วันเวลาปัจจุบัน 02 ส.ค. 2025, 20:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เขาถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ก็หันเข้าระเริงกับกามสุข เพราะอะไร ?

เพราะบุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมไม่รู้ทางออกจากทุกขเวทนา นอกไปจากกามสุข และเมื่อเขาระเริงอยู่กับกามสุข ราคานุสัยเพราะสุขเวทนา ย่อมนอนเนื่อง



กามสุข สุขในการสนองความต้องการทางประสาททั้ง 5 ตัวอย่างในทางจริยธรรมขั้นต้น เช่น หันเข้าหาการพนัน การดื่มสุรา และสิ่งเริงรมย์ต่างๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หวังว่า คุณ nong คงจะเห็นคำขอโทษนี้

กรัชกายขอโทษนะขอรับ เมื่อวานว่าคุณ nong แรงไม่หน่อย ขอโทษจริงๆ ยกโทษให้กรัชกายนะขอรับ :b8:

:b8: สาธุเจ้าค่ะ อย่างที่ดิฉันเคยบอกถ้ายังจำได้ เวลาดิฉันโต้แย้งกับท่านไดก็ตามจะไม่เก็บเอาคำพูดนั่นมาให้ขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย จิตคิดปรุงแต่งเกิดและดับไปตามสภาวะ แต่ดิฉันสังเกตุว่าคุนกรัชกายหลังจากได้โต้แย้งกับดิฉันแล้วกับเกิดร้อนรุ่มใจ ขุ่นเคือง มัวหมองรึเปล่าเจ้าค่ะเพราะเหตุใดเพราะคุนกรัชกายตอนสนธนากับดิฉันขาดสติแล้วกลับมาคิดได้ตอนหลัง..ขออนุโมทนาให้ เจริญในสติและปัญญาเจ้าค่ะ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 15:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หวังว่า คุณ nong คงจะเห็นคำขอโทษนี้

กรัชกายขอโทษนะขอรับ เมื่อวานว่าคุณ nong แรงไม่หน่อย ขอโทษจริงๆ ยกโทษให้กรัชกายนะขอรับ :b8:

:b8: สาธุเจ้าค่ะ อย่างที่ดิฉันเคยบอกถ้ายังจำได้ เวลาดิฉันโต้แย้งกับท่านไดก็ตามจะไม่เก็บเอาคำพูดนั่นมาให้ขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย จิตคิดปรุงแต่งเกิดและดับไปตามสภาวะ แต่ดิฉันสังเกตุว่าคุนกรัชกายหลังจากได้โต้แย้งกับดิฉันแล้วกับเกิดร้อนรุ่มใจ ขุ่นเคือง มัวหมองรึเปล่าเจ้าค่ะเพราะเหตุใดเพราะคุนกรัชกายตอนสนธนากับดิฉันขาดสติแล้วกลับมาคิดได้ตอนหลัง..ขออนุโมทนาให้ เจริญในสติและปัญญาเจ้าค่ะ :b8:



ขออนุโมทนาให้ เจริญในสติและปัญญาเจ้าค่ะ

สาธุเป็นบุญของกรัชกายโดยแท้ :b8: เหมือนอยู่ในโลกมืดมานาน

ขอได้โปรดบอกวิธีเจริญสติและปัญญาให้กรัชกายนำไปปฏิบัติมั่งเถอะขอรับ :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2012, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อิ...อิ...อิ..ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เจ้ากรัชกาย ดีมากๆเลยนะเจ้า จากเด็กน้อย กลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว(หมายถึงสมองนะ)ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ส่วนเจ้า เด็กปัญญาหน่อม ผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ เจ้ามันก็แค่เศษสวะ ขึ้ฝุ่นใต้ฝ่าตีนเท่านั้น ยังมีหน้าแสดงความเขลาออกมาอีก ฮ่า ฮ่า ฮ่า

แล้วเจ้าจะให้ข้าฯไปเดินตามพระสงฆ์ ที่ปักษ์ใต้ ไปเดินตามทำไม พฤติกรรมการแสดงออกของเจ้า แสดงให้เห็นความเป็นบุคคลนอกศาสนา ไม่ใช่หน้าที่ของข้าฯที่จะต้องไปเดินตามพระสงฆ์
ข้าฯสอนให้ท่านทั้งหลายที่มีความศรัทธาในพุทธศาสนาแล้ว ใครจะเชื่อจะสัทธา หรือไม่ ก็ตามแต่ความคิด ความเข้าใจของแต่ละบุคคล
เจ้าเด็กปัญญาหน่อม ผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ เจ้าไปทำความเข้าใจในบริบทของภาษาไทยที่ข้าพเจ้าเขียนให้ดีเถอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ๋า....


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โสกะ
ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส
อุปายาส…เป็นอาการสำแดงออกของการมีกิเลสที่เป็นเชื้อหมักตองอยู่ในจิตสันดาน ที่เรียกว่า อาสวะ อันได้แก่ความใฝ่ใจในสิ่งสนองความอยากทางประสาททั้ง 5 และทางใจ



อาสวะ แปลตามรูปศัพท์ว่า สิ่งที่ไหลซ่านไปทั่ว หรืออีกนัยหนึ่งว่า สิ่งที่หมักหมมหรือหมักดอง หมายความว่า เป็นสิ่งที่หมักดองสันดาน คอยมอมพื้นจิตใจ และเป็นสิ่งที่ไหลซ่านไปอาบย้อมจิตใจ เมื่อประสบอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าคนจะรับรู้อะไรทางอายตนะใด หรือจะคิดนึกสิ่งใด อาสวะเหล่านี้ ก็เที่ยวกำซาบซ่านไปแสดงอิทธิพลอาบย้อมมอมมัว สิ่งที่ได้รับเข้ามา และความนึกคิดนั้นๆแทนที่จะเป็นอารมณ์ของจิตและปัญญาล้วนๆ กลับเสมือนเป็นอารมณ์ของอาสวะไปหมด ทำให้ไม่ได้ความรู้ความคิดที่บริสุทธิ์ และเป็นเหตุก่อทุกข์ก่อปัญหาเรื่อยไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาสวะ อย่างที่ 1 เรียกว่า กามาสวะ ที่ 2 เรียก ภวาสวะ ที่ 3 เรียกว่า ทิฏฐาสวะ ที่ 4 เรียกว่า อวิชชาสวะ

อาสวะ 4 นี้ เป็นการแสดงตามแนวอภิธรรม ในพระสูตรท่านนิยมแบ่งอาสวะเพียง 3 อย่าง คือ ไม่มีทิฏฐาสวะ

ทั้งนี้เพราะในพระสูตร ท่านกำหนดเฉพาะอาสวะที่เป็นตัวเจ้าของบทบาทเด่นชัด ท่านไม่ระบุทิฏฐาสวะ เพราะอยู่ระหว่างอวิชชากับภวาสวะ กล่าวคือ ทิฏฐาสวะ อาศัยอวิชชาเป็นฐานก่อตัวแล้วแสดงอิทธิพลออกทางภวาสวะ

ส่วนในอภิธรรม ท่านต้องการจำแนกให้ละเอียดจึงแสดงเป็น 4

(อาสวะ 3 = กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ดู ที.ม. 10/76/96/ สํ.สฬ.18/504/315

อาสวะ 4 = กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ ดู อภิ.วิ.35/961/504)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จึงเห็นได้ว่า อาสวะต่างๆ เหล่านี้ เป็นที่มาแห่งพฤติกรรมของมนุษย์บุถุชนทุกคนเป็นตัวการที่ทำให้มนุษย์หลงผิด มองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวตนของตน อันเป็นอวิชชาขั้นพื้นฐานที่สุด แล้วบังคับบัญชาให้นึกคิดปรุงแต่ง แสดงพฤติกรรม และกระทำการต่างๆตามอำนาจของมันโดยไม่รู้ตัว เป็นขั้นเริ่มต้นวงจรแห่งปฏิจจสมุปบาท คือเมื่ออาสวะเกิดขึ้น อวิชชาก็เกิดขึ้น แล้วอวิชชาก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
ในภาวะที่แสดงพฤติการณ์รมด้วยความหลงว่า ตัวตนทำเช่นนี้

กล่าวคือ มนุษย์ไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะพฤติกรรมถูกบังคับบัญชาด้วยสังขารที่เป็นแรงขับไร้สำนึกทั้งสิ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กล่าวโดยสรุปเพื่อตัดตอนให้ชัด ภาวะที่เป็นอวิชชา ก็คือ การไม่มองเห็นไตรลักษณ์ โดยเฉพาะ

ความเป็นอนัตตา ตามแนวปฏิจจสมุปบาท คือ ไม่รู้ตระหนักว่า สภาพที่ถือกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัว

ตน เรา เขา นั้น เป็นเพียงกระแสแห่งรูปธรรมนามธรรมส่วนย่อยต่างๆมากมายที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยเป็น

เหตุปัจจัยสืบต่อกัน โดยอาการเกิดสลายๆ ทำให้กระแสนั้นอยู่ในภาวะที่กำลังแปรรูปอยู่ตลอดเวลา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หวังว่า คุณ nong คงจะเห็นคำขอโทษนี้

กรัชกายขอโทษนะขอรับ เมื่อวานว่าคุณ nong แรงไม่หน่อย ขอโทษจริงๆ ยกโทษให้กรัชกายนะขอรับ


สาธุเจ้าค่ะ อย่างที่ดิฉันเคยบอกถ้ายังจำได้ เวลาดิฉันโต้แย้งกับท่านไดก็ตามจะไม่เก็บเอาคำพูดนั่นมาให้ขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย จิตคิดปรุงแต่งเกิดและดับไปตามสภาวะ แต่ดิฉันสังเกตุว่าคุนกรัชกายหลังจากได้โต้แย้งกับดิฉันแล้วกับเกิดร้อนรุ่มใจ ขุ่นเคือง มัวหมองรึเปล่าเจ้าค่ะเพราะเหตุใดเพราะคุนกรัชกายตอนสนธนากับดิฉันขาดสติแล้วกลับมาคิดได้ตอนหลัง..ขออนุโมทนาให้ เจริญในสติและปัญญาเจ้าค่ะ



ขออนุโมทนาให้ เจริญในสติและปัญญาเจ้าค่ะ

สาธุเป็นบุญของกรัชกายโดยแท้ :b8: เหมือนอยู่ในโลกมืดมานาน

ขอได้โปรดบอกวิธีเจริญสติและปัญญาให้กรัชกายนำไปปฏิบัติมั่งเถอะขอรับ



กรัชกายรอคำแนะนำจากคุณ nong เรื่องวิธีเจริญสติปัญญาอยู่นะขอรับ :b8:

ชีวิตของสัตว์โลกไม่แน่นอน ตายวันตายพรุ่งหารู้ไม่

เห็นหน้ากันเมื่อเช้า สายตาย
สายสุขอยู่สบาย บ่ายม้วย
บ่ายยังรื่นเริงกาย เย็นดับชีพนา
เย็นอยู่หยอกล้อลูกด้วย ค่ำม้วยดับสูญ

ก่อนตาย กรัชกายอยากปฏิบัติให้ได้เช่นว่า..นั้นบ้าง ได้โปรดเถิดครับ :b8: :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หวังว่า คุณ nong คงจะเห็นคำขอโทษนี้

กรัชกายขอโทษนะขอรับ เมื่อวานว่าคุณ nong แรงไม่หน่อย ขอโทษจริงๆ ยกโทษให้กรัชกายนะขอรับ


สาธุเจ้าค่ะ อย่างที่ดิฉันเคยบอกถ้ายังจำได้ เวลาดิฉันโต้แย้งกับท่านไดก็ตามจะไม่เก็บเอาคำพูดนั่นมาให้ขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย จิตคิดปรุงแต่งเกิดและดับไปตามสภาวะ แต่ดิฉันสังเกตุว่าคุนกรัชกายหลังจากได้โต้แย้งกับดิฉันแล้วกับเกิดร้อนรุ่มใจ ขุ่นเคือง มัวหมองรึเปล่าเจ้าค่ะเพราะเหตุใดเพราะคุนกรัชกายตอนสนธนากับดิฉันขาดสติแล้วกลับมาคิดได้ตอนหลัง..ขออนุโมทนาให้ เจริญในสติและปัญญาเจ้าค่ะ



ขออนุโมทนาให้ เจริญในสติและปัญญาเจ้าค่ะ

สาธุเป็นบุญของกรัชกายโดยแท้ :b8: เหมือนอยู่ในโลกมืดมานาน

ขอได้โปรดบอกวิธีเจริญสติและปัญญาให้กรัชกายนำไปปฏิบัติมั่งเถอะขอรับ



กรัชกายรอคำแนะนำจากคุณ nong เรื่องวิธีเจริญสติปัญญาอยู่นะขอรับ :b8:

ชีวิตของสัตว์โลกไม่แน่นอน ตายวันตายพรุ่งหารู้ไม่

เห็นหน้ากันเมื่อเช้า สายตาย
สายสุขอยู่สบาย บ่ายม้วย
บ่ายยังรื่นเริงกาย เย็นดับชีพนา
เย็นอยู่หยอกล้อลูกด้วย ค่ำม้วยดับสูญ

ก่อนตาย กรัชกายอยากปฏิบัติให้ได้เช่นว่า..นั้นบ้าง ได้โปรดเถิดครับ :b8: :b20:

ถ้าคุนกรัชกายบริสุทธิใจจริงไม่มีกลอุบายแอบแฝง ดิฉันก็ยินดีจะสนทนาด้วยเจ้าค่ะ แต่ดิฉันอยากจะบอกว่าดิฉันชี้แนะให้คุนกรัชกายเจริญสติและปัญญามิได้หรอกเจ้าค่ะเว้นเสียคุนกรัชกายต้องศึกษาเองเรียนรู้เองไม่ได้หมายความว่าคุนต้องไปยึดติดกับตัวหนังสือหลักบัญญัติเวลาเข้ามาศึกษาพระธรรมดิฉันจะเอาความรู้ในการถกธรรมกันของหลายๆท่านไปเป็นแนวทางของตัวเอง ถ้าคุนกรัชกายอยากรู้จริงๆคุนไม่จำเป็นต้องถามดิฉันในgoogleก็มีเจ้าค่ะอยากรู้อะไรก็เสริซสิเจ้าค่ะ ตัวหนังสือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการปฏิบัติและเรียนรู้ ในแต่ละวันคุนทำอะไรบ้าง เอาสิ่งที่ศึกษามาในนี้ออกไปใช้ในโลกกว้างเถิดเจ้าค่ะ การเจริญในสติปัญญาไม่ได้หมายความว่าอ่านอย่างเดียวนะเจ้าค่ะการอ่านทำให้มีความรู้แต่..ไม่ใช่การเจริญในสติปัญญาถ้าไม่ได้ปฏิบัติ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
สาธุเจ้าค่ะ อย่างที่ดิฉันเคยบอกถ้ายังจำได้ เวลาดิฉันโต้แย้งกับท่านไดก็ตามจะไม่เก็บเอาคำพูดนั่นมาให้ขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย จิตคิดปรุงแต่งเกิดและดับไปตามสภาวะ แต่ดิฉันสังเกตุว่าคุนกรัชกายหลังจากได้โต้แย้งกับดิฉันแล้วกับเกิดร้อนรุ่มใจ ขุ่นเคือง มัวหมองรึเปล่าเจ้าค่ะเพราะเหตุใดเพราะคุนกรัชกายตอนสนธนากับดิฉันขาดสติแล้วกลับมาคิดได้ตอนหลัง..ขออนุโมทนาให้ เจริญในสติและปัญญาเจ้าค่ะ

ถ้าคุนกรัชกายบริสุทธิใจจริงไม่มีกลอุบายแอบแฝง ดิฉันก็ยินดีจะสนทนาด้วยเจ้าค่ะ แต่ดิฉันอยากจะบอกว่าดิฉันชี้แนะให้คุนกรัชกายเจริญสติและปัญญามิได้หรอกเจ้าค่ะเว้นเสียคุนกรัชกายต้องศึกษาเองเรียนรู้เองไม่ได้หมายความว่าคุนต้องไปยึดติดกับตัวหนังสือหลักบัญญัติเวลาเข้ามาศึกษาพระธรรมดิฉันจะเอาความรู้ในการถกธรรมกันของหลายๆท่านไปเป็นแนวทางของตัวเอง ถ้าคุนกรัชกายอยากรู้จริงๆคุนไม่จำเป็นต้องถามดิฉันในgoogleก็มีเจ้าค่ะอยากรู้อะไรก็เสริซสิเจ้าค่ะ ตัวหนังสือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการปฏิบัติและเรียนรู้ ในแต่ละวันคุนทำอะไรบ้าง เอาสิ่งที่ศึกษามาในนี้ออกไปใช้ในโลกกว้างเถิดเจ้าค่ะ

การเจริญในสติปัญญาไม่ได้หมายความว่าอ่านอย่างเดียวนะเจ้าค่ะการอ่านทำให้มีความรู้แต่..ไม่ใช่การเจริญในสติปัญญาถ้าไม่ได้ปฏิบัติ


การเจริญในสติปัญญาไม่ได้หมายความว่าอ่านอย่างเดียวนะเจ้าค่ะการอ่านทำให้มีความรู้แต่..ไม่ใช่การเจริญในสติปัญญาถ้าไม่ได้ปฏิบัติ

นั่นแหละครับ ปฏิบัตินั่นแหละ กรัชกายอยากรู้อยากได้แนวทางปฏิบัติว่าปฏิบัติอย่าง่ไร สติและปัญญาจึงจะเจริญ :b8: คือทำยังไงขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
สาธุเจ้าค่ะ อย่างที่ดิฉันเคยบอกถ้ายังจำได้ เวลาดิฉันโต้แย้งกับท่านไดก็ตามจะไม่เก็บเอาคำพูดนั่นมาให้ขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย จิตคิดปรุงแต่งเกิดและดับไปตามสภาวะ แต่ดิฉันสังเกตุว่าคุนกรัชกายหลังจากได้โต้แย้งกับดิฉันแล้วกับเกิดร้อนรุ่มใจ ขุ่นเคือง มัวหมองรึเปล่าเจ้าค่ะเพราะเหตุใดเพราะคุนกรัชกายตอนสนธนากับดิฉันขาดสติแล้วกลับมาคิดได้ตอนหลัง..ขออนุโมทนาให้ เจริญในสติและปัญญาเจ้าค่ะ

ถ้าคุนกรัชกายบริสุทธิใจจริงไม่มีกลอุบายแอบแฝง ดิฉันก็ยินดีจะสนทนาด้วยเจ้าค่ะ แต่ดิฉันอยากจะบอกว่าดิฉันชี้แนะให้คุนกรัชกายเจริญสติและปัญญามิได้หรอกเจ้าค่ะเว้นเสียคุนกรัชกายต้องศึกษาเองเรียนรู้เองไม่ได้หมายความว่าคุนต้องไปยึดติดกับตัวหนังสือหลักบัญญัติเวลาเข้ามาศึกษาพระธรรมดิฉันจะเอาความรู้ในการถกธรรมกันของหลายๆท่านไปเป็นแนวทางของตัวเอง ถ้าคุนกรัชกายอยากรู้จริงๆคุนไม่จำเป็นต้องถามดิฉันในgoogleก็มีเจ้าค่ะอยากรู้อะไรก็เสริซสิเจ้าค่ะ ตัวหนังสือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการปฏิบัติและเรียนรู้ ในแต่ละวันคุนทำอะไรบ้าง เอาสิ่งที่ศึกษามาในนี้ออกไปใช้ในโลกกว้างเถิดเจ้าค่ะ

การเจริญในสติปัญญาไม่ได้หมายความว่าอ่านอย่างเดียวนะเจ้าค่ะการอ่านทำให้มีความรู้แต่..ไม่ใช่การเจริญในสติปัญญาถ้าไม่ได้ปฏิบัติ


การเจริญในสติปัญญาไม่ได้หมายความว่าอ่านอย่างเดียวนะเจ้าค่ะการอ่านทำให้มีความรู้แต่..ไม่ใช่การเจริญในสติปัญญาถ้าไม่ได้ปฏิบัติ

นั่นแหละครับ ปฏิบัตินั่นแหละ กรัชกายอยากรู้อยากได้แนวทางปฏิบัติว่าปฏิบัติอย่าง่ไร สติและปัญญาจึงจะเจริญ :b8: คือทำยังไงขอรับ

ถ้าคุนถามดิฉันว่าปฏิบัติอย่างไรใช่หรือไม่เจ้าค่ะ ลำดับแรกเลยก่อนที่ดิฉันจะได้สติดิฉันมองสิ่งรอบๆตัวเองมีแต่ทุกข์ ไม่ว่าจะทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนก็เจอแต่ทุกข์ คำตำหนิ ติเตือน ต่อว่าด่าทออยู่เป็นนิจแล้วดิฉันเอากลับมาคิดพิจรณา ทำไมผู้คนเหล่านั้นถึงตำหนิ ติเตือน ต่อว่า ด่าทอดิฉัน (ตัวดิฉันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ)ต้องยอมรับความจริงด้วยว่าเราเป็นอย่างที่เค้ากล่าวหาหรือไม่ ถ้าใช่ก็ต้องก้มหน้าก้มตาแบกรับโดยใช้ขันติในการดำรงชีวิต แต่ถ้าไม่ใช่ดิฉันก็จะหาเหตุผลมาอธิบายแต่ต้องใช้สติ คิดก่อนพูดไม่ใช่พูดก่อนแล้วค่อยคิด นี่คือวิธีปฏิบัติของดิฉัน ถามตัวคุณกรัชกาย ทุกวันนี้คุณอยู่กับความสุขหรือทุกข์ละเจ้าค่ะ เมื่อไหร่ที่คุนเห็นว่ามันทุกข์เมื่อนั้นแหละคุนจะต้องกลับมานั่งคิดไตร่ตรองเหมือนดิฉันและใช้เวลาทบทวน นี่เป็นวิธีปฏิบัติของดิฉันเจ้าค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:


ถ้าคุนถามดิฉันว่าปฏิบัติอย่างไรใช่หรือไม่เจ้าค่ะ ลำดับแรกเลยก่อนที่ดิฉันจะได้สติดิฉันมองสิ่งรอบๆตัวเองมีแต่ทุกข์ ไม่ว่าจะทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนก็เจอแต่ทุกข์ คำตำหนิ ติเตือน ต่อว่าด่าทออยู่เป็นนิจแล้วดิฉันเอากลับมาคิดพิจรณา ทำไมผู้คนเหล่านั้นถึงตำหนิ ติเตือน ต่อว่า ด่าทอดิฉัน (ตัวดิฉันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ) ต้องยอมรับความจริงด้วยว่าเราเป็นอย่างที่เค้ากล่าวหาหรือไม่ ถ้าใช่ก็ต้องก้มหน้าก้มตาแบกรับโดยใช้ขันติในการดำรงชีวิต แต่ถ้าไม่ใช่ดิฉันก็จะหาเหตุผลมาอธิบายแต่ต้องใช้สติ คิดก่อนพูดไม่ใช่พูดก่อนแล้วค่อยคิด นี่คือวิธีปฏิบัติของดิฉัน

ถามตัวคุณกรัชกาย ทุกวันนี้คุณอยู่กับความสุขหรือทุกข์ละเจ้าค่ะ เมื่อไหร่ที่คุนเห็นว่ามันทุกข์เมื่อนั้นแหละคุนจะต้องกลับมานั่งคิดไตร่ตรองเหมือนดิฉันและใช้เวลาทบทวน นี่เป็นวิธีปฏิบัติของดิฉันเจ้าค่ะ


ขอบคุณครับที่บอกวิธีเจริญสติเจริญปัญญาตามแนวของคุณ nong

อ้างคำพูด:
ถามตัวคุณกรัชกาย ทุกวันนี้คุณอยู่กับความสุข หรือทุกข์ละเจ้าค่ะ


สุขก็ดี ทุกข์ก็ตาม เป็นเพียงเวทนา (สุขเวทนา ทุกขเวทนา) เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังที่ยกพุทธพจน์วางก่อนหน้าแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่หลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนาสำหรับปฏิบัติต่อความสุขมี 3 หัวข้อ ดังพุทธพจน์ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ความพยายามจะมีผล ความเพียรจะมีผลได้อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้

1. ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม

2. ไม่ละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม

3. ไม่หมกมุ่นสยบในความสุขนั้น

(ม.อุ.14/12/13)

นี้เป็นหลักเกณฑ์มาตรฐานที่ชาวพุทธจะพึงใช้ปฏิบัติในการเกี่ยวข้องกับความสุข

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แต่หลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนาสำหรับปฏิบัติต่อความสุขมี 3 หัวข้อ ดังพุทธพจน์ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ความพยายามจะมีผล ความเพียรจะมีผลได้อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้

1. ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม

2. ไม่ละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม

3. ไม่หมกมุ่นสยบในความสุขนั้น

(ม.อุ.14/12/13)

นี้เป็นหลักเกณฑ์มาตรฐานที่ชาวพุทธจะพึงใช้ปฏิบัติในการเกี่ยวข้องกับความสุข

สาธุเจ้าค่ะ :b8: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร