วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“บุคคลตาบอดเป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีดวงตาชนิดที่จะช่วยให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้เพิ่มพูน กับทั้งไม่มีดวงตาชนิดที่จะช่วยให้รู้จักธรรมที่เป็นกุศล เป็นอกุศล ธรรมที่มีโทษไม่มีโทษ ธรรมทรามธรรมประณีต ธรรมที่เปรียบได้กับของดำหรือของขาว นี้เรียกว่า บุคคลคนตาบอด


“บุคคลตาเดียวเป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีดวงตาชนิดที่จะช่วยให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้เพิ่มพูน แต่ไม่มีดวงตาชนิดที่จะช่วยให้รู้จักธรรมที่เป็นกุศล เป็นอกุศล ธรรมที่มีโทษไม่มีโทษ ธรรมทรามธรรมประณีต ธรรมที่เปรียบได้กับของดำหรือของขาว นี้เรียกว่า บุคคลคนตาเดียว


“บุคคลสองตาเป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีดวงตาชนิดที่จะช่วยให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้เพิ่มพูน อีกทั้งมีดวงตาชนิดที่จะช่วยให้รู้จักธรรมที่เป็นกุศล เป็นอกุศล ธรรมที่มีโทษไม่มีโทษ ธรรมทรามธรรมประณีต ธรรมที่เปรียบได้กับของดำหรือของขาว นี้เรียกว่า บุคคลคนสองตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“คนตาบอด ตาเสีย มีแต่กาลีเคราะห์ร้ายทั้งสองทาง คือ โภคทรัพย์อย่างที่ว่าก็ไม่มี คุณความดีก็ไม่กระทำ

อีกคนหนึ่ง ที่เรียกว่าตาเดียว เที่ยวแสวงหาทรัพย์ ถูกธรรมก็เอาผิดธรรมก็เอา ไม่ว่าจะเป็นการขโมย คดโกงหรือโกหกหลอกลวงก็ได้ เขาเป็นคนเสวยกามที่ฉลาดสะสมทรัพย์ แต่จากนี้ ไปนรก คนตาเดียวย่อมเดือดร้อน

ส่วนคนที่เรียกว่าสองตา เป็นคนประเสริฐ ย่อมปันทรัพย์ซึ่งได้มาด้วยความขยัน จากกองโภคะที่ได้มาโดยชอบธรรม ออกเผื่อแผ่ มีความคิดสูงประเสริฐ มีจิตใจแน่วแน่ ย่อมเข้าถึงสถานดีงามไปแล้วไม่เศร้าโศก พึงหลีกเว้นคนตาบอดและคนตาเดียวเสียให้ไกล ควรคบหาแต่คนสองตาผู้ประเสริฐ”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จะนำพุทธพจน์ที่ให้เร่งทำกิจ และเตรียมการเพื่ออนาคตมาลงให้อ่าน แต่จะตัดชื่อคัมภีร์อ้างอิงออก



"เป็นคนควรหวังเรื่อยไป บัณฑิตไม่ควรท้อแท้ เราเห็นประจักษ์มากับตัวเอง เราปรารถนาอย่างใด ก็ได้สมตามนั้น"


"ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย คนประมาทเหมือนคนตายแล้ว ฯลฯ ผู้ไม่ประมาท เพ่งพินิจอยู่ ย่อมประสบความสุขอันไพบูลย์"


"เพราะฉะนั้น ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ทุกคนควรกระทำกิจหน้าที่ และไม่พึงประมาท"

:b8: อนุโมทนาสาธุค่ะ ท่านกรัชกาย

คำสั่งสอนขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีหลายระดับชั้นซึ่งล้วนเกื้อกูลและเป็นประโยชน์กับทุกชีวิต...ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เราควรทำกิจหน้าที่ของเราด้วยความไม่ประมาท ...ด้วยความรู้เท่าทันความเป็นจริงของชีวิต...
ฆราวาสอย่างเราๆยังคงต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ...ชีวิตจึงต้องมีความหวังหรือเป้าหมายของชีวิต...ลงมือกระทำกิจหน้าที่ด้วยความไม่ประมาท...หากพลาดพลั้งไม่สมดังหวัง...ก็ให้รู้เท่าทัน ชีวิตเป็นเยี่ยงนี้มีผิดหวังสมหวังเป็นธรรมดา...ก็ไม่เป็นไรลุกขึ้นสู้กันใหม่...วิเคราะห์และแก้ไขปัญหาเพื่อเดินทางไปให้ถึงซึ่งเป้าหมายที่จะเป็นประโยชน์และเกื้อกูลทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้าต่อตัวเราเอง คนในครอบครัวและสังคม

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
เมื่อไคร่ครวญดูเห็นว่าความหวังแท้จริงเป็นเพียงจิตสังขารคิดปรุงแต่งเอา ความสมหวังคือการทำให้สำเร็จดังภาพลวงที่ตั้งไว้ แล้วก็หวังต่อไป ต่อไป

การสอนให้คนมีหวังจึงเป็นเพียงการกระทำให้เสียเวลา มากกว่าการชี้ชัดให้ดูความจริง

หรือคนเราไม่ชอบความจริงจึงเลือกหลงจมอยู่กับความหวัง

ท่านๆว่าอย่างไร :b30:


บุคคลถูกโมหะครอบงำ ก็ย่อมมีความหวัง มีความปราถนาในสิ่งต่างๆ ที่น่ารักน่าพอใจ เป็นธรรมดา
ปรารถนาในรูปบ้าง ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฐฐัพพะ ในธัมมารมณ์ บ้าง
แล้วก็แสวงหาสิ่งนั้นๆ มา โดยมากก็มักจะผิดหวัง ที่สมหวังนั้นมีน้อย และสิ่งที่เหล่านั้นก็ไม่เที่ยง
โดยเฉพาะกามทั้งหลายที่มีโทษมาก มีความคับแค้นมาก
ผู้ไม่มีความหลง ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ เป็นผู้ไม่มีความหวังในโลกทั้งปวง จึงเป็นผู้ที่สงบรำงับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:

อนุโมทนาสาธุค่ะ ท่านกรัชกาย

คำสั่งสอนขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีหลายระดับชั้นซึ่งล้วนเกื้อกูลและเป็นประโยชน์กับทุกชีวิต...ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เราควรทำกิจหน้าที่ของเราด้วยความไม่ประมาท ...ด้วยความรู้เท่าทันความเป็นจริงของชีวิต...
ฆราวาสอย่างเราๆยังคงต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ...ชีวิตจึงต้องมีความหวังหรือเป้าหมายของชีวิต...ลงมือกระทำกิจหน้าที่ด้วยความไม่ประมาท...หากพลาดพลั้งไม่สมดังหวัง...ก็ให้รู้เท่าทัน ชีวิตเป็นเยี่ยงนี้มีผิดหวังสมหวังเป็นธรรมดา...ก็ไม่เป็นไรลุกขึ้นสู้กันใหม่...วิเคราะห์และแก้ไขปัญหาเพื่อเดินทางไปให้ถึงซึ่งเป้าหมายที่จะเป็นประโยชน์และเกื้อกูลทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้าต่อตัวเราเอง คนในครอบครัวและสังคม


ดังกล่าวก่อนหน้า นำมาให้ดูหลายๆมุมๆ จะได้เห็นคำสอนของพุทธศาสนาทั่วถึงรอบคอบ ไม่สุดโต่ง

ยังมีอีกแยะแยะครับ

อีกซักชุดหนึ่ง ลักษณะมิตรเทียมแท้มิตร


คำสอนเกี่ยวกับคุณสมบัติของมิตร เช่น เรื่องมิตรแท้ มิตรเทียม ในสิงคาลสูตร

“ดูกรคหบดีบดีบุตร คน 4 จำพวกเหล่านี้ พึงทราบว่าเป็นอมิตร เป็นมิตรเทียม คือ คนปอกลอก...คนดีแต่พูด...คนหัวประจบ...คนชวนฉิบหาย


1. พึงทราบอมิตร ผู้เป็นมิตรเทียม ชนิดปอกลอก โดยฐานะ 4 คือ เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ...ยอมเสียน้อยหวังจะเอาให้มาก ...ตัวมีภัย จึงมาช่วยทำกิจของเพื่อน...คบเพื่อเพราะเห็นแก่ประโยชน์ (ของตัว)

2. พึงทราบอมิตร ผู้เป็นมิตรเทียม ชนิดดีแต่พูด โดยฐานะ 4 คือ ดีแต่ยกของหมดแล้วมาศรัย... ดีแต่อ้างของยังไม่มีมาปราศรัย..สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้...เมื่อเพื่อนมีกิจ อ้างแต่เหตุขัดข้อง

3. พึงทราบอมิตร ผู้เป็นมิตรเทียม ชนิดหัวประจบ โดยฐานะ 4 คือ เพื่อนจะทำชั่วก็เออออ... เพื่อนจะทำดีก็เออออ...ต่อหน้าสรรเสริญ...ลับหลังนินทา

4. พึงทราบอมิตร ผู้เป็นมิตรเทียม ชนิดชวนฉิบหาย โดยฐานะ 4 คือ คอยเป็นเพื่อนดื่มน้ำเมา... คอยเป็นเพื่อนเที่ยวกลางคืน... คอยเป็นเพื่อนเที่ยวดูการเล่น... คอยเป็นเพื่อนไปเล่นการพนัน...

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ดูกรคหบดีบดีบุตร คน 4 จำพวกเหล่านี้ พึงทราบว่าเป็นมิตร มีใจงาม คือ มิตรอุปการะ...มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์...มิตรแนะนำประโยชน์...มิตรมีใจรัก



1. พึงทราบมิตร มีใจงาม ชนิดอุปการะ โดยฐานะ 4 คือ เพื่อนประมาท ช่วยรักษาเพื่อน...เพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สินของเพื่อน...เพื่อนมีภัย เป็นที่พึ่งพำนักได้...เมื่อมีกิจจำเป็น ช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก

2. พึงทราบมิตร มีใจงาม ชนิดร่วมสุขร่วมทุกข์ โดยฐานะ 4 คือ บอกความลับแก่เพื่อน...รักษาความลับของเพื่อน...มีภัยอันตรายไม่ละทิ้ง...แม้ชีวิตก็สละได้เพื่อประโยชน์แก่เพื่อน...

3. พึงทราบมิตร มีใจงาม ชนิดแนะนำประโยชน์ โดยฐานะ 4 คือ ห้ามปรามจากความชั่ว...ให้ตั้งอยู่ในความดี...ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยฟัง... บอกทางสวรรค์ให้

4. พึงทราบมิตร มีใจงาม ชนิดชนิดมีใจรัก โดยฐานะ 4 คือ เพื่อนมีทุกข์ พลอยไม่สบายใจ...เพื่อนมีสุข พลอยแช่มชื่นยินดี... เขาติเตียนเพื่อน ช่วยยับยั้งแก้ให้...เขาสรรเสริญเพื่อน ช่วยพูดเสริมสนับสนุน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกแห่งหนึ่งตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย มิตรประกอบด้วยองค์ 7 ประการ ควรคบ

7 ประการ เป็นไฉน ? กล่าวคือ ให้สิ่งที่ให้ได้ยาก ทำสิ่งที่ทำได้ยาก ทนสิ่งที่ทนได้ยาก เปิดเผยความลับแก่เพื่อน รักษาความลับของเพื่อน เมื่อมีภัยพิบัติ ไม่ทอดทิ้ง เมื่อเพื่อนสิ้นไร้ ไม่ดูหมิ่น”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธพจน์ที่ท่านกรัชกายหยิบยกมา อ้างอิง เรื่อง มิตรแท้ มิตรเทียม คนที่มีสติปัญญาก็พอจะเอาไปปฏิบัติใช้ได้จริง แต่ปุถุชนที่ไม่ได้อบรมปัญญา จะเอาธรรมพระพุทธองค์มากล่าวด้วนๆ แล้วไม่อธิบายความมันก็จะไม่นำพาให้ประสบพบมิตรแท้จริงๆหรอกเจ้าค่ะ บัณฑิตก็ต้องคบกับบัณทิต มีมิตรสหายเป็นบัณฑิต ไม่ใช่บัณฑิตจะมีมิตรสหายเป็นพระราชา ก็คงมิใช่ ว่าไหมเจ้าค่ะ.. :b1: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
พุทธพจน์ที่ท่านกรัชกายหยิบยกมา อ้างอิง เรื่อง มิตรแท้ มิตรเทียม คนที่มีสติปัญญาก็พอจะเอาไปปฏิบัติใช้ได้จริง แต่ปุถุชนที่ไม่ได้อบรมปัญญา จะเอาธรรมพระพุทธองค์มากล่าวด้วนๆ แล้วไม่อธิบายความมันก็จะไม่นำพาให้ประสบพบมิตรแท้จริงๆหรอกเจ้าค่ะ บัณฑิตก็ต้องคบกับบัณทิต มีมิตรสหายเป็นบัณฑิต ไม่ใช่บัณฑิตจะมีมิตรสหายเป็นพระราชา ก็คงมิใช่ ว่าไหมเจ้าค่ะ..


ในหมู่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ ในสังคมแวดล้อมที่ตนเองเกี่ยวข้องอยู่ ไม่มีเพื่อนบ้างเลยหรือเจ้าครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
พุทธพจน์ที่ท่านกรัชกายหยิบยกมา อ้างอิง เรื่อง มิตรแท้ มิตรเทียม คนที่มีสติปัญญาก็พอจะเอาไปปฏิบัติใช้ได้จริง แต่ปุถุชนที่ไม่ได้อบรมปัญญา จะเอาธรรมพระพุทธองค์มากล่าวด้วนๆ แล้วไม่อธิบายความมันก็จะไม่นำพาให้ประสบพบมิตรแท้จริงๆหรอกเจ้าค่ะ บัณฑิตก็ต้องคบกับบัณทิต มีมิตรสหายเป็นบัณฑิต ไม่ใช่บัณฑิตจะมีมิตรสหายเป็นพระราชา ก็คงมิใช่ ว่าไหมเจ้าค่ะ..


ในหมู่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ ในสังคมแวดล้อมที่ตนเองเกี่ยวข้องอยู่ ไม่มีเพื่อนบ้างเลยหรือเจ้าครับ :b1:

ไม่ค่อยมีสหายที่เป็นมิตรแท้หรอกเจ้าค่ะ มีแต่สหายเยี่ยงพระราชา แต่คุนน้องไม่ได้สนใจมิตรแท้ มิตรเทียมหรอกเจ้าค่ะ เพราะมิตรสหายยุคสมัยนี้ วัดกันที่สิ่งของวัตถุ คือมีเงินถึงจะคบถ้าไม่มีเงินก็ไม่ได้คิดจะคบด้วยอย่างจริงใจ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้นแลเจ้าค่ะ คุนน้องเจอวิบากที่เป็นกรรมและกุศลกรรมส่งผลในชาตินี้ทีเดียวกระมังเจ้าค่ะ เลยต้องหันหน้าพึ่งธรรมมะตั้งแต่อายุยังน้อยไม่งั้นก็คงหลงมัวเมาในความ อาฆาตพยาบาท ทิฏฐิ นับว่าเป็นวาสนาที่ได้เข้าใจธรรมมะตั้งแต่ชาตินี้ :b1: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:

ไม่ค่อยมีสหายที่เป็นมิตรแท้หรอกเจ้าค่ะ มีแต่สหายเยี่ยงพระราชา แต่คุนน้องไม่ได้สนใจมิตรแท้ มิตรเทียมหรอกเจ้าค่ะ เพราะมิตรสหายยุคสมัยนี้ วัดกันที่สิ่งของวัตถุ คือมีเงินถึงจะคบถ้าไม่มีเงินก็ไม่ได้คิดจะคบด้วยอย่างจริงใจ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้นแลเจ้าค่ะ คุนน้องเจอวิบากที่เป็นกรรมและกุศลกรรมส่งผลในชาตินี้ทีเดียวกระมังเจ้าค่ะ เลยต้องหันหน้าพึ่งธรรมมะตั้งแต่อายุยังน้อยไม่งั้นก็คงหลงมัวเมาในความ อาฆาตพยาบาท ทิฏฐิ นับว่าเป็นวาสนาที่ได้เข้าใจธรรมมะตั้งแต่ชาตินี้



อะไรขอรับธรรมะที่คุณ nong เข้าใจ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:

ไม่ค่อยมีสหายที่เป็นมิตรแท้หรอกเจ้าค่ะ มีแต่สหายเยี่ยงพระราชา แต่คุนน้องไม่ได้สนใจมิตรแท้ มิตรเทียมหรอกเจ้าค่ะ เพราะมิตรสหายยุคสมัยนี้ วัดกันที่สิ่งของวัตถุ คือมีเงินถึงจะคบถ้าไม่มีเงินก็ไม่ได้คิดจะคบด้วยอย่างจริงใจ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้นแลเจ้าค่ะ คุนน้องเจอวิบากที่เป็นกรรมและกุศลกรรมส่งผลในชาตินี้ทีเดียวกระมังเจ้าค่ะ เลยต้องหันหน้าพึ่งธรรมมะตั้งแต่อายุยังน้อยไม่งั้นก็คงหลงมัวเมาในความ อาฆาตพยาบาท ทิฏฐิ นับว่าเป็นวาสนาที่ได้เข้าใจธรรมมะตั้งแต่ชาตินี้



อะไรขอรับธรรมะที่คุณ nong เข้าใจ :b10:

ท่านกรัชกายชอบถามแบบลองภูมิ ทำไมท่านไม่เคยไปลองภูมิสมาชิกท่านอื่นบ้างละเจ้าค่ะ คนที่มีธรรมมะพระอาจารย์น่าจะตอบแบบสมเหตุสมผลพวก วิญญาณ ผัสสะ อาตนะ ทั้งหลาย :b32: คุนน้องมีแต่ธรรมมะที่เรียกว่าปฏิบัติ วัฏจักรวงจรของสิ่งมีชีวิต เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงมี เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด เมื่อสิ่งนั้นดับ สิ่งนี้จึงดับ แต่เอาเป็นว่าเข้าใจละกันเพราะมันคือธรรมชาติเป็นเหตุปัจจัย :b18: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่อ เด่วคุนน้องไปตอบธรรมมะเรื่องศีลที่ห้องกฎแห่งกรรมกระทู้ คุนกุหลาบดำก่อนนะเจ้าค่ะไว้จะมาปุชฉา วิสัชนาธรรมต่อ เพราะมีหลายท่านที่ยังสับสนเรื่องศีลเรื่องธรรม ขอบคุนอาจารย์กรัชกายที่เคยให้ความรู้เรื่อง มโนกรรม วจีกรรม กายกรรมแก่คุนน้อง ทำให้คุนน้องเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:


ท่านกรัชกายชอบถามแบบลองภูมิ ทำไมท่านไม่เคยไปลองภูมิสมาชิกท่านอื่นบ้างละเจ้าค่ะ คนที่มีธรรมมะพระอาจารย์น่าจะตอบแบบสมเหตุสมผลพวก วิญญาณ ผัสสะ อาตนะ ทั้งหลาย :b32: คุนน้องมีแต่ธรรมมะที่เรียกว่าปฏิบัติ วัฏจักรวงจรของสิ่งมีชีวิต เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงมี เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด เมื่อสิ่งนั้นดับ สิ่งนี้จึงดับ แต่เอาเป็นว่าเข้าใจละกันเพราะมันคือธรรมชาติเป็นเหตุปัจจัย


ความหมายของคำศัพท์ "ธรรมะ" กว้างขอรับ ก็เห็นพูดว่ารู้ธรรมะ จึงอยากรู้ว่าธรรมะแง่ไหนมุมใด

อ้อ รู้ธรรมะนี้
อ้างคำพูด:
"เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงมี เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด เมื่อสิ่งนั้นดับ สิ่งนี้จึงดับ"


หรอขอรับ เกิดๆดับๆ :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2012, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของชาวโกฟิยะ ชื่อกักกรปัตต์ ใกล้เมืองโกฟิยะ โกฟิยะบุตร ชื่อทีฆชาณุ เข้าไปเฝ้า และได้กราบทูลถาม ดังความต่อไปนี้

ทีฆชาณุ: ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์ ผู้บริโภคกาม นอนมีบุตรเบียด ใช้ไม้จันทน์แว่นแคว้นกาสี ทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีเงินทองอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ในทิฏฐธัมม์ เพื่อความสุขในทิฏฐธัมม์ เพื่อประโยชน์และความสุขในสัมปราย์เถิด


พระพุทธเจ้า: ดูกรพยัคฆปัชช์ ธรรม 4 ประการ เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในทิฏฐธัมม์ แก่กุลบุตร กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา

1. อุฏฐานสัมปทา เป็นไฉน คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรมก็ดี พาณิชยกรรมก็ดี โครักขกรรมก็ดี ราชการทหารก็ดี ราชการพลเรือนก็ดี ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี เธอเป็นผู้ขยันชำนิชำนาญ ไม่เกียจคร้าน ในงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวนตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดการ นี่เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา


2. อารักขสัมปทา เป็นไฉน คือ กุลบุตรมีโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร รวมรวมขึ้นมาได้ด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอเธอจัดการรักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้น โดยพิจารณาว่า ทำอย่างไร ทำอย่างไรราชาทั้งหลายไม่พึงริบโภคเหล่านี้ของเราเสีย พวกโจรจะไม่พึงลักไปเสีย ไฟจะไม่พึงไหม้เสีย น้ำจะไม่พึงพัดพาไปเสีย ทายาท อัปรีย์จะไม่พึงผลาญไปเสีย นี่เรียกว่า อารักขสัมปทา


3. กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน คือ กุลบุตรเข้าอยู่อาศัยในคามหรือนิคมใดก็ตาม เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศรัย ถกถ้อยปรึกษา กับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง บุตรคหบดีบ้าง พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติดีเป็นผู้ใหญ่บ้าง คนสูงอายุที่มีความพฤติดีเป็นผู้ใหญ่บ้าง ผู้ประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยศีล ประกอบด้วยจาคะ ประกอบด้วยปัญญา เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธาของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศีลของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศีล ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยจาคะของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยปัญญาของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา นี่เรียกว่า กัลยาณมิตตตา


4. สมชีวิตา เป็นไฉน คือ กุลบุตรเลี้ยงชีวิตพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูน และทางลดถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้ รายได้ของเราจะพึงเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้ เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่ง ยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้...
ถ้าหากกุลบุตรนี้รายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตฟุ้งเฟ้อ ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ กินใช้ทรัพย์สมบัติเหมือนคนกินมะเดื่อ ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้คงจะตายอย่างคนอนาถา แต่เมื่อกุลบุตรนี้เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ ...นี้จึงเรียก สมชีวิตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร