วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 17:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2012, 20:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ต.ค. 2011, 22:05
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีผ่านมาอ่านกระทู้นะค่ะ...คือไม่ค่อยรู้เรื่องทางธรรมสักเท่าไรหรอกนะค่ะ.. :b9: แต่ก็อยากให้กำลังใจท่านเจ้าของกระทู้นี้นะค่ะ...และนิวคิดว่า ทุกข์คงเกิดจากใจเราเท่านั้นนะค่ะ...ถ้าใจเราคิดเป็นทุกข์ มันก็คือทุกข์...แต่ถ้าใจเราคิดเป็นสุขมันก็คือสุข...อยากให้ผ่านปัญหาไปได้นะค่ะ...ถ้าเหนื่อยนักกับปัญหารอบตัว ก้อหาเวลาไปพักผ่อนสมองซิบ้างนะค่ะ...แล้วค่อยกลับมาต่อสู้กันต่อไป...ถ้ามั่วแต่หยุดอยู่กับปัญหา...ทำให้กำลังใจ กำลังกายเรา อ่อนล้า...ไม่มีแรงต่อสู้...พักซิหน่อย..แล้วกลับมาสู้กับปัญหาใหม่ ...คิดว่าคงดีขึ้นนะค่ะ...เป็นกำลังใจให้ค่ะ...ให้ผ่านไปได้ด้วยดี... :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2012, 01:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ้า เอามาฝากคุณโฮฮับครับ และฝากท่านอื่นๆที่สนใจด้วย

ในลิ้งค์ที่เจอมาบอกว่าเป็นของพระอาจารย์ชยสาโร

"....พระพุทธเจ้าตรัสว่าอริยสัจข้อแรกคือ ทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ การที่พระองค์สอนอย่างนั้นก็เพราะว่าโดยสัญชาติญาณเราไม่อยากทำ (กำหนดรู้) ความทุกข์เกิดขึ้นแล้วเราชอบปฏิเสธบ้าง เอาหัวมุดลงไปในทรายเหมือนนกกระจอกเทศบ้าง หาความสุขทางเนื้อหนังมากลบเกลื่อนความทุกข์เอาไว้บ้าง แต่หนีไม่พ้น ตราบใดที่เรายังไม่รู้ธรรมชาติของทุกข์ก็เหมือนเราหลงในเขาวงกต ถึงจะนั่งพักในที่ร่มเย็นชั่วคราวก็ยังหลงอยู่ดี ก่อนจะอธิบายเรื่องอริยสัจ ขอทำความเข้าใจเรื่องภาษาสักเล็กน้อย ในภาษาบาลีคำว่า ทุกข์ มีความหายที่กว้างขวางกว่าและลึกซึ้งกว่าในภาษาไทย มีสองแง่หลักคือ

หนึ่ง ความทุกข์ที่เป็นอาการหรือเป็นลักษณะของสิ่งทั้งปวง (ทุกข์ในไตรลักษณ์) และ สอง ความทุกข์ที่เกี่ยวกับหรือเป็นเรื่องของมนุษย์โดยเฉพาะ (ทุกข์ในอริยสัจ) ขอเปรียบเทียบกับคำว่า ร้อน ความร้อนที่เป็นอาการของธรรมชาติก็อย่างหนึ่ง ความร้อนในใจที่ไม่สบายก็อีกอย่างหนึ่ง ข้อแรกกว้างกว่า และไม่ต้องขึ้นอยู่กับคน....

....พระตถาคตจะบังเกิดขึ้นในโลกก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นในโลกก็ตาม สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มันเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติยังไม่เป็นปัญหา หากทุกข์ในอริยสัจคือความทุกข์ของมนุษย์โดยเฉพาะ ไม่เหมือนทุกข์ในไตรลักษณ์ แต่สืบต่อจากความทุกข์นั้น คือขันธ์ห้าของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แต่มนุษย์เราแปลกตรงที่ว่ามีสิ่งที่เรียกว่า อวิชชา ห่อหุ้มจิตไว้ ทำให้เกิดความผิดปกติที่ท่านให้ชื่อว่า ทุกข์ เหมือนกัน แต่เป็น ทุกขะอริยสัจ ท่านแยกความทุกข์นี้ออกมาต่างหากเพราะมีเหตุที่ระงับได้และมีจุดจบซึ่งพระองค์ให้ชื่อว่า นิโรธ ทุกข์ในอริยสัจหมดแล้วมีแต่ทุกข์ในไตรลักษณ์สำหรับชีวิตที่ยังเหลืออยู่ คือ ทุกขเวทนาทางกาย ความแก่ ความเจ็บ และความตาย สำหรับผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์แต่ไม่เป็นปัญหา เป็นแค่รสชาติของไตรลักษณ์ที่ทุกคนในโลกรวมทั้งพระอรหันต์ต้องเสวย....

....ความทุกข์ที่เกิดจากอวิชชา เกิดจากการไม่รู้จริง ความทุกข์จากการรู้ไม่จริงเป็นทุกข์ที่แก้ได้ แต่ความทุกข์ที่เป็นไตรลักษณ์ซึ่งเป็นความทุกข์ของสิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ นักปราชญ์ผู้มีปัญญาคือผู้รู้ว่าสิ่งไหนอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขได้ สิ่งไหนไม่อยู่ในวิสัยที่จะแก้ได้ เพราะถ้าเราแยกไม่ถูก เดี๋ยวเราจะเสียเวลาเหนื่อยกับการพยายามแก้สิ่งที่เราแก้ไม่ได้ ส่วนสิ่งที่แก้ได้กลับไม่มีเวลาแก้หรือไม่คิดที่จะแก้ อะไรคือสิ่งที่เราแก้ไม่ได้ ? ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อาจจะพอบรรเทาได้บ้าง ยืดอายุออกไปบ้าง แต่ในที่สุดแล้วจะต้องยอมรับ...."

อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่

http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... /cs-22.htm

สำหรับส่วนของผมผมทำเต็มที่แล้ว เรื่องนี้ผมขอหยุดเท่านี้

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2012, 03:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
เอ้า เอามาฝากคุณโฮฮับครับ และฝากท่านอื่นๆที่สนใจด้วย
ในลิ้งค์ที่เจอมาบอกว่าเป็นของพระอาจารย์ชยสาโร

"....พระพุทธเจ้าตรัสว่าอริยสัจข้อแรกคือ ทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ การที่พระองค์สอนอย่างนั้นก็เพราะว่าโดยสัญชาติญาณเราไม่อยากทำ (กำหนดรู้) ความทุกข์เกิดขึ้นแล้วเราชอบปฏิเสธบ้าง เอาหัวมุดลงไปในทรายเหมือนนกกระจอกเทศบ้าง หาความสุขทางเนื้อหนังมากลบเกลื่อนความทุกข์เอาไว้บ้าง แต่หนีไม่พ้น ตราบใดที่เรายังไม่รู้ธรรมชาติของทุกข์ก็เหมือนเราหลงในเขาวงกต ถึงจะนั่งพักในที่ร่มเย็นชั่วคราวก็ยังหลงอยู่ดี ก่อนจะอธิบายเรื่องอริยสัจ ขอทำความเข้าใจเรื่องภาษาสักเล็กน้อย ในภาษาบาลีคำว่า ทุกข์ มีความหายที่กว้างขวางกว่าและลึกซึ้งกว่าในภาษาไทย มีสองแง่หลักคือ

คุณธรรมดาครับ พระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่อง"ใบไม้ในกรรมมือ" ไม่รู้คุณจะเข้าใจหรือเปล่า
การพูดธรรมอย่าพยายามชักจูงธรรม ให้กว้างหรือไหลออกไปจากแก่นธรรม

คุณธรรมดาครับ ข้อความที่คุณไปเอามาโพส ถ้าจะเปรียบมันก็เหมือน ใบไม้บนต้นประดู่ลาย
ที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบไว้
พูดให้ตรงประเด็นก็คือ อย่าพูดธรรมให้มากความ มันไม่ยังประโยชน์
ในทางเบื่อหน่าย คลายกำหนัด


ไอ้ที่บอกว่าทุกข์มีความหมายที่กว้างขวางกว่าและลึกซึ้งกว่าภาษาไทย
การพูดแบบนี้และเป็นใบไม้นอกกำมือ ก็คือเป็นใบไม้บนต้น ไม่ใช้ใบไม้ในมือพระพุทธองค์
อย่าเอาธรรมของพระพุทธเจ้า ไปขยายความในลักษณะเป็นการปรุงแต่งเป็นบัญญัติ
คนธรรมดาๆ เขียน:
หนึ่ง ความทุกข์ที่เป็นอาการหรือเป็นลักษณะของสิ่งทั้งปวง (ทุกข์ในไตรลักษณ์) และ สอง ความทุกข์ที่เกี่ยวกับหรือเป็นเรื่องของมนุษย์โดยเฉพาะ (ทุกข์ในอริยสัจ) ขอเปรียบเทียบกับคำว่า ร้อน ความร้อนที่เป็นอาการของธรรมชาติก็อย่างหนึ่ง ความร้อนในใจที่ไม่สบายก็อีกอย่างหนึ่ง ข้อแรกกว้างกว่า และไม่ต้องขึ้นอยู่กับคน....

คุณก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทุกข์ในไตรลักษณ์มันไม่ใช่อาการที่เป็นทุกข์
ไตรลักษณ์ เป็นลักษณะปัญญาไปรู้ว่า ที่กำลังเข้าใจว่าตัวเองทุกข์
แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ทุกข์ มันเป็นเพียงสังขารการปรุงแต่ง มันเกิดแล้วก็ดับ
ที่ยังไม่ดับเป็นเพราะเรายังไม่มีปัญญาเห็นไตรลักษณ์ เลยทำให้ปรุงแต่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พูดง่ายๆก็คือย่ำคิดย่ำทำนั้นแหล่ะ

และทุกข์ในอริยสัจจ์ก็ไม่ใช่ความทุกข์ ทุกข์ในอริยสัจจ์มีความหมายว่า
ให้รู้ทุกข์ว่าเป็นลักษณะอย่างไร นั้นคือรู้ทุกข์ไม่ได้เป็นทุกข์ จะรู้ทุกข์อริยสัจจ์ได้
ต้องรู้ไตรลักษณ์เสียก่อน

ตัวทุกข์ที่แท้จริงมันอยู่ใน ปฏิจสมุบาท ไม่ได้อยู่ในอริยสัจจ์สี่
ปฏิจสมุบาทเป็นตัวทุกข์ อริยสัจจ์สี่เป็นปัญญารู้ทุกข์
คนธรรมดาๆ เขียน:
....พระตถาคตจะบังเกิดขึ้นในโลกก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นในโลกก็ตาม สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มันเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติยังไม่เป็นปัญหา หากทุกข์ในอริยสัจคือความทุกข์ของมนุษย์โดยเฉพาะ ไม่เหมือนทุกข์ในไตรลักษณ์ แต่สืบต่อจากความทุกข์นั้น คือขันธ์ห้าของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แต่มนุษย์เราแปลกตรงที่ว่ามีสิ่งที่เรียกว่า อวิชชา ห่อหุ้มจิตไว้ ทำให้เกิดความผิดปกติที่ท่านให้ชื่อว่า ทุกข์ เหมือนกัน แต่เป็น ทุกขะอริยสัจ ท่านแยกความทุกข์นี้ออกมาต่างหากเพราะมีเหตุที่ระงับได้และมีจุดจบซึ่งพระองค์ให้ชื่อว่า นิโรธ ทุกข์ในอริยสัจหมดแล้วมีแต่ทุกข์ในไตรลักษณ์สำหรับชีวิตที่ยังเหลืออยู่ คือ ทุกขเวทนาทางกาย ความแก่ ความเจ็บ และความตาย สำหรับผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์แต่ไม่เป็นปัญหา เป็นแค่รสชาติของไตรลักษณ์ที่ทุกคนในโลกรวมทั้งพระอรหันต์ต้องเสวย....

อยากเตือนครับ กรุณาอย่าเอาพุทธพจน์ มาผสมปนเปกับความเห็นของตน
ทำแบบนี้เดี๋ยวผู้อ่านจะเข้าใจผิดว่า พระพุทธองค์ทรงสอนแบบนี้


ไอที่บอกว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ผมว่าคุณกลับไปถามอาจารย์คุณใหม่
มันใช่ซะที่ไหนกันครับ....พุทธพจน์กล่าวไว้ครับว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนันตา
ไอ้ที่ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์มันเป็นแค่สังขารครับ ไม่ใช่ทุกสรรพสิ่ง

ส่วนลายละเอียดอื่นๆในประโยคนี้ได้อธิบายไปแล้ว
คนธรรมดาๆ เขียน:

....ความทุกข์ที่เกิดจากอวิชชา เกิดจากการไม่รู้จริง ความทุกข์จากการรู้ไม่จริงเป็นทุกข์ที่แก้ได้ แต่ความทุกข์ที่เป็นไตรลักษณ์ซึ่งเป็นความทุกข์ของสิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ นักปราชญ์ผู้มีปัญญาคือผู้รู้ว่าสิ่งไหนอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขได้ สิ่งไหนไม่อยู่ในวิสัยที่จะแก้ได้ เพราะถ้าเราแยกไม่ถูก เดี๋ยวเราจะเสียเวลาเหนื่อยกับการพยายามแก้สิ่งที่เราแก้ไม่ได้ ส่วนสิ่งที่แก้ได้กลับไม่มีเวลาแก้หรือไม่คิดที่จะแก้ อะไรคือสิ่งที่เราแก้ไม่ได้ ? ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อาจจะพอบรรเทาได้บ้าง ยืดอายุออกไปบ้าง แต่ในที่สุดแล้วจะต้องยอมรับ...."

ทุกข์ในไตรลักษณ์มันเป็นปัญญามันจะไปทุกข์ได้อย่างไร
ประโยคนี้เอาแค่นี้ นอกนั้นเป็นใบไม้นอกกำมือ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร