วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 11:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2012, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


๒. อุปติสสสูตร

พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายได้รับคำท่านพระสารีบุตร
แล้ว ฯ

ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ความ
ปริวิตกแห่งใจได้บังเกิดขึ้นแก่เราผู้เร้นอยู่ในที่ลับอย่างนี้ว่า โสกปริเทวทุกขโทมนัส
และอุปายาสพึงบังเกิดขึ้นแก่เรา เพราะความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแห่งสัตว์หรือ
สังขารใด สัตว์หรือสังขารบางอย่างนั้น ยังมีอยู่ในโลกหรือ เราได้มีความดำริว่า
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสไม่พึงบังเกิดขึ้นแก่เรา เพราะความแปรปรวน
เป็นอย่างอื่นแห่งสัตว์หรือสังขารใด สัตว์หรือสังขารบางอย่างนั้น ไม่มีอยู่
ในโลกเลย ฯ

เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าว
กะท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า ดูกรท่านสารีบุตรผู้มีอายุ โสกปริเทวทุกขโทมนัส
และอุปายาสไม่พึงบังเกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแม้แห่ง
พระศาสดาแลหรือ พระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ โสกปริเทวทุกข
โทมนัสและอุปายาสไม่พึงบังเกิดขึ้นแก่เรา เพราะความแปรปรวนเป็นอย่างอื่น
แม้แห่งพระศาสดาแล อนึ่ง ผมดำริว่า พระผู้มีพระภาคเป็นสัตว์ผู้มีศักดาใหญ่
มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก อันตรธานไปแล้ว ถ้าพระองค์พึงดำรงอยู่ตลอดกาลนาน
ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อสุขแก่ชนเป็นอันมาก
เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่เทพยดาและมนุษย์
ทั้งหลาย ก็ความจริง ท่านพระสารีบุตรถอนอหังการ มมังการ และมานานุสัย
ได้นานแล้ว เพราะฉะนั้น โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสทั้งหลาย จึง
ไม่บังเกิดขึ้นแก่ท่านพระสารีบุตร เพราะความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแม้แห่ง
พระศาสดาแล ด้วยประการดังนี้ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2012, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรคฤหบดี ก็อย่างไรเล่า?
บุคคลจึงชื่อว่า เป็นผู้มี กาย กระสับกระส่ายด้วย
จึงชื่อว่า เป็นผู้มี จิต กระสับกระส่ายด้วย

ดูกรคฤหบดี คือ
ปุถุชน ผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้
มิได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
มิได้รับแนะนำในอริยธรรม มิได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย
ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ มิได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม

ย่อมเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน ๑
ย่อมเห็น ตน มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๑
ย่อมเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ใน ตน ๑
ย่อมเห็น ตน ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๑

เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
เราเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของเรา

เมื่อเขาตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
เราเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของเรา

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น ย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป

เพราะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส จึงเกิดขึ้น

ดูกรคฤหบดี ด้วยเหตุอย่างนี้แล
บุคคลจึงชื่อว่า เป็นผู้มี กาย กระสับกระส่าย
และเป็นผู้มี จิต กระสับกระส่าย


[๕] ดูกรคฤหบดี ก็อย่างไรเล่า?
บุคคลแม้เป็นผู้มี กาย กระสับกระส่าย
แต่หาเป็นผู้มี จิต กระสับกระส่ายไม่

ดูกรคฤหบดี คือ
อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้
ผู้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ผู้ได้รับแนะนำดีแล้วในอริยธรรม ผู้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย
ผู้ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ผู้ได้รับแนะนำดีแล้วในสัปปุริสธรรม

ย่อมไม่เห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน ๑
ย่อมไม่เห็น ตน มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๑
ย่อมไม่เห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ใน ตน ๑
ย่อมไม่เห็น ตน ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๑

ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
เราเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของเรา

เมื่ออริยสาวกนั้น ไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า
เราเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของเรา

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป

เพราะรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส จึงไม่เกิดขึ้น

ดูกรคฤหบดี อย่างนี้แล
บุคคลแม้มี กาย กระสับกระส่าย
แต่หาเป็นผู้มี จิต กระสับกระส่ายไม่

ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำเช่นนี้แล้ว
นกุลปิตคฤหบดี ชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร ฉะนี้แล.



นกุลปิตาสูตร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2012, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เรา มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ................. นี่เป็นการยึดมั่น
เรา มีขันธ์5 ................................................นี่เป็นการยึดมั่น
ขันธ์5 ของเรา ...........................................นี่เป็นการยึดมั่น

รูป ของเรา..................................นี่เป็นการยึดมั่น
เวทนา ของเรา.............................นี่เป็นการยึดมั่น
สัญญา ของเรา...............................นี่เป็นการยึดมั่น
สังขาร ของเรา...........................นี่เป็นการยึดมั่น
วิญญาณ ของเรา.........................นี่เป็นการยึดมั่น

จิตของเรา สติของเรา กายของเรา แขนของเรา ขาของเรา .........ล้วนเป็นการยึดมั่น

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2012, 07:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ทุกข์ = ทุกขัง = ทนตั้งอยู่ไม่ได้
จะอรรถาธิบายอย่างไร ในที่สุดตัวสภาวะที่เกิดจริงๆกับกายและจิต คือ [color=#800080]"ทนตั้งอยู่ไม่ได้"
อยากรู้และสัมผัสสภาวทุกข์ด้วยตนเองจริงๆ ให้อยู่ในอิริยาบถเดียวให้ได้ตั้งแต่ 1 - 3 ชั่วโมง คุณก็จะได้สัมผัสและรู้ถึ ทุกข์ด้วยกาายและใจของคุณเองเลยครับ[/color]

"อิริยาบถ 4 บัง ทุกขัง" พุทธวัจจนะ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2012, 17:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
ทุกข์ = ทุกขัง = ทนตั้งอยู่ไม่ได้
จะอรรถาธิบายอย่างไร ในที่สุดตัวสภาวะที่เกิดจริงๆกับกายและจิต คือ [color=#800080]"ทนตั้งอยู่ไม่ได้"
อยากรู้และสัมผัสสภาวทุกข์ด้วยตนเองจริงๆ ให้อยู่ในอิริยาบถเดียวให้ได้ตั้งแต่ 1 - 3 ชั่วโมง คุณก็จะได้สัมผัสและรู้ถึ ทุกข์ด้วยกาายและใจของคุณเองเลยครับ[/color]

"อิริยาบถ 4 บัง ทุกขัง" พุทธวัจจนะ
:b8:


ขอบพระคุณมากครับที่นิยามคำว่า ทุกข์ ที่เข้าใจความหมายได้ง่ายขึ้น
คือ ทนตั้งอยู่ไม่ได้

นี่คือ ทุกข์ในกฎไตรลักษณ์ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิต ไม่มีชีวิต ก็ทนตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่คงทน ไม่ทนทาน
เช่น ขันธ์ 5 กายไม่ทนทำให้ทุกข์กาย จิตไม่ทนทำให้เกิด โลภ โกรธ หลง เกิดตัณหา และทุกข์ใจตามมา สิ่งไม่มีชีวิต เช่น รถยนต์ ทนตั้งอยู่ไม่ได้ ผุพัง ชำรุด เสื่อมสลาย

" สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา "


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร