วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 06:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 155 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 10:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
เพราะติดความสงบจากการทำสมาธิ จึงต้องทำอีกทุกครั้งที่ทุกข์ ท่านสามารถดับทุกข์ได้หรือไม่ถ้าหากมีสิ่งมากระทบ เช่น เสียงด่า เสียงไพเราะ สิ่งยั่วยุทางตา ทางกาย ทางกลิ่น ทางรส ท่านยังเกิดความพอใจ ไม่พอใจ เมื่อมีสิ่งพวกนี้มากระทบ อย่าลืมนะว่าพระไตรปิฎกสอนเรื่องทุกข์ และการดับทุกข์เท่านี้น


นักปฏิบัติต้องยอมรับสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น เช่นความสงบเกิดขึ้น แล้วอะไรต่อ ความทุกข์นั้นแม้ใจจะสงบลงแค่ไหนแต่รูปยังเป็นทุกข์อยู่คือ อาการหิว อาการปวด ความหนาวความร้อน เหล่านี้คือทุกข์ ความสงบไม่ได้ตัดทุกข์ทางรูป ความสงบไม่ได้ชะลอความแก่ เราแยกสภาวะธรรมออกมา ว่านี่ทุกข์ การวิเคราะห์การติดความสงบคือความเห็น ความเห็นเกิดเพราะอาศัย จิต นั่นเอง



ใช่ครับ การหิว การปวด ความหนาว ความร้อน เป็นทุกข์ธรรมชาติ บังคับไม่ได้ ห้ามไม่ได้ ทุกข์เกิดแก่ เจ็บ ตาย ที่เราทุกข์เป็นทุกข์ทางใจ ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย แล้วเราจะดับทุกข์นี้ได้อย่างไรก็คือ วิปัสสนาไงครับ หิว ปวด หนาว ร้อน เกิดจากเหตุปัจจัยสุดท้ายก็หายไปตามเหตุปัจจัย
ที่หิวเพราะไม่ได้กินข้าว กินข้าวก็หายหิว รู้เหตุปัจจัยการเกิด สุดท้ายก็หายหิว (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป)
ทุกข์ก็ไม่เกิด ปัญญาเท่านั้นที่ดับทุกข์ได้ ไม่ใช่ปัญญาทางโลกนะครับ ความสงบดับทุกข์ไม่ได้ ความสงบ คือผลของการมีสมาธิ
วิปัสสนา > ปัญญา > ศีล > สมาธิ > นำไปสู่ความสงบ

ปัญญา ศีล สมาธิ คือ มรรคมีองค์ 8 ผลการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่ข้อปฏิบัิติ การปฏิบัติต้อง วิัปัสสนาพิจารณนาขันธ์5 และอินทรีย์ 6 เท่านั้น


แก้ไขล่าสุดโดย ไม่เที่ยง เกิดดับ เมื่อ 06 ม.ค. 2012, 11:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นเพียงแค่เห็น...ได้ยินเพียงแค่ได้ยิน...
วิปัสสนาในชีวิตประจำวัน...สามารถปฏิบัติได้ สลับสับเปลี่ยน กันไป
ไม่เพ่ง แต่ก็ไม่เผลอ..รู้กายที่ไหว รู้ใจที่คิดนึก
แค่ ความรู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง (กาย) ถ้าพิจารณาเลยไปเป็น รูปร่าง สัณฐาน ชื่อ คนนั้นคนนี้...ก็จะเลย...จากปรมัตถ์ ไปเป็น บัญญัติ

ปฏิบัติด้วยความปล่อยวาง เป็นกลาง วางเฉย
เจริญในธรมม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 12:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ขณะที่เห็น เป็นแค่รูปกระทบทางตา

ไม่ได้เป็นโต๊ะ เป็นพัดลม หรือเป็นคอมพิวเตอร์

เป็นแค่รูป กระทบทางตา


ใช่ครับมันอาจจะคัดแย้งกับกฎไตรลักษณ์ คิดว่านั้นคือ โต๊ะ พัดลม หรือคอมพิวเตอร์
แต่เราต้องฝึกเริ่มต้นอย่างนี้ครับ ไม่งั้นไม่เห็นความจริงครับ ว่าพัดลมใหม่เก่าชำรุด เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว สุดท้ายแตกสลายหายไป ไม่มีพัดลม ไม่มีตัวตนของพัดลม

- พิจารณาขันธ์ 5 คือพิจารณาตัวเรา เพื่อฆ่าตัวตนของเรา ไม่ให้มีเรา เราไม่มีตัวตน เรา็ก็จะไม่กลัวแก่ เจ็บ และตาย
- พิจารณาสิ่งที่มากระทบตัวเรา เรียกว่า พิจารณาอินทรีย์ 6 พิจารณาว่าสรรพสิ่งที่มากระทบตัวเรา ไม่เที่ยง มีเกิด มีดับ ไม่มีตัวตน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
1.ที่ว่าว่างจากงานจากการ ก็ให้หมั่นพิจารณา ให้มีสติอยู่กับตัวอย่าเผลอ
ขอถามครับ แล้วเวลาที่คุณทำงาน คุณใช้อะไรทำให้หน้าที่การงานสำเร็จลุล่วงครับ

**ผมใช้สติและมีสมาธิกับงานที่ทำอยู่ครับ

ปุจฉาครับ แล้วสติ สมาธิตอนทำงาน มันแตกต่างจากสติสมาธิตอนว่างงานตรงไหนครับ
ลูกพระป่า เขียน:
2.การพิจารณากายที่คุณว่า มันเป็นอย่างไรครับ
**ณ ตอนนี้ผมเริ่มที่การพิจารณากายตามอาการ 32 อยู่ครับ ดูให้เห็นเป็นของไม่สวยไม่งาม ไม่น่าชอบใจพอใจ

ปุฉาครับ ทำไมถึงตัองไปพิจารณาอาการ๓๒ด้วยครับ สาเหตุมาจากอะไร
ที่ทำอยู่ในการปฏิบัติมีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจงมั้ยครับ
ลูกพระป่า เขียน:
3.กับคำพูดของคุณที่ว่า"[color=#0000FF]จิตคือผู้รู้ ใจเป็นผู้รับ สิ่งที่จิตรู้ไม่ใช่ว่าใจจะยอมรับ จนเมื่อใจรับเท่านั้นจริงเรียกว่ารู้แจ้ง"
อยากทราบครับ จิตกับใจแตกต่างกันอย่างไรครับ :b13:[/color]
**ผมขออธิบายความแตกของจิตกับใจในลักษณะของหน้าที่นะครับ คือ จิตทำหน้าที่เป็นผู้รู้ ทั้งภายในทั้งภายนอก ส่วนใจทำหน้าที่เป็นผู้รับ การรับรู้ของใจนี้ผมอธิบายออกมาตรงตัวลำบาก แต่ขอยกเป็นการอุปมาอุปมัยแบบนี้ครับ เหมือนกับอกหัก การเลิกรา การพลัดพราก จากคนที่เรารัก โดยที่เรารู้ดีว่าไม่ได้รักเราอีกแล้ว เรารู้ดีว่าเราควรตัดใจ ไม่ไปเสียใจให้กับเรื่องนี้ แต่เราก็ทำใจไม่ได้ เรายังเสียใจ ทุกข์ใจ ที่ถูกทิ้ง โดนหักอก ประมาณนี้นะครับคือ จิตเรารู้ว่าเมื่อเค้าไม่รักเราแล้วเราก็ควรปล่อยเค้าไป ไม่ต้องไปคิดเสียใจให้เป็นทุกข์ แต่ที่เรายังเสียใจและเป็นทุกข์ นั่นก็เพราะใจเรานี้มันไม่ยอมรับกับความจริงข้อนี้นั้นเอง นี้แหละครับคือความแตกต่างอย่างหยาบของจิตกับใจที่ผมพอจะอธิบายได้ ตามกำลังสติปัญญาหยาบๆของผมครับ

ปุจฉาครับ สิ่งที่คุณเรียกว่าใจ ในพระอภิธรรมมีชื่อเรียกมั้ยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
อดีตไม่เอา อนาคตไม่เอา เอาปัจจุบันเป็นหลักใช้ชีวิตให้เป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่กระทบไม่พิจารณา
- ตาเห็นสิ่งนั้น เช่น โต๊ะ พัดลม สุนัข คน เพดาน คอมพิวเตอร์ "ไม่เที่ยง เกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- หูได้ยินเสียง พิจารณา "เสียงไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- จมูกได้กลิ่น พิจารณา "กลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- ลิ้นได้รส พิจารณา "รสไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- สัมผัส ร้อน เย็น แข็ง อ่อน ตึง ไหว เจ็บ ปวด เช่น "ร้อนไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- ใจคิดลึก พิจารณา "ใจคิดลึกไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"

วิปัสสนาเพื่อพิจาณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6

ค่อยๆ ฝึกสะสมจากเล็กไปมากเพื่อให้เกิดปัญญาขึ้นทีละเล็กทีีละน้อย ปัญญาก็จะเพิ่มมากขึ้น
เป็นการวิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญาดับเหตุแห่งทุกข์ ไม่ให้ความพอใจ ไม่พอใจ เข้ามาแทนที่
เติมความจริงให้มากอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นภายใน 7 วัน นี่เป็นสิ่งที่ท่านมองเห็น คือมองเห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติว่าสรรพสิ่ง ไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น มีดับไป เกิดจากเหตุและปัจจัยมาประชุมกัน สุดท้ายก็แตกสลายหายไป ไม่มีตัวตนของสิ่งนั้น
ไม่ใช่ไปนั่งทำสมาธิไปติดสุขจากการทำสมาธิ เพราะสมาธิคือความสงบ เมื่อสงบเราก็สบายใจ เมื่อเลิกทำก็ทุกข์เหมือนเิดิม เมื่อทุกข์ก็กลับไปทำใหม่ ไม่ต่างอะไรกับกินเหล้า ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวรอบโลก กลับมาทุกข์เหมือนเดิม เพราะสมาธิที่ทำคือ มิจฉาสมาธิ คือไม่มีปัญญาประกอบนั้นเอง หากจะทำสมาธิต้องมีปัญญาประกอบ เพื่อให้บรรลุมรรคผลในขั้นต่อไปเร็วขึ้น แล้วปัญญามาจากไหนก็มาจากการวิปัสสนานั้นเองอั้นนี้พิสูจน์ได้

"ไม่เที่ยง เกิดดับ" ผู้ปฏิบัติย่อมรู้เอง



ดังที่องค์พระศาสดาทรงตรัสไว้ว่า
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา”
ควรแล้วหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ต้องแตกดับและเสื่อมสลาย :b8:

การวิปัสสนาเพื่อเข้าถึงสาระสำคัญที่ซ่อนอยู่ในประโยคสั้น ๆ แค่นี้เอง :b41:

ขอเจริญในธรรมค่ะ :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 14:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉาครับ แล้วสติ สมาธิตอนทำงาน มันแตกต่างจากสติสมาธิตอนว่างงานตรงไหนครับ
**งานภายนอกกับงานภายใน, งานทางโลกกับงานทางธรรม, โลกิยะกับโลกุตระ สำหรับผมมันต่างกับตรงนี้แหละครับพี่ แต่ถ้าโดยส่วนมากเมื่อก่อนตอนที่ว่างจากงานผมมักเสียเวลาไปกับเรื่องภายนอกของโลก เช่น กีฬา การ์ตูน เล่นเกมส์ ดูหนังฟังเพลง แต่เดี๋ยวนี้ลงลดไปเยอะพอสมควรแล้วครับ
ปุฉาครับ ทำไมถึงตัองไปพิจารณาอาการ๓๒ด้วยครับ สาเหตุมาจากอะไร
**ที่ทำอยู่ในการปฏิบัติมีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจงมั้ยครับ

เพื่อคลายกำหนัด ลดกามวิตกเกี่ยวกับ กามคุณ 5 ในใจของผม นี่เป็นสาเหตุหลักๆของผมครับ ส่วนชื่อตามพระบาลีคือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐานครับ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ช่วยแก้ไขให้ด้วยนะครับ เพราะผมไม่ค่อยแตกฉานเรื่องพระไตรหรือพระบาลีจริงๆครับ
ปุจฉาครับ สิ่งที่คุณเรียกว่าใจ ในพระอภิธรรมมีชื่อเรียกมั้ยครับ
**ละอายใจที่ต้องบอกว่าผมไม่ทราบจริงๆครับ ผมรู้แต่ในภาษาธรรมดาแบบบ้านๆจริงๆครับ ถ้าพี่พอจะทราบผมรบกวนช่วยบอกผมด้วยนะครับ
ปล. ผมอยากเรียนด้วยความสัตย์จริงว่าผมไม่คล่องไม่ชำนาญไม่แตกฉานเรื่องพระไตรปิฏกและพระบาลีจริงๆ ธรรมที่ผมรู้มาอยู่บ้างก็เป็นเพราะพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเมตตาสั่งสอน อบรม ด้วยภาษาบ้านๆธรรมดาๆครับ อาจจะมีบ้างบางครั้งที่ท่านยกพระบาลีมาเอ่ยแต่สติปัญญาของผมก็รับได้แต่เฉพาะธรรมที่ท่านเมตตาแปลมาให้แล้วเท่านั้นครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 14:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


สติ มีในทุกคนไม่ต้องเจริญ สติจะไม่ทำงานถ้าไม่มีอะไรมากระทบ (สติขี้เกียจ)
สติทำหน้าที่ลากดึงสัญญา หรือความจำ
ในสัญญาจำสิ่งกุศลสติก็ลากดึงกุศลมารับการกระทบ ผลที่แสดงออกมาก็คิดดี ทำดี
สัญญาจำแต่อกุศลสติก็ดึงอกุศล มารับการกระทบ ผลออกมาก็คิดชั่ว ทำชั่ว
สมาธิ คือความสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน สมาธิมาจากการฝึกปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นการฝึกทางโลก หรือฝึกทางธรรม


ปัญญา มี 2 อย่าง
ปัญญาทางโลก มาจากการฝึกฝนตนเอง อ่านมาก วิเคราะห์มาก
ปัญญาทางธรรม สามารถดับต้นเหตุแห่งทุกข์ได้ ปัญญาเป็นผลมาจารการวิปัสสนาภาวนา เห็นสรรพสิ่งตามสภาพความเป็นจริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2012, 21:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
asoka เขียน:
:b8: อนุโมทนาสาธุกับวิปัสสนาภาวนาแบบง่ายๆที่คุณไม่เทียงเกิดดับยกมาแสดง นี่น่าจะเป็นธรรมะจากประสบการณ์จริง จึงดูไม่เหมือนที่มีในตำรา แต่ก็ใช่ตามหลักปฏิบัติธรรมในตำรา

ผมเจอข้อที่น่าสงสัยนิดหนึ่งจากข้อความท่อนนี้ครับที่คาดแดงไว้นะครับ กรุณาอธิบายด้วย

วิปัสสนาเพื่อพิจาณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6 ค่อยๆ ฝึกสะสมจากเล็กไปมากเพื่อให้เกิดปัญญาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ปัญญาก็จะเพิ่มมากขึ้น เป็นการวิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญาดับเหตุแห่งทุกข์ ไม่ให้ความพอใจ ไม่พอใจ เข้ามาแทนที่
:b20:
:b4:



อินทรีย์ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันนี้คือต้นเหตุแห่งทุกข์สะสมที่เราสะสมทุกเวลาในแต่ละวัน
เกิดจากความไม่รู้ หรืออวิชชา ไปหลงพอใจ ไม่พอใจ กับสิ่งที่มากระทบทางอินทรีย์ 6 ธรรมชาติมีอินทรีย์ 6 เอาไว้ให้เรียนรู้ ไม่ใช่เอาไว้รองรับอารมณ์ ใช้หน้าที่ไม่ถูกต้อง หน้าที่หลักคือ เรียนรู้
เช่น มีคนด่าเราเสียงด่า เข้าหูเรา เกิดความไม่พอใจ เกิดการกระทำทางวาจา ทางกาย ไปทำร้ายเขาจนตาย สุดท้ายเราก็ติดคุก ความทุกข์ก็ตามมา นี่แหละสาเหตุแห่งทุกข์ของมนุษย์ ถ้าเราวิปัสสนาเห็นความจริงว่าเสียงด่า ไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น สุดท้ายเสียงด่าก็หายไป เราก็จะดับความพอใจ ไม่พอใจได้ การไม่สนใจ หรือ วางเฉยไม่สามารถดับตรงนี้ได้ครับ ถ้าเราเห็นอย่างนี้ปัญหาชีวิตก็จะลดน้อยลงไป แก้ปัญหาชีวิตได้หมด
ความทุกข์ไม่มี ความสงบ ความสุขก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นี่คือบุญสูงสุด มากกว่าการให้ หรือการรับ

ขันธ์ 5 คือ ต้นเหตุแห่งทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือทุกข์ธรรมชาติ (บังคับไม่ได้) ถ้าเรายึดว่านี้คือร่างกายเรา เรามีตัวตน นี่ของตน เราไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็จะเกิดความทุกข์ได้

ผู้ปฏิบัิติย่อมรู้เอง
"ไม่เที่ยง เกิด ดับ"

:b8:

อนุโมทนากับคำอธิบายเรื่อง อินทรีย์ 6 ที่แท้ก็คือเรื่องอายตนะทั้ง 6 นั้นเอง
ที่ผมงงก็เพราะเคยได้ยินแต่เรื่องอินทรีย์ 5 พละ 5 ซึ่งมีฐานที่มาเหมือนกันคือ
ศรัทธา........วิริยะ.......สติ.....สมาธิ......ปัญญา

:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 02:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
ปุจฉาครับ แล้วสติ สมาธิตอนทำงาน มันแตกต่างจากสติสมาธิตอนว่างงานตรงไหนครับ
**งานภายนอกกับงานภายใน, งานทางโลกกับงานทางธรรม, โลกิยะกับโลกุตระ สำหรับผมมันต่างกับตรงนี้แหละครับพี่ แต่ถ้าโดยส่วนมากเมื่อก่อนตอนที่ว่างจากงานผมมักเสียเวลาไปกับเรื่องภายนอกของโลก เช่น กีฬา การ์ตูน เล่นเกมส์ ดูหนังฟังเพลง แต่เดี๋ยวนี้ลงลดไปเยอะพอสมควรแล้วครับ
ปุฉาครับ ทำไมถึงตัองไปพิจารณาอาการ๓๒ด้วยครับ สาเหตุมาจากอะไร
**ที่ทำอยู่ในการปฏิบัติมีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจงมั้ยครับ

เพื่อคลายกำหนัด ลดกามวิตกเกี่ยวกับ กามคุณ 5 ในใจของผม นี่เป็นสาเหตุหลักๆของผมครับ ส่วนชื่อตามพระบาลีคือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐานครับ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ช่วยแก้ไขให้ด้วยนะครับ เพราะผมไม่ค่อยแตกฉานเรื่องพระไตรหรือพระบาลีจริงๆครับ
ปุจฉาครับ สิ่งที่คุณเรียกว่าใจ ในพระอภิธรรมมีชื่อเรียกมั้ยครับ
**ละอายใจที่ต้องบอกว่าผมไม่ทราบจริงๆครับ ผมรู้แต่ในภาษาธรรมดาแบบบ้านๆจริงๆครับ ถ้าพี่พอจะทราบผมรบกวนช่วยบอกผมด้วยนะครับ
ปล. ผมอยากเรียนด้วยความสัตย์จริงว่าผมไม่คล่องไม่ชำนาญไม่แตกฉานเรื่องพระไตรปิฏกและพระบาลีจริงๆ ธรรมที่ผมรู้มาอยู่บ้างก็เป็นเพราะพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเมตตาสั่งสอน อบรม ด้วยภาษาบ้านๆธรรมดาๆครับ อาจจะมีบ้างบางครั้งที่ท่านยกพระบาลีมาเอ่ยแต่สติปัญญาของผมก็รับได้แต่เฉพาะธรรมที่ท่านเมตตาแปลมาให้แล้วเท่านั้นครับ

แค่นี้แหล่ะครับ อยากแนะนำเล็กน้อยครับ คือให้คุณไปทำความเข้าใจกับเรื่อง
สมมุติบัญญัติกับอารมณ์ปรมัตถ์ อีกเรื่องก็คือ จิตและอาการของจิตเป็นอย่างไร

ขอโทษด้วยนะครับที่แนะนำ อาจผิกกติกาแต่อดไม่ได้จริงๆครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 02:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
สติ มีในทุกคนไม่ต้องเจริญ สติจะไม่ทำงานถ้าไม่มีอะไรมากระทบ (สติขี้เกียจ)
สติทำหน้าที่ลากดึงสัญญา หรือความจำ
ในสัญญาจำสิ่งกุศลสติก็ลากดึงกุศลมารับการกระทบ ผลที่แสดงออกมาก็คิดดี ทำดี
สัญญาจำแต่อกุศลสติก็ดึงอกุศล มารับการกระทบ ผลออกมาก็คิดชั่ว ทำชั่ว
สมาธิ คือความสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน สมาธิมาจากการฝึกปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นการฝึกทางโลก หรือฝึกทางธรรม

คุณไม่เที่ยงครับ คนบ้าคนเสียจริตมีสติมั้ยครับ :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ สติเกิดเองได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหรือครับ
ถึงได้บอกว่ามันขี้เกียจ :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ ที่คุณบอกว่า "สัญญาดึง อกุศลมารับการกระทบ
ผลออกมาคือคิดชั่วทำชั่ว คุณแน่ใจแล้วหรือว่า เป็นสติที่คุณว่า :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ แน่ใจแล้วหรือว่า สมาธิคือความสงบ และสมาธิ
เกิดจากการฝึกปฏิบัติ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
คุณไม่เที่ยงครับ คนบ้าคนเสียจริตมีสติมั้ยครับ :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ สติเกิดเองได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหรือครับ
ถึงได้บอกว่ามันขี้เกียจ :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ ที่คุณบอกว่า "สัญญาดึง อกุศลมารับการกระทบ
ผลออกมาคือคิดชั่วทำชั่ว คุณแน่ใจแล้วหรือว่า เป็นสติที่คุณว่า :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ แน่ใจแล้วหรือว่า สมาธิคือความสงบ และสมาธิ
เกิดจากการฝึกปฏิบัติ :b13:
นั่งสมาธิชอบตกภวังค์บ่อยมาก(แบบว่าอินทรีย์ยังอ่อน :b12: ) ในภวังค์มันก็สงบดีอยู่นะแต่ยังเห็นกิเลสวิ่งเล่นไปมาอยู่เลย รู้ตัวนะว่างตกภวังค์จับคำบริกรรมแทบไม่ได้ ดังนั้นสมาธิไม่น่าจะใช่ความสงบ ความคิดที่วิ่งในจิตก็มีทั้งดีไม่ดีบ้าง ยิ่งไปจับว่าดีไม่ดียิ่งฟุ้ง เลยคิดว่าจิตก็ส่วนจิต ความคิดก็ส่วนความคิดมันประกอบด้วยปัจจัยของมัน ตราบใดที่มีปัจจัยก็ห้ามมันไม่ได้เลยปล่อย รู้แค่ว่าตัวนี้มันดีหรือไม่ดีแล้วหันมาจับคำบริกรรมต่อมันก็วางได้ ดังนั้นคาดว่าสติไม่ใช่ตัวที่ว่ามา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 07:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
ปุจฉาครับ แล้วสติ สมาธิตอนทำงาน มันแตกต่างจากสติสมาธิตอนว่างงานตรงไหนครับ
**งานภายนอกกับงานภายใน, งานทางโลกกับงานทางธรรม, โลกิยะกับโลกุตระ สำหรับผมมันต่างกับตรงนี้แหละครับพี่ แต่ถ้าโดยส่วนมากเมื่อก่อนตอนที่ว่างจากงานผมมักเสียเวลาไปกับเรื่องภายนอกของโลก เช่น กีฬา การ์ตูน เล่นเกมส์ ดูหนังฟังเพลง แต่เดี๋ยวนี้ลงลดไปเยอะพอสมควรแล้วครับ
ปุฉาครับ ทำไมถึงตัองไปพิจารณาอาการ๓๒ด้วยครับ สาเหตุมาจากอะไร
**ที่ทำอยู่ในการปฏิบัติมีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจงมั้ยครับ

เพื่อคลายกำหนัด ลดกามวิตกเกี่ยวกับ กามคุณ 5 ในใจของผม นี่เป็นสาเหตุหลักๆของผมครับ ส่วนชื่อตามพระบาลีคือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐานครับ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ช่วยแก้ไขให้ด้วยนะครับ เพราะผมไม่ค่อยแตกฉานเรื่องพระไตรหรือพระบาลีจริงๆครับ
ปุจฉาครับ สิ่งที่คุณเรียกว่าใจ ในพระอภิธรรมมีชื่อเรียกมั้ยครับ
**ละอายใจที่ต้องบอกว่าผมไม่ทราบจริงๆครับ ผมรู้แต่ในภาษาธรรมดาแบบบ้านๆจริงๆครับ ถ้าพี่พอจะทราบผมรบกวนช่วยบอกผมด้วยนะครับ
ปล. ผมอยากเรียนด้วยความสัตย์จริงว่าผมไม่คล่องไม่ชำนาญไม่แตกฉานเรื่องพระไตรปิฏกและพระบาลีจริงๆ ธรรมที่ผมรู้มาอยู่บ้างก็เป็นเพราะพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเมตตาสั่งสอน อบรม ด้วยภาษาบ้านๆธรรมดาๆครับ อาจจะมีบ้างบางครั้งที่ท่านยกพระบาลีมาเอ่ยแต่สติปัญญาของผมก็รับได้แต่เฉพาะธรรมที่ท่านเมตตาแปลมาให้แล้วเท่านั้นครับ

แค่นี้แหล่ะครับ อยากแนะนำเล็กน้อยครับ คือให้คุณไปทำความเข้าใจกับเรื่อง
สมมุติบัญญัติกับอารมณ์ปรมัตถ์ อีกเรื่องก็คือ จิตและอาการของจิตเป็นอย่างไร

ขอโทษด้วยนะครับที่แนะนำ อาจผิกกติกาแต่อดไม่ได้จริงๆครับ :b13:

สวัสดีครับพี่ โฮฮับ
**ผมขอบคุณและน้อมรับในข้อแนะนำของพี่ครับ ผมเลยอยากขอ ปุจฉา พี่ในเรื่องที่พี่แนะนำผมหน่อยนะครับ 1.สมมุติบัญญัติกับอารมณ์ปรมัตถ์ คืออะไร กรุณาอธิบายความเป็นภาษาธรรมดาที่ภูมิสติปัญญาหยาบๆอย่างผมเข้าใจได้ง่าย ยิ่งมีข้ออุปมาอุปมัยด้วยยิ่งดีครับ 2. จิตและอาการของจิตเป็นอย่างไร กรุณาอธิบายความเป็นภาษาธรรมดาที่ภูมิสติปัญญาหยาบๆอย่างผมเข้าใจได้ง่าย ยิ่งมีข้ออุปมาอุปมัยด้วยยิ่งดีครับ
ปล.ผมขอคำตอบที่เป็นความรู้ในใจของพี่เองนะครับ
ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 10:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5016


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
อดีตไม่เอา อนาคตไม่เอา เอาปัจจุบันเป็นหลักใช้ชีวิตให้เป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่กระทบไม่พิจารณา
- ตาเห็นสิ่งนั้น เช่น โต๊ะ พัดลม สุนัข คน เพดาน คอมพิวเตอร์ "ไม่เที่ยง เกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- หูได้ยินเสียง พิจารณา "เสียงไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- จมูกได้กลิ่น พิจารณา "กลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- ลิ้นได้รส พิจารณา "รสไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- สัมผัส ร้อน เย็น แข็ง อ่อน ตึง ไหว เจ็บ ปวด เช่น "ร้อนไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- ใจคิดลึก พิจารณา "ใจคิดลึกไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"

วิปัสสนาเพื่อพิจาณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6

ค่อยๆ ฝึกสะสมจากเล็กไปมากเพื่อให้เกิดปัญญาขึ้นทีละเล็กทีีละน้อย ปัญญาก็จะเพิ่มมากขึ้น
เป็นการวิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญาดับเหตุแห่งทุกข์ ไม่ให้ความพอใจ ไม่พอใจ เข้ามาแทนที่
เติมความจริงให้มากอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นภายใน 7 วัน นี่เป็นสิ่งที่ท่านมองเห็น คือมองเห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติว่าสรรพสิ่ง ไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น มีดับไป เกิดจากเหตุและปัจจัยมาประชุมกัน สุดท้ายก็แตกสลายหายไป ไม่มีตัวตนของสิ่งนั้น
ไม่ใช่ไปนั่งทำสมาธิไปติดสุขจากการทำสมาธิ เพราะสมาธิคือความสงบ เมื่อสงบเราก็สบายใจ เมื่อเลิกทำก็ทุกข์เหมือนเิดิม เมื่อทุกข์ก็กลับไปทำใหม่ ไม่ต่างอะไรกับกินเหล้า ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวรอบโลก กลับมาทุกข์เหมือนเดิม เพราะสมาธิที่ทำคือ มิจฉาสมาธิ คือไม่มีปัญญาประกอบนั้นเอง หากจะทำสมาธิต้องมีปัญญาประกอบ เพื่อให้บรรลุมรรคผลในขั้นต่อไปเร็วขึ้น แล้วปัญญามาจากไหนก็มาจากการวิปัสสนานั้นเองอั้นนี้พิสูจน์ได้

"ไม่เที่ยง เกิดดับ" ผู้ปฏิบัติย่อมรู้เอง


บททดสอบ ผลการปฏิบัติ ที่ว่าง่าย

ช่วยลองอธิบาย พระสูตรท่อนนี้

เพราะถ้าวิปัสสนาเป็นเรื่องง่าย

ท่านคงอธิบายความนัยแห่งพระสูตรนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก


Quote Tipitaka:
ก็วงศ์ของสมณะผู้ครองผ้าขาวไม่อาจดำรงพระศาสนาไว้ได้ จำเดิมแต่สมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า. พระศาสนาย่อมชื่อว่าเป็นอันเสื่อม จำเดิมแต่คนสุดท้ายที่แทงตลอดสัจจะและคนสุดท้ายที่ทำลายศีล.
จำเดิมแต่นั้น ไม่ห้ามการเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นแล.

อรรถกถาพหุธาตุกสูตรที่ ๕
.............................

หนึ่งเดียวที่เหลือ คือโขติปาละมาณพเถระนี่เองจ่ะ
ที่ไม่สามารถรักษา ดำรงพระศาสนาในพระมหากัสสปะพุทธเจ้า ไว้ได้

[๔๒๒] ดูกรอานนท์ เธอจะพึงมีความคิดเห็นว่า สมัยนั้น คนอื่นได้เป็นโชติปาล-
*มาณพแน่นอน แต่ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นอย่างนั้น สมัยนั้นเราได้เป็นโชติปาลมาณพ.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ยินดีชื่นชมพระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล.
จบ ฆฏิการสูตร ที่ ๑.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 12:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
อดีตไม่เอา อนาคตไม่เอา เอาปัจจุบันเป็นหลักใช้ชีวิตให้เป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่กระทบไม่พิจารณา
- ตาเห็นสิ่งนั้น เช่น โต๊ะ พัดลม สุนัข คน เพดาน คอมพิวเตอร์ "ไม่เที่ยง เกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- หูได้ยินเสียง พิจารณา "เสียงไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- จมูกได้กลิ่น พิจารณา "กลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- ลิ้นได้รส พิจารณา "รสไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- สัมผัส ร้อน เย็น แข็ง อ่อน ตึง ไหว เจ็บ ปวด เช่น "ร้อนไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"
- ใจคิดลึก พิจารณา "ใจคิดลึกไม่เที่ยงเกิดดับ" ย้อนมาที่ตัวเรา "เราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ"

วิปัสสนาเพื่อพิจาณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6

ค่อยๆ ฝึกสะสมจากเล็กไปมากเพื่อให้เกิดปัญญาขึ้นทีละเล็กทีีละน้อย ปัญญาก็จะเพิ่มมากขึ้น
เป็นการวิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญาดับเหตุแห่งทุกข์ ไม่ให้ความพอใจ ไม่พอใจ เข้ามาแทนที่
เติมความจริงให้มากอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นภายใน 7 วัน นี่เป็นสิ่งที่ท่านมองเห็น คือมองเห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติว่าสรรพสิ่ง ไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น มีดับไป เกิดจากเหตุและปัจจัยมาประชุมกัน สุดท้ายก็แตกสลายหายไป ไม่มีตัวตนของสิ่งนั้น
ไม่ใช่ไปนั่งทำสมาธิไปติดสุขจากการทำสมาธิ เพราะสมาธิคือความสงบ เมื่อสงบเราก็สบายใจ เมื่อเลิกทำก็ทุกข์เหมือนเิดิม เมื่อทุกข์ก็กลับไปทำใหม่ ไม่ต่างอะไรกับกินเหล้า ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวรอบโลก กลับมาทุกข์เหมือนเดิม เพราะสมาธิที่ทำคือ มิจฉาสมาธิ คือไม่มีปัญญาประกอบนั้นเอง หากจะทำสมาธิต้องมีปัญญาประกอบ เพื่อให้บรรลุมรรคผลในขั้นต่อไปเร็วขึ้น แล้วปัญญามาจากไหนก็มาจากการวิปัสสนานั้นเองอั้นนี้พิสูจน์ได้

"ไม่เที่ยง เกิดดับ" ผู้ปฏิบัติย่อมรู้เอง


บททดสอบ ผลการปฏิบัติ ที่ว่าง่าย

ช่วยลองอธิบาย พระสูตรท่อนนี้

เพราะถ้าวิปัสสนาเป็นเรื่องง่าย

ท่านคงอธิบายความนัยแห่งพระสูตรนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก


Quote Tipitaka:
ก็วงศ์ของสมณะผู้ครองผ้าขาวไม่อาจดำรงพระศาสนาไว้ได้ จำเดิมแต่สมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า. พระศาสนาย่อมชื่อว่าเป็นอันเสื่อม จำเดิมแต่คนสุดท้ายที่แทงตลอดสัจจะและคนสุดท้ายที่ทำลายศีล.
จำเดิมแต่นั้น ไม่ห้ามการเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นแล.

อรรถกถาพหุธาตุกสูตรที่ ๕
.............................

หนึ่งเดียวที่เหลือ คือโขติปาละมาณพเถระนี่เองจ่ะ
ที่ไม่สามารถรักษา ดำรงพระศาสนาในพระมหากัสสปะพุทธเจ้า ไว้ได้

[๔๒๒] ดูกรอานนท์ เธอจะพึงมีความคิดเห็นว่า สมัยนั้น คนอื่นได้เป็นโชติปาล-
*มาณพแน่นอน แต่ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นอย่างนั้น สมัยนั้นเราได้เป็นโชติปาลมาณพ.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ยินดีชื่นชมพระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล.
จบ ฆฏิการสูตร ที่ ๑.



ขอโทษนะครับผมอธิบายไม่ได้หรอกครับ ผมมีปัญญาน้อย พระสูตรเหล่านี้เป็นหลักสูตรชั้นสูง (ดูกรภิกษุ) ผมเรียนแค่ชั้นต้น (ดูกรฆราวาส) หลักสูตรเหล่านี้เอาไว้สอนอริยบุคคล หรือสงฆ์อริยบุคคลขึ้นไป หรือผู้มีปัญญายิ่ง ยากที่บุคคลธรรมดาเข้าใจได้ง่าย ผมปฏิบัติวิปัสสนาจากน้อย แล้วก็ให้มันมากขึ้นทุกวัน ปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น ทุกข์ก็ค่อยๆ หมดไปทีละน้อยก็แค่นี้เองไม่ได้มีอะไรมาก วิธีนี้ก็พิสูจน์ให้ผมรู้ว่าดับทุกข์ได้จริงๆ จากการปฏิบัติมา วิธีไหนปฏิบัติแล้วดับทุกข์ไม่ได้ก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะในพระไตรปิฎกสอนเรื่องทุกข์ และการดับทุกข์เท่านั้น ไม่ต้องไปคิดอะไรให้ซับซ้อนปวดหัว หรือยุ่งยาก เพราะความคิด ทำให้เกิดการปรุงแต่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 13:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="ไม่เที่ยง เกิดดับ] ขอโทษนะครับผมอธิบายไม่ได้หรอกครับ ผมมีปัญญาน้อย พระสูตรเหล่านี้เป็นหลักสูตรชั้นสูง (ดูกรภิกษุ) ผมเรียนแค่ชั้นต้น (ดูกรฆราวาส) หลักสูตรเหล่านี้เอาไว้สอนอริยบุคคล หรือสงฆ์อริยบุคคลขึ้นไป หรือผู้มีปัญญายิ่ง ยากที่บุคคลธรรมดาเข้าใจได้ง่าย ผมปฏิบัติวิปัสสนาจากน้อย แล้วก็ให้มันมากขึ้นทุกวัน ปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น ทุกข์ก็ค่อยๆ หมดไปทีละน้อยก็แค่นี้เองไม่ได้มีอะไรมาก วิธีนี้ก็พิสูจน์ให้ผมรู้ว่าดับทุกข์ได้จริงๆ จากการปฏิบัติมา วิธีไหนปฏิบัติแล้วดับทุกข์ไม่ได้ก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะในพระไตรปิฎกสอนเรื่องทุกข์ และการดับทุกข์เท่านั้น ไม่ต้องไปคิดอะไรให้ซับซ้อนปวดหัว หรือยุ่งยาก เพราะความคิด ทำให้เกิดการปรุงแต่ง[/quote]
:b1: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 155 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร