วันเวลาปัจจุบัน 29 ก.ค. 2025, 13:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้มั้ยคุณน้องคิดยังไงเกี่ยวกับความตาย คุณน้องคิดว่าความตายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและคุณน้องไม่สามารถรู้อนาคตได้ว่าคุณน้องจะเจอกับความตายเช่นไร แต่มะคืนคุณน้องได้ดูข่าวของการจากไปของสายัน สัญญา
http://www.youtube.com/watch?v=SOksiP9nzQk ช่วงนาทีที่10 ขึ้นไป..
แต่ถามว่าคุณน้องอยากตายไหม คุณน้องบอกเลยว่าตอนนี้ไม่เคยคิดว่าตนจะต้องตาย และคุณน้องต้องการมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นมากกว่านี้ คุณน้องคิดว่าได้เกิดมาแล้วในชาติหนึ่งคุณน้องจะไม่ยอมให้ตนเองเป็นโมฆะบุรุษ เกิดมาเสียเปล่าไร้ประโยชน์ คุณน้องพยายามมีชีวิตอยู่ด้วยความมีสติและไม่ประมาทแต่ถ้าความตายใกล้จะมาถึงคุณน้องก็ยินดีนะ ถ้าถามว่าป่วยเป็นโรครักษาหายได้คุณน้องก็ย่อมรักษาตนเองอยู่แล้ว เพื่ออะไร ก็ถามตนเองก่อนว่าฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?แต่ถ้าโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาได้ ก็คงมีแต่ธรรมมะขององค์พระศาสดาเท่านั้นที่จะช่วยเราให้ปราศจากทุกข์ เพราะเราทุกข์คนย่อมรู้อยู่แล้ว ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก เหตุใดจะต้องหวั่นไหวกับมัน เราควรจะยอมรับความจริงกับมัน ยอมรับความจริงของธรรมชาติ เพราะบางทีความตายอาจจะเป็นความจริงที่ทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานก็ได้ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ โฮฮับ เขียน


อ้างคำพูด:
คุณเต้ครับ ตื่นมาอยู่กับความเป็นจริงเถอะครับ คุณพูดซะเลิศหรู่

ตอนนี้ยังเป็นปกติร่างกายแข็งแรง ก็พูดได้ครับ ฉันจะทำอย่างโน้น จะทำอย่างนี้
แต่พอรู้ว่าเป็นโรคร้าย ความคิดทั้งหมดจะเปลี่ยน ......

"พาฉันไปหาหมอที่... ช่วยฉันด้วย .. ปวดเหลือเกินทนไม่ไหวแล้ว"

คำพูดที่เคยพูดหวานๆเพราะ จะกลับกลายเป็นคำผรุสวาสนั้นบัดดล :b32:




ก่อนอื่น ต้องขอบคุณคุณโฮฮับค่ะ ที่โยนพวงมาลัยดอกมะลิสด พร้อมดอกจำปีมาให้เรา
ความคิดเห็นของคุณที่เขียนมา ถือว่าดีค่ะ เพราะบางคนก็เป็นอย่างที่คุณพูดจริงๆ
แต่ต้องขอบอกก่อนค่ะ สิ่งที่คุณเขียนมา ไม่มีอยู่ในกระแสเลือดของเรา แม๊แต่นิ๊ดดดดดเลยค่ะ



คำพูดที่เราพูด หรือเขียนไม่ใช่คำพูดที่สวยหรู ปรุงแต่งให้ดูซะจนเลิศ
นั่นคือความจริงค่ะ คุณไม่ต้องตกใจน่ะค่ะ ที่คุณประเมินเราผิด
ในระยะเวลา3ปี ที่ผ่านมา ทุกๆปี

พอถึงช่วงครึ่งปีหลัง ร่างกายของเราจะต้องพบกับความเจ็บ ถึงขนาดที่คุณหมอบอกว่า
โชคดีที่มาถึงโรงพยาบาลได้ทัน ถ้าช้าแค่ 5-10 นาที คุณหมอช่วยไม่ทัน


ครั้งแรกนั้น เราปวดจนถึงที่สุด เรานิ่งอย่างเดียว เพราะเรากลัวว่าคนที่ขับรถจะตกใจ
จนไปถึงโรงพยาบาล เราเดินไปเข้าไปเอง แม้ว่าจะปวดแค่ไหน
พอเดินเข้าไปแล้ว เรารู้สึกว่าตาเรามัวไปหมดแล้วค่ะ จนเรามีความรู้สึกว่า
ข้างในเรา เหมือนอะไรที่มันพองมาแล้วแตก
ตอนนั้นล่ะค่ะ ที่เราตะโกนคำว่า " หว่อเหิ๋นท่ง " (คือฉันปวด) แค่คำเดียวค่ะ


แล้วทีนี้ความรู้สึกใหม่เข้ามา คือไม่มีความเจ็บปวดอะไร ความรู้สึก รู้ได้อย่างเดียวค่ะมีคนพยุงตัวเราแล้วจับตัวเราให้นั่งรถเข็น เราพยายามที่จะลืมตาขึ้นมา แต่เราไม่เห็นอะไรเลย
เห็นแค่ความมืดคือสีดำ คุณโฮฮับคิดว่า ตอนนั้นเราอยู่ในช่วงสภาวะอะไรค่ะ ?


พอปีที่2 คือปีที่แล้ว ก็มีอะไรที่นิดๆหน่อยๆ รถโดนคนอื่นชนที่ท้ายรถ
หัวค่ะ กระแทกกับเบาะอย่างแรงเลย ชนิดที่มึนไปเลย เรายังไม่โวยวาย
ไปว่าอะไรคนที่ชนเลยค่ะ ลงไปดู ทั้งๆที่มึนๆนั่นแหละ รถไม่มีอะไรเลย
แค่ไฟเลี้ยวแตก แต่ทำไม เราถึงมีความรู้สึกว่ามันแรงมาก


ปวดทั้งต้นคอ ปวดทั้งหัว เรายังยกมือให้คนที่ชน เป็นสัญญลักษ์ว่าไม่มีอะไร
คนที่ชน ยื่นนามบัตรให้ บอกว่าถ้ามีอะไรติดต่อเค้าที่นี่

เราไปหาหมอ คุณหมอถามว่า " ตอนนี้คุณมีอาการอยากจะอาเจียนหรือปล่าว "
เราบอก " ไม่มี "

คุณหมอให้ยาแก้ปวดมา แล้วก็บอกว่า"ถ้าคุณมีอาการปวดหัวแล้วอาเจียนด้วย
คุณต้องรีบมาโรงพยาบาลเลยน่ะ"

พอเรากลับมาถึงบ้าน เรานอนอยู่ในห้องเงียบๆค่ะ แฟนเรายังไม่รู้เลยค่ะ
ว่าเราทั้งมึนทั้งปวดคอ ก็ปวดอย่างนี้อยู่หลายวันเหมือนกัน
เวลาเดินก็เดินคอแข็งๆตั้งๆ เวลาหันก็ต้องค่อยๆหัน
จนกระทั่งหายปวดไปเอง
จนทุกวันนี้ แฟนเรายังไม่รู้เลยค่ะ ว่าเราปวดถึงขนาดนั้น


พอมาปีนี้เป็นปีที่3 ปีนี้ต้องเรียกว่า ความเจ็บความปวด น้องๆของปีแรก
เกิดอุบัตติเหตุอีก เนื้อตรงน่องข้างขวาฉีกไปเลย
คุณโฮฮับคิดดูสิ มันจะเจ็บจะปวดขนาดไหน เราก้อยังนิ่งได้เหมือนทุกๆครั้ง
ไม่โวยวายไม่กลัว เรากลับยกโทษให้คู่กรณีซะอีก
โดยโกหกแฟนว่า เราเป็นฝ่ายผิด เรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง
จะได้จบๆกันไป ให้หมอรักษาเราไป

ถ้าถึงขนาดที่จะต้องตัดขา หรือเสียชีวิต เรารับได้ทุกสภาพค่ะ เราก้อใช้วิธีนิ่งอย่างเดียว
พยาบาลจะมาล้างแผลหรือหมอจะรักษาแบบไหน เราก็นิ่งอย่างเดียวไม่โวยวาย
ไม่โทษใคร ถามคุณหมอแค่คำเดียว " รักษาได้หรือปล่าว "
คุณหมอตอบว่า " ได้ไม่ต้องตัดขาหรอก "

เราก็เฉยอีก จนคุณหมอ-พยาบาล-แฟนเรางง ทำไมเราถึงไม่โวยวายอะไร
ตั้งหลายวันแล้ว ทำไมเราเงียบอย่างเดียว พอถึงวันที่จะกลับบ้าน
คุณหมอสอนให้ล้างแผล วิธีใช้ผ้าพันแผล พยาบาลก็ล้างแผล

ทั้งหมอ-พยาบาล-แฟนเรา มองหน้ากันไปมา งง ! ทำไมเราถึงดูเฉยๆ
จนพยาบาลอดสงสัยไม่ได้ ถามแฟนเรา " เค้าเจ็บแผลหรือปล่าวเนี่ย "
แฟนเราก็ถามเรา เราส่ายหัว เราเห็นเค้าทั้ง3คน ทำท่าตกใจ

แฟนเราตกใจ ถามหมอว่า "เค้าเป็นเบาหวานหรือปล่าวเนี่ยะ ทำไมถึงไม่เจ็บแผล "
คุณหมอบอกว่า " ไม่มีหรอกไม่มีเบาหวาน แต่ผมว่าเค้าแปลกน่ะ ผมดูแล้วเหมือนเค้าไม่กลัว
เค้าเป็นคนที่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ผมมองว่าคนที่กลัวคือคุณน่ะ " :b32:
แฟนเราก็ตอบว่า " ก็ใช่น่ะสิ เค้าเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรเลย ผมถึงต้องเป็นคนที่กลัวแทนเค้าน่ะสิ" :b32:
ทั้งหมอทั้งพยาบาลขำแฟนเราค่ะ


พอกลับมาที่บ้าน แฟนเราถาม " เต้ เต้ไม่รู้สึกปวดรู้สึกเจ็บเลยเหรอ "
เราก็เลยตอบแฟนเราว่า " แล้วถ้าเต้โวยวายร้องตะโกนว่าเต้เจ็บ มีใครช่วยให้เต้หายเจ็บหายปวดได้หรือปล่าวล่ะ เต้ก็เลยเฉยๆไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เอาเวลาที่ไปร้องว่าเจ็บว่าปวด
เอาเวลานั้นไปทำให้จิตเป็นสมาธิไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อว่าตายในขณะนั้น เต้จะได้ไปสวรรค์ " :b32:
คุณโฮฮับ คิดเหมือนเราหรือปล่าวล่ะ :b12:

เออ!แต่แปลกน่ะ ทำไมเราต้องมาเจเหตุการณ์ ตอนช่วงใกล้ปลายปีทุกทีเลย
ทั้ง3ปี เราก็เจอช่วงตอนนี้หล่ะ


ที่ตอนนี้เราเข้ามาคุย เพราะตอนนี้ที่ขาเราหายเจ็บไปแล้วค่ะ :b12: แต่แผลยังไม่หายดีเท่าไหร่
ถ้าเรายังเจ็บอยู่ เราไม่คุยกับใครทั้งนั้นค่ะ
เพราะอยู่ในช่วง แห่งทุกข์มาเยือนค่ะ :b32: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 22:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:

คำพูดที่เราพูด หรือเขียนไม่ใช่คำพูดที่สวยหรู ปรุงแต่งให้ดูซะจนเลิศ
นั่นคือความจริงค่ะ คุณไม่ต้องตกใจน่ะค่ะ ที่คุณประเมินเราผิด
ในระยะเวลา3ปี ที่ผ่านมา ทุกๆปี

พอถึงช่วงครึ่งปีหลัง ร่างกายของเราจะต้องพบกับความเจ็บ ถึงขนาดที่คุณหมอบอกว่า
โชคดีที่มาถึงโรงพยาบาลได้ทัน ถ้าช้าแค่ 5-10 นาที คุณหมอช่วยไม่ทัน


ครั้งแรกนั้น เราปวดจนถึงที่สุด เรานิ่งอย่างเดียว เพราะเรากลัวว่าคนที่ขับรถจะตกใจ
จนไปถึงโรงพยาบาล เราเดินไปเข้าไปเอง แม้ว่าจะปวดแค่ไหน
พอเดินเข้าไปแล้ว เรารู้สึกว่าตาเรามัวไปหมดแล้วค่ะ จนเรามีความรู้สึกว่า
ข้างในเรา เหมือนอะไรที่มันพองมาแล้วแตก
ตอนนั้นล่ะค่ะ ที่เราตะโกนคำว่า " หว่อเหิ๋นท่ง " (คือฉันปวด) แค่คำเดียวค่ะ


แล้วทีนี้ความรู้สึกใหม่เข้ามา คือไม่มีความเจ็บปวดอะไร ความรู้สึก รู้ได้อย่างเดียวค่ะมีคนพยุงตัวเราแล้วจับตัวเราให้นั่งรถเข็น เราพยายามที่จะลืมตาขึ้นมา แต่เราไม่เห็นอะไรเลย
เห็นแค่ความมืดคือสีดำ คุณโฮฮับคิดว่า ตอนนั้นเราอยู่ในช่วงสภาวะอะไรค่ะ ?


พอปีที่2 คือปีที่แล้ว ก็มีอะไรที่นิดๆหน่อยๆ รถโดนคนอื่นชนที่ท้ายรถ
หัวค่ะ กระแทกกับเบาะอย่างแรงเลย ชนิดที่มึนไปเลย เรายังไม่โวยวาย
ไปว่าอะไรคนที่ชนเลยค่ะ ลงไปดู ทั้งๆที่มึนๆนั่นแหละ รถไม่มีอะไรเลย
แค่ไฟเลี้ยวแตก แต่ทำไม เราถึงมีความรู้สึกว่ามันแรงมาก


ปวดทั้งต้นคอ ปวดทั้งหัว เรายังยกมือให้คนที่ชน เป็นสัญญลักษ์ว่าไม่มีอะไร
คนที่ชน ยื่นนามบัตรให้ บอกว่าถ้ามีอะไรติดต่อเค้าที่นี่

เราไปหาหมอ คุณหมอถามว่า " ตอนนี้คุณมีอาการอยากจะอาเจียนหรือปล่าว "
เราบอก " ไม่มี "

คุณหมอให้ยาแก้ปวดมา แล้วก็บอกว่า"ถ้าคุณมีอาการปวดหัวแล้วอาเจียนด้วย
คุณต้องรีบมาโรงพยาบาลเลยน่ะ"

พอเรากลับมาถึงบ้าน เรานอนอยู่ในห้องเงียบๆค่ะ แฟนเรายังไม่รู้เลยค่ะ
ว่าเราทั้งมึนทั้งปวดคอ ก็ปวดอย่างนี้อยู่หลายวันเหมือนกัน
เวลาเดินก็เดินคอแข็งๆตั้งๆ เวลาหันก็ต้องค่อยๆหัน
จนกระทั่งหายปวดไปเอง
จนทุกวันนี้ แฟนเรายังไม่รู้เลยค่ะ ว่าเราปวดถึงขนาดนั้น


พอมาปีนี้เป็นปีที่3 ปีนี้ต้องเรียกว่า ความเจ็บความปวด น้องๆของปีแรก
เกิดอุบัตติเหตุอีก เนื้อตรงน่องข้างขวาฉีกไปเลย
คุณโฮฮับคิดดูสิ มันจะเจ็บจะปวดขนาดไหน เราก้อยังนิ่งได้เหมือนทุกๆครั้ง
ไม่โวยวายไม่กลัว เรากลับยกโทษให้คู่กรณีซะอีก
โดยโกหกแฟนว่า เราเป็นฝ่ายผิด เรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง
จะได้จบๆกันไป ให้หมอรักษาเราไป

ถ้าถึงขนาดที่จะต้องตัดขา หรือเสียชีวิต เรารับได้ทุกสภาพค่ะ เราก้อใช้วิธีนิ่งอย่างเดียว
พยาบาลจะมาล้างแผลหรือหมอจะรักษาแบบไหน เราก็นิ่งอย่างเดียวไม่โวยวาย
ไม่โทษใคร ถามคุณหมอแค่คำเดียว " รักษาได้หรือปล่าว "
คุณหมอตอบว่า " ได้ไม่ต้องตัดขาหรอก "

เราก็เฉยอีก จนคุณหมอ-พยาบาล-แฟนเรางง ทำไมเราถึงไม่โวยวายอะไร
ตั้งหลายวันแล้ว ทำไมเราเงียบอย่างเดียว พอถึงวันที่จะกลับบ้าน
คุณหมอสอนให้ล้างแผล วิธีใช้ผ้าพันแผล พยาบาลก็ล้างแผล

ทั้งหมอ-พยาบาล-แฟนเรา มองหน้ากันไปมา งง ! ทำไมเราถึงดูเฉยๆ
จนพยาบาลอดสงสัยไม่ได้ ถามแฟนเรา " เค้าเจ็บแผลหรือปล่าวเนี่ย "
แฟนเราก็ถามเรา เราส่ายหัว เราเห็นเค้าทั้ง3คน ทำท่าตกใจ

แฟนเราตกใจ ถามหมอว่า "เค้าเป็นเบาหวานหรือปล่าวเนี่ยะ ทำไมถึงไม่เจ็บแผล "
คุณหมอบอกว่า " ไม่มีหรอกไม่มีเบาหวาน แต่ผมว่าเค้าแปลกน่ะ ผมดูแล้วเหมือนเค้าไม่กลัว
เค้าเป็นคนที่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ผมมองว่าคนที่กลัวคือคุณน่ะ " :b32:
แฟนเราก็ตอบว่า " ก็ใช่น่ะสิ เค้าเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรเลย ผมถึงต้องเป็นคนที่กลัวแทนเค้าน่ะสิ" :b32:
ทั้งหมอทั้งพยาบาลขำแฟนเราค่ะ


พอกลับมาที่บ้าน แฟนเราถาม " เต้ เต้ไม่รู้สึกปวดรู้สึกเจ็บเลยเหรอ "
เราก็เลยตอบแฟนเราว่า " แล้วถ้าเต้โวยวายร้องตะโกนว่าเต้เจ็บ มีใครช่วยให้เต้หายเจ็บหายปวดได้หรือปล่าวล่ะ เต้ก็เลยเฉยๆไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เอาเวลาที่ไปร้องว่าเจ็บว่าปวด
เอาเวลานั้นไปทำให้จิตเป็นสมาธิไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อว่าตายในขณะนั้น เต้จะได้ไปสวรรค์ " :b32:
คุณโฮฮับ คิดเหมือนเราหรือปล่าวล่ะ :b12:

เออ!แต่แปลกน่ะ ทำไมเราต้องมาเจเหตุการณ์ ตอนช่วงใกล้ปลายปีทุกทีเลย
ทั้ง3ปี เราก็เจอช่วงตอนนี้หล่ะ


ที่ตอนนี้เราเข้ามาคุย เพราะตอนนี้ที่ขาเราหายเจ็บไปแล้วค่ะ :b12: แต่แผลยังไม่หายดีเท่าไหร่
ถ้าเรายังเจ็บอยู่ เราไม่คุยกับใครทั้งนั้นค่ะ
เพราะอยู่ในช่วง แห่งทุกข์มาเยือนค่ะ :b32: :b41: :b55: :b49:


:b1:

อยากจะขอให้เรื่องเจ็บตัวบรรเทาห่างหายไปจากคุณเต้จังเรย...

มีอะไรก็เข้ามาเล่า เข้ามาคุยนะ คุณเต้

อย่างน้อย...ก็จะได้คอยให้กำลังใจกันและกัน...

:b27: :b27: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 23:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
....เต้ก็เลยเฉยๆไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เอาเวลาที่ไปร้องว่าเจ็บว่าปวด
เอาเวลานั้นไปทำให้จิตเป็นสมาธิไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อว่าตายในขณะนั้น เต้จะได้ไปสวรรค์ " :b32:

:b32: :b41: :b55: :b49:


:b1: ถ้าตอนมีชีวิตจิตคุณเต้มักอยู่ในโซนที่เป็นกุศล
โอกาสที่คุณเต้จะไปเกิดในภพภูมิที่ดีต่อไป...ก็มีสูง

สำหรับเอกอน...เอกอนเห็นว่า
บางครั้ง...ภพมนุษย์...โลกนี้...ก็ถูกใช้เป็นจุดเปลี่ยนภพภูมิ

:b1:

เหมือนจุดต่อเครื่องเพื่อจะไปต่อ...ยังอีกที่หนึ่ง...
จะไปไหน...ต้องมีตั๋ว...เดินทางนั้นติดตัวมาด้วย...
ตั๋วนั้นจะไม่แสดงจนกว่าจะถึงเวลา...
เหมือนลูกอมสอดไส้คาราเมล...
ที่เราจะสัมผัสและรู้ถึงมันเมื่อชั้นเปลือกได้ละลายจนไปถึงไส้แล้ว...

เมื่อถึงตอนนั้น...อย่ากลัวที่จะต้องไป
คุณธรรมที่เรามี...จงเชื่อมั่นในคุณธรรม
ให้คุณธรรมเป็นเครื่องช่วยนำทาง

....

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณ โฮฮับ เขียน


อ้างคำพูด:
คุณเต้ครับ ตื่นมาอยู่กับความเป็นจริงเถอะครับ คุณพูดซะเลิศหรู่

ตอนนี้ยังเป็นปกติร่างกายแข็งแรง ก็พูดได้ครับ ฉันจะทำอย่างโน้น จะทำอย่างนี้
แต่พอรู้ว่าเป็นโรคร้าย ความคิดทั้งหมดจะเปลี่ยน ......

"พาฉันไปหาหมอที่... ช่วยฉันด้วย .. ปวดเหลือเกินทนไม่ไหวแล้ว"

คำพูดที่เคยพูดหวานๆเพราะ จะกลับกลายเป็นคำผรุสวาสนั้นบัดดล :b32:




ก่อนอื่น ต้องขอบคุณคุณโฮฮับค่ะ ที่โยนพวงมาลัยดอกมะลิสด พร้อมดอกจำปีมาให้เรา
ความคิดเห็นของคุณที่เขียนมา ถือว่าดีค่ะ เพราะบางคนก็เป็นอย่างที่คุณพูดจริงๆ
แต่ต้องขอบอกก่อนค่ะ สิ่งที่คุณเขียนมา ไม่มีอยู่ในกระแสเลือดของเรา แม๊แต่นิ๊ดดดดดเลยค่ะ



คำพูดที่เราพูด หรือเขียนไม่ใช่คำพูดที่สวยหรู ปรุงแต่งให้ดูซะจนเลิศ
นั่นคือความจริงค่ะ คุณไม่ต้องตกใจน่ะค่ะ ที่คุณประเมินเราผิด
ในระยะเวลา3ปี ที่ผ่านมา ทุกๆปี

พอถึงช่วงครึ่งปีหลัง ร่างกายของเราจะต้องพบกับความเจ็บ ถึงขนาดที่คุณหมอบอกว่า
โชคดีที่มาถึงโรงพยาบาลได้ทัน ถ้าช้าแค่ 5-10 นาที คุณหมอช่วยไม่ทัน


ครั้งแรกนั้น เราปวดจนถึงที่สุด เรานิ่งอย่างเดียว เพราะเรากลัวว่าคนที่ขับรถจะตกใจ
จนไปถึงโรงพยาบาล เราเดินไปเข้าไปเอง แม้ว่าจะปวดแค่ไหน
พอเดินเข้าไปแล้ว เรารู้สึกว่าตาเรามัวไปหมดแล้วค่ะ จนเรามีความรู้สึกว่า
ข้างในเรา เหมือนอะไรที่มันพองมาแล้วแตก
ตอนนั้นล่ะค่ะ ที่เราตะโกนคำว่า " หว่อเหิ๋นท่ง " (คือฉันปวด) แค่คำเดียวค่ะ


แล้วทีนี้ความรู้สึกใหม่เข้ามา คือไม่มีความเจ็บปวดอะไร ความรู้สึก รู้ได้อย่างเดียวค่ะมีคนพยุงตัวเราแล้วจับตัวเราให้นั่งรถเข็น เราพยายามที่จะลืมตาขึ้นมา แต่เราไม่เห็นอะไรเลย
เห็นแค่ความมืดคือสีดำ คุณโฮฮับคิดว่า ตอนนั้นเราอยู่ในช่วงสภาวะอะไรค่ะ ?


พอปีที่2 คือปีที่แล้ว ก็มีอะไรที่นิดๆหน่อยๆ รถโดนคนอื่นชนที่ท้ายรถ
หัวค่ะ กระแทกกับเบาะอย่างแรงเลย ชนิดที่มึนไปเลย เรายังไม่โวยวาย
ไปว่าอะไรคนที่ชนเลยค่ะ ลงไปดู ทั้งๆที่มึนๆนั่นแหละ รถไม่มีอะไรเลย
แค่ไฟเลี้ยวแตก แต่ทำไม เราถึงมีความรู้สึกว่ามันแรงมาก


ปวดทั้งต้นคอ ปวดทั้งหัว เรายังยกมือให้คนที่ชน เป็นสัญญลักษ์ว่าไม่มีอะไร
คนที่ชน ยื่นนามบัตรให้ บอกว่าถ้ามีอะไรติดต่อเค้าที่นี่

เราไปหาหมอ คุณหมอถามว่า " ตอนนี้คุณมีอาการอยากจะอาเจียนหรือปล่าว "
เราบอก " ไม่มี "

คุณหมอให้ยาแก้ปวดมา แล้วก็บอกว่า"ถ้าคุณมีอาการปวดหัวแล้วอาเจียนด้วย
คุณต้องรีบมาโรงพยาบาลเลยน่ะ"

พอเรากลับมาถึงบ้าน เรานอนอยู่ในห้องเงียบๆค่ะ แฟนเรายังไม่รู้เลยค่ะ
ว่าเราทั้งมึนทั้งปวดคอ ก็ปวดอย่างนี้อยู่หลายวันเหมือนกัน
เวลาเดินก็เดินคอแข็งๆตั้งๆ เวลาหันก็ต้องค่อยๆหัน
จนกระทั่งหายปวดไปเอง
จนทุกวันนี้ แฟนเรายังไม่รู้เลยค่ะ ว่าเราปวดถึงขนาดนั้น


พอมาปีนี้เป็นปีที่3 ปีนี้ต้องเรียกว่า ความเจ็บความปวด น้องๆของปีแรก
เกิดอุบัตติเหตุอีก เนื้อตรงน่องข้างขวาฉีกไปเลย
คุณโฮฮับคิดดูสิ มันจะเจ็บจะปวดขนาดไหน เราก้อยังนิ่งได้เหมือนทุกๆครั้ง
ไม่โวยวายไม่กลัว เรากลับยกโทษให้คู่กรณีซะอีก
โดยโกหกแฟนว่า เราเป็นฝ่ายผิด เรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง
จะได้จบๆกันไป ให้หมอรักษาเราไป

ถ้าถึงขนาดที่จะต้องตัดขา หรือเสียชีวิต เรารับได้ทุกสภาพค่ะ เราก้อใช้วิธีนิ่งอย่างเดียว
พยาบาลจะมาล้างแผลหรือหมอจะรักษาแบบไหน เราก็นิ่งอย่างเดียวไม่โวยวาย
ไม่โทษใคร ถามคุณหมอแค่คำเดียว " รักษาได้หรือปล่าว "
คุณหมอตอบว่า " ได้ไม่ต้องตัดขาหรอก "

เราก็เฉยอีก จนคุณหมอ-พยาบาล-แฟนเรางง ทำไมเราถึงไม่โวยวายอะไร
ตั้งหลายวันแล้ว ทำไมเราเงียบอย่างเดียว พอถึงวันที่จะกลับบ้าน
คุณหมอสอนให้ล้างแผล วิธีใช้ผ้าพันแผล พยาบาลก็ล้างแผล

ทั้งหมอ-พยาบาล-แฟนเรา มองหน้ากันไปมา งง ! ทำไมเราถึงดูเฉยๆ
จนพยาบาลอดสงสัยไม่ได้ ถามแฟนเรา " เค้าเจ็บแผลหรือปล่าวเนี่ย "
แฟนเราก็ถามเรา เราส่ายหัว เราเห็นเค้าทั้ง3คน ทำท่าตกใจ

แฟนเราตกใจ ถามหมอว่า "เค้าเป็นเบาหวานหรือปล่าวเนี่ยะ ทำไมถึงไม่เจ็บแผล "
คุณหมอบอกว่า " ไม่มีหรอกไม่มีเบาหวาน แต่ผมว่าเค้าแปลกน่ะ ผมดูแล้วเหมือนเค้าไม่กลัว
เค้าเป็นคนที่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ผมมองว่าคนที่กลัวคือคุณน่ะ " :b32:
แฟนเราก็ตอบว่า " ก็ใช่น่ะสิ เค้าเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรเลย ผมถึงต้องเป็นคนที่กลัวแทนเค้าน่ะสิ" :b32:
ทั้งหมอทั้งพยาบาลขำแฟนเราค่ะ


พอกลับมาที่บ้าน แฟนเราถาม " เต้ เต้ไม่รู้สึกปวดรู้สึกเจ็บเลยเหรอ "
เราก็เลยตอบแฟนเราว่า " แล้วถ้าเต้โวยวายร้องตะโกนว่าเต้เจ็บ มีใครช่วยให้เต้หายเจ็บหายปวดได้หรือปล่าวล่ะ เต้ก็เลยเฉยๆไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เอาเวลาที่ไปร้องว่าเจ็บว่าปวด
เอาเวลานั้นไปทำให้จิตเป็นสมาธิไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อว่าตายในขณะนั้น เต้จะได้ไปสวรรค์ " :b32:
คุณโฮฮับ คิดเหมือนเราหรือปล่าวล่ะ :b12:

เออ!แต่แปลกน่ะ ทำไมเราต้องมาเจเหตุการณ์ ตอนช่วงใกล้ปลายปีทุกทีเลย
ทั้ง3ปี เราก็เจอช่วงตอนนี้หล่ะ


ที่ตอนนี้เราเข้ามาคุย เพราะตอนนี้ที่ขาเราหายเจ็บไปแล้วค่ะ :b12: แต่แผลยังไม่หายดีเท่าไหร่
ถ้าเรายังเจ็บอยู่ เราไม่คุยกับใครทั้งนั้นค่ะ
เพราะอยู่ในช่วง แห่งทุกข์มาเยือนค่ะ :b32: :b41: :b55: :b49:



นับว่าคุณมีความเด็ดเดี่ยวและอดทนมาก ก็นับถือตรงนี้นะครับ แต่บางอย่างก็กังวลแทน เช่นรถชนแล้วหัวกระแทกเบาะ สภาวะน่าอันตรายมาก เพราะว่าความผิดปกติที่เกิดจากการกระแทก อาจจะยังไม่แสดงผลออกมาทีทันใด หรือ1 ปีผ่านไป ก็อาจจะไม่แสดงอาการออกมา จึงอยากจะแนะนำว่า ควรไปตรวจscan สมองครับ เพราะระยะยาว เราไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอาการอยู่

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเต้ครับ ผมไม่อยากลงรายละเอียดกับคุณมากเกินไป เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่า
ผมใจร้าย เอาเป็นว่า ผมจะชี้ ประเด็นใหญ่ที่เป็นแก่นของของที่เราคุยกัน

คุณเต้รู้มั้ยว่า การกระทำที่เกิดจากการปรุงแต่ง ของคนที่เป็นโรคร้ายใกล้ตาย
มันมีหลายอย่าง แต่ทั้งหมดมันก็มีสาเหตุมาจาก.....
การกลัวการดับสูญ คิดว่าตายแล้วก็ตายเลยไม่มีชาตินี้ชาติหน้า
กับอีกประเภท คือ คนที่เชื่อว่ามีชาตินี้ชาติหน้า จึงทำให้กลัวว่า เมื่อตายไป
จะตกไปนรกภูมิ


คุณเต้จัดอยู่ในจำพวกกลัวไปนรกภูมิ จากคำบอกของคุณเต้ที่บอกว่าเป็นโรค(ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร)
ผ่านเรื่องเฉียดตาย การที่ได้ผ่านเรื่องนี้มา คุณเต้ก็เก็บมันมาสร้างทุกข์
ทำให้การพูดจาเหมือนคนไม่ปกติ คุยเรื่องผีบ้าง เรื่องวิญญานเข้าร่างไม่ได้บ้าง
ทุกอย่างที่คุณเต้พูดมามันเป็นเหตุมาจากกิเลสความฟุ้งซ่าน

ความฟุ้งซ่านทำให้คุณเต้เกิดความกลัว(ดับสูญหรืออบายภูมิ)
จึงเกิดการกระทำที่ตรงข้าม เพื่อกดข่มสิ่งที่ตนกลัว :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
bbby เขียน:
....เต้ก็เลยเฉยๆไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เอาเวลาที่ไปร้องว่าเจ็บว่าปวด
เอาเวลานั้นไปทำให้จิตเป็นสมาธิไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อว่าตายในขณะนั้น เต้จะได้ไปสวรรค์ " :b32:

:b32: :b41: :b55: :b49:


:b1: ถ้าตอนมีชีวิตจิตคุณเต้มักอยู่ในโซนที่เป็นกุศล
โอกาสที่คุณเต้จะไปเกิดในภพภูมิที่ดีต่อไป...ก็มีสูง


ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความเป็นกุศลหรือไม่
ความเป็นกุศลในทางศาสนาพุทธนั้น จะต้องเป็นบันไดเพื่อความปล่อยวาง

มันไม่ใช่ทำเพื่อต้องการไปสวรรค์ แล้วมาบอกว่า การกระทำนั้นเป็นกุศล

จิตที่เป็นกุศล จิตนั้นต้องปราศจาก โมหะ โทสะ โลภะ
จิตที่ต้องการไปสวรรค์ เขาเรียกว่า จิตเกิดการปรุงแต่งที่มีสาเหตุมาจาก ตัณหา
เกิดความหลงในอารมณ์ ไม่อยากในอารมณ์หนึ่ง แต่อยากในอารมณ์หนึ่ง

ต่อให้คุณเต้แกจะอยู่โซนไหนอะไรของแก แต่รับรองได้ว่า
จิตแกไม่ได้เป็นโซนกุศลในทางพุทธศาสนา เพราะจิตโซนกุศลในทางพุทธศาสนา
จะต้องปล่อยวางอารมณ์ ไม่ใช่เลือกอย่างหนึ่งและไม่เอาอย่างหนึ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 06:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
eragon_joe เขียน:
bbby เขียน:
....เต้ก็เลยเฉยๆไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เอาเวลาที่ไปร้องว่าเจ็บว่าปวด
เอาเวลานั้นไปทำให้จิตเป็นสมาธิไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อว่าตายในขณะนั้น เต้จะได้ไปสวรรค์ " :b32:

:b32: :b41: :b55: :b49:


:b1: ถ้าตอนมีชีวิตจิตคุณเต้มักอยู่ในโซนที่เป็นกุศล
โอกาสที่คุณเต้จะไปเกิดในภพภูมิที่ดีต่อไป...ก็มีสูง


ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความเป็นกุศลหรือไม่
ความเป็นกุศลในทางศาสนาพุทธนั้น จะต้องเป็นบันไดเพื่อความปล่อยวาง

มันไม่ใช่ทำเพื่อต้องการไปสวรรค์ แล้วมาบอกว่า การกระทำนั้นเป็นกุศล

จิตที่เป็นกุศล จิตนั้นต้องปราศจาก โมหะ โทสะ โลภะ
จิตที่ต้องการไปสวรรค์ เขาเรียกว่า จิตเกิดการปรุงแต่งที่มีสาเหตุมาจาก ตัณหา
เกิดความหลงในอารมณ์ ไม่อยากในอารมณ์หนึ่ง แต่อยากในอารมณ์หนึ่ง


ต่อให้คุณเต้แกจะอยู่โซนไหนอะไรของแก แต่รับรองได้ว่า
จิตแกไม่ได้เป็นโซนกุศลในทางพุทธศาสนา เพราะจิตโซนกุศลในทางพุทธศาสนา
จะต้องปล่อยวางอารมณ์ ไม่ใช่เลือกอย่างหนึ่งและไม่เอาอย่างหนึ่ง


ตัณหาทั้งนั้นแหล่ะค่ะที่ถือธงนำหน้าให้ทำความดี
ดีกว่า อวิชชา นำค่ะ อวิชชานำไปสู่อบาย
ตัณหานำไปสุคติ ไปภพภูมิมนุษย์ ไปสวรรค์ ก็เพราะตัณหานำทั้งนั้น

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 07:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:

พอกลับมาที่บ้าน แฟนเราถาม " เต้ เต้ไม่รู้สึกปวดรู้สึกเจ็บเลยเหรอ "
เราก็เลยตอบแฟนเราว่า " แล้วถ้าเต้โวยวายร้องตะโกนว่าเต้เจ็บ มีใครช่วยให้เต้หายเจ็บหายปวดได้หรือปล่าวล่ะ เต้ก็เลยเฉยๆไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เอาเวลาที่ไปร้องว่าเจ็บว่าปวด
เอาเวลานั้นไปทำให้จิตเป็นสมาธิไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อว่าตายในขณะนั้น เต้จะได้ไปสวรรค์ " :b32:
คุณโฮฮับ คิดเหมือนเราหรือปล่าวล่ะ :b12:

เออ!แต่แปลกน่ะ ทำไมเราต้องมาเจเหตุการณ์ ตอนช่วงใกล้ปลายปีทุกทีเลย
ทั้ง3ปี เราก็เจอช่วงตอนนี้หล่ะ



ที่ตอนนี้เราเข้ามาคุย เพราะตอนนี้ที่ขาเราหายเจ็บไปแล้วค่ะ :b12: แต่แผลยังไม่หายดีเท่าไหร่
ถ้าเรายังเจ็บอยู่ เราไม่คุยกับใครทั้งนั้นค่ะ
เพราะอยู่ในช่วง แห่งทุกข์มาเยือนค่ะ :b32: :b41: :b55: :b49:


:b27: ขอบคุณค่ะที่นำมาเล่าให้อ่านนะคะ
คุณเข้มแข็งมากค่ะ อ่านแล้วนับถือค่ะ
วิปากส่งผลเพราะมีเหตุในขณะนั้นครบ วิปากถึงส่งผลได้

ขอเป็นกำลังใจนะคะ :b1:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
โฮฮับ เขียน:
eragon_joe เขียน:
bbby เขียน:
....เต้ก็เลยเฉยๆไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เอาเวลาที่ไปร้องว่าเจ็บว่าปวด
เอาเวลานั้นไปทำให้จิตเป็นสมาธิไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อว่าตายในขณะนั้น เต้จะได้ไปสวรรค์ " :b32:

:b32: :b41: :b55: :b49:


:b1: ถ้าตอนมีชีวิตจิตคุณเต้มักอยู่ในโซนที่เป็นกุศล
โอกาสที่คุณเต้จะไปเกิดในภพภูมิที่ดีต่อไป...ก็มีสูง


ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความเป็นกุศลหรือไม่
ความเป็นกุศลในทางศาสนาพุทธนั้น จะต้องเป็นบันไดเพื่อความปล่อยวาง

มันไม่ใช่ทำเพื่อต้องการไปสวรรค์ แล้วมาบอกว่า การกระทำนั้นเป็นกุศล

จิตที่เป็นกุศล จิตนั้นต้องปราศจาก โมหะ โทสะ โลภะ
จิตที่ต้องการไปสวรรค์ เขาเรียกว่า จิตเกิดการปรุงแต่งที่มีสาเหตุมาจาก ตัณหา
เกิดความหลงในอารมณ์ ไม่อยากในอารมณ์หนึ่ง แต่อยากในอารมณ์หนึ่ง


ต่อให้คุณเต้แกจะอยู่โซนไหนอะไรของแก แต่รับรองได้ว่า
จิตแกไม่ได้เป็นโซนกุศลในทางพุทธศาสนา เพราะจิตโซนกุศลในทางพุทธศาสนา
จะต้องปล่อยวางอารมณ์ ไม่ใช่เลือกอย่างหนึ่งและไม่เอาอย่างหนึ่ง


ตัณหาทั้งนั้นแหล่ะค่ะที่ถือธงนำหน้าให้ทำความดี
ดีกว่า อวิชชา นำค่ะ อวิชชานำไปสู่อบาย
ตัณหานำไปสุคติ ไปภพภูมิมนุษย์ ไปสวรรค์ ก็เพราะตัณหานำทั้งนั้น


พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการพ้นทุกข์ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด
เกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์ หนทางที่จะพ้นทุกข์ได้ ต้องละวางทุกสิ่ง
ทั้งกุศลและอกุศล

เรื่องการปฏิบัติเพื่อไปสวรรค์ ไม่อยากอธิบายมาก แค่อยากบอกว่า
พระพุทธองค์ไม่ได้สอนการปฏิบัติเพื่อไปสวรรค์ มันเป็นเรื่องของศาสนาหรือลัทธิอื่น
ใครต้องการผมก็ไม่ได้ว่า เพียงแค่อย่ามาบอกว่า เป็นแนวทางของพุทธศาสนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโฮฮับเขียน

อ้างคำพูด:
เรื่องการปฏิบัติเพื่อไปสวรรค์ ไม่อยากอธิบายมาก แค่อยากบอกว่า
พระพุทธองค์ไม่ได้สอนการปฏิบัติเพื่อไปสวรรค์ มันเป็นเรื่องของศาสนาหรือลัทธิอื่น
ใครต้องการผมก็ไม่ได้ว่า เพียงแค่อย่ามาบอกว่า เป็นแนวทางของพุทธศาสนาครับ




เราขอความรู้ตรงประโยคนี้ก่อนค่ะ เราอ่านประโยคนี้ของคุณโฮฮับ เรามึนเลย
ใครช่วยเป็นแสงเทียน ให้เราได้เห็นทางหน่อยสิ

แต่เราถามคุณโฮฮับก่อน คุณโฮฮับปฎิบัติธรรมเพื่ออะไรค่ะ
แล้วจุดประสงค์สุดท้ายในขณะที่จิตจะดับ คุณโฮฮับต้องการจะไปที่ไหนค่ะ
ข้อสุดท้ายค่ะ ที่สอนให้คนปฎิบัติธรรม ทรงอารมณ์ให้เป็นญาณนั้น เพื่ออะไรค่ะ
เพราะตอนนี้ เราสนใจเรื่องการปฎิบัติ เรื่องนี้อยู่น่ะค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


น่าฟังดีค่ะ

ในขณะจะสิ้นใจ จะมีความเจ็บปวดหรือไม่





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คนตายประเภทไหนติดต่อได้




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


?ปัจจุบันผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเสียชีวิตที่โรง พยาบาลขณะที่ร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์เช่นเครื่อง ปั๊มหัวใจเป็นต้น อย่างนี้จิตใจจะนิ่งสงบได้อย่างไรครับ



พระไพศาล วิสาโล : อัน นี้คือปัญหา เพราะหมอ ญาติคนไข้ แม้กระทั่งผู้ป่วยก็ดี ส่วนมากมีความคิดว่าต้องการยืดชีวิตให้ได้มากที่สุด เห็นความตายแต่มิติด้านกายภาพ ทำอย่างไรถึงจะให้มีลมหายใจได้นานที่สุด ดังนั้นจึงคิดแต่จะหาทางปั๊มหัวใจ ฉีดยาและกระตุ้นทุกวิถีทาง แม้วิธีนั้นจะทำให้เจ็บปวดและรบกวนจิตใจ เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่าทางออกในยามนี้มีทางเดียวคือต้องยืดชีวิตให้ได้นาน ที่สุด แต่พุทธศาสนาบอกว่า จะยืดชีวิตให้ได้มากหรือน้อย ไม่สำคัญเท่ากับการรักษาใจให้สงบและเกิดปัญญา มันเป็นมิติด้านจิตใจซึ่งการแพทย์สมัยใหม่มองข้ามไป การแพทย์สมัยใหม่เขาไม่สนใจเรื่องจิตใจ เขาสนใจเพียงแต่ว่าจะยืดลมหายใจได้นานเท่าไหร่ เขาทำทุกวิถีทางแม้จะรู้ว่าต้องแพ้ ต้องตาย ก็ขอยืดให้ได้สักหนึ่งวัน สองวันก็ยังดี แต่ไม่ได้นึกว่าสิ่งสำคัญกว่านั้นคือทำยังไงจิตใจจะสามารถเผชิญความสงบได้ สามารถประคองจิตให้มีสติ ถ้าหากญาติผู้ป่วยและตัวผู้ป่วยเห็นตรงนี้ เขาก็จะถอดเครื่องมือทั้งหลายออก แล้วกลับไปตายที่บ้าน ถ้าเป็นคนป่วยที่มีฐานะอาจจะขอตายในห้องพิเศษที่โรงพยาบาลนั่นแหละ แล้วก็ค่อย ๆ รับความตายอย่างมีสติ เดี๋ยวนี้ก็มีหลายคน พอรู้ว่าจะต้องตาย เขาก็กลับไปตายที่บ้าน โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ หลายคนเขาเลือกไปตายที่บ้าน เพราะว่าหนึ่ง มันเป็นที่ที่เขาคุ้นเคย สอง เป็นที่ที่เขาจะได้อยู่กับลูกหลาน การได้อยู่กับลูกหลานเป็นความสุขในช่วงสุดท้ายของชีวิต รวมทั้งได้สั่งเสียอะไรต่างๆ หลายอย่าง อันนี้เป็นเรื่องที่ถ้าหากผู้ป่วยมีสติรู้ตัวอยู่ ก็ไม่ยาก แต่ถ้าอยู่ในภาวะโคม่า ญาติพี่น้องจะกล้าทำหรือเปล่า ถ้าญาติพี่น้องไม่เข้าใจเรื่องตรงนี้ และไม่เคยได้คุยกับผู้ป่วยมาก่อน ก็อาจไม่กล้า เพราะกลัวจะถูกหาว่าอกตัญญู คือคนมักคิดว่าถ้ารักพ่อรักแม่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตายช้าที่สุด จะลงทุนเท่าไหร่ก็ยอม ต้องทำให้เต็มที่ เพราะถือว่าเป็นโอกาสสุดท้าย เรื่องนี้หมอมีบทบาทสำคัญในการชี้แนะ ถ้าเป็นหมอที่มีความรู้ความเข้าใจ หากคนไข้ไม่รอดแน่ หมอก็น่าจะแนะนำให้ไปตายอย่างสงบที่บ้านดีกว่า


http://www.budnet.org/peacefuldeath/node/9


แก้ไขล่าสุดโดย bbby เมื่อ 13 ก.ย. 2013, 22:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


?ในทางพุทธศาสนา การหมดลมหายใจหรือสมองไม่ทำงาน ถือว่าตายสนิทแล้วหรือยังครับ



พระไพศาล วิสาโล : เป็น แค่ตายทางกาย ในทางพุทธศาสนาเชื่อว่า จิตอาจยังอยู่ บางทีหมดลมแล้ว จิตอาจยังไม่รู้ว่าตายด้วยซ้ำ เราเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ตายแล้วแต่ไม่รู้ว่าตาย เพราะมันเหมือนกับฝันไป เวลาคุณฝัน คุณไม่รู้หรอกว่าคุณหลับอยู่ คนตายแล้วบางทีเขาเหมือนกับคนฝัน เขาอาจจะเห็นโน่นเห็นนี่ แต่เขานึกว่าไอ้ที่เห็นมันเป็นความฝัน แต่ที่จริงที่เขาเห็นมันไม่ใช่ฝันแล้วนะ คือเห็นจริง ๆ แต่เห็นในภาวะที่จิตออกจากร่างแล้ว
ทางทิเบตพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเลยว่า ถึงแม้จะหมดลมแล้ว แต่จิตยังไม่ออกจากร่างทันที ต้องผ่านกระบวนการแตกดับภายใน จนถึงขั้นที่เรียกว่า " แสงกระจ่าง " ถึงตอนนั้นจึงจะตายอย่างแท้จริง แต่ก็มีนักปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อยที่หมดลมไปแล้วหลายวัน แต่จิตยังไม่แตกดับอย่างถึงที่สุด เพราะจิตยังไม่ออกจากร่าง อย่างนี้เรียกว่าลมหายใจภายในยังไม่หมด แม้ลมหายใจภายนอกจะหมดไปแล้วก็ตาม ในทิเบตเวลามีใครตาย เขาจะไม่แตะหรือเคลื่อนย้ายร่างเลย เพราะไม่ต้องการรบกวนจิตที่กำลังอยู่ในภาวะที่ละเอียดอ่อน มีการปล่อยไว้ถึง ๓ วัน ๗ วัน หรือ ๑๐ วันก็มี ปรากฏว่าร่างไม่เน่าไม่ส่งกลิ่น หมอฝรั่งก็แปลกใจว่าทำไมไม่เน่า ที่ไม่เน่าเพราะยังไม่ตาย ถึงแม้ว่าลมหายใจหมดแล้ว นี่เป็นกรณีนักปฏิบัติธรรม แต่ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม จิตจะแตกดับและหลุดจากร่างเร็วมาก อย่างไรก็ตาม เวลาใครตายญาติน่าจะปล่อยไว้นิ่ง ๆ สักครึ่งวันหรือหนึ่งคืน แล้วก็ร่วมกันสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิรอบ ๆ เตียงคนตาย ส่งจิตให้เขาได้รับกุศล แผ่เมตตาให้เขาได้รับความสงบเย็น
อย่างกรณี สุภาพร พงศ์พฤกษ์ หลังจากหมดลมแล้ว เพื่อนก็ยังทำสมาธิและตีระฆังให้จิตรับรู้ เพราะตอนมีชีวิตอยู่เขาคุ้นกับเสียงระฆัง ถ้ามีเสียงแบบนี้ช่วย จิตก็จะน้อมไปในทางที่เป็นกุศลได้ง่าย อันนี้เป็นเรื่องที่คนไม่ค่อยได้คิด พอหมดลม ใครต่อใครก็พากันทำโน่นทำนี่กับศพ เตรียมทำความสะอาดศพบ้าง ฉีดน้ำยากันเน่าบ้าง บรรยากาศดูวุ่นวาย ไม่เอื้อต่อความสงบในขั้นสุดท้าย ที่จริงแม้กระทั่งตอนจัดงานศพแล้ว กระบวนการดังกล่าวก็ยังสำคัญอยู่ เพราะจิตก็อาจจะยังรับรู้ได้


http://www.budnet.org/peacefuldeath/node/9


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร