วันเวลาปัจจุบัน 30 ก.ค. 2025, 03:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2012, 18:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
จิตไม่ทำงานถ้าไม่มีอะไรมากระทบ หากทำสมาธิ หรือ นอนหลับจิตก็ไม่ทำงานทำให้เกิดความสงบเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดปัญญา เป็นแค่ความสงบกายและใจ เอาความสงบมาดับเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้

การวิปัสสนาเป็นการเติมความจริงเมื่อมีสิ่งมากระทบทางจิต เป็นการเติมความจริงในจิต เกิดการปรุงแต่ง ผลที่ออกมา คือ ปัญญา เอามาดับเหตุแห่งทุกข์ได้


ไม่เข้าใจเหร๋อ....
เมื่อกายสงบ ใจสงบ ทุกข์มันเกิดตรงไหน
เมื่อมันไม่เกิด และมันจะต้องไปดับทำไมล่ะ
สงบกาย สงบใจเกิด ทุกข์ก็ดับ นี่ล่ะปัญญา :b32:
จะไปเอาอะไรมาให้ไม่สงบล่ะ

และที่ท่านวิปัสสนาเพราะจิตมันกระสับกระส่ายไม่ใช่เหร๋อ
มันหาความสงบไม่เจอ
มันหาความสงบไม่ได้
มันทุกข์
จิตมันก็เลยต้องดุ๊กดิ๊กออกมาวิปัสสนา

:b6: :b6: :b6:


ใช่ครับสงบ แต่สงบตอนทำสมาธิ
เลิกทำก็หายสงบทุกข์กลับมาเหมือนเดิม ต้องทำใหม่เมื่อทุกข์ อันนี้เขาเรียกว่าติดสุข
ไม่ต่างอะไรกับนอนหลับ ไม่ต้องคิดอะไร มันจะมีปัญญาได้อย่างไร เมื่อว่างมันก็สงบ มันก็ใช่อยู่
หากไม่ทำสมาธิมันจะสงบไหมครับ (ทำไมมันถึงง่ายปานนั้น เมื่อทุกข์ก็ทำสมาธิ) นี่คือ วิธีการปฏิบัติของศาสนาพรหมณ์ แทรกซึมกับศาสนาพุทธมาโดยตลอดในปัจจุบันโดยที่เราไม่รูตัว เพราะศาสนาพรหมณ์มีมาก่อนศาสนาพุทธ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2012, 21:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ใช่ครับสงบ แต่สงบตอนทำสมาธิ
เลิกทำก็หายสงบทุกข์กลับมาเหมือนเดิม ต้องทำใหม่เมื่อทุกข์ อันนี้เขาเรียกว่าติดสุข
ไม่ต่างอะไรกับนอนหลับ ไม่ต้องคิดอะไร มันจะมีปัญญาได้อย่างไร เมื่อว่างมันก็สงบ มันก็ใช่อยู่
หากไม่ทำสมาธิมันจะสงบไหมครับ (ทำไมมันถึงง่ายปานนั้น เมื่อทุกข์ก็ทำสมาธิ) นี่คือ วิธีการปฏิบัติของศาสนาพรหมณ์ แทรกซึมกับศาสนาพุทธมาโดยตลอดในปัจจุบันโดยที่เราไม่รูตัว เพราะศาสนาพรหมณ์มีมาก่อนศาสนาพุทธ


คุณเคยทำแล้วเป็นงั๊นเหร๋อ ใช่นั่นเพราะคุณติดสุข
จริง ๆ นั่นก็คือ คุณไม่รู้จักวิธีประคองจิต
ไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากสมาธิ ไม่เท่าทันอารมณ์
ผลการทำสมาธิของคุณก็เลยเป็นเช่นนั้น
เพราะการทำสมาธิของคุณมันเป็นแบบทื่อ ๆ เอง
และก็ทื่อจริง ๆ
ที่ไม่โทษตัวเองแต่ไปโทษพราหมณ์

ถ้าสมาธิไม่มีคุณ พระพุทธองค์ไม่สอนหรอก
ให้ทำให้มาก

สมาธิไม่ใช่ ของพราหมณ์ หรือของอะไร
สมาธิเป็นเจตสิก ที่ปรากฎประกอบกับจิต
จะมีพราหมณ์ หรือไม่มีพราหมณ์
สมาธิ ก็เป็นเจตสิก ที่ปรากฎประกอบกับจิต เช่นนั้น

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 11:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ใช่ครับสงบ แต่สงบตอนทำสมาธิ
เลิกทำก็หายสงบทุกข์กลับมาเหมือนเดิม ต้องทำใหม่เมื่อทุกข์ อันนี้เขาเรียกว่าติดสุข
ไม่ต่างอะไรกับนอนหลับ ไม่ต้องคิดอะไร มันจะมีปัญญาได้อย่างไร เมื่อว่างมันก็สงบ มันก็ใช่อยู่
หากไม่ทำสมาธิมันจะสงบไหมครับ (ทำไมมันถึงง่ายปานนั้น เมื่อทุกข์ก็ทำสมาธิ) นี่คือ วิธีการปฏิบัติของศาสนาพรหมณ์ แทรกซึมกับศาสนาพุทธมาโดยตลอดในปัจจุบันโดยที่เราไม่รูตัว เพราะศาสนาพรหมณ์มีมาก่อนศาสนาพุทธ


คุณเคยทำแล้วเป็นงั๊นเหร๋อ ใช่นั่นเพราะคุณติดสุข
จริง ๆ นั่นก็คือ คุณไม่รู้จักวิธีประคองจิต
ไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากสมาธิ ไม่เท่าทันอารมณ์
ผลการทำสมาธิของคุณก็เลยเป็นเช่นนั้น
เพราะการทำสมาธิของคุณมันเป็นแบบทื่อ ๆ เอง
และก็ทื่อจริง ๆ
ที่ไม่โทษตัวเองแต่ไปโทษพราหมณ์

ถ้าสมาธิไม่มีคุณ พระพุทธองค์ไม่สอนหรอก
ให้ทำให้มาก

สมาธิไม่ใช่ ของพราหมณ์ หรือของอะไร
สมาธิเป็นเจตสิก ที่ปรากฎประกอบกับจิต
จะมีพราหมณ์ หรือไม่มีพราหมณ์
สมาธิ ก็เป็นเจตสิก ที่ปรากฎประกอบกับจิต เช่นนั้น

:b13: :b13: :b13:


สมาธิ เกิดจากมีสัมมาทิฐิแล้ว หรือ มีปัญญา
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่คือผู้มีสมาธิ

ส่วนการนั่งสมาธิทำได้เหมือนกันแต่ต้องมีปัญญาประกอบไม่งั้นจะิเป็นมิจฉาสมาธิ
การนั่งสมาธิเป็นข้อปฏิบัติสำหรับ อริยบุคคล หรือสงฆ์อริยบุคคลขึ้นไปเพื่อไปสู่นิพพานได้เร็วขึ้น
ส่วนฆราวาส หรือปุถุชน อุบาสก อุบาสิกา ก็แล้วแต่ ต้องเริ่มจากการวิััปััสสนาภาวนา เพื่อเจริญปัญญา
แล้วเอาปัญญามาดับเหตุแห่งทุกข์ ศีลเกิด สมาธิเกิด (ปัญญา ศีล สมาธิ หรือ มรรคมีองค์ 8)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 12:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
สมาธิ เกิดจากมีสัมมาทิฐิแล้ว หรือ มีปัญญา
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่คือผู้มีสมาธิ
ส่วนการนั่งสมาธิทำได้เหมือนกันแต่ต้องมีปัญญาประกอบไม่งั้นจะิเป็นมิจฉาสมาธิ
การนั่งสมาธิเป็นข้อปฏิบัติสำหรับ อริยบุคคล หรือสงฆ์อริยบุคคลขึ้นไปเพื่อไปสู่นิพพานได้เร็วขึ้น
ส่วนฆราวาส หรือปุถุชน อุบาสก อุบาสิกา ก็แล้วแต่ ต้องเริ่มจากการวิััปััสสนาภาวนา เพื่อเจริญปัญญา
แล้วเอาปัญญามาดับเหตุแห่งทุกข์ ศีลเกิด สมาธิเกิด (ปัญญา ศีล สมาธิ หรือ มรรคมีองค์ 8)


:b32: :b32: :b32:

ไม่หันไปแขวะพรามณ์ ก็มาแขวะปุถุชน/อริยะ

สมาธิ เป็น เจตสิก ท่าน
อารมณ์นี้ อาการนี้เป็นเช่นนั้นเอง
จะมีพราหมณ์ หรือไม่
จะมีปุถุชน หรือไม่
จะมีอริยะ หรือไม่
สมาธิก็เป็นอาการที่ปรากฎตามเหตุปัจจัย
เขาเป็นธรรม/สัจจะ มาของเขาเช่นนั้น

ปรากฎก่อนที่ พราหมณ์ ปุถุชน อริยะ จะถูกจำแนก
สมาธิเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชั้น วรรณะ
ทุกคนมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้ อารมณ์ นี้กันทุกคน
เช่นเดียวกับ อากาศ ที่ทุกคนมีโอกาสที่จะได้หายใจ

มีสมาธิ ก็รู้
ไม่มีสมาธิ ฟุ้งซ่าน ก็รู้
สมาธินั้น ไม่ได้เป็นของพราหมณ์ ของปุถุชน ของอริยะ
เขาเป็น เจตสิก ที่เกิดประกอบกับจิต
ที่เมื่อปรากฎ อารมณ์นั้น นิ่ง แน่วแน่ เป็นหนึ่ง สงบ สันติ

ไม่ใช่พอสมาธิปรากฎ(หรือยังไม่ทันปรากฎ) ก็คิดกับเขาไปนั่นไปนี่
สมาธิก็เลยกลายเป็นนั่นเป็นนี่(ไปตามความคิดที่จูงไป)

สมาธิก็เลยไม่เคยเป็นอย่างที่เป็น
ท่านก็เลยไม่เคยรู้จักสมาธิที่แท้จริง รู้แต่สมาธิที่ไหลไปตามความคิด

:b16: :b16: :b16:

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 13:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:

การนั่งสมาธิเป็นข้อปฏิบัติสำหรับ อริยบุคคล หรือสงฆ์อริยบุคคลขึ้นไปเพื่อไปสู่นิพพานได้เร็วขึ้น
ส่วนฆราวาส หรือปุถุชน อุบาสก อุบาสิกา ก็แล้วแต่ ต้องเริ่มจากการวิััปััสสนาภาวนา เพื่อเจริญปัญญา
แล้วเอาปัญญามาดับเหตุแห่งทุกข์ ศีลเกิด สมาธิเกิด (ปัญญา ศีล สมาธิ หรือ มรรคมีองค์ 8)


กล่าว...ธรรม..ว่าไม่ใช่ธรรม
ไม่ใช่ธรรม..กล่าวว่าเป็นธรรม

คุณไม่เที่ยง...อยากเป็นอะไรดี
อาภัพบุคคล..หรือ..โมฆะบุรุษ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
student เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
จิตปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลง แปรปรวนไม่คงที่ เกิดดับ เกิดดับ ตลอดเวลา ทุกข์ใจจึงเกิดขึ้น


วันก่อนนั่งสมาธิไปจนกระทั่งเวทนาเกิด กำหนดรู้ว่านี่ทุกข์นะ ความปวดจากรูปเป็นทุกข์ แต่วิญญาณยังกำหนดรู้ที่รูปเกิดผัสสะที่กายตามจุดต่างๆ จู่ๆ เกิดเป็นความรู้ว่า ทุกข์ของรูปนั้นล้วนแต่เป็นสภาวะธรรมที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เป็นสภาวะธรรมที่ไม่เลือกขันธ์ คือ ทุกๆขันธ์ นั้นจะประสบสภาวะธรรมแบบเดียวกัน เช่น ความปวดเมื่อย เป็นความปวดเมื่อยแบบเดียวกัน หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ เป็นอนัตตา จริงๆแล้วจะกำหนดรู้ทุกข์แต่เป็นความรู้ของอนัตตาผุดขึ้นมา แม้แต่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ล้วนเป็นสภาวะธรรมเดียวกัน ไม่มีเรา มี เขา เป็นสภาวะธรรมที่เกิดเพราะอาศัยเหตุ เพราะมีขันธ์5 จึงมีสภาวะธรรม เราไม่ใช่เจ้าของสภาวะธรรมใดๆ ทุกท่านพิจารณาว่าเป็นอย่างไร


ผมนั่งสมาธิ จะเกิดเวทนาแบบท่านแค่แป๊ปเดียว ช่วงแรกๆ พอเข้าสมาธิ จะไม่รู้สึกใดๆเลย แต่ก่อนจะเข้าสมาธินั้น ผมจะกำหนดรู้ลมหายใจ ด้วย พุทโธ ผสมกับ ไม่มีตัวกู ของกู
และผมคิดว่าทุกอย่างมันจบที่กฏ ไตรลักษณ์ อยู่แล้ว จนจิต ไม่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งใด ผมก็ว่าถูก แต่หนทางมันไม่ใช่อยู่แค่นั้น การเดินทางใช่ว่าเราจะกระโดดที่เดียว ถึงจุดหมายเลยซะเมื่อไหร่ อย่าตั้งธง ไตรลักษณ์ ไว้ก่อน แต่จงทำให้เกิดผู้รู้ ก่อนแล้วเดินไปที่ละก้าว ครับ

ผมเห็นมาเช่นนั้น เลยคิดเช่นนั้น พิจารณาดู ถูกไม่ถูกไม่เป็นไร เพียรตามจริตเราไป ย่อมเกิดผล
:b8:


ผมอ่านทบทวนคำอธิบายของคุณอยู่ 2 3 วัน จึงพิจารณาว่าพระไตรลักษณ์นั้นคือสภาพที่เสมอเหมือนของสรรพสิ่ง ดังนั้นทุกสรรพสิ่งจึงอยู่ภายใต้กฎของพระไตรลักษณ์ คนที่จะทำความเพียรนั้นต้องกำหนดสิ่งต่างๆเข้าในกฏของพระไตรลักษณ์ครับ จึงเป็นความเห็นที่แย้งกับคุณที่ว่า อย่าตั้งธงไตรลักษณ์ไว้ก่อน ความเห็นจะนำไปสู่การปฏิบัติ จุดของการปฏิบัติของตัวผมอยู่ที่อายตนะทั้ง12 ที่กระทบกัน เช่น การปวดเมื่อยขาเป็นผัสสะที่เกิดจากกายวิญญาณ ถามว่าเกี่ยวอะไรกับพระไตรลักษณ์ เกี่ยวข้องโดยตรงครับ เพราะความปวดเมื่อยเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง คือทุกข์ แล้วเกิดกับเราคนเดียวหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เกิดกับสังขารที่มีใจครอง เสมอเท่าเทียมกัน นั่นคืออนัตตา แม้แต่หายใจเข้าออกกำหนดรู้ ตัวผมกำหนดรู้ว่าเป็นผัสสะที่เกิดจากกายวิญญาณ คือการทำงานของอวัยวะของร่างกาย เพราะเราสนใจที่การหายใจจึงเป็นวิญญาณ หากเราไม่สนใจเราก็ยังหายใจต่อได้ด้วยกลไกธรรมชาติอยู่แล้ว ผัสสะก็เกิดขึ้น แล้วก็มาพิจารณาว่า สั้นบ้าง ยาวบ้าง อยาบบ้าง ละเอียดบ้าง เพราะผัสสะที่เกิดจากกายวิญญาณนั่นเอง สังขารก็เกิดตามมาว่า เอ ทำไมลมหายใจเรายังไม่ละเอียด เอ ลมหายใจละเอียดแล้ว แล้วอะไรต่อ การพิจารณาด้วยการกำหนดพุทโธเป็นผัสสะที่เกิดจากใจคือมีสติอยู่ที่ธรรมารมณ์ หรืออายตนะภายนอก นี่ผมพิจารณาอย่างนี้ ธรรมทั้งปวงล้วนอาศัยเหตุ การปฏิบัติของผมกับอายตนะทั้ง12 ก็เป็นแบบนี้ครับต้องน้อมเข้ากฏของพระไตรลักษณ์ คือพิจารณาสภาพที่เป็นเหตุและผล ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับ อย่าตั้งธงไตรลักษณ์ของคุณอย่างละเอียดครับผม ว่าคุณมีแนวทางพิจาณาธรรมอย่างละเอียดอย่างไร?

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 18:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
student เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
จิตปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลง แปรปรวนไม่คงที่ เกิดดับ เกิดดับ ตลอดเวลา ทุกข์ใจจึงเกิดขึ้น


ผมเห็นมาเช่นนั้น เลยคิดเช่นนั้น พิจารณาดู ถูกไม่ถูกไม่เป็นไร เพียรตามจริตเราไป ย่อมเกิดผล

ผมอ่านทบทวนคำอธิบายของคุณอยู่ 2 3 วัน จึงพิจารณาว่าพระไตรลักษณ์นั้นคือสภาพที่เสมอเหมือนของสรรพสิ่ง ดังนั้นทุกสรรพสิ่งจึงอยู่ภายใต้กฎของพระไตรลักษณ์ คนที่จะทำความเพียรนั้นต้องกำหนดสิ่งต่างๆเข้าในกฏของพระไตรลักษณ์ครับ จึงเป็นความเห็นที่แย้งกับคุณที่ว่า อย่าตั้งธงไตรลักษณ์ไว้ก่อน ความเห็นจะนำไปสู่การปฏิบัติ จุดของการปฏิบัติของตัวผมอยู่ที่อายตนะทั้ง12 ที่กระทบกัน เช่น การปวดเมื่อยขาเป็นผัสสะที่เกิดจากกายวิญญาณ ถามว่าเกี่ยวอะไรกับพระไตรลักษณ์ เกี่ยวข้องโดยตรงครับ เพราะความปวดเมื่อยเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง คือทุกข์ แล้วเกิดกับเราคนเดียวหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เกิดกับสังขารที่มีใจครอง เสมอเท่าเทียมกัน นั่นคืออนัตตา แม้แต่หายใจเข้าออกกำหนดรู้ ตัวผมกำหนดรู้ว่าเป็นผัสสะที่เกิดจากกายวิญญาณ คือการทำงานของอวัยวะของร่างกาย เพราะเราสนใจที่การหายใจจึงเป็นวิญญาณ หากเราไม่สนใจเราก็ยังหายใจต่อได้ด้วยกลไกธรรมชาติอยู่แล้ว ผัสสะก็เกิดขึ้น แล้วก็มาพิจารณาว่า สั้นบ้าง ยาวบ้าง อยาบบ้าง ละเอียดบ้าง เพราะผัสสะที่เกิดจากกายวิญญาณนั่นเอง สังขารก็เกิดตามมาว่า เอ ทำไมลมหายใจเรายังไม่ละเอียด เอ ลมหายใจละเอียดแล้ว แล้วอะไรต่อ การพิจารณาด้วยการกำหนดพุทโธเป็นผัสสะที่เกิดจากใจคือมีสติอยู่ที่ธรรมารมณ์ หรืออายตนะภายนอก นี่ผมพิจารณาอย่างนี้ ธรรมทั้งปวงล้วนอาศัยเหตุ การปฏิบัติของผมกับอายตนะทั้ง12 ก็เป็นแบบนี้ครับต้องน้อมเข้ากฏของพระไตรลักษณ์ คือพิจารณาสภาพที่เป็นเหตุและผล ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับ อย่าตั้งธงไตรลักษณ์ของคุณอย่างละเอียดครับผม ว่าคุณมีแนวทางพิจาณาธรรมอย่างละเอียดอย่างไร?


อย่าพึงโกรธผมนะครับท่าน เพราะผมเองก็แค่คนโง่ที่กำลังค้นหาหนทางอยู่ ความคิดเห็นก็อาจถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง หรือไม่ถูกเลย นะครับ
เอาที่ผมเข้าใจนะครับ ทุกสรรพสิ่งย่อมเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าอะไรเกิดก็จบอยู่ที่กฎไตรลักษณ์ ชั้ยมั้ยครับ เอาอย่างนี้ สมมุติว่า สมมุตินะครับ ตอนนี้มีคนเดินมาด่าหรือต่อยท่าน ท่านจะโกรธเขามั้ย ท่านจะน้อมจิตสู่กฎไตรลักษณ์ได้ทันทีมั้ย ว่าโดนต่อยอันนี้ ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่ายึดมั่นมันเลย อภัยให้เขาเถอะ ถ้าท่านทำได้แสดงว่าท่านมาถูกทางแล้ว
ส่วนผม ผมกลับใช้อุบายอีกอย่างมาระงับอารมณ์ คือ ไม่มีตัวกู ของกู จริงแล้วมันก็คือส่วนหนึ่งของกฎไตรลักษณ์นั้นแหละ แต่มันเข้าถึงจิตได้ง่านกว่า ผมเลยใช้คำนี้ แทน
เล่าเรื่องผมนิดนึง คือตอนนี้มีลูกหนี้งานผม ค้างเงินผมอยู่ ก็เป็นล้านบาทอยู่หลายเดือนแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนผมคงจัดหนักไปแล้ว แต่ตอนนี้มีคำนี้อยู่ในจิต ให้เข้าใจความเป็นจริงเลยสบายใจได้อยู่
ก็เป็นเช่นนี้แหละครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 19:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b9:
ต่อยมา...ก็ต่อยกลับซิครับ....ไม่มีเหตุผลนี้.... wink

แต่ถ้ามีเหตุผล...ก็ต้องดูก่อน.. :b6: ..

ถ้าไม่สมเหตุสมผล...ก็ต่อยคืนครับ... :b32:

ต่อยแบบไม่ผูกใจโกรธ..ก็ได้ s006

สมมุติมา...ก็สมมุติไป....

นี้ไม่สมมุติ..

งานการปกป้องขันธ์...ยังมีอยู่...งานตามกาล

คิดถึงหลวงพ่อชา...

ท่านธุดงค์ไปพบพระรูปหนึ่งในโบสถ์....ที่หลังคารั่วเป็นรูโบ้ว...

ลพช....ท่านทำไมไม่ซ่อมหลังคาละท่าน....
พ........เราวางอุเบกขาแล้ว

ลพช.....วางแล้วทำไมหลบไปอยู่ข้าง ๆ ซะละ....ไม่อยู่ตรงกลางให้ฝนตกใส่ซะเลย

:b12: :b12: :b12:

อันนี้นอกเรื่อง..นะ... :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 20:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:

จิตไม่ทำงานถ้าไม่มีอะไรมากระทบ หากทำสมาธิ หรือ นอนหลับจิตก็ไม่ทำงานทำให้เกิดความสงบเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดปัญญา เป็นแค่ความสงบกายและใจ เอาความสงบมาดับเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้
...นี่แปลว่าอะไรอ่ะ s006 ...คล้ายๆว่า..ฌาน..นา จริงหรือป่าว s006

ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:

การวิปัสสนาเป็นการเติมความจริงเมื่อมีสิ่งมากระทบทางจิต เป็นการเติมความจริงในจิต เกิดการปรุงแต่ง ผลที่ออกมา คือ ปัญญา เอามาดับเหตุแห่งทุกข์ได้
....แล้วตรงนี้หล่ะ s006 ..ไม่ทำสมาธิหรือสมถะเลย แล้วจะวิปัสสนาได้ยังไง..งง จัง s006 ...จะวิปัสสนาแบบได้สัญญาเหรอ หรือวิปัสสนาแบบได้ปัญญา.. ตามที่เราเคยรู้น่ะ (แค่เคยน่ะ) วิปัสสนาแล้วเป็นสัญญาเยอะ วิปัสสนาแล้วเป็นปัญญายากมาก ยังไงก็ต้องมี สมถะเข้ามาช่วยอ่ะ ถึงจะได้ปัญญาหรือละสมถะไว้ในฐานที่เข้าใจกันแล้ว ...เอ..เรา งง หรือเราคิดผิด เอ.. เราเริ่มอวดโง่ อีกกระทู้แล้วเหรอ s006 555..อายจัง s005 s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 20:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
....แล้วตรงนี้หล่ะ s006 ..ไม่ทำสมาธิหรือสมถะเลย แล้วจะวิปัสสนาได้ยังไง..งง จัง s006 ...จะวิปัสสนาแบบได้สัญญาเหรอ หรือวิปัสสนาแบบได้ปัญญา.. ตามที่เราเคยรู้น่ะ (แค่เคยน่ะ) วิปัสสนาแล้วเป็นสัญญาเยอะ วิปัสสนาแล้วเป็นปัญญายากมาก ยังไงก็ต้องมี สมถะเข้ามาช่วยอ่ะ ถึงจะได้ปัญญาหรือละสมถะไว้ในฐานที่เข้าใจกันแล้ว ...เอ..เรา งง หรือเราคิดผิด เอ.. เราเริ่มอวดโง่ อีกกระทู้แล้วเหรอ s006 555..อายจัง s005 s005


เพราะต้อง มีกำลังสมาธิที่เหมาะสมต่อธรรมที่จะเพ่งพิจารณา

:b8: :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 21:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L ขอนอกรอบนิ๊ดดดด..( ขอกระซิบน่ะเดี๋ยวเสียมารยาท..กระซิบเบาๆ ทะเลาะกันเหรอ ไมมีเค้าคนนึงเจอรุมอ่ะ)

ต่อน่ะ

เอ..เราทำกรรมฐาน มหาสติผิดไปเหรอ ไมเราไม่เห็นละเอียดเหมือนเพื่อนๆเลย.. s006 ..เรานะ ตื่นทุกรูขุมขน รู้สึกเหมือนทุกรูขมขน เหมือนตาสับปะรดอ่ะ เพราะมันตื่นทุกรูขุมขนนิ..และเราน่ะเห็นข้างในกายเราพร้อมไปด้วย เราดูข้างในเป็นของสกปรกน่ะ ดูไปดูมา..ไมตัวข้างใน ภายในร่างกายเราว่างเปล่าไปอ่ะ มองไม่เห็น เห็นเป็นอวกาศซะงั้นไป.. s002 s002 ..เราเดินผิดทางแน่ๆหล่ะมั๊งเนี๊ยย... cry cry ..เพราะเท่าที่ตามอ่านมา เราไม่เห็นเหมือนเพื่อนนนน..เลยยย s007 s007


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b9: :b9:
ต่อยมา...ก็ต่อยกลับซิครับ....ไม่มีเหตุผลนี้.... wink

แต่ถ้ามีเหตุผล...ก็ต้องดูก่อน.. :b6: ..

ถ้าไม่สมเหตุสมผล...ก็ต่อยคืนครับ... :b32:

ต่อยแบบไม่ผูกใจโกรธ..ก็ได้ s006

สมมุติมา...ก็สมมุติไป....

นี้ไม่สมมุติ..

งานการปกป้องขันธ์...ยังมีอยู่...งานตามกาล

คิดถึงหลวงพ่อชา...

ท่านธุดงค์ไปพบพระรูปหนึ่งในโบสถ์....ที่หลังคารั่วเป็นรูโบ้ว...

ลพช....ท่านทำไมไม่ซ่อมหลังคาละท่าน....
พ........เราวางอุเบกขาแล้ว

ลพช.....วางแล้วทำไมหลบไปอยู่ข้าง ๆ ซะละ....ไม่อยู่ตรงกลางให้ฝนตกใส่ซะเลย

:b12: :b12: :b12:

อันนี้นอกเรื่อง..นะ... :b13: :b13:


ผมบอกแล้วว่าท่านกบนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ต่อยแบบไม่ผูกใจโกรธได้ อรหันต์แท้ :b12:
ผมแค่สมมติให้เห็นว่า ต้องใช้หลายอุบายในการฝึกจิตระงับอารมณ์แค่นั้นเองครับ เช่นอะไรก็ไม่แน่หรอก มันเป็นเช่นนั้นเอง หรือนึก อสุภะเวลาเห็นผู้หญิง ฯลน ไม่ใช่อยู่ที่ คำของไตรลักษณ์อย่างเดียว มันไม่เข้าไปในความรู้สึกนั้นได้ จนกว่า สติปัฏฐาน4 จะบรรลุ ปัญญาบังเกิดเห็้นแจ้งแทงตลอดได้ ก็ผมลองมาแล้วเห็นเช่นนั้น ก็เลยคิดแบบนั้น ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 21:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


สามัคคีเภทคำฉันท์
พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๕๐


ชิต บุรทัต
(พ.ศ.๒๔๓๕ - ๒๔๘๕)

สามัคคีเภทคำฉันท์ เป็นกวีนิทานสุภาษิต ว่าด้วย "โทษแห่งการแตกสามัคคี"
ภายหลังได้รับการยกย่องเป็นตำราเรียนวรรณกรรมไทยที่สำคัญเล่มหนึ่งทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ลักษณะเด่นของ สามัคคีเภทคำฉันท์ เป็นกวีที่มีความงดงาม ใช้ถ้อยคำอย่างละเมียด
ละไม โอ่อ่าอลังการในการใช้แบบแผนฉันทลักษณ์ของกาพย์และฉันท์เช่น การใช้สัททุลลวิกกีฬิต
ฉันท์แต่งบทไหว้ครู หรือการใช้มาลินีฉันท์ และสัทธราฉันท์แต่งบทขรึมขลัง การใช้กาพย์และ
ฉันท์ลักษณะอื่นๆ ที่ให้อารมณ์ความรู้สึกสอดคล้องกับเนื้อหา อารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน่าหวาด
กลัว เกรี้ยวกราด ตกใจ ผาดโผน ลีลาอ่อนไหวโน้มน้ำใจ หรือเศร้าสังเวช จนกล่าวได้ว่า เอก
ภาพของเนื้อหาและรูปแบบฉันทลักษณ์ในสามัคคีเภทคำฉันท์นั้นแต่งได้ดียิ่ง ควรเป้นแบบอย่าง
ในการศึกษาเรียนรู้

หลักธรรมสำคัญของ สามัคคีเภทคำฉันท์ สะท้อนให้เห็นถึงการแตกความสามัคคีกัน
ระหว่างเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี เป็นสาเหตุนำไปสู่การเสียแคว้นวัชชีแก่พระเจ้าอชาตศัตรู ผู้ครอง
แคว้นมคธ ทั้งที่แต่เดิมนั้น กษัตริย์ลิจฉวีทุกองค์ล้วนตั้งมั่น อยู่ในธรรมที่เรียกว่า "อปริหานิย
ธรรม" คือ ธรรมอันเป็นไปเพื่อเหตุแห่งความเจริญฝ่ายเดียว ผู้ปฏิบัติจักไม่เป็นไปในทางเสื่อม

อันได้แก่
๑. เมื่อมีกิจใดเกิดขึ้น ก็ประชุมกันปรึกษาในกิจนั้น
๒. เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกก็พร้อมเพรียงกันเลิก และพร้อม
เพรียงกันกระทำกิจอันควรทำ
๓. ถือมั่นตามขนบธรรมเนียมหรือประเพณีอันดีอันชอบที่มีอยู่ ไม่เลิกถอน หรือ
ดัดแปลงเสียใหม่
๔. มีความเคารพยำเกรงผู้ที่อยู่ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ ทั้งเชื่อถือกระทำตามถ้อยคำ
บัญชาและคำแนะนำสั่งสอนของผู้เป็นใหญ่นั้น
๕. ไม่ประทุษร้ายข่มเหงบุตรและภริยาของกันและกันด้วยประการใดๆ
๖. ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นต่อเจดียสถาน หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และการกระทำพลีกรรม
บวงสรวงก็กระทำตามควร
๗. อำนวยความคุ้มครองป้องกันแก่พระอรหันต์ บรรดาที่มีอยู่ในแว่นแคว้นวัชชี
ให้เป็นสุขและปราศจากภัย

เนื้อเรื่องโดยย่อของ สามัคคีเภทคำฉันท์ มีว่า สมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน
ไม่นานนัก พระเจ้าอชาตศัตรูทรงครองราชสมบัติที่นครราชคฤห์ แคว้นมคธ พระองค์ทรงมี
วัสสการพราหมณ์ ผู้ฉลาดและรอบรู้ศิลปศาสตร์ เป็นที่ปรึกษาราชกิจทั่วไป ขณะนั้นทรงปรารภ
จะแผ่พระราชอาณาเขตเข้าไปถึงแคว้นวัชชี แต่กริ่งเกรงว่ามิอาจเอาชนะได้ด้วยการส่งกองทัพ
เข้ารุกราน เนื่องจากบรรดากษัตริย์ลิจฉวีมีความสามัคคีสูง และการปกครองอาณาประชาราษฎ์ร
ด้วยธรรม อันนำความเจริญเข้มแข็งมาสู่แว่นแคว้น พระเจ้าอชาตศัตรูทรงหารือเรื่องนี้เป็นการ
เฉพาะกับวัสสการพราหมณ์ จึงเห็นแจ้งในอุบายจะเอาชนะด้วยปัญญา

วันหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จออกว่าราชการ พร้อมพรั่งด้วยเสนาอำมาตย์ชั้น
ผู้ใหญ่ เมื่อเสร็จวาระเรื่องอื่นๆ ลงแล้ว จึงตรัสในเชิงหารือว่า หากพระองค์จะยกทัพไปปราบ
แคว้นวัชชีใครจะเห็นคัดค้านประการใด

วัสสการพราหมณ์ฉวยโอกาสเหมาะกับอุบายตนที่วางไว้ ก็กราบทูลท้วงว่าเห็นทีจะ
เอาชนะไม่ได้เลย เพราะกษัตริย์ลิจฉวีทุกองค์ล้วนผูกพันเป็นกัลยาณมิตรอย่างมั่นคง มีความ
สามารถในการศึกและกล้าหาญ อีกทั้งโลกจะติเตียน หากฝ่ายมคธจงใจประทุษร้ายรุกราน
เมืองอื่น ขอให้ยับยั้งการทำศึกเอาไว้เพื่อความสงบของประชาราษฎร์

พระเจ้าอชาตศัตรูทรงแสร้งแสดงพระอาการพิโรธหนัก ถึงขั้นรับสั่งจะให้ประหาร
ชีวิตเสีย แต่ทรงเห็นว่าวัสสการพราหมณ์รับราชการมานาน จึงลดโทษการดูหมิ่นพระบรม
เดชานุภาพ ครั้งนั้น เพียงแค่ลงพระราชอาญาเฆี่ยนตีอย่างแสนสาหัสจนสลบไสล ถูกโกนหัว
ประจานและ เนรเทศออกไปจากแคว้นมคธ

ข่าววัสสการพราหมณ์เดินทางไปถึงนครเวสาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชี ทราบ
ไปถึงพระกรรณของหมู่กษัตริย์ลิจฉวี จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานตีกลองสำคัญเรียกประชุมราช
สภาว่า ควรจะขับไล่หรือเลี้ยงเอาไว้ดี ในที่สุดที่ประชุมราชสภาลงมติให้นำเข้าเฝ้าเพื่อหยั่งท่า
ทีและฟังคารมก่อน

แต่หลังจากกษัตริย์ลิจฉวีทรงซักไซ้ไล่เลียงด้วยประการต่างๆ ก็หลงกลวัสสการ
พราหมณ์ ทรงรับไว้ทำราชการในตำแหน่งอำมาตย์ผู้พิจารณาพิพากษาคดีและตั้งเป็นครูฝึก
สอนศิลปวิทยาแก่ ราชกุมารของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีด้วย จากนั้นต่อมา พราหมณ์เฒ่าก็ทำที่
ปฎิบัติงานในหน้าที่อย่างดี ไม่มีสิ่งใดบกพร่อง จนหมู่กษัตริย์ลิจฉวีไว้วางพระทัย

แผนการทำลายความสามัคคีได้เริ่มจากวัสสการพราหมณ์ใช้กลอุบายให้บรรดาราช
โอรสกษัตริย์ลิจฉวีระแวงกัน โดยแกล้งเชิญแต่ละองค์ไปพบเป็นการส่วนตัว แล้วถามปัญหา
ธรรมดาที่รู้ๆ กันอยู่ เมื่อองค์อื่นซักเรื่องราวว่าสนทนาอะไรกับอาจารย์บ้าง แม้ราชกุมารองค์
นั้นจะตอบความจริง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อถือ ก่อให้เกิดความระแวงและแตกร้าวในบรรดาราชกุมาร
กระทั่งลุกลามไปสู่กษัตริย์ลิจฉวี ผู้เป้นพระราชบิดาทุกองค์ ทำให้ความสามัคคีค่อยๆ เสื่อมลง
จนกระทั่งไม่เข้าร่วมประชุมราชสภา หรือได้ยินเสียงกลองก็ไม่สนใจประชุม เมื่อมาถึงขั้นนี้
วัสสการพราหรณ์จึงลอบส่งข่าวไปให้พระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว้นวัชชีได้เป็นผลสำเร็จ

สามัคคีเภทคำฉันท์ แต่งขึ้นเพื่อมุ่งสรรเสริญธรรมแห่งความสามัคคีเป็นแก่นของ
เรื่อง และหลักธรรมข้อนี้ไม่ล้าสมัย สามารถยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่หมู่ชนที่มีความพร้อม
เพรียงกันพัฒนาสังคม หากนำมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง

http://www.geocities.com/thaibooks_100/4.htm


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 22:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
Onion_L ขอนอกรอบนิ๊ดดดด..( ขอกระซิบน่ะเดี๋ยวเสียมารยาท..กระซิบเบาๆ ทะเลาะกันเหรอ ไมมีเค้าคนนึงเจอรุมอ่ะ)

ต่อน่ะ

เอ..เราทำกรรมฐาน มหาสติผิดไปเหรอ ไมเราไม่เห็นละเอียดเหมือนเพื่อนๆเลย.. s006 ..เรานะ ตื่นทุกรูขุมขน รู้สึกเหมือนทุกรูขมขน เหมือนตาสับปะรดอ่ะ เพราะมันตื่นทุกรูขุมขนนิ..และเราน่ะเห็นข้างในกายเราพร้อมไปด้วย เราดูข้างในเป็นของสกปรกน่ะ ดูไปดูมา..ไมตัวข้างใน ภายในร่างกายเราว่างเปล่าไปอ่ะ มองไม่เห็น เห็นเป็นอวกาศซะงั้นไป.. s002 s002 ..เราเดินผิดทางแน่ๆหล่ะมั๊งเนี๊ยย... cry cry ..เพราะเท่าที่ตามอ่านมา เราไม่เห็นเหมือนเพื่อนนนน..เลยยย s007 s007


ผมคิดว่านะ อาจจะถูกหรือไม่ถูก มันก็ไม่แน่หรอก
คือ ท่านกำลังปฎิบัติ สติปัฎฐาน4 ที่ว่าด้วยการพิจารณากาย หรือบ้างว่า กายเห็นกาย บ้างว่าจิตเห็นกาย ผมก็ว่าถูกนะ และข้อให้สิ่งที่เห็นนั้นแน่แท้ลงในจิต จนสามารถดึงมาใช้ได้ตลอดแม้ยามไม่ทำสมาธินะครับ ต่อไป ก็เหลืออีก3 ที่ต้องทำครับ
ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2012, 22:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ชาวโลก เขียน:
Onion_L ขอนอกรอบนิ๊ดดดด..( ขอกระซิบน่ะเดี๋ยวเสียมารยาท..กระซิบเบาๆ ทะเลาะกันเหรอ ไมมีเค้าคนนึงเจอรุมอ่ะ)

ต่อน่ะ

เอ..เราทำกรรมฐาน มหาสติผิดไปเหรอ ไมเราไม่เห็นละเอียดเหมือนเพื่อนๆเลย.. s006 ..เรานะ ตื่นทุกรูขุมขน รู้สึกเหมือนทุกรูขมขน เหมือนตาสับปะรดอ่ะ เพราะมันตื่นทุกรูขุมขนนิ..และเราน่ะเห็นข้างในกายเราพร้อมไปด้วย เราดูข้างในเป็นของสกปรกน่ะ ดูไปดูมา..ไมตัวข้างใน ภายในร่างกายเราว่างเปล่าไปอ่ะ มองไม่เห็น เห็นเป็นอวกาศซะงั้นไป.. s002 s002 ..เราเดินผิดทางแน่ๆหล่ะมั๊งเนี๊ยย... cry cry ..เพราะเท่าที่ตามอ่านมา เราไม่เห็นเหมือนเพื่อนนนน..เลยยย s007 s007


ผมคิดว่านะ อาจจะถูกหรือไม่ถูก มันก็ไม่แน่หรอก
คือ ท่านกำลังปฎิบัติ สติปัฎฐาน4 ที่ว่าด้วยการพิจารณากาย หรือบ้างว่า กายเห็นกาย บ้างว่าจิตเห็นกาย ผมก็ว่าถูกนะ และข้อให้สิ่งที่เห็นนั้นแน่แท้ลงในจิต จนสามารถดึงมาใช้ได้ตลอดแม้ยามไม่ทำสมาธินะครับ ต่อไป ก็เหลืออีก3 ที่ต้องทำครับ
ขอบคุณครับ



อารายอ่ะ อีก3 ที่ต้องทำน่ะ เราไม่รู้อ่ะบอกหน่อยสิ แต่เราจำได้ว่าต้องทำพร้อมกันหมดที่เดียวม่ะใช่เหรอ(เราอ่านตามหนังสือเอาน่ะ)..ตอนแรกน่ะดูมันแต่กายแหละ มันไม่เก่งนิ ต้องทำทีหล่ะอย่าง พอดูกายหาย เราก็มั่วต่อน่ะ เราเห็นหัวมันยังอยู่เลยกายหายช่างมัน ดูหัวต่อ ดูภายในสมองว่ามันมีอะไรบ้าง..ดูไปดูมามันดันหายอีก คราวนี้ ม่ะมีอะไรดูอ่ะ..เลยเอาว่ะ ลองดูจิตก็ได้ ก็แค่ดูมันว่ามีอะไร..ดูตามตำราว่าน่ะ ดูว่า เอ่อ จิตมีราคะก็จิตมีราคะ จิตมีโกรธก็ดูจิตมีโกรธ ก็ดูแบบนี้ไปน่ะ ดูไปดูมามันหายไปอีก ไม่มีอะไรจะดู ก็เลยดูๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ ดูอวกาศไปซะงั้น...มันเป็นอย่างเนี้ยะน่ะ เราเดินผิดไปไหมน่ะ..ผิดต้องรีบเตือนเราน่ะ เราจะรีบแก้ เพราะเราทำตามตำรา แต่อ่านน้อยๆ พอเข้าใจและลงมือทำอย่างเดียวน่ะ เราเลยไม่เป๊ะเรื่องทฤษฎีน่ะ s005


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร