วันเวลาปัจจุบัน 24 ส.ค. 2025, 06:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:25
โพสต์: 59

แนวปฏิบัติ: รักษาศีลให้แน่นหนามั่นคง
ชื่อเล่น: Soduku
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณคุณgovit ครับที่ได้ช่วยให้ข้อมูลเรื่องนิพพานเพิ่มเติม

พูดถึงเรื่องนิพพานยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าผู้ที่บรรลุนิพพานทำไมอัฐฐิหรือบางส่วนของอวัยวะจึงมีปรากฏการณ์ที่กลายเป็นพระธาตุได้ ไม่ทราบว่าพอมีแหล่งข้อมูลที่ชี้แจงได้น่าเชื่อถือได้บ้างไหมครับ เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้คนยุคนี้ซึ่งติดเรื่องทางวัตถุได้มีความศรัทธา และไม่หาว่าศาสนาพุทธมีหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจและอาจทำให้สงสัย หาว่างมงายไม่เชื่อมั่น หากพบช่วยแบ่งปันให้ทราบด้วยก็น่าจะเป็นประโยชน์ดีนะครับ

ขอจงเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 20:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องหาฟังเทศน์จากหลวงตาครับ...กระจ่างดี

ท่านกล่าวทำนองว่า....จิตที่บริสุทธิ์มันก็ไปฟอกธาตุฟอกขันธ์...

เต็ม ๆ ก็ลองหาดูเอานะครับ....

ช่วงนี้..ขี้เกียจ..ขี้เกียจยังงัยก็ไม่รู้ :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 20:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อพุธ...ท่านบอกอย่างนี้ครับว่า
http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%97 ... 15716.html
............
ถาม : อัฐิของพระที่มรณภาพแล้ว กลายเป็นพระธาตุขึ้นมานั้น เพราะเหตุใด

หลวงพ่อ : อัฐิของพระที่มรณภาพแล้ว กลายเป็นพระธาตุขึ้นมานั้น จะต้องเป็นอัฐิของพระอริยบุคคล ตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันขึ้นไป ทีนี้มีปัญหาว่า ทำไมกระดูกคนที่ตายไปแล้ว แม้จะเก็บไว้สักพันปี หมื่นปี ก็ยังเป็นกระดูกอยู่อย่างเดิม ไม่แปรสภาพเป็นอย่างอื่น นอกจากจะผุพังไปเป็นดิน เป็นหญ้า ไปเท่านั้น แต่กระดูกของพระอริยบุคคลนี้ ทำไมกลายเป็นพระธาตุขึ้นมาได้ อันนี้เป็นปัญหาที่น่าสงสัย ถ้าหากเราจะไปนึกถึงหลักการปฏิบัติ เกี่ยวกับเรื่องมหาสติปัฏฐาน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เฉพาะกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ เราตั้งกายของเราเป็นฐาน ที่ตั้งของสติ เป็นฐานที่รู้ของจิต เพื่อเป็นการฝึกฝนอบรมสติให้มีประสิทธิภาพขึ้น จนกลายเป็นมหาสติ

ทีนี้โดยทางปฏิบัติแล้ว พระผู้ที่ปฏิบัติท่านเพ่งอาการ 32 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ ในเมื่อกายคือ อาการ 32 ถูกเพ่งบ่อยเข้า จิตเกิดมีสมาธิ แล้วย่อมเกิดนิมิตให้เห็นในกายทั่วไป ส่วนมากสิ่งที่ปรากฏให้รู้เห็นอยู่นานที่สุดก็คือกระดูก มีโครงกระดูก เป็นต้น ในบางครั้ง ในเมื่อจิตวิ่งเข้ามาดูกายแล้วก็มาสงบสว่างในกาย จิตจะมองทะลุกายออกมามีลักษณะ ดูเหมือนคล้าย ๆ กับแก้วโปร่ง มีความใสเหมือนกับแก้วโปร่ง

เพราะฉะนั้น กระดูกของพระอริยบุคคล ถูกจิตที่บริสุทธิ์สะอาดเพ่งเป็นวิหารธรรมอยู่บ่อย ๆ ด้วยอิทธิพลของจิตนั้น จะสามารถทำให้กระดูกของท่าน เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว กลายเป็น พระธาตุ ขึ้นมาได้

สำหรับทฤษฎีในทางอื่นนั้น ไม่สามารถที่จะนำมาประกอบกับปัญหานี้ได้ แต่ถ้าจะพิจารณาตามประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้ว รู้สึกว่าจิตเมื่อเพ่งดูโครงกระดูก
จะรู้สึกว่าโครงกระดูกนั้นมีความใสเหมือนแก้ว เพราะในขณะนั้นจิต สงบ สว่าง แล้ว เกิดนิมิตขึ้นมาพอมองเห็นได้ ข้อเปรียบเทียบก็คือว่าขณะที่ว่าพระอริยบุคคล ที่ท่านเพ่งดูอาการ 32 คือ ร่างกายของท่านจนจิตเกิดเป็นสมาธิ รู้จริง เห็นจริง ภายในกาย แล้วมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างมีความใสสะอาด สว่าง ไสว ไปหมด ภายในกาย เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว กระดูกก็กลายเป็นพระธาตุขึ้นมาได้

อันนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่น่าสงสัยเท่าไรนัก แต่สำหรับนักเรียนมนต์ไสยศาสตร์เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงแต่คาถาอาคมแล้วไปเสกน้ำมัน ไปทาแล้วก็เป่าในขณะที่คนขาหักแขนหัก ก็ยังมีประสิทธิภาพพอที่จะต่อกันได้ เพราะด้วยอำนาจแห่งพลังมนต์และพลังจิต
ฉะนั้น จิตของท่านผู้บำเพ็ญสมาธิภาวนานี้ ไม่ต้องกล่าวถึงเลยว่าจะมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถทำให้กระดูกกลายเป็น พระธาตุ ขึ้นมาได้
.........................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 20:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕
อำนาจของจิตที่บริสุทธ


http://www.luangta.com/thamma/thamma...D=1095&CatID=2

จิตที่บริสุทธิ์ครองขันธ์อยู่นี้มันจะฟอกกันอยู่ตลอดเวลา ฟอกโดยหลักธรรมชาตินะ คือจิตที่บริสุทธิ์นี่มันจะฟอกขันธ์โดยหลักธรรมชาติ ธรรมดานี่มันก็ฟอกอยู่ในตัว แต่ถ้ายิ่งเข้าสมาธิภาวนาด้วยแล้วนั่นยิ่งเป็นการฟอกในตัวเลยนะ ฟอกโดยตรง เช่นเข้าสมาธิภาวนาส่งจิตเข้ามานี่จิตจะเข้าอยู่ข้างในนี้แล้วมันจะซักฟอกโดยหลักธรรมชาตินะ ไม่ได้เหมือนเราซักผ้าละน่ะ พูดอย่างนั้นก็พอเข้าใจละซิเรื่องของจิตเรื่องของวัตถุมันต่างกัน อยู่ธรรมดานี้จิตบริสุทธิ์ก็ซักฟอกออกกระจายออกหมด เพราะฉะนั้นเวลาท่านล่วงไปแล้วอัฐิท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ กลายเป็นพระธาตุคือธาตุที่บริสุทธิ์ ของส่วนหยาบนี่ออกจากใจที่บริสุทธิ์นี่ ซักฟอกกระจายออกหมด นี่ก็ ๓๘ ปีมันก็ควร นี่ก็เป็นแล้ว เมื่อวานนี้เขามาบอกว่าเป็นแล้ว เป็นได้ปีกว่านิดหน่อยนะ ก็เป็นธรรมดา อย่างหลวงปู่พรหมที่เราเคยพูดกำชับพวกลูกศิษย์ที่ไปเผาศพด้วย บอกว่าให้พยายามเอาอัฐิของท่านอาจารย์องค์นี้ให้ได้นะ อัฐิของท่านอาจารย์องค์นี้จะกลายเป็นพระธาตุแน่นอนเราบอก นี่ก็ปีกว่าเป็น เป็นเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์พรหม อย่างท่านสิงห์ทอง นี่ก็ปีกว่า
อย่างนั้นละอำนาจของจิตที่บริสุทธิ์ ถ้าความบริสุทธิ์อย่างแบบขิปปาภิญญา คือรู้อย่างรวดเร็วนี้ก็ไม่แน่นะว่าจะเป็นพระธาตุได้ง่ายดาย เพราะรู้ได้เร็วแล้วก็ตายเร็ว จิตนี้ไม่ครองขันธ์อยู่นานก็ยังไม่ได้ฟอกเต็มที่ นี้อาจจะช้า ขิปปาภิญญาคือรู้เร็วแล้วก็ตายเร็วไม่ได้ครองขันธ์นาน มีหลายประเภท ประเภทหนึ่งจิตตั้งแต่ขั้นสมาธิไป สงบไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ขั้นสมาธิก็มีไปเรื่อยๆ อย่างนั้นนะจนกระทั่งถึงขั้นปัญญาขั้นวิมุตติหลุดพ้น ค่อยไปอย่างเชื่องช้าอย่างนี้นะ

พอถึงจุดแล้วไม่นานตายนี้ก็เป็นได้เร็วเหมือนกัน เพราะฟอกไปโดยลำดับแล้วนี่ ฟอกเป็นเวลาช้านานกว่าจะถึงจุดสุดท้ายคือความหลุดพ้น อันนี้หากว่าท่านจะนิพพานเสียในเวลาไม่นาน อันนี้ก็มีทางที่จะกลายเป็นพระธาตุได้เร็ว เพราะมันฟอกไปตั้งแต่นี้ ไปด้วยความเชื่องช้าใช่ไหมล่ะ มันฟอกไปในตัว อย่างรวดเร็วนี้ไม่ได้ฟอก มันมีหลายขั้น ขั้นสำคัญก็คือว่าจิตบริสุทธิ์แล้วครองขันธ์อยู่นาน ที่สำคัญมากอยู่ตรงนั้นนะ

คือการครองขันธ์นี้ไม่จำเป็นจะต้องเข้าภาวนา จิตที่บริสุทธิ์ย่อมเป็นธรรมชาติที่จะกระจายออกสู่กระแสของร่างกายส่วนต่าง ๆ นี้ไปหมดตลอดเวลา ถึงจะเบาก็ฟอกอยู่ในนั้น ครั้นเวลาท่านเข้าภาวนาปั๊บ นั่นเป็นเวลาแล้วนะนั่นน่ะ พอเข้าภาวนานี้จิตเข้าอยู่ข้างในหมดแล้ว นั้นเหมือนว่าฟอกในตัวเลย ฟอกเป็นหลักธรรมชาติแล้วที่นี่ ฟอกจริงๆ นะนั่น มันต่างกันหลายขั้นหลายตอน หนักเบาต่างกันอย่างนั้น
............................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:25
โพสต์: 59

แนวปฏิบัติ: รักษาศีลให้แน่นหนามั่นคง
ชื่อเล่น: Soduku
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley ขอขอบคุณคุณกบนะครับ ที่ได้กรุณาหาข้อมูลมาได้ทราบกัน

มีอีกอย่างที่ยังงง เกี่ยวกับปรากฏการณ์การเรื่องพระธาตุที่เสด็จมาเอง อยู่ ๆ จากหนึ่งองค์ก็เป็นหลายหลายองค์บางครั้งก็นับไม่ถ้วน อะไรทำนองนี้ มีแหล่งคำอธิบายเพิ่มเติมที่น่าเชื่อถืออย่างไรบ้างไหมครับว่ามีเหตุเป็นมายังไง และในพระไตรปิฏกมีการกล่าวถึงเรื่องปรากฏการณ์เกี่ยวกับพระธาตุเพื่อประกอบความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมอย่างไรบ้างหรือไม่ เพราะเข้าใจว่าในสมัยพระพุทธองค์อยู่มีพระอริยสาวกที่บรรลุถึงขั้นพระอรหันต์น่าจะมากอยู่เหมือนกัน

ขอจงเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 09:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หากใครพูดว่า....เขามีพระธาตุเสด็จมา..
ก็แค่รู้ใว้....แล้วก็ว่า...หรอ

ก็ดูต่อว่า...เขาพูดเพื่ออะไร
เพื่อลาภหรืออะไรสักอย่างรึเปล่า

เมื่อฟังแล้ว....ก็ให้วางใจใว้ที่...จริงเท็จก็เรื่องของเขา

ดังนั้น....ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร....เราอย่างมงายก็แล้วกัน

ส่วนตัว...หากใครว่ามีพระธาตุเสด็จมา....ผมไม่เชื่อ
แต่ของกระผมในตลับ...มีเพิ่ม....ผมก็รู้ดีว่า...ไม่มีใครแอบมาใส่หรอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


มีเรื่องหนึ่งที่ผมแนะนำเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ด้วยอำนาจพุทธานุภาพ

อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค เวรัญชกัณฑ์ หน้าต่างที่ ๕ / ๑๕.

[พระธาตุแสดงปาฏิหาริย์แก่มหาชน]

ทวยนครทั้งสิ้นและชาวชนบทประชุมกันแล้ว เพื่อชมการฉลองพระธาตุ. ก็เมื่อหมู่มหาชนนั้นประชุมกันแล้ว พระธาตุของพระทศพลได้เหาะขึ้นสู่เวหาสประมาณชั่วตาล ๗ ต้น จากกระพองช้าง แสดงยมกปาฏิหาริย์. ธารน้ำและเปลวไฟมีรัศมี ๖ สี ย่อมพวยพุ่งออกจากองค์พระธาตุทั้งหลายนั้นๆ. ได้มีปาฏิหาริย์คล้ายกับปาฏิหาริย์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ณ โคนต้นคัณฑามพฤกษ์ ใกล้กรุงสาวัตถี.
ก็แลปฏิหาริย์นั้นไม่ใช่ด้วยอานุภาพของพระเถระ ไม่ใช่ด้วยอานุภาพของเทวดาเลย แท้ที่จริง เป็นด้วยพุทธานุภาพเท่านั้น.
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่นั่นแล ได้ทรงอธิษฐานว่า เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ยมกปาฏิหาริย์จงมีในวันประดิษฐาน พระธาตุรากขวัญเบื้องขวาของเรา เหนือที่ตั้งบริโภคเจดีย์ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ๓ องค์ ด้านทิศทักษิณแห่งอนุราธบุรี ในเกาะตัมพปัณณิทวีป ดังนี้.
พระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย พระธรรมของ
พระพุทธเจ้า ก็เป็นอจินไตย วิบากของเหล่าชน
ผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า และพระคุณของพระ
พุทธเจ้า ซึ่งเป็นอจินไตย ก็เป็นอจินไตย โดย
นัยดังกล่าวมาฉะนี้แล.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... .0&i=1&p=5


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร