วันเวลาปัจจุบัน 10 ส.ค. 2025, 12:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2012, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q195a5.gif
q195a5.gif [ 18.27 KiB | เปิดดู 3263 ครั้ง ]
ฝนเอ๋ยทำไมจึงตก
ฝนมันตกเพราะว่ากบมันร้อง
กบเอ๋ยทำไมจึงร้อง
กบมันร้องเพราะว่าท้องมันปวด
ท้องเอ๋ยทำไมจึงปวด
ท้องมันปวดเพราะว่าข้าวมันดิบ
ข้าวเอ๋ยทำไมจึงดิบ
ข้าวมันดิบเพราะว่าฟืนมันเปียก
ฟืนเอ๋ยทำไมจึงเปียก
ฟืนมันเปียกเพราะว่าฝนมันตก
ฝนเอ๋ยทำไมจึงตก
ฝนมันตกเพราะว่ากบมันร้อง

กบเอ๋ยทำไมจึงร้อง
กบมันร้องเพราะว่าท้องมันปวด
ท้องเอ๋ยทำไมจึงปวด
ท้องมันปวดเพราะว่าข้าวมันดิบ
ข้าวเอ๋ยทำไมจึงดิบ
ข้าวมันดิบเพราะว่าฟืนมันเปียก
ฟืนเอ๋ยทำไมจึงเปียก
ฟืนมันเปียกเพราะว่าฝนมันตก
ฝนเอ๋ยทำไมจึงตก
ฝนมันตกเพราะว่ากบมันร้อง

*วนไปวนมา*

กบเอ๋ยทำไมจึงร้อง

ฯลฯ

เหมือนพายเรือในอ่างไม่ไปไหนสักที :b9: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2012, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
รู้ไม่ใช่อาการของจิต รู้ก็คือธาตุรู้เป็นตัวจิตแท้ๆ อาการเป็นเจตสิก

ธาตุรู้ รู้ด้วยอาการรู้
โฮฮับ เขียน:
อาการจิตที่รับสุข รับทุข์ไม่มี มีแต่จิดเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะจิตเป็นสุขเป็นทุกข์
ไอ้สุขทุกข์นั้นก็คืออาการของจิตที่เป็นสุขทุกข์ หรือเวทนาขันธ์

อาการจิตรับสุข รับทุกข์ เฉย...เรียกว่าเสวยสุขเวทนา เสวยทุกเวทนา เสวยอทุกขมสุขเวทนา
เหมือนโฮฮับหิวข้าว ก็ทานข้าว
โฮฮับ เขียน:
อาการของจิต ที่เรียกว่าจำ มันไม่มี ความจำได้มันต้องอาศัยสติ
ถ้าสติไประลึกได้ก็คือจำได้ ถ้าสติไประลึกไม่ได้ก็จำไม่ได้
ดังนั้นอาการจำมันไม่มี และสติก็ไม่ใช่สัญญาขันธ์แต่เป็นสังขารขันธ์

จิตไปรู้อะไรแล้ว ส่วนที่รู้ก็จะกลายเป็นสัญญาขันธ์

การจำเป็นสัญญา การระลึกได้เป็นสติ
อาการจิตจำได้ เป็นสัญญาขันธ์
อาการจิตระลึกได้เป็นสังขารขันธ์
จำได้ระลึกไม่ได้ก็มี เช่นจำได้ว่าตกปลาเป็นบาป แต่ก็ยังตกปลาอยู่ เรียกว่า จำได้ ระลึกไม่ได้
โฮฮับ เขียน:
นอกจากเจตสิก เวทนาขันธ์และเจตสิกสัญญาขันธ์ นอกนั้นเป็นเจตสิกสังขารขันธ์ทั้งหมด

เว้นจาก รูปขันธ์ทั้งหลายซึ่งรวมถึงรูปขันธ์อันมีจิตเป็นสมุหฐาน,เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์ แล้ว...ธรรมที่เหลือเป็นสังขารขันธ์
โฮฮับ เขียน:
การจะรู้อาการของจิตได้ ต้องอาศัยสติและสัญญาขันธ์ วิญญานขันธ์เกิดหลังจากได้รับผัสสะ
และดับไปแล้ว การจะเกิดวิญญานขันธ์ต้องได้รับผัสสะใหม่เท่านั้น

ผัสสะ เป็นธรรมอีกหมวดหนึ่งในปฏิจสมุปบาท อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง รูปขันธ์ วิญญาณขันธ์ และสังขารขันธ์
โฮฮับ เขียน:
พูดจาวกวนสับสน คุณภาพของจิตจะดีจะเลว มันก็ขึ้นอยู่กับจิต
มันไปเกี่ยวอะไรกับอาการของจิตหรือเจตสิก อาการของจิตมันเป็นเพียงเหตุปัจจัย
มีเหตุให้เกิดมันก็เกิด อาการของจิตเป็นตัวบอกให้รู้ว่าจิตมีคุณภาพอย่างไร
จิตดีอาการของจิตก็ดี จิตไม่ดีอาการของจิตก็ไม่ดี

โดยรวมแล้ว โฮฮับก็ยังไม่รู้เรื่องแม้เรื่องขันธ์ 5 และปฏิจสมุปบาท
ทำความเพียรเร่งศึกษาให้มากเพื่อสั่งสมสุตตะให้ดี

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2012, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่พิมพ์ การหัวเราะนะ
เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ ไม่ใช่ไม่รู้อะไรนะขอรับ รู้ทุกอย่างเลยขอรับ แต่รู้ไปในทางก่อกวน อวดฉลาดขอรับ
เท่าที่อ่านดู มันรู้มากจริงๆขอรับ รู้มากแบบปัญญาหน่อมนะขอรับ
ไม่หัวเราะ ขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2012, 20:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
คุณภาพของจิต จะดีจะเลว จะฉลาด จะไม่ฉลาด จึงขึ้นอยู่กับคุณภาพของ อาการจิต ที่เป็นเจตสิกธรรม

ท่านเช่นนั้นช่วยขยายความ ข้อความข้างบนให้กระจ่างกว่านี้หน่อยจะได้ไหมเจ้าค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2012, 23:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
คุณภาพของจิต จะดีจะเลว จะฉลาด จะไม่ฉลาด จึงขึ้นอยู่กับคุณภาพของ อาการจิต ที่เป็นเจตสิกธรรม

ท่านเช่นนั้นช่วยขยายความ ข้อความข้างบนให้กระจ่างกว่านี้หน่อยจะได้ไหมเจ้าค่ะ :b8:

จิตเดิมเป็นธาตุรู้ที่ประภัสสร คือผุดผ่อง แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา
อุปกิเลสที่จรมา ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิต ตกแต่งคุณภาพจิตเป็นอกุศล
แต่การอบรมจิตภาวนาเป็นการชำระความเศร้าหมองคืออุปกิเลสเหล่านั้น...เป็นการตกแต่งจิตด้วยเจตสิกธรรมอันเป็นกุศล...คุณภาพของจิตจึงสะอาดขึ้นฉลาดขึ้น

อาการจิตจึงมีทั้งส่วนที่เป็นกุศลและอกุศล
เมื่อจิตฉลาดถึงที่สุดคือชำระล้างอุปกิเลสทั้หมดทั้งสิ้น ย่อมไม่มีทั้งกุศลและอกุศล
จิตจึงไม่มีเหตุปรุงแต่งต่อไป...เป็นธาตุรู้อย่างนั้น ไม่ปรุงแต่งภพชาติ...

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2012, 02:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
รู้ไม่ใช่อาการของจิต รู้ก็คือธาตุรู้เป็นตัวจิตแท้ๆ อาการเป็นเจตสิก

ธาตุรู้ รู้ด้วยอาการรู้

เกิดผัสสะขึ้นพร้อมกับตัวรู้ ตัวรู้ก็คือวิญญาณขันธ์ วิญาณขันธ์ไม่ใช่เจตสิกหรืออาการของจิต
วิญาณขันธ์ก็คือตัวจิต สิ่งที่เกิดตามหลังนั้นเป็นอาการของจิตหรือเจตสิก
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
อาการจิตที่รับสุข รับทุข์ไม่มี มีแต่จิดเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะจิตเป็นสุขเป็นทุกข์ไอ้สุขทุกข์นั้นก็คืออาการของจิตที่เป็นสุขทุกข์ หรือเวทนาขันธ์

อาการจิตรับสุข รับทุกข์ เฉย...เรียกว่าเสวยสุขเวทนา เสวยทุกเวทนา เสวยอทุกขมสุขเวทนา
เหมือนโฮฮับหิวข้าว ก็ทานข้าว

คุณเช่นนั้น อย่าตอบปัญหาแบบนี้ซิ ผมหาเหตุผลไม่เจอครับ
จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถ์ธรรม การดูธรรมที่ว่านี้ต้องดูแต่ปรมัตถ์
สิ่งที่คุณ"เช่นนั้น"พูด มันเป็นบัญญัติ เป็นเพราะบัญญัตินี่แหล่ะทำให้คุณสับสน
คุณเล่นเอาบัญญัติมาอ้าง คำอธิบายความของอารมณ์ปรมัตถ์มันก็ต้องเปลี่ยน
ตามบัญญัติที่คุณเอามาอ้าง เดี๋ยวความเห็นผมก็เกิดสับสนไปตามบัญญัติที่คุณอ้างหรอกครับ

ไอ้คำว่าเสวยนี่น่ะ มันไม่เหมือนกับคำว่ากินข้าวที่คุณบอก
เวทนาเป็นที่เกิดตามเหตุปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่มันแบ่ง
ตามลักษณะเหตุที่เกิดก็คือ ผัสสะ ที่ชอบใจ ไม่ชอบใจ

ถ้าเสวยเปรียบเหมือนกินข้าวที่คุณบอก มันก็เหมือนกับการเอาสิ่ง เข้ามา
ดังนั้นต้องไปเปรียบกับ อายตนภายนอก นั้นก็คือเราไปรับ รูป รส กลิ่นเสียง
และธัมมารมณ์เข้ามา


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
อาการของจิต ที่เรียกว่าจำ มันไม่มี ความจำได้มันต้องอาศัยสติ
ถ้าสติไประลึกได้ก็คือจำได้ ถ้าสติไประลึกไม่ได้ก็จำไม่ได้
ดังนั้นอาการจำมันไม่มี และสติก็ไม่ใช่สัญญาขันธ์แต่เป็นสังขารขันธ์

จิตไปรู้อะไรแล้ว ส่วนที่รู้ก็จะกลายเป็นสัญญาขันธ์

การจำเป็นสัญญา การระลึกได้เป็นสติ
อาการจิตจำได้ เป็นสัญญาขันธ์
อาการจิตระลึกได้เป็นสังขารขันธ์
จำได้ระลึกไม่ได้ก็มี เช่นจำได้ว่าตกปลาเป็นบาป แต่ก็ยังตกปลาอยู่ เรียกว่า จำได้ ระลึกไม่ได้

ใช่บัญญัติมากไปมันก็ทำให้สับสนแบบนี้แหล่ะครับ คุณเช่นนั้นครับ ถ้าคุณจะคุยอารมณ์ปรมัตถ์
ที่ต้องอาศัยบัญญัติมาอธิบายความในเรื่องนี้ คุณก็ควรไปดูว่า ครูบาอาจาย์จำแนกแจกแจง
จิต เจตสิกว่าอย่างไร หลังจากนั้นก็ค่อยๆเดินอารมณ์ปรมัตถ์ประกอบด้วย

การรู้ที่ปัจจุบันเป็นวิญญาณขันธ์ เมื่อรู้แล้วเป็นอดีตแล้ว เป็นสัญญาขันธ์
ตัวหนึ่งเป็นจิต ตัวหนึ่งเป็นเจตสิก
ความจำในอารมณ์ปรมัตถ์มันไม่มี มันมีแต่ สติกับสัญญา
ถ้าจะพูดถึงความจำเราต้องไปดูที่ อายตนะภายในที่เรียกว่าใจ
ความจำมันก็เป็นสังขารขันธ์หรือไม่ก็เป็นธัมมารมณ์ตัวใหม่ครับ


เรื่องที่คุณบอกว่าจำได้ว่าตกปลาเป็นบาป แต่ก็ยังตกปลาอยู่
มันไม่ใช่จำได้ระลึกไม่ได้อย่างที่คุณบอก ที่เขาตกปลาเเละเขาระลึกได้ว่าเป็นบาป
อันนี้เรียกว่าสติไประลึกรู้สัญญา และที่บอกว่ายังตกปลาอยู่ เพราะ สติเกิดแล้วก็ดับ
ไปพร้อมกับสัญญาครับ

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
นอกจากเจตสิก เวทนาขันธ์และเจตสิกสัญญาขันธ์ นอกนั้นเป็นเจตสิกสังขารขันธ์ทั้งหมด

เว้นจาก รูปขันธ์ทั้งหลายซึ่งรวมถึงรูปขันธ์อันมีจิตเป็นสมุหฐาน,เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์ แล้ว...ธรรมที่เหลือเป็นสังขารขันธ์

คุณเช่นนั้น เรากำลังคุยกันในเรื่องของเจตสิกนะครับ
คุณไม่รู้หรือว่าอภิธรรมปรมัตถ์มี จิต เจตสิก รูปและนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2012, 02:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
การจะรู้อาการของจิตได้ ต้องอาศัยสติและสัญญาขันธ์ วิญญานขันธ์เกิดหลังจากได้รับผัสสะ
และดับไปแล้ว การจะเกิดวิญญานขันธ์ต้องได้รับผัสสะใหม่เท่านั้น

ผัสสะ เป็นธรรมอีกหมวดหนึ่งในปฏิจสมุปบาท อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง รูปขันธ์ วิญญาณขันธ์ และสังขารขันธ์

กระบวนการขันธ์ห้ากับกระบวนการปฏิสมุบาทเป็นคนละส่วนกัน
แต่มีความสัมพันธ์กัน

คุณเช่นนั้นถ้าจะคุยเรื่องกระบวนการขันธ์ห้าและปฏิจจฯต้องแยกไปคุยต่างหาก
ไม่งั้นเดียวจะสับสน คุณอยากคุยกับผมมั้ยครับ

เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
พูดจาวกวนสับสน คุณภาพของจิตจะดีจะเลว มันก็ขึ้นอยู่กับจิต
มันไปเกี่ยวอะไรกับอาการของจิตหรือเจตสิก อาการของจิตมันเป็นเพียงเหตุปัจจัย
มีเหตุให้เกิดมันก็เกิด อาการของจิตเป็นตัวบอกให้รู้ว่าจิตมีคุณภาพอย่างไร
จิตดีอาการของจิตก็ดี จิตไม่ดีอาการของจิตก็ไม่ดี

โดยรวมแล้ว โฮฮับก็ยังไม่รู้เรื่องแม้เรื่องขันธ์ 5 และปฏิจสมุปบาท
ทำความเพียรเร่งศึกษาให้มากเพื่อสั่งสมสุตตะให้ดี

กำลังคุยกับผม กำลังโต้แย้งกับผม ทำไมคุณถึงได้ถือวิสาสะ
ตัดสินความเองเลยล่ะครับ

ย้ำอีกที่อยากคุยเรื่องปฏิจจฯกับผมมั้ยครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2012, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
จิตเดิมเป็นธาตุรู้ที่ประภัสสร คือผุดผ่อง แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา
อุปกิเลสที่จรมา ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิต ตกแต่งคุณภาพจิตเป็นอกุศล
แต่การอบรมจิตภาวนาเป็นการชำระความเศร้าหมองคืออุปกิเลสเหล่านั้น...เป็นการตกแต่งจิตด้วยเจตสิกธรรมอันเป็นกุศล...คุณภาพของจิตจึงสะอาดขึ้นฉลาดขึ้น

อาการจิตจึงมีทั้งส่วนที่เป็นกุศลและอกุศล
เมื่อจิตฉลาดถึงที่สุดคือชำระล้างอุปกิเลสทั้หมดทั้งสิ้น ย่อมไม่มีทั้งกุศลและอกุศล
จิตจึงไม่มีเหตุปรุงแต่งต่อไป...เป็นธาตุรู้อย่างนั้น ไม่ปรุงแต่งภพชาติ...

ต้องขอโทษล่วงหน้าที่เสียมรรยาทเข้ามาสอดครับ

ที่คุณเช่นนั้นว่า จิตเดิมประภัสสร ไอ้จิตเดิมของคุณเช่นนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าคุณเริ่มนับ
ตั้งแต่ตรงไหน แต่เนื่องจาก"คุณเช่นนั้น"ตำหนิผมว่า ผมไม่มีรู้เรื่องปฎิจจสมุบาท
ผมก็เลยเอาเรื่องนี้มาย้อนว่า .....

จิตเดิมที่ไหนมันประภัสสรครับ ไอ้ที่เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด
ก็เพราะจิตมันไม่ประภัสสรครับ จิตมันมีกิเลสและไอ้กิเลสนี่แหล่ะ
เป็นเหตุให้เกิดสังสารวัฏ มันเป็นทุกข์


ส่วนความเห็นที่เหลือผมเห็นว่าคุณกำลังสับสนเลยผ่านไปครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2012, 02:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ไม่พิมพ์ การหัวเราะนะ
เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ ไม่ใช่ไม่รู้อะไรนะขอรับ รู้ทุกอย่างเลยขอรับ แต่รู้ไปในทางก่อกวน อวดฉลาดขอรับ
เท่าที่อ่านดู มันรู้มากจริงๆขอรับ รู้มากแบบปัญญาหน่อมนะขอรับ
ไม่หัวเราะ ขอรับ

จ่าไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้หรือไง ทำไมต้องนิมนต์พระตามหลังมาทุกที :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2012, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เกิดผัสสะขึ้นพร้อมกับตัวรู้ ตัวรู้ก็คือวิญญาณขันธ์ วิญาณขันธ์ไม่ใช่เจตสิกหรืออาการของจิต
วิญาณขันธ์ก็คือตัวจิต สิ่งที่เกิดตามหลังนั้นเป็นอาการของจิตหรือเจตสิก

ธาตุรู้ มีอาการออกไปรู้ ขณะที่อายตนะภายในภายนอก กระทบกัน สามสิ่งนี้ปรุงแต่งกันขึ้น เรียกผัสสะ
ธาตุรู้มีอาการรู้ตามอายตนะต่างๆนั้น คือวิญญาณขันธ์ วิญญาณขันธ์ จึงเป็นอาการรู้ แต่ไม่ใช่เจตสิก
เขียนมาจนเมื่อยนิ้ว โฮฮับก็ยังไม่เข้าใจ ...
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อาการจิตที่รับสุข รับทุข์ไม่มี มีแต่จิดเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะจิตเป็นสุขเป็นทุกข์ไอ้สุขทุกข์นั้นก็คืออาการของจิตที่เป็นสุขทุกข์ หรือเวทนาขันธ์

อาการจิตรับสุข รับทุกข์ เฉย...เรียกว่าเสวยสุขเวทนา เสวยทุกเวทนา เสวยอทุกขมสุขเวทนา
เหมือนโฮฮับหิวข้าว ก็ทานข้าว
โฮฮับเขียน:
คุณเช่นนั้น อย่าตอบปัญหาแบบนี้ซิ ผมหาเหตุผลไม่เจอครับ
จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถ์ธรรม การดูธรรมที่ว่านี้ต้องดูแต่ปรมัตถ์
สิ่งที่คุณ"เช่นนั้น"พูด มันเป็นบัญญัติ เป็นเพราะบัญญัตินี่แหล่ะทำให้คุณสับสน
คุณเล่นเอาบัญญัติมาอ้าง คำอธิบายความของอารมณ์ปรมัตถ์มันก็ต้องเปลี่ยน
ตามบัญญัติที่คุณเอามาอ้าง เดี๋ยวความเห็นผมก็เกิดสับสนไปตามบัญญัติที่คุณอ้างหรอกครับ

ไอ้คำว่าเสวยนี่น่ะ มันไม่เหมือนกับคำว่ากินข้าวที่คุณบอก
เวทนาเป็นที่เกิดตามเหตุปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่มันแบ่ง
ตามลักษณะเหตุที่เกิดก็คือ ผัสสะ ที่ชอบใจ ไม่ชอบใจ

เพราะคุณโฮฮับ ไม่เข้าใจปฏิจสมุปบาทจึงไม่เข้าใจว่า ผัสสะเป็นปัจจัย แก่เวทนา ไม่ใช่เหตุแก่เวทนา
จิตเสวยสุข ทุกข์ อทุกขมสุข เวทนา....เพราะอวิชชาผัสสะเป็นปัจจัย ....นี่ล่ะปรมัตถสภาวะ..
โฮฮับ เขียน:
การรู้ที่ปัจจุบันเป็นวิญญาณขันธ์ เมื่อรู้แล้วเป็นอดีตแล้ว เป็นสัญญาขันธ์
ตัวหนึ่งเป็นจิต ตัวหนึ่งเป็นเจตสิก
ความจำในอารมณ์ปรมัตถ์มันไม่มี มันมีแต่ สติกับสัญญา
ถ้าจะพูดถึงความจำเราต้องไปดูที่ อายตนะภายในที่เรียกว่าใจ
ความจำมันก็เป็นสังขารขันธ์หรือไม่ก็เป็นธัมมารมณ์ตัวใหม่ครับ

เรื่องที่คุณบอกว่าจำได้ว่าตกปลาเป็นบาป แต่ก็ยังตกปลาอยู่
มันไม่ใช่จำได้ระลึกไม่ได้อย่างที่คุณบอก ที่เขาตกปลาเเละเขาระลึกได้ว่าเป็นบาป
อันนี้เรียกว่าสติไประลึกรู้สัญญา และที่บอกว่ายังตกปลาอยู่ เพราะ สติเกิดแล้วก็ดับ
ไปพร้อมกับสัญญาครับ

เรียนมาจากสำนักไหน กลับไปสำนักนั้นให้ครูอาจารย์สอนใหม่นะครับ อธิบายสิ่งไรไปก็ไม่เข้าสมองเลย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2012, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
จิตเดิมที่ไหนมันประภัสสรครับ ไอ้ที่เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด
ก็เพราะจิตมันไม่ประภัสสรครับ จิตมันมีกิเลสและไอ้กิเลสนี่แหล่ะ
เป็นเหตุให้เกิดสังสารวัฏ มันเป็นทุกข์


ส่วนความเห็นที่เหลือผมเห็นว่าคุณกำลังสับสนเลยผ่านไปครับ :b13:

นี่ก็อีกความเห็นเช่นสาติภิกษุผู้ลามก เห็นอีกเช่นกัน
ว่าจิตเวียนว่ายตายเกิด
กลับไปเรียนมาใหม่แล้วค่อยมาสนทนากัน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2012, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขออนุญาติแทรกแซงความคิดเห็นของดิฉันด้วยนะเจ้าค่ะ ดิฉันเห็นด้วยกับที่ท่านเช่นนั้นบอกว่าการจำเป็นสัญญา การระลึกได้เป็นสติ
อาการจิตจำได้ เป็นสัญญาขันธ์
อาการจิตระลึกได้เป็นสังขารขันธ์
จำได้ระลึกไม่ได้ก็มี เช่นจำได้ว่าตกปลาเป็นบาป แต่ก็ยังตกปลาอยู่ เรียกว่า จำได้ ระลึกไม่ได้
เพราะว่าที่ท่านเช่นนั้นพูดมา มันเกิดกับตัวดิฉันเอง คืออย่างนี้ ดิฉันไปตลาดเพื่อไปซื้อปลามาปรุงอาหาร แล้วปลาก็มีแต่ปลาที่สดคือยังไม่ตาย แล้วดิฉันก็คิดว่าดิฉันต้องบาปแน่ถ้าซื้อปลาพวกนี้ไปทำอาหารเพราะดิฉันต้องผิดศีลข้อ1 ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ดิฉันก็ตัดสินใจซื้อปลามาอยู่ดีเพราะถ้าจะให้ดิฉันซื้อปลาที่มันตายแล้วมาปรุงอาหารก็เกรงว่ามันจะไม่สด(เดี๋ยวคนที่บ้านก็บ่นอีก) นี่ใช่ไหมเจ้าค่ะที่รู้ว่าเป็นบาปคือสัญญาแต่ก็ระลึกไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2012, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ดิฉันขออนุญาติแทรกแซงความคิดเห็นของดิฉันด้วยนะเจ้าค่ะ ดิฉันเห็นด้วยกับที่ท่านเช่นนั้นบอกว่าการจำเป็นสัญญา การระลึกได้เป็นสติ
อาการจิตจำได้ เป็นสัญญาขันธ์
อาการจิตระลึกได้เป็นสังขารขันธ์
จำได้ระลึกไม่ได้ก็มี เช่นจำได้ว่าตกปลาเป็นบาป แต่ก็ยังตกปลาอยู่ เรียกว่า จำได้ ระลึกไม่ได้
เพราะว่าที่ท่านเช่นนั้นพูดมา มันเกิดกับตัวดิฉันเอง คืออย่างนี้ ดิฉันไปตลาดเพื่อไปซื้อปลามาปรุงอาหาร แล้วปลาก็มีแต่ปลาที่สดคือยังไม่ตาย แล้วดิฉันก็คิดว่าดิฉันต้องบาปแน่ถ้าซื้อปลาพวกนี้ไปทำอาหารเพราะดิฉันต้องผิดศีลข้อ1 ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ดิฉันก็ตัดสินใจซื้อปลามาอยู่ดีเพราะถ้าจะให้ดิฉันซื้อปลาที่มันตายแล้วมาปรุงอาหารก็เกรงว่ามันจะไม่สด(เดี๋ยวคนที่บ้านก็บ่นอีก) นี่ใช่ไหมเจ้าค่ะที่รู้ว่าเป็นบาปคือสัญญาแต่ก็ระลึกไม่ได้

ตอนตัดสินใจซื้อนั่นล่ะครับ สติระลึกความเกรงกลัวต่อบาปไม่ทัน แม้ขณะนั้นจิตก็ยังมีสัญญาต่อเรื่องการผิดศีล และเรื่องหิริโอตตัปปะอยู่...

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2012, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อธิบาย ในเรื่องของ เจตสิก
เจตสิก ตามความนัยที่แท้จริงแล้ว ถึงแม้ว่า ตามพระไตรปิฎกจะกล่าวเพียงว่า
เจตสิก คือ ธรรมที่ประกอบอยู่ในจิต แต่คำว่า ธรรม นั้น มิได้มีความหมายเพียง หลักธรรมคำสอนเท่านั้น คำว่า "ธรรม"ที่ปรากฏอยู่ หมายรวมถึง ความรู้ต่างๆ ที่เคยได้ประสบ สัมผัส ทางอายตนะทั้งหลาย ดังนั้น เจตสิก จึงมีความหมายที่กว้าง และเป็นไปตามหลักความจริงแห่งระบบสรีรร่างกายของมนุษย์(ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์)
ส่วน คำว่า "จิตประภัสสร" นั้น หมายถึง จิตที่บริสุทธิ์ ใสสะอาด แต่ไม่ได้มีความหมายว่าเป็น จิตที่ไม่มี อกุศล หรือ กุศล หรือ อัพยากตะ
"จิตประภัสสร" หมายถึง จิตที่ฝึกดีแล้ว ปราศจาก อาสวะทั้งปวงแล้ว และจิตประภัสสร ก็มีทั้ง ความเป็น อกุศล กุศล และ อัพยากตะ เพราะ จิต คือ ตัวรับรู้อารมณ์ หรือ ธรรมชาติสำหรับการรับรู้อารมณ์ ดังนั้น จิต จึงรับรู้ ทั้ง อกุศล กุศล และ อัพยากตะ แต่ จิต สามารถขจัดสิ่งที่เป็น อกุศล กุศล และ อัพยากตะ เหลือเพียง อุเบกขา เอกัคคตา ตามสภาพสภาวะแห่งความเป็นจริงตามธรรมชาติ นั่นก็คือ ความเป็นธรรมดา ตามหลักไตรลักษณ์ ก็ได้อย่างหนึ่ง หรือ ตามสภาพสภาวะแห่งความจริงตามหลัก วิชชา ๓ วิชชา ๘ ก็ได้อย่างหนึ่ง ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น
เมื่อ จิต เป็น ตัวรับรู้อารมณ์ หรือ ธรรมชาติสำหรับการรับรู้อารมณ์ หากได้รับการสัมผัสจากอายตนะทั้งหลาย ก็จะเกิดเป็น เจตสิก ขึ้น เจตสิก ทั้งหลายเหล่านั้น บ้างก็จะแปรเปลี่ยนเป็น สัญญา หรือ ความจำ อาจจะเป็นสัญญาเพียงระยะสั้นๆ หรือจะเป็นสัญญาที่ติดยืนยาว ก็ตามแต่ ซึ่งล้วนเป็นไปตามระบบการทำงานของสรีรร่างกายมนุษย์
เมื่อมีสัญญา คือ ความจำต่างๆ บุคคลก็จะเกิดมี สติ สัมปชัญญะ ซึ่งความจริงแล้วเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว ในอันที่จะนำเอา เจตสิก ทั้งหลายที่ประกอบอยู่ในจิต นำออกมาใช้ นำออกมาเป็นปัจจัยในการประกอบกิจกรรม พฤติกรรม ทั้งทาง กาย วาจาใจ หรือ อาจเกิดเป็นความคิด ในด้านต่างๆ
ความมี สติ หรือ ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง, จำการที่ทำและคำที่พูดแล้ว แม้นานได้ (จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฏก) จึงไม่ได้มีความหมายเพียงแคบๆ แต่มีความหมายในทางที่กว้างขวาง ครอบคลุม
โดยสรุปแล้ว สติ จึง หมายถึง การมี่บุคคลสามารถ ระลึกได้ นึกได้ ความไม่เผลอ ฯ โดยอาศัยปัจจัยคือ เจตสิก ที่ประกอบอยู่ในจิต เป็นเครื่องช่วยยับยั้ง หรือส่งเสริมเพิ่มพูน
ส่วนการที่จะใช้ปัจจัย หรือมี สติ ระลึกได้ ถึง ปัจจัย อันเป็น เจตสิกที่ประกอบอยู่ในจิตได้ นั้น ก็ย่อมเกิดจาก เหตุ ซึ่ง เหตุก็ย่อมเกิดจาก ผัสสะ หรือ การได้รับการสัมผัส จากอายตนะ ทั้งหลาย อีกประการที่สำคัญที่สุดในการที่จะมี สติ ในอันที่จะใช้เจตสิกที่ประกอบอยู่ในจิต หรือจะไม่ใช้เจตสิกที่ประกอบอยู่ในจิต ก็คือ สมาธิ อันเป็นเหตุทำให้เกิด สติสัมปชัญญะ และยังรวมไปถึง สภาพสภาวะของสรีระร่างกายแห่งบุคคลนั้นๆด้วย ที่กล่าวไป ล้วนมีการเกิดเป็น วัฏฏะ

จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕
ผู้เขียน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2012, 00:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เกิดผัสสะขึ้นพร้อมกับตัวรู้ ตัวรู้ก็คือวิญญาณขันธ์ วิญาณขันธ์ไม่ใช่เจตสิกหรืออาการของจิต
วิญาณขันธ์ก็คือตัวจิต สิ่งที่เกิดตามหลังนั้นเป็นอาการของจิตหรือเจตสิก

ธาตุรู้ มีอาการออกไปรู้ ขณะที่อายตนะภายในภายนอก กระทบกัน สามสิ่งนี้ปรุงแต่งกันขึ้น เรียกผัสสะ
ธาตุรู้มีอาการรู้ตามอายตนะต่างๆนั้น คือวิญญาณขันธ์ วิญญาณขันธ์ จึงเป็นอาการรู้ แต่ไม่ใช่เจตสิก
เขียนมาจนเมื่อยนิ้ว โฮฮับก็ยังไม่เข้าใจ ...

ไอ้อาการ ออกหรือเข้าไปรู้อะไรของคุณนั้นนะ ในบัญญัติเขาให้ความหมายว่าเป็นจิต

เขาจะไม่เรียกจิตแท้ๆว่าอาการ จิตเป็นตัวรู้ไม่ใช่อาการรู้
อาการต่างๆหรือเจตสิกจะรู้ได้ก็ด้วยจิตตัวรู้

โดยลักษณะการเกิดดับของจิต สมมุติได้รับผัสสะก็จะเกิดจิตมาพร้อมกับอาการจิต
เช่น จิตดวงนั้นมีอาการโทสะ เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป จะเกิดจิตดวงใหม่ขึ้น จิตดวงใหม่ที่
เกิดขึ้นมาจะไม่มีอาการของจิตหรือเจตสิก จิตดวงนี้เรียกว่าตัวรู้ หมายความว่าไปรู้อาการ
ของจิตดวงที่แล้ว โดยลักษณะการเกิดดับของจิต จิตที่เกิดพร้อมกับเจตสิกจะไม่สามารถรู้
อาการของตัวเองได้ จะต้องอาศัยจิตดวงใหม่มารู้จิตดวงก่อน เขาจึงนิยามจิตเป็นตัวรู้
เป็นธาตุรู้ ความหมายของตัวรู้หรือธาตุรู้ ก็คือ ความเป็นเอกลักษณ์ในตัวของมัน
ซึ่งสิ่งนี้ไม่เรียกว่าอาการ

.
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อาการจิตที่รับสุข รับทุข์ไม่มี มีแต่จิดเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะจิตเป็นสุขเป็นทุกข์ไอ้สุขทุกข์นั้นก็คืออาการของจิตที่เป็นสุขทุกข์ หรือเวทนาขันธ์

อาการจิตรับสุข รับทุกข์ เฉย...เรียกว่าเสวยสุขเวทนา เสวยทุกเวทนา เสวยอทุกขมสุขเวทนา
เหมือนโฮฮับหิวข้าว ก็ทานข้าว
โฮฮับเขียน:
คุณเช่นนั้น อย่าตอบปัญหาแบบนี้ซิ ผมหาเหตุผลไม่เจอครับ
จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถ์ธรรม การดูธรรมที่ว่านี้ต้องดูแต่ปรมัตถ์
สิ่งที่คุณ"เช่นนั้น"พูด มันเป็นบัญญัติ เป็นเพราะบัญญัตินี่แหล่ะทำให้คุณสับสน
คุณเล่นเอาบัญญัติมาอ้าง คำอธิบายความของอารมณ์ปรมัตถ์มันก็ต้องเปลี่ยน
ตามบัญญัติที่คุณเอามาอ้าง เดี๋ยวความเห็นผมก็เกิดสับสนไปตามบัญญัติที่คุณอ้างหรอกครับ

ไอ้คำว่าเสวยนี่น่ะ มันไม่เหมือนกับคำว่ากินข้าวที่คุณบอก
เวทนาเป็นที่เกิดตามเหตุปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่มันแบ่ง
ตามลักษณะเหตุที่เกิดก็คือ ผัสสะ ที่ชอบใจ ไม่ชอบใจ

เพราะคุณโฮฮับ ไม่เข้าใจปฏิจสมุปบาทจึงไม่เข้าใจว่า ผัสสะเป็นปัจจัย แก่เวทนา ไม่ใช่เหตุแก่เวทนา
จิตเสวยสุข ทุกข์ อทุกขมสุข เวทนา....เพราะอวิชชาผัสสะเป็นปัจจัย ....นี่ล่ะปรมัตถสภาวะเลย

ผมว่าคุณเช่นนั้นท่องสคริปมากไปจนเบลอแล้วนะครับ แม้กระทั่งคำง่ายๆ แปลง่ายๆ
คุณเช่นนั้นยังทำให้มีปัญหา จะแปลคำว่าเหตุปัจจัยให้ฟังโดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรม
ให้ยุ่งยาก เหตุปัจจัยหมายถึงสิ่งที่ทำให้เกิด มีสิ่งนี้จึงเกิดสิ่งนี้ ดับสิ่งนี้สิ่งนี้จึงดับ

แล้วที่ตบท้ายว่า "นี่แหละปรมัตถ์สภาวะเลย" ผมตลกตัวคุณจริงๆครับ
เล่นเอาบัญญัติมาแยกตีความให้เกิดประเด็นปัญหาอย่างนี้หรือเรียกปรมัตถ์
คุณเช่นนั้นครับ ไม่ว่าคุณจะไปหาเหตุให้มันเป็นประเด็นอย่างไร
จะแยกบัญญัติอย่างไร ความหมายที่ได้มันมันก็เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นคำว่า "ปัจจัย"
หรือคำว่า"เหตุ"ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามหลักอิทัปปัจฯและปฏิจจฯ

เช่นนั้น เขียน:
.
โฮฮับ เขียน:
การรู้ที่ปัจจุบันเป็นวิญญาณขันธ์ เมื่อรู้แล้วเป็นอดีตแล้ว เป็นสัญญาขันธ์
ตัวหนึ่งเป็นจิต ตัวหนึ่งเป็นเจตสิก
ความจำในอารมณ์ปรมัตถ์มันไม่มี มันมีแต่ สติกับสัญญา
ถ้าจะพูดถึงความจำเราต้องไปดูที่ อายตนะภายในที่เรียกว่าใจ
ความจำมันก็เป็นสังขารขันธ์หรือไม่ก็เป็นธัมมารมณ์ตัวใหม่ครับ

เรื่องที่คุณบอกว่าจำได้ว่าตกปลาเป็นบาป แต่ก็ยังตกปลาอยู่
มันไม่ใช่จำได้ระลึกไม่ได้อย่างที่คุณบอก ที่เขาตกปลาเเละเขาระลึกได้ว่าเป็นบาป
อันนี้เรียกว่าสติไประลึกรู้สัญญา และที่บอกว่ายังตกปลาอยู่ เพราะ สติเกิดแล้วก็ดับ
ไปพร้อมกับสัญญาครับ

เรียนมาจากสำนักไหน กลับไปสำนักนั้นให้ครูอาจารย์สอนใหม่นะครับ อธิบายสิ่งไรไปก็ไม่เข้าสมองเลย

ผมเรียนมาจากสำนักที่เน้นเหตุผลนำหน้าโทสะครับ :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร