วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 04:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 23:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


คำเตือน เขามีไว้ไม่ให้ประมาท

ขอเพิ่มเติม ส่วนหนึ่งของการเทศนาของครูบาร์อาจารย์ เตือนใจหน่อยนะครับ
เรื่องของ อะไรมาอ่านกัน
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


ความบางตอนจากพระธรรมเทศนาของพระโพธิญาณเถร หรือ "หลวงพ่อชา สุภัทโท" บรรยายธรรมให้กับคณะครู ณ วัดหนองป่าพง

" ...ท่านบอกว่า มีคน ๆ หนึ่งเป็นคนที่ใจบุญสุนทร์ทาน ตั้งแต่เป็นฆราวาสอยู่ อะไรจะเป็นบุญ อะไรจะเป็นกุศล แกพยายามไปทำ แกก็ทำให้มันดี ทำให้มันละเอียด ทุกอย่างแหละ วางของที่นี่ วางไว้ตรงนี้ ตรงนั้น วางไว้ตรงนั้น ถ้าลูกหลานจับมาเคลื่อน ก็บ่นเสียแล้ว ไม่สบายใจนะ ไม้กวาดต้องวางตรงนี้ กาน้ำวางตรงนั้น เมื่อใครมาทำให้ผิดหวัง ทุกข์เสียแล้ว

แต่แกเป็นคนละเอียดดี ใจบุญ เป็นระเบียบ วันหนึ่งก็คิดได้ เห็นศาลาในป่า ที่คนไปพักอยู่ใต้ร่มไม้ ก็คิดว่า เราจะมาสร้างศาลานี่ก็ดีเหมือนกัน เราจะได้บุญ พ่อค้าพ่อขายไปมาจะได้พักผ่อนหย่อนใจ จะได้มีความสุขสบาย คิดแล้วแกก็ไปทำ ๆ อย่างดีอยู่ในป่า เพื่อให้คนพัก เมื่อทำเสร็จแล้ว ต่อไปแกก็ตาย วิญญาณไปเกาะอยู่ที่ตรงนั้น คือ มันเกาะแต่เมื่อมีชีวิตอยู่น่ะ เมื่อสร้างศาลาแล้ว แกก็พยายามไปดู มันสกปรกที่ไหน คนมาพักนี่มันเป็นอะไร ยังไง ถ้าคนทำไม่ดีแล้ว แกก็ใจไม่ค่อยดี ถ้าคนทำดี แกก็ใจสบาย เพราะแกเป็นคนใจบุญสุนทร์ทาน ละเอียด เจ้าระเบียบ

อีกวันหนึ่ง พ่อค้าเกวียน มาหลายร้อยเลย มาพัก เมื่อกินข้าวแล้วก็นอนกันเป็นแถว เจ้าของศาลา เป็นเปรต ก็มามองดูมันเป็นระเบียบหรือเปล่า ย่องมาดู มาดูทางศีรษะ มันก็ไม่เสมอกันเสียแล้ว บางคนสูง ๆ บางคนต่ำ ๆ มันยุ่งหัวใจเหลือเกิน จะทำอย่างไรดี ก็มาดึงทางเท้าให้มันลงไปให้ศีรษะมันเสมอกัน ดึงไปสุดแถว พอใจแล้ว เรียบร้อย ต่อมา ๆ ดูทางเท้าอีก อ้าว ไม่เสมอกันอีกแล้ว ก็ไปดึงศีรษะขึ้นไปอีก ให้มันเสมอกัน เมื่อเสมอกันดีแล้ว วนไปรอบ ๆ ไปดูทางศีรษะ อ้าวไม่เสมอกันอีก เปลี่ยนอีก ยุ่งจนกระทั่งดึก จนทอดอาลัย มันเป็นเพราะอะไรหนอคน เท่านี้แหละ คนเรามันหลง ไม่หลงมากหรอกเท่านี้ เปรตมันหลงแล้ว

ก็เลยมานั่งคิดดูว่า อ้อ คนมันสั้นยาวไม่เสมอกัน ความสั้นความยาวของคนไม่เสมอกัน ก็มารู้สึก เอ้อ วางเสีย มันอย่างนี้แหละคนเรา เพราะมันสูงมันต่ำไม่เสมอกันอย่างนั้น แกก็เลยวาง เพราะเห็นอะไร เพราะเห็นว่า คนมันไม่เสมอกัน แต่ก่อนเห็นคนให้มันเสมอกัน คนไม่เสมอกัน ทำให้เสมอกันมันเสมอไม่ได้ แกก็เป็นทุกข์มานั่งคิด เออ ความจริงคนมันเป็นอย่างนั้น คนมันสั้น มันยาว ไม่เสมอกัน มันจึงเป็นอย่างนี้ พอเห็นได้เช่นนี้ ก็สบายเลยนะ สบายใจ

พวกเราก็เหมือนกัน ไปเห็นเหตุมันแล้วก็ไม่เห็นเหตุมันเป็นอย่างนั้น การจะทำให้มันเสมอกันอย่างนั้น หมดปัญญาที่จะต้องคิดแล้ว เพราะมันแก้ไขไม่ได้ มันจะไปตัดแข้งตัดขาเขามันก็ไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่า ความยึดมั่นอุปาทาน จะให้มันเหมือน ๆ กัน พวกเรานี้ก็เช่นกัน ต่างคนต่างมีธุระหน้าที่ ก็คงจะไม่เสมอกันหรอกนะ บางคนก็ช้าไปบ้าง บางคนก็เร็วไปบ้าง สารพัดอย่าง มันเลยเกิดยุ่งยากเหมือนเปรต เราก็ชอบอยากจะไปเป็นเปรตอย่างนั้น

บางทีอาตมาก็เป็นเปรตเหมือนกัน แต่มันรู้สึกง่ายหรอก อ้าว มันเป็นเปรตแล้วนี่เรา เลิก อย่างนี้ ทำไม เพราะอาศัยลูกศิษย์ลูกหาน่ะ อยากจะให้เขาดี ทำเป็นระเบียบเรียบร้อย บางทีก็เป็นทุกข์ ทุกข์แล้วก็รู้ว่า เออ เราเป็นเปรต แล้วสอนเจ้าของไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น มันก็ยังเกิดเป็นเปรตอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ไม่ค่อยยอมง่าย ๆ จะต้องทำจนชำนาญ ๆ ไป ให้มันรู้เหตุ รู้ผลมันจริง ๆ

ดังนั้นเราจึงปล่อย คนนี้ทำอย่างนั้น คนนั้นทำอย่างนี้ ก็ปล่อยก็วางไปเรื่อย ๆ ทำไม มันไม่เป็นเพราะเขา มันเป็นเพราะเรา เข้าใจไหม ใจเรามันไม่สะอาด นึกว่ามันเป็นเพราะคนนั้นคนนี้ ไม่ใช่ มันเป็นเพราะเรา คนไม่เสมอกัน เราอยากให้เสมอกัน เราคิดผิดอย่างนี้ จะไปแก้ตรงไหน ก็แก้เราสิ เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้น แล้วก็สบาย พวกเราในกลุ่มเดียวกันนี้ ก็เหมือนกันอย่างนั้น..."

:b8: :b8: :b8:

แต่บางคนก็ไม่มีทางแก้ ตาในบอดเสียแล้ว หลงกลกิเลสสิ้น กิเลสจะหาคำแก้ต่างให้กับตัวได้เสมอ
ละ เว้ยเฮ้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 00:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
คำเตือน เขามีไว้ไม่ให้ประมาท

คุนน้องว่าอย่าใช้คำว่า เป็นคำเตือนต่อกัลยามิตรท่านอื่นเลย ธรรมของพระอาจารย์คือ ธรรมทาน จิตเราต้องคิดกุศล เป็นเมตตาก่อนเราถึงจะได้กุศล แต่ถ้าเราเอาศีลหรือเอาธรรมพระอาจารย์มายื่นให้คนอื่นแล้วบอกว่าเป็นคำเตือน จะกลายเป็นยกตนข่มท่านทันที เรียกว่าศีลพรตปรามาสทันที จิตเราต้องเป็นกุศลขอย้ำเป็นกุศลจริงๆนะเจ้าค่ะ ไม่งั้นเราจะร่วงลงอบายภูมิ :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 00:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คลิปธรรมมะที่ ท่านกบนำมาให้พวกเราฟังก็ได้แง่คิดนะ ขนาดท่านสุจิปุลิ(พิมถูกป่าวนะ)ที่เป็นขี้เรื้อนฟังธรรมมะพระพุทธเจ้า ยังคิดว่าตนเป็นโสดาบัน โดยที่รู้ด้วยกายใจตนเอง ไม่ต้องมีใครมาบอก พอมีจิตศรัทธาพระพุทเจ้าก็จะไปเสด็จไปกราบทูลว่าตัวเองเป็นโสดาบัน พระอินทร์ดันมาลองใจ บอกว่าจะทำให้หายจากโรคขี้เรื้อนและจะบรรดาลสมบัติให้เพียงแค่พูดตามพระอินทร์ พระอินทร์บอกว่าแค่พูดเฉยๆ ไม่ต้องตั้งใจก็ได้แค่พูดตามเท่านั้น ท่านสุจิปุลิ ก็ถามว่าให้พูดว่าเยี่ยงไร พระอินทร์ก็บอกไปว่า พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ ท่านสุจิปุริได้ยินเช่นนั้น โกรธมากชี้หน้าด่าพระอิน พระอินทร์ถ่อยจงถอยไป เจ้าจะให้เราพูดแบบนั้นเราไม่พูด เพราะตอนนี้เราคือโสดาบัณแล้ว :b32:


ผมคิดถึงเรื่องของท่าน สุปพุทธะ...ตั้งแต่แรกเห็นชื่อกระทู้นี้...แล้วละ :b32:

อ้างคำพูด:
ขณะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา เวลานั้นก็ปรากฎว่ามีกระทาชายนายหนึ่ง มีนามว่าสุปพุทธกุฏฐิ คำว่า “สุปพุทธะ” เป็นชื่อ กุฏฐิ นี่เป็นฉายา ที่มีฉายาอย่างนี้เพราะว่าแกเป็นโรคเรื้อนทั้งตัว ชาวบ้านจึงให้นามว่า สุปพุทธะ แล้วก็ลงท้ายว่า กุฏฐิ ซึ่งแปลเป็นใจควาว่า นายสุปพุทธะผู้เป็นโรคเรื้อน แล้วท่านผู้นี้ก็มีอาชีพเป็นขอทานด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 00:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านสุปพุทธกุฏฐิ

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายเคยปรารภกันว่า ในสมัยองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เขาฟังเทศน์กันอย่างง่าย ๆ แล้วก็ปฏิบัติกันแบบง่าย ๆ พระพุทธเจ้าเทศน์จบเมื่อไร ก็ปรากฎว่าบางท่านได้เป็นพระอรหันต์บ้าง บางท่านได้เป็นพระอนาคามีบ้าง เป็นพระสกิทาคามีบ้าง เป็นพระโสดาบันกันบ้าง อย่างนี้รู้สึกว่าง่ายมากเกินไป แต่ว่าในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์ เหตุที่เขาจะได้เป็นอริยเจ้าอย่างนั้น เขาตั้งใจยังไง บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะทราบได้จากเรื่องนี้

ความมีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ในวันหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมครูทรงเสด็จไปในภาคพื้นปกติ เวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์น่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท หาธรรมาสน์เทศน์นี่ยากเต็มที เพราะว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์มักจะเทศน์กลางป่าบ้าง กลางทุ่งนาบ้าง เอาสังฆาฏิปูบ้าง นั่งบนตอไม้บ้าง นาน ๆ องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาจึงจะเทศน์ในพระมหาวิหาร ในวันนั้น องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงเสด็จประทับอยู่ที่ตอไม้ มีคนทั้งหลายแวดล้อมนั่งฟังกันอยู่เป็นอันมาก

ขณะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา เวลานั้นก็ปรากฎว่ามีกระทาชายนายหนึ่ง มีนามว่าสุปพุทธกุฏฐิ คำว่า “สุปพุทธะ” เป็นชื่อ กุฏฐิ นี่เป็นฉายา ที่มีฉายาอย่างนี้เพราะว่าแกเป็นโรคเรื้อนทั้งตัว ชาวบ้านจึงให้นามว่า สุปพุทธะ แล้วก็ลงท้ายว่า กุฏฐิ ซึ่งแปลเป็นใจควาว่า นายสุปพุทธะผู้เป็นโรคเรื้อน แล้วท่านผู้นี้ก็มีอาชีพเป็นขอทานด้วย

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาที่เธอเข้ามาเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประทับนั่งอยู่บนตอไม้ มีบรรดาประชาชนทั้งหลายแวดล้อมอยู่เป็นส่วนมาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บังเกิดมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้นั่งลงตั้งใจจะฟังองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์แสดงธรรม แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ควรจะนึกถึงความเป็นจริง เขาทั้งหลายเหล่านั้นทั้งชายและหญิง เป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาปกติ มีฐานะดี แต่ทว่าชายผู้เป็นโรคเรื้อนคนนี้เป็นโรคเรื้อนด้วยแล้วก็เป็นขอทาน ไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่งปะปนกับชาวบ้านเพราะเกรงว่าเขาจะรังเกียจ จึงได้นั่งอยู่ท้ายปลายสุดของบรรดาบริษัทที่รับฟังพระธรรมเทศนา นั่งห่าง ๆ เขา

เวลานั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมกล่าวถึงโทษของการละเมิดศีล 5 กล่าวถึงคุณการปฏิบัติในศีล 5 เป็นต้น โดยองค์สมเด็จพระทศพลเทศน์มีใจความว่า บุคคลที่จะมีความสุขได้ ก็ต้องเป็นบุคคลที่ไม่มีใจร้าย นั่นก็คือ

1. ไม่ทำลายชีวิตสัตว์และไม่ทำลายชีวิตคน เพราะสัตว์ก็ดี คนก็ดี ย่อมมีการรักชีวิตรักร่างกายของตน มีสภาวะเสมอกัน เหตุฉะนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงทรงแนะนำให้ทุกคนมีเมตตาความรักซึ่งกันและกัน มีกรุณาความสงสารซึ่งกันและกัน ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน

และประการที่ 2 ไม่ยื้อแย่งทรัพย์ของบุคคลอื่นมาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม

และก็ประการที่ 3 ไม่ยื้อแย่งคนรักของบุคคลอื่นมาครอบครอง โดยที่เจ้าของไม่ได้อนุญาต

ประการที่ 4 องค์สมเด็จพระโลกนาถตรัสว่า ควรจะพูดแต่ความจริง เพราะคนทุกคนรักความจริง

ประการที่ 5 สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสว่า ไม่ควรดื่มสุราและเมรัย เพราะเป็นฐานะที่ตั้งแห่งความประมาท


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 01:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)
แล้วองค์สมเด็จพระโลกนาถก็ทรงกล่าวแสดงถึงโทษของการละเมิดศีล 5 ว่า บุคคลใดทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประทุษร้างร่างกายเขา ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรก แล้วก็มาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดมาภายหลังก็มาเป็นคน กรรมที่เป็นอกุศลให้ผลยังไม่ถึงที่สุด ก็ตามมาให้ผลในสมัยที่เป็นมนุษย์ นั่นก็คือมีร่างกายมีการป่วยไข้ไม่สบายบ้าง มีร่างกายทุพลภาพบ้าง มีชีวิตสั้นพลันตายบ้าง เป็นต้น

หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระทศพลก็ทรงตรัสโทษของอทินนาทานว่า คนที่ทำอทินนาทาน คนประเภทนี้เกิดมาเป็นคนก็จะพบกับการถูกล้างผลาญทรัพย์สมบัติ คือไฟไหม้ทรัพย์สมบัติบ้าง น้ำท่วมบ้าง ลมพัดให้สมบัติสลายตัวบ้าง ถูกโจรลักบ้าง

โทษของกาเมสุมิจฉาจาร ก็เป็นปัจจัยให้คนทั้งหลายเหล่านั้นมีชีวิตไม่เป็นสุข คือคนในครอบครัวหรือในบังคับบัญชาว่ายากสอนยาก เป็นการขื่นขมระทมใจ

โทษมุสาวาท เป็นปัจจัยให้ไม่มีใครเชื่อฟัง ถึงแม้จะพูดวาจาจริง

ข้อที่ 5 องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว คือผ่านนรก เปรต อสุรกาย มาแล้วอย่างนี้ องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า โทษการดื่มสุราและเมรัย จะต้องกลายเป็นคนเป็นโรคเส้นประสาทบ้าง เป็นคนบ้าบ้าง

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวถึงโทษการละเมิดศีล 5 คือปัญจเวร แล้วต่อไปสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็กล่าวถึง คุณการปฏิบัติในศีล 5 ประการครบถ้วนว่า

ศีลข้อที่ 1 คนรักษาได้ด้วยเมตตา ถ้าเกิดมาภายหลังจะมีโรคภัยไข้เจ็บเล็กน้อย มีชีวิตมีอายุขัย ร่างกายสะสวยงดงาม ร่างกายดีเป็นปกติ

ศีลข้อที่ 2 ถ้ารักษาได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่มีอยู่จะไม่สลายตัว เพราะไฟไหม้ 1 น้ำท่วม 1 ลมพัด 1 โจรผู้ร้ายไม่รบกวน 1

ศีลข้อที่ 3 พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ถ้าทรงไว้ได้ คนใต้บังคับบัญชาจะว่านอนสอนง่าย อยู่ในโอวาท

ศีลข้อที่ 4 องค์สมเด็จพระโลกนาถกล่าวว่า สัจวาจาที่กล่าวไว้ในชาติก่อน ๆ นั้นไซร้ จะเป็นปัจจัยให้เกิดมาในชาติหลัง มีวาจาเป็นที่รักของบุคคลผู้รับฟัง

ศีลข้อที่ 5 องค์สมเด็จพระศาสดากล่าวว่า ถ้ารักษาได้ เกิดมาภายหลังจะเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีปัญญาดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 01:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)
เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ก็ลงท้ายศีลว่า สีเลน สุคติง ยันติ บุคคลใดมีศีลบริสุทธิ์ เกิดในสมัยที่เป็นมนุษย์ก็มีความสุข ตายไปแล้วก็มีความสุข มีสวรรค์เป็นที่ไป

ข้อที่ 2 องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า สีเลน โภคสัมปทา บุคคลใดปฏิบัติในศีลได้นี้ ในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสว่า มีทรัพย์สมบูรณ์แบบ คือการจับจ่ายใช้สอยทรัพย์จะมีตามปกติ ทรัพย์ไม่สิ้นเปลือง จะมีความสุขเพราะการปกครองทรัพย์ ตายไปเป็นเทวดาก็มีทิพยสมบัติ มาเป็นคนก็จะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เพราะความดีในข้อนี้

ข้อสุดท้ายองค์สมเด็จพระชินสีห์กล่วว่า สีเลน นิพพุติง ยันติ บุคคลใดมีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ จะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย

ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสจบ ก็ปรากฎว่าบุคคลผู้รับฟังได้เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโสดาบันบ้าง สกิทาคามีบ้าง อนาคามีบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง สำหรับท่านที่เป็นอรหันต์ก็ขออุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาทันที แต่ทว่า สุปพุทธะ ผู้เป็นโรคเรื้อนและเป็นยาจกคนนี้ ปรากฎว่าเธอได้เป็นพระโสดาบัน มีความปลื้มใจเป็นอันมาก

เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสจบคนทั้งหลายก็พากันลาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เสด็จกลับพระวิหาร สำหรับท่านสุปพุทธกุฏฐิ ซึ่งเป็นพระโสดาบัน ก็กลับกระท่อมของตน ในตอนกลางคืนได้มาปรารภพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพลว่า

“โอหนอ พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงไพเราะอย่างยิ่ง ทำให้ท่านบรรดาพุทธบริษัทชายหญิงเข้าถึงความเป็นคนดี แต่ว่าพระธรรมเทศนาที่เราฟังแล้วนี้จับใจมาก เป็นจิตใจให้คิดเห็นว่า ชีวิตของบุคคลเราเกิดมามันต้องตาย เมื่อตายแล้ว ความตายไม่ได้ทำให้จิตใจสลายไปด้วย ช่วยให้คนมีความสุข อาศัยตัวเราที่เป็นโรคเรื้อนและเป็นขอทานในชาตินี้ เห็นจะเป็นเพราะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงกล่าวว่า เคยทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำร้ายร่างกายเขา ร่างกายเราจึงไม่เป็นปกติ มีเชื้อโรคเรื้อนประจำกาย ที่มีทรัพย์สินไม่พอกินไม่พอใช้ต้องขอทานเขากิน เห็นจะเป็นโทษอทินนาทาน แต่ทว่าเวลานี้ สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสอนเราให้เข้าใจถึงความเป็นจริง ฉะนั้น พระพุทธศาสนา มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้ง 3 ประการ เป็นที่เคารพสักการะของจิตใจของเราเป็นอย่างยิ่ง”

เป็นอันว่าสุปพุทธกุฏฐิฟังเทศน์แล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าด้วย เลื่อมใสในพระธรรมด้วย เลื่อมใสในบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายด้วย และจิตใจของเธอคิดไว้ว่า นับตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะตาย จะมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นก็ตามที เรานี้จะไม่ยอมละเมิดศีล 5 เป็นอันขาด องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถกล่าวในข้อท้ายว่า สีเลน นิพพุติง ยันติ คือกล่าวว่า การทรงศีลบริสุทธิ์เป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานโดยง่าย ฉะนั้น ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสแล้ว เราจะรักษาด้วยดี เราต้องการพระนิพพาน

รวมความว่า ท่านมีความรู้ตัวว่าท่านนี้ต้องการพระนิพพาน ท่านเองท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านก็ทราบ

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จงจำให้ดีว่า การฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระชินสีห์นั้น เขาก็คิดไปด้วย หาเหตุหาผล เมื่อได้เหตุได้ผลก็ตั้งใจของตนให้ตรงตามความเป็นจริง ตามธรรม ปฏิบัติตามนั้น ทรงอารมณ์ตามนั้น

http://www.kaskaew.com/index.asp?catid= ... 8%AF%B0%D4


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 01:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
nongkong เขียน:
คลิปธรรมมะที่ ท่านกบนำมาให้พวกเราฟังก็ได้แง่คิดนะ ขนาดท่านสุจิปุลิ(พิมถูกป่าวนะ)ที่เป็นขี้เรื้อนฟังธรรมมะพระพุทธเจ้า ยังคิดว่าตนเป็นโสดาบัน โดยที่รู้ด้วยกายใจตนเอง ไม่ต้องมีใครมาบอก พอมีจิตศรัทธาพระพุทเจ้าก็จะไปเสด็จไปกราบทูลว่าตัวเองเป็นโสดาบัน พระอินทร์ดันมาลองใจ บอกว่าจะทำให้หายจากโรคขี้เรื้อนและจะบรรดาลสมบัติให้เพียงแค่พูดตามพระอินทร์ พระอินทร์บอกว่าแค่พูดเฉยๆ ไม่ต้องตั้งใจก็ได้แค่พูดตามเท่านั้น ท่านสุจิปุลิ ก็ถามว่าให้พูดว่าเยี่ยงไร พระอินทร์ก็บอกไปว่า พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ ท่านสุจิปุริได้ยินเช่นนั้น โกรธมากชี้หน้าด่าพระอิน พระอินทร์ถ่อยจงถอยไป เจ้าจะให้เราพูดแบบนั้นเราไม่พูด เพราะตอนนี้เราคือโสดาบัณแล้ว :b32:


ผมคิดถึงเรื่องของท่าน สุปพุทธะ...ตั้งแต่แรกเห็นชื่อกระทู้นี้...แล้วละ :b32:

อ้างคำพูด:
ขณะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา เวลานั้นก็ปรากฎว่ามีกระทาชายนายหนึ่ง มีนามว่าสุปพุทธกุฏฐิ คำว่า “สุปพุทธะ” เป็นชื่อ กุฏฐิ นี่เป็นฉายา ที่มีฉายาอย่างนี้เพราะว่าแกเป็นโรคเรื้อนทั้งตัว ชาวบ้านจึงให้นามว่า สุปพุทธะ แล้วก็ลงท้ายว่า กุฏฐิ ซึ่งแปลเป็นใจควาว่า นายสุปพุทธะผู้เป็นโรคเรื้อน แล้วท่านผู้นี้ก็มีอาชีพเป็นขอทานด้วย

กรรม ฟังชื่อผิดปล่อยไก่ตัวเบ้อเร้อ :b15: :b32: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 07:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จำ...ดี...ได้ตัวเดียว...ก็ดีแล้ว...
(สุ...แปลว่า...ดี)
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาวิกาน้อย เขียน:
บางคนปฏิบัติธรรมแล้ว เกิดกิเลสพอกพูนว่าฉันเป็นคนวิเศษ??

เพราะบางท่าน มีมิจฉาทิฏฐิอยู่ก่อน เมื่อมาปฏิบัติธรรม ด้านจิตภาวนา
จึงเกิดความหลงผิด ท่านเรียก วิปัสสนูกิเลส ๑๐ ประการ ..

viewtopic.php?f=7&t=40223

:b8: :b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
สาวิกาน้อย เขียน:
บางคนปฏิบัติธรรมแล้ว เกิดกิเลสพอกพูนว่าฉันเป็นคนวิเศษ??

เพราะบางท่าน มีมิจฉาทิฏฐิอยู่ก่อน เมื่อมาปฏิบัติธรรม ด้านจิตภาวนา
จึงเกิดความหลงผิด ท่านเรียก วิปัสสนูกิเลส ๑๐ ประการ ..

viewtopic.php?f=7&t=40223

:b8: :b1:

:b8: มันมาแล้วเจ้าค่ะ แสงใสๆเปล่งประกายมันทำให้เรารู้สึกสงบ (กลัวติดในฌานนี้จริงๆ) งานเข้าคุนน้องแล้วสิ :b6: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 18:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เป็นทุกคนหรอกครับ ถ้าศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำ
ที่ท่านได้วางไว้ โอกาสที่จะเกิดเป็นวิปัสสนูกิเลส ก็น้อย
ยกเว้นผู้มีทิฏฐิกล้าจริงๆ ..

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับเราข้อนี้เลยค่ะ

อ้างคำพูด:
ปฏิบัติธรรมแล้วกลายเป็นคนหนีปัญหาก็มี
ชอบหนีความขัดแย้งเพราะไม่อยากเจอความไม่สงบ



ไม่รู้ว่าใช่เห็นแก่ตัวหรือปล่าวน่ะค่ะ เบื่อกับปัญหาทางโลก
เรามองว่าปัญหาทางโลก เป็นปัญหาที่ไม่จบ
เราก็เลยกลัว....กลัวว่าเราจะไม่พบความสงบน่ะ :b1: :b41: :b55: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


บวชกับฆราวาสแบบไหนบรรลุง่ายกว่า








กิเลสของคนปฏิบัติธรรม



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 22:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


{พุทธธรรมเพื่อการพัฒนาจิต}{Buddha's Teaching for Mental Developing}

‎" ถ้าใครทำไม่ดี หรือโกรธ อย่าโกรธตอบ
ถ้าท่านโกรธตอบ ท่านจะโง่ยิ่งกว่าเขา
จงเป็นคนฉลาดสงสารเห็นใจเขา
เพราะเขากำลังได้ทุกข์"

หลวงพ่อชา สุภัทโธ


ไม่ยอมรับตน ก็ไม่เห็นกิเลสในตน ก็มิอาจสำรอกกิเลสนั้น ออกมาได้ดอก

สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2012, 20:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


๐๐๐๐๐๐๐๐หวังผลไกล๐๐๐๐๐
เมื่อมีแขกหรืออุบาสก อุบาสิกา ไปกราบนมัสการหลวงปู่ดุล
แต่หลวงปู่มีปรกติไม่เคยถามถึงเ​รื่องอื่นไกล มักถามว่าญาติโยมเคยภาวนาบ้างไห​ม บางคนตอบว่าเคย บางคนตอบว่าไม่เคย ในจำนวนนั้นมีคนหนึ่งฉะฉานกว่าใ​คร เขากล่าวว่า ดิฉันเห็นว่า
พวกเราไม่จำเป็นต้องมาวิปัสสนาอ​ะไรให้มันลำบากลำบนนัก
เพราะปีหนึ่งๆดิฉันก็ฟังเทศน์มห​าชาติจบทั้งสิบสามกัณฑ์ตั้ง
หลายวัด ท่านว่าอานิสงส์การฟังเทศน์มหาช​าตินี้จะได้ถึงศาสนาพระศรีอาริย​์ ก็จะพบแต่ความสุขความสบายอยู่แล​้ว ต้องมาทรมานให้ลำบากทำไม
หลวงปู่ว่า
๐๐๐๐๐๐๐ "สิ่งประเสริฐที่มีอยู่เฉพาะหน้​าแล้ว ไม่สนใจ กลับไปหวังถึงสิ่งที่เป็นแต่เพี​ยงการกล่าวถึง เป็นลักษณะของคนไม่เอาไหนเลย ก็ในเมื่อมรรคผลนิพพานในศาสนาพร​ะโคดมในปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่อ​ย่างสมบูรณ์ กลับเหลวไหลไม่สนใจ เมื่อถึงศาสนาพระศรีอาริย์ ก็ยิ่งเหลวไหลมากกว่านี้อีก"๐๐๐​๐๐๐๐๐๐๐
:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร