขณะจะตาย ถ้าเปิดธรรมบทนั้นฟังก็ดี หรือไม่เปิดฟังธรรมบทนั้น แต่ทว่าจิตใจจับอยู่ในธรรมบทนั้น

เป็นอันว่าจิตใจของท่านจับอยู่ในธรรม ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า จิตฺเต ปาริสุทฺเธ สุคติ ปาฏิกงฺขา เพราะว่าในขณะใดที่จิตใจเราพอใจในธรรม ขณะนั้นจิตก็ว่างจากกิเลส ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านเองก็จะได้ผลดีเช่นเดียวกับค้างคาวทั้ง 500 ตัว หรือว่าเช่นเดียวกับงูเหลือม

ตอนนี้มาคุยกันถึงเรื่องค้างคาวต่อไป เป็นอันว่าท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า วิธีไปสวรรค์แบบง่าย ๆ ด้วยการพอใจในการฟังธรรม พอใจบทไหนมาก ฟังซ้ำอยู่แค่นั้น เราไปสวรรค์ได้เอาไว้ตอนหนึ่งก่อน อันดับแรก เรายึดสวรรค์ไว้เป็นทุนก่อน

ต่อมา ค้างคาวพวกนั้น ที่ฟังธรรมในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินวรไม่รู้เรื่อง แต่ว่าพอใจในเสียง เมื่อศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น คือพระพุทธเจ้าทรงมาอุบัติในโลก เป็นพระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนา ปรากฎว่าเทวดาค้างคาวทั้ง 500 ก็จุติจากเทวดา (คำว่าจุติ แปลว่า เคลื่อน ไม่ได้หมายความว่า ตาย) มาเกิดเป็นลูกชาวประมงในเขตของพระพุทธศาสนา ชาวประมงพวกนี้มีความเลื่อมใสในพระสารีบุตรมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อมาค้างคาวทั้ง 500 ที่มาเปิดเป็นลูกชาวประมง ขอได้โปรดทราบ ไม่ได้เกิดพ่อเดียวแม่เดียวกัน ถ้าเกิดพ่อเดียวแม่เดียวกันทั้ง 500 อย่างนี้ เขาเรียกว่าครอก ไม่ใช่ เหล่าคนมาเกิดในคณะนั้นร่วมกัน ร่วมคณะ ไม่ใช่ร่วมพ่อร่วมแม่คนเดียวกัน พ่อแม่คนหนึ่งอาจจะมีลูกห้าคน สามคน สี่คน แบ่งกันเกิด ไม่ใช่ไปรวมไปเกิดท้องเดียวคราวละ 500 คน เห็นจะแย่

เมื่อเกิดมาแล้ว ต่อมาโตขึ้นก็มีความพอใจในพระสารีบุตร ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบวชในสำนักของพระสารีบุตร เมื่อบวชแล้วก็อยู่ในสำนักของพระสารีบุตร

ในกาลนั้น ปรากฎว่าเป็นเวลาที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา คือนำเอาอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์นี้ไปสอนพระพุทธมารดา พร้อมไปด้วยเทวดาและพรหมทั้งหมด

ในวันหนึ่ง องค์สมเด็จพระบรมสุคต เวลาเช้าลงมาบินฑบาต ความจริงเมื่อถึงเวลาเช้าทุกวันร่างกายต้องการอาหาร เพราะว่าการที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดา พระองค์ไปด้วยอภิญญาสมาบัติ ยกกายไปทั้งกาย ไม่ใช่ว่าถอดจิตขึ้นไปอย่างที่พระได้มโนมยิทธิ

การขึ้นไปของพระต่างกัน บางท่านที่ได้เฉพาะมโนมยิทธิก็เอาไปแต่นามกาย คือกายภายในที่เราเรียกกันว่า จิต จิตในที่นี้จะไปหมายความว่ามันเป็นดวง ๆ ก็ไม่ถูก ความจริงแล้วมันเป็นกายอีกกายหนึ่งที่เราเรียกว่า อทิสมานกาย มีหัว มีเท้า มีขา มีร่างกายเหมือนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ว่ากายนี้จะสวยหรือไม่สวยปานใด ต้องวัดกันถึงด้านกุศลผลบุญที่เราทำไว้ ถ้าเราทำบาป กายนี้ก็จะเสื่อมโทรมมองดูไม่สวย ถ้าเรามีบุญร่างกายก็สวย ถ้าบุญมากเท่าไรกายนี้ยิ่งสวยมากเท่านั้น ถ้ากายของพระที่ประกอบไปด้วยนิพพาน จะเป็นแก้วประกายพรึกทั้งดวง มีแสงสว่าง กายประเภทนี้เราจะทราบได้เมื่อเราได้เจโตปริยญาณ เพราะอาศัยที่เรามีความเคารพในศาสนา ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ ความรู้อันนี้ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ได้มาแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้สอนพวกเราเหล่าพุทธบริษัท ถ้าเราปฏิบัติตามเราก็ได้เช่นเดียวกัน

มาพูดกันต่อไปว่า เมื่อถึงเวลาบิณฑบาต องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงใช้ปาฏิหาริย์เนรมิตรูปพระขึ้นองค์หนึ่ง เหมือนกับพระองค์ ให้เทศน์ต่อ พระองค์ก็ลงมาบิณฑบาตยังเมืองมนุษย์

ในวันหนึ่ง พระองค์เห็นพระสารีบุตรที่ขอบสระโบกขรณี องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสเรียกพระสารีบุตรว่า สารีปุตฺต ดูก่อนสารีบุตร เธอจงมาหาตถาคตในเวลากลับจากบิณฑบาตแล้ว พระสารีบุตรกำลังจะกลับวัด องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์จึงมาดักพระสารีบุตรอยู่ เพราะว่าองค์สมเด็จพระบรมครูทรงทราบว่า พระที่เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรทั้ง 500 รูป เดิมทีเดียวเคยฟังอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ ถ้าเขาฟังซ้ำอีกที เขาจะได้บรรลุมรรคผล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อองค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบอย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ไปดักพระสารีบุตรที่ขอบสระโบกขรณี เมื่อพระสารีบุตรพบองค์สมเด็จพระชินสีห์ เข้ามากราบถวายบังคมแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า สารีปุตฺต ดูก่อนสารีบุตร เธอจงเรียนปกรณ์ 7 ประการนี้ไป คำว่า ปกรณ์ หมายความถึง หัวข้อธรรมที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายนำมาสวดผีตาย คือคนตายในเวลานี้

แล้วองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า สารีบุตร ลูกศิษย์ของเธอทั้ง 500 รูป ที่บวชอยู่ในสำนักของเธอ เดิมทีเขาเป็นค้างคาว 500 ตัว เคยฟังปกรณ์ 7 ประการนี้มาแล้ว และก็หล่นลงมาตายพร้อมกัน ไปเกิดเป็นเทวดาทั้ง 500 ท่าน เมื่อหมดบุญจากเทวดา ก็จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นลูกชาวประมง เวลานี้บวชในสำนักของเธอ ถ้าเขาฟังปกรณ์ 7 ประการนี้จบด้วยความเคารพ ท่านทั้งหมดนั้นจะเป็นอรหันต์ทั้งหมดทันที

เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแนะนำพระสารีบุตรแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็บอกกับพระสารีบุตร ให้เรียนปกรณ์ทั้ง 7 ประการ คืออภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวธรรมแต่เพียงโดยย่อ พอได้ความตามที่พระนำมาสวดเวลาคนตายในเวลานี้

เมื่อจบแล้ว องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็แยกจากพระสารีบุตรขึ้นไปสู่สวรรค์
เทวโลกชั้นดาวดึงส์ เสด็จประทับที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เทศน์ต่อ พระที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงเนรมิตไว้ ทั้งนี้ พรหมและเทวดาทั้งหมดจะทราบก็หาไม่ เพราะเป็นอำนาจพระพุทธปาฏิหาริย์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับพระสารีบุตรนั้น เมื่อได้สดับปกรณ์ทั้ง 7 ประการ จากองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดามาแล้ว กลับมาก็ปฏิบัติตามกระแสคำแนะนำขององค์สมเด็จพระประทีบแก้วคือ ฉันข้าวเสร็จแล้วจึงได้เรียกพระที่เป็นบริษัททั้ง 500 รูป มาประชุมกันแล้วก็แสดงปกรณ์ 7 ประการ พร้อมด้วยคำอธิบายให้เข้าใจ

บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อได้ฟังปกรณ์ 7 ประการ พร้อมด้วยคำอธิบาย ก็ปรากฎว่าบรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา

นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า การที่นำประวัติความเป็นมาของงูเหลือมก็ดี ค้างคาวก็ดี มาแสดงให้แก่บรรดาพุทธบริษัททราบ ก็มีความหวังตั้งใจอยู่อย่างเดียว คือว่า การสั่งสมบุญบารมีในเขตของพระพุทธศาสนานี้ และการเข้าถึงนิพพานเป็นของไม่ยากนัก

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีความเคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ดัดแปลงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เสียผล ท่านทั้งหลายที่เกิดมาเป็นคน พบพระพุทธเจ้าแล้วก็มีความเคารพในพระพุทธศาสนา ตั้งหน้าบำเพ็ญกิริยาวัตถุ คือสร้างความดีทุกประการ ตามที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ที่เป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ท่านทั้งหลายเคยพบองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว และมีน้ำใจผ่องแผ้วประกอบไปด้วยกุศล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนจึงมีความพอใจในการสดับและปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ แสดงว่าบุญบารมีของท่านทั้งหลายสร้างมาแล้วใหญ่โตมาก จึงมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เคยได้พบตัวพระพุทธเจ้า แต่ก็มีความแน่ใจว่าพระพุทธเจ้ามีจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง จะเปรียบเทียบกันได้ว่า คนที่เขาเป็นเพื่อนกับท่านก็ดี อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงก็ดี ที่ได้มีความเคารพในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์อย่างท่านอาจจะไม่มี ท่านไปพูดเรื่องพระพุทธศาสนา เขาจะสั่นหัวว่า เรื่องของศาสนา เป็นยาเสพติด ใช้ไม่ได้ นักบวชในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นผู้ถ่วยความเจริญ ถ่วงความมั่งมีศรีสุขของสังคมอย่างนี้เป็นต้น

นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เป็นการเปรียบเทียบถึงบุญบารมี หากว่าท่านทั้งหลายจะบอกว่า บารมีที่ข้าพเจ้าสร้างมาน้อยเต็มที ไม่สามารถจะเป็นพระอรหันต์ได้ แต่บางท่านไม่พูดอย่างนั้น พูดเสียใหม่ว่า ข้าพเจ้าไม่มีบุญบารมีมาเลย ไม่สามารถจะเป็นพระอรหันต์ได้

ถ้าหากว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายคิดอย่างนี้ ก็ขอโปรดประทานอภัยกลับใจคิดเสียใหม่ คิดว่า ถ้าเราไม่เคยมีบุญบารมีที่เคยสะสมไว้ เราจะพอใจในคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ ดูตัวอย่างเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของท่านก็แล้วกัน ท่านพอใจในพระธรรม แต่เขาไม่มีความพอใจ เปรียบเทียบบารมีกันได้ในตอนนี้ เป็นอันว่าท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า เวลานี้ท่านมีบารมีพอสมควร

รวมความแล้วก็ดีกว่าค้างคาว ดีกว่างูเหลือมมาก อย่างน้อยที่สุดท่นก็รู้ว่า นี่เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าที่สอนไว้ ถ้าบุคคลผู้ใดปฏิบัติตามจะมีความสุข หรือถ้าความเลื่อมใสไม่มีถึงแค่นั้น ท่านทั้งหลายก็ยังรู้จักคำพูดที่พระท่านสวด หรือฟังเครื่องบันทึกเสียงที่ฟังว่า นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า รู้ภาษาแห่งคำพูด ถ้าจะเปรียบเทียบกับค้างคาวและงูเหลือม ท่านดีกว่าหลายแสนเท่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ในเมื่อค้างคาวและงูเหลือมเป็นสัตว์เดรัจฉาน ฟังธรรมไม่รู้ว่าธรรม และก็ไม่รู้เรื่อง พอใจแต่เพียงเสียง ตายแล้วเป็นเทวดาได้ อันนี้เป็นทุนใหญ่เบื้องแรก แล้วกลับลงมาเกิดเป็นคน ฟังธรรมซ้ำอีกคราวหนึ่ง ปรากฎว่าสำเร็จอรหัตผล

บรรดาท่านพุทธบริษัทเกิดเป็นคน ฟังภาษาก็รู้เรื่อง และก็มีความเข้าใจว่า นี่เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่าท่านมีกำไรดีกว่างูเหลือมและค้างคาวทั้งหมด

หากว่าท่านพอใจในเสียงธรรมขององค์สมเด็จพระบรมสุคต ที่บรรดาพระสงฆ์สาวกนำมาแสดง ฟังแล้วจงอย่าทิ้งไป เลือกฟังหลาย ๆ เรื่อง อย่ากลัวเปลืองเวลาและอย่ากลัวเปลืองเงิน บันทึกเข้าไว้หลาย ๆ เรื่อง หลาย ๆ ตอน แล้วก็พิจารณาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรว่า เรื่องไหนเราชอบใจมากที่สุด มีอยู่เท่าไร ฟังตอนที่เราชอบใจให้หนัก ให้ขึ้นใจ

เวลาก่อนจะหลับ นึกถึงพระธรรมบทนั้น หนักเข้าไว้สัก 2-3 นาที แล้วก็หลับไปไม่เป็นไร เวลาตื่นใหม่ ๆ นึกถึงพระธรรมบทนั้นเข้าไว้สักนิดหน่อย เป็นการกระตุ้นเตือนใจ เวลากลางวันประกอบกิจการงาน ถ้าว่างเมื่อไรนึกถึงธรรมบทนั้นเข้าไว้

ถ้าเป็นอย่างนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีท่านยังอ่อน จะต้องเร่ร่อนไปในวัฏสงสาร ถ้าตายไปจากมนุษย์เมื่อไร อย่างน้อยที่สุดท่านก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม

ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีจากเทวดาหรือพรหม มาเกิดเป็นคน ฟังธรรมซ้ำอีกหนเดียว เพราะว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ย่อมรู้ใจคนว่ามีกุศลส่วนใดมาในชาติก่อน องค์สมเด็จพระชินวรจะสอนบทนั้นเป็นการซ้ำ หรือสะกิดแผลเก่า จะทำให้เราเข้าถึงธรรมบทนั้นได้โดยฉับพลัน และเป็นอรหันต์ทันที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาที่เราเกิดเป็นเทวดา ถ้าพระศรีอาริย์ตรัสขึ้นมา เรายังเป็นเทวดาหรือพรหม ถ้าฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์เพียงจบเดียว บรรดาท่านพุทธบริษัทก็จะได้บรรลุมรรคผลพระนิพพาน เพราะว่าองค์สมเด็าจพระพิชิตมารเทศน์สอนพุทธบริษัทคราวใด ปรากฎว่าเทวดาหรือพรหมบรรลุมรรคผลมากกว่าคน เพราะว่าเทวดาก็ดี พรหมก็ดี มีกายเป็นทิพย์ มีความเป็นอยู่เป็นทิพย์ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความกังวล เมื่อจิตน้อมไปในส่วนของกุศลแล้ว ก็ปรากฎว่ามีความเข้าใจในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วได้ดี เป็นเหตุให้บรรลุมรรคผลได้ง่าย

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขอยุติคำแนะนำในเรื่องของพระสูตรไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี :b8: :b8: :b8:




ยกมาจาก

http://kaskaew.com/index.asp?catid=4&co ... 8%C3%C3%C1


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 21:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุ...คุณ bbby ที่นำบทความดี ๆ มีสาระคุณ...มาให้อ่าน..นะครับ :b8: :b8:

bbby เขียน:
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อได้ฟังปกรณ์ 7 ประการ พร้อมด้วยคำอธิบาย ก็ปรากฎว่าบรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา

นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า การที่นำประวัติความเป็นมาของงูเหลือมก็ดี ค้างคาวก็ดี มาแสดงให้แก่บรรดาพุทธบริษัททราบ ก็มีความหวังตั้งใจอยู่อย่างเดียว คือว่า การสั่งสมบุญบารมีในเขตของพระพุทธศาสนานี้ และการเข้าถึงนิพพานเป็นของไม่ยากนัก

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีความเคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ดัดแปลงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เสียผล ท่านทั้งหลายที่เกิดมาเป็นคน พบพระพุทธเจ้าแล้วก็มีความเคารพในพระพุทธศาสนา ตั้งหน้าบำเพ็ญกิริยาวัตถุ คือสร้างความดีทุกประการ ตามที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ที่เป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ท่านทั้งหลายเคยพบองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว และมีน้ำใจผ่องแผ้วประกอบไปด้วยกุศล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนจึงมีความพอใจในการสดับและปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ แสดงว่าบุญบารมีของท่านทั้งหลายสร้างมาแล้วใหญ่โตมาก จึงมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เคยได้พบตัวพระพุทธเจ้า แต่ก็มีความแน่ใจว่าพระพุทธเจ้ามีจริง


อ้างคำพูด:
ในเมื่อค้างคาวและงูเหลือมเป็นสัตว์เดรัจฉาน ฟังธรรมไม่รู้ว่าธรรม และก็ไม่รู้เรื่อง พอใจแต่เพียงเสียง ตายแล้วเป็นเทวดาได้ อันนี้เป็นทุนใหญ่เบื้องแรก แล้วกลับลงมาเกิดเป็นคน ฟังธรรมซ้ำอีกคราวหนึ่ง ปรากฎว่าสำเร็จอรหัตผล

บรรดาท่านพุทธบริษัทเกิดเป็นคน ฟังภาษาก็รู้เรื่อง และก็มีความเข้าใจว่า นี่เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่าท่านมีกำไรดีกว่างูเหลือมและค้างคาวทั้งหมด


:b8: :b8: :b8:
มีกำลังใจขึ้น...เยอะเลย


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 22 ธ.ค. 2011, 21:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 21:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้ว...จะสงสัยต่อดีมั้ยเนี้ย? :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ในวันหนึ่ง องค์สมเด็จพระบรมสุคต เวลาเช้าลงมาบินฑบาต ความจริงเมื่อถึงเวลาเช้าทุกวันร่างกายต้องการอาหาร เพราะว่าการที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดา พระองค์ไปด้วยอภิญญาสมาบัติ ยกกายไปทั้งกาย ไม่ใช่ว่าถอดจิตขึ้นไปอย่างที่พระได้มโนมยิทธิ

หากใครชอบใจสไตล์พุทธปรัชชญา...อ่านแล้วก็อุเบกขาใว้อย่าเพิ่งด่วนปรามาส..นะครับ
:b12:
อ้างคำพูด:
การขึ้นไปของพระต่างกัน บางท่านที่ได้เฉพาะมโนมยิทธิก็เอาไปแต่นามกาย คือกายภายในที่เราเรียกกันว่า จิต จิตในที่นี้จะไปหมายความว่ามันเป็นดวง ๆ ก็ไม่ถูก ความจริงแล้วมันเป็นกายอีกกายหนึ่งที่เราเรียกว่า อทิสมานกาย มีหัว มีเท้า มีขา มีร่างกายเหมือนกัน


ความรู้ใหม่.....
แต่อาจเก่าสำหรับ...หลับอยู่.. Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 22:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


บังเอิญ...เห็นมีคนเขาโพสต์ใว้...
ก็เลยยืมเขามา... :b12: :b12:
viewtopic.php?f=1&t=40284&start=75

Quote Tipitaka:
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ บรรทัดที่ ๑๗๓๕ - ๑๙๗๙. หน้าที่ ๗๔ - ๘๓.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

อ้างคำพูด:
๘. โคปกโมคคัลลานสูตร (๑๐๘)

[๑๑๓] อา. ดูกรพราหมณ์ มีอยู่แล ที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสบอกธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง
ความเลื่อมใสไว้ ๑๐ ประการ บรรดาพวกอาตมภาพ รูปใดมีธรรมเหล่านั้น
อาตมภาพทั้งหลายย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชารูปนั้น ครั้นสักการะ
เคารพแล้ว ย่อมเข้าไปอาศัยอยู่ในบัดนี้ ธรรม ๑๐ ประการเป็นไฉน ดูกร
พราหมณ์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
(๑) เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและ
โคจรอยู่ ย่อมเป็นผู้เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบท
ทั้งหลาย
(๒) เป็นพหูสูต ทรงการศึกษา สั่งสมการศึกษา ธรรมที่งามในเบื้องต้น
งามในท่ามกลาง งามในที่สุด พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ ประกาศ
พรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เห็นปานนั้น ย่อมเป็นอันเธอได้สดับแล้วมาก
ทรงจำไว้ได้ คล่องปาก เพ่งตามได้ด้วยใจ แทงตลอดดีด้วยความเห็น
(๓) เป็นผู้สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย
เภสัชบริขาร
(๔) เป็นผู้ได้ฌาน ๔ อันเกิดมีในมหัคคตจิตเครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน
ตามความปรารถนา ได้ไม่ยาก ไม่ลำบาก
(๕) ย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอเนกประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ปรากฏตัวหรือหายตัวไปนอกฝา นอกกำแพง นอกภูเขา
ได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ทำการผุดขึ้นและดำลงในแผ่นดิน เหมือนใน
น้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศโดยบัลลังก์
เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์และพระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากปานฉะนี้
ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้

(๖) ย่อมฟังเสียงทั้งสอง คือ เสียงทิพย์ และเสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกล
และที่ใกล้ได้ด้วยทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์
(๗) ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น และบุคคลอื่นได้ด้วยใจ คือ จิตมีราคะ
ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิต
มีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ
หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน
ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหัคคตะก็รู้ว่าจิตเป็นมหัคคตะ จิตไม่เป็นมหัคคตะก็รู้ว่า
จิตไม่เป็นมหัคคตะ จิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิต
อื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตตั้งมั่น หรือจิตไม่ตั้งมั่นก็รู้ว่า
จิตไม่ตั้งมั่น จิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว หรือจิตยังไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิต
ยังไม่หลุดพ้น
(๘) ย่อมระลึกขันธ์ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้เป็นอเนกประการ คือ ระลึก
ได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง
ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง
พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายสังวัฏกัปบ้าง หลายวิวัฏกัปบ้าง หลายสังวัฏ-
*วิวัฏกัปบ้าง ว่าในชาติโน้น เรามีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้
มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้ เรานั้นเคลื่อนจาก
ชาตินั้นแล้ว บังเกิดในชาติโน้น แม้ในชาตินั้น เราก็มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้
มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้
เรานั้นเคลื่อนจากชาตินั้นแล้ว จึงเข้าถึงในชาตินี้ ย่อมระลึกขันธ์ที่อยู่อาศัยในชาติ
ก่อนได้เป็นอเนกประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ เช่นนี้
(๙) ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์ กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิว
พรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ
ของมนุษย์ ฯลฯ ๑- ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ
ของมนุษย์ ย่อมทราบชัดหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม เช่นนี้
(๑๐) ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ
ทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่ ฯ
ดูกรพราหมณ์ เหล่านี้แล ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ๑๐ ประการ
อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ
ตรัสบอกไว้ บรรดาพวกอาตมภาพ รูปใดมีธรรมเหล่านี้ อาตมภาพทั้งหลายย่อม
สักการะ เคารพ นับถือ บูชารูปนั้น ครั้นสักการะ เคารพแล้ว ย่อมเข้าไป
อาศัยอยู่ในบัดนี้ ฯ
..................

ป้องกันคนจะปรามาสว่า...พระอะไรกล่าวโอเว้อร์เกินจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2011, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้หรอกฮะ s004 s004 s004

จิตที่เข้าถึงพรหมได้ ต้องขาดราคะ ราคะคือ ความติดใจในกามคุณ นะฮะ ไม่ใช่เรื่องเพศอย่างเดียว ถ้าใช้คำสมัยปัจจุบันก็คงเป็นว่า ยินดีและพึงพอใจในวัตถุ
ถ้ายังยินดีในวัตถุ ก็ย่อมปฏิสนธิในแดนแห่งวัตถุ คำพระคงเป็นว่า เมื่อยังยินดีในกาม ก็ย่อมปฏิสนธิในกามภพ

เพราะงั้น จิตที่จะเข้าถึงพรหมโลกได้ จึงมีเพียงบุคลล 2 กลุ่มคือ ผู้ฝึกฝนจนสำเร็จ ฌาณ ต้องสำเร็จจริงนะ ไม่ใช่หลงนิมิตต่างๆ นานาแล้วปลอบใจตนเองว่า เป็นฌาณนั้นฌาณนี้
2 คือ อริยบุคคลขั้น อนาคามี คือละสังโยชน์อย่างหยาบได้แล้ว โดยเฉพาะ ราคะ

ผู้สำเร็จฌาณ ไม่จำเป็นต้องเป็นอริยบุคคล เพราะอย่างที่บอก การเข้าถึงพรหมต้องขาดเพียง ราคะ เท่านั้น แต่การคงอยู่ในพรหมโลกนั้น ต้องมี พรหมวิหาร
ประเด็นสำคัญของพรหมคือ อุเบกขา ถ้าขาดอุเบกขาเมื่อใด จิตย่อมโน้มเข้าหากามภพ นั่นคือ พ้นจากพรหมโลก

s004 ตรงนี้มีนัยยะอย่างหนึ่งคือ... เมื่อราคะจำเป็นต่อการคงอยู่ในกามภพ ดังนั้น จีงไม่มีอนาคามีในกามภพ ยกเว้นแต่ในร่างมนุษย์ ซึ่งจิตถูกยึดโยงไว้กับสังขาร... หากเทวดาชั้นใดเข้าถึงอนาคามี ก็จะจุติและเข้าถึงพรหมโลกไป

สัตว์ไม่มีทางไปปฎิสนธิในพรหมโลกได้ เพราะการปฏิสนธิเป็นสัตว์ ย่อมแสดงว่า จิตยังไม่ขาดราคะ และเมื่อเป็นสัตว์แล้ว โดยสภาพของชีวิต ไม่สามารถบำเพ็ญธรรมได้ ก็คือไม่สามารถฝึกจิตจนละราคะได้ ดังนั้น เมื่อสังขารสัตว์ตายลง จิตก็ย่อมปฏิสนธิในกามภพอยู่นั่นเอง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2011, 20:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขาดชั่วขณะ...แล้วให้บังเอิญ...เกิดการเคลื่อนจากอัตภาพนั้น...พอดี

แบบนี้..ก็น่าจะไปได้...

ขณะที่ใจมีสมาธิ...ก็แสดงให้เห็นว่า...ได้พ้นจากนิวรณ์ทั้ง 5 แล้ว(ชั่วขณะ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร