วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 02:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2013, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณกบฯเขียน
อยากรู้..นะครับว่า...เพื่อนๆ มีเหตุผลอะไร...ถึงมีเมตตา?


เรามองว่าคนที่มีจิตเมตตานั้น เราคิดว่า คงจะเกิดจากการเห็นทุกข์นั้นแล้วไงล่ะ
พอเห็นผู้อื่นทุกข์ เมตตาจะเกิดทันที โดยไม่ต้องคิด
บางคนเมตตาเกิด แต่ไม่สามารถที่จะช่วยผู้อื่นได้ เค้าก็จะช่วยโดยบอกให้กับผู้ที่ช่วยได้มาช่วย
แต่ถ้าบอกหลายๆคนแล้ว ช่วยไม่ได้
ถึงจะปล่อยวางอุเบกขา นั่นคือช่วยไม่ได้จริงๆ:


เรื่องพรหมวิหารสี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตหรือจิตสังขาร เป็นอาการของจิต

การเห็นผู้อื่นทุกข์ มันไม่ใช่ผู้อื่นทุกข์ แต่เป็นใจเราที่กำลังทุกข์อันมีเหตุ
มาจากสิ่งที่เห็น คนอื่นเขาจะทูกข์หรือไม่ เราไม่สามารถไปรู้ได้เพราะ
จิตใจของคนอื่นกับของเรามันคนล่ะส่วนกัน

bbby เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณโฮฮับเขียน

ส่วนที่บอกว่า จะมีปัญญาก่อน เมตตาถึงจะเกิดได้ มันเป็นความเข้าใจผิด
เมตตามันเกิดเองไม่ต้องอาศัยปัญญา
เพราะมันเป็นกิเลส



ตรงนี้เห็นด้วยกับคุณโฮฯค่ะ แต่.....เมตตาเป็นกิเลสอย่างไรค่ะ
ในเมื่อใจช่วยเค้าให้หลุดพ้นจากความทุกข์ โดยไม่หวังผลตอบแทน
เพราะฉนั้นแล้ว ตัวกิเลสมาแทรกตรงช่วงไหนค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


ตัวเมตตานั้นแหล่ะคือกิเลส ในความเป็นจริงจิตที่เรียกว่าเมตตามันไม่มี
จิตที่โดนเมตตาบ่งการ จะทำให้เกิด ความสงสาร(กรุณา) ยินดีกับคนอื่น(มุทิตา)
เมื่อเกิดอาการของจิตสองอย่างนี้ย่อมเกิดทุกข์...ทุกข์ไม่ใช่ใจกำลังทุกข์
ทุกข์ในที่นี้ หมายถึงมันเป็นเชื้อทำให้เกิดภพชาติใหม่

ทุกข์มีสองอย่าง ....จิตเป็นทุกข์หมายถึงสังขาร
ทุกข์อีกอย่างคือทุกอริยสัจจ์ เป็นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2013, 13:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Hanako เขียน:
รู้สึกว่า การฝึกเมตตาดีตรงที่ช่วยลดความยึดถือตัวเราได้เยอะเหมือนกันนะคะ
ถ้าเรา....



เห็นด้วยครับ....
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2013, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้องเขียน

อ้างคำพูด:
พี่เต้จำที่คุณน้องเคยบอกเกี่ยวกับเมตตาไม่ได้หรือค่ะ คุนน้องจำได้ว่าคุนน้องเคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับเมตตาไปแล้วนี่หน่า ว่าทำไมการที่เรามีเมตตามากๆตัวกิเลศมันจะชอบมาแทรกทำให้จิตเศร้าหมอง
:b1:




ที่จิตเศร้าหมอง เพราะบางครั้งเราไม่ปล่อยวางอุเบกขาไงค่ะ ตรงนี้พี่เต้เคยผ่านมาแล้วค่ะ
เราไปยึดติดที่จะช่วยมากเกินไป พอทำไม่ได้จิตจะเศร้าค่ะ
แต่พอปล่อยวางบ้าง ไม่มีเลยค่ะจิตจะเศร้า

ตอนนี้สุนัขที่พี่เต้ให้อาหาร โดนฆ่าตายเหลือแค่ตัวเดียว โดนตีขาหักแต่วิ่งหนี เลยรอดชีวิตได้
พี่เต้ก็เอาเวลาที่จะต้องเศร้านั้น มาทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพวกเค้าดีกว่า
พวกเค้าจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีๆ มนุษย์เราช่วยให้สัตว์ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีๆได้ค่ะ
คุณน้องยังจำ เรื่องที่พี่เต้ เล่าเรื่องลูกสุนัขชื่อเป๊ปซี่ ได้หรือปล่าวค่ะ :b1: :b41: :b55: :b49:



ขอบคุณค่ะ คุณโฮฯ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2013, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณน้องเขียน

อ้างคำพูด:
พี่เต้จำที่คุณน้องเคยบอกเกี่ยวกับเมตตาไม่ได้หรือค่ะ คุนน้องจำได้ว่าคุนน้องเคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับเมตตาไปแล้วนี่หน่า ว่าทำไมการที่เรามีเมตตามากๆตัวกิเลศมันจะชอบมาแทรกทำให้จิตเศร้าหมอง
:b1:




ที่จิตเศร้าหมอง เพราะบางครั้งเราไม่ปล่อยวางอุเบกขาไงค่ะ ตรงนี้พี่เต้เคยผ่านมาแล้วค่ะ
เราไปยึดติดที่จะช่วยมากเกินไป พอทำไม่ได้จิตจะเศร้าค่ะ
แต่พอปล่อยวางบ้าง ไม่มีเลยค่ะจิตจะเศร้า

ตอนนี้สุนัขที่พี่เต้ให้อาหาร โดนฆ่าตายเหลือแค่ตัวเดียว โดนตีขาหักแต่วิ่งหนี เลยรอดชีวิตได้
พี่เต้ก็เอาเวลาที่จะต้องเศร้านั้น มาทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพวกเค้าดีกว่า
พวกเค้าจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีๆ มนุษย์เราช่วยให้สัตว์ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีๆได้ค่ะ
คุณน้องยังจำ เรื่องที่พี่เต้ เล่าเรื่องลูกสุนัขชื่อเป๊ปซี่ ได้หรือปล่าวค่ะ :b1: :b41: :b55: :b49:



ขอบคุณค่ะ คุณโฮฯ :b1:

กระทู้ไหนค่ะ คุนน้องน่าจะยังไม่เคยอ่าน พี่เต้ก๊อปลิ้งค์ส่งมาให้ทีค่ะ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2013, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bbby เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณกบฯเขียน
อยากรู้..นะครับว่า...เพื่อนๆ มีเหตุผลอะไร...ถึงมีเมตตา?


เรามองว่าคนที่มีจิตเมตตานั้น เราคิดว่า คงจะเกิดจากการเห็นทุกข์นั้นแล้วไงล่ะ
พอเห็นผู้อื่นทุกข์ เมตตาจะเกิดทันที โดยไม่ต้องคิด
บางคนเมตตาเกิด แต่ไม่สามารถที่จะช่วยผู้อื่นได้ เค้าก็จะช่วยโดยบอกให้กับผู้ที่ช่วยได้มาช่วย
แต่ถ้าบอกหลายๆคนแล้ว ช่วยไม่ได้
ถึงจะปล่อยวางอุเบกขา นั่นคือช่วยไม่ได้จริงๆ:


เรื่องพรหมวิหารสี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตหรือจิตสังขาร เป็นอาการของจิต

การเห็นผู้อื่นทุกข์ มันไม่ใช่ผู้อื่นทุกข์ แต่เป็นใจเราที่กำลังทุกข์อันมีเหตุ
มาจากสิ่งที่เห็น คนอื่นเขาจะทูกข์หรือไม่ เราไม่สามารถไปรู้ได้เพราะ
จิตใจของคนอื่นกับของเรามันคนล่ะส่วนกัน

bbby เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณโฮฮับเขียน

ส่วนที่บอกว่า จะมีปัญญาก่อน เมตตาถึงจะเกิดได้ มันเป็นความเข้าใจผิด
เมตตามันเกิดเองไม่ต้องอาศัยปัญญา
เพราะมันเป็นกิเลส



ตรงนี้เห็นด้วยกับคุณโฮฯค่ะ แต่.....เมตตาเป็นกิเลสอย่างไรค่ะ
ในเมื่อใจช่วยเค้าให้หลุดพ้นจากความทุกข์ โดยไม่หวังผลตอบแทน
เพราะฉนั้นแล้ว ตัวกิเลสมาแทรกตรงช่วงไหนค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


ตัวเมตตานั้นแหล่ะคือกิเลส ในความเป็นจริงจิตที่เรียกว่าเมตตามันไม่มี
จิตที่โดนเมตตาบ่งการ จะทำให้เกิด ความสงสาร(กรุณา) ยินดีกับคนอื่น(มุทิตา)
เมื่อเกิดอาการของจิตสองอย่างนี้ย่อมเกิดทุกข์...ทุกข์ไม่ใช่ใจกำลังทุกข์
ทุกข์ในที่นี้ หมายถึงมันเป็นเชื้อทำให้เกิดภพชาติใหม่

ทุกข์มีสองอย่าง ....จิตเป็นทุกข์หมายถึงสังขาร
ทุกข์อีกอย่างคือทุกอริยสัจจ์ เป็นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด





ถ้าไม่รู้อะไรเสียเลย ก็ดีไปอย่างนะ คือใครพูดอะไรก็สาธุๆๆ ยกคัมภีร์ยกคำพระนั่นนี่มาพูดก็สาธุๆๆ รู้สึกเพลินๆดี :b13:

แต่ถ้ารู้แล้วเห็นนะจะรู้สึกเบือหน่าย ปนสลดหดหู่ใจ :b1: ที่โฮฮับว่านี่

อ้างคำพูด:
ตัวเมตตานั้นแหล่ะคือกิเลส ในความเป็นจริงจิตที่เรียกว่าเมตตามันไม่มี


ก็เดาสุ่มเอาทั้งเพทั้งระยองแถมเกาะเสม็ดด้วย

เมตตาเป็นสังขาร (ขันธ์) ตัวหนึ่ง เป็นคุณสมบัติของจิต ปรุงแต่งจิตให้เป็นไปต่างๆ ให้ดี ให้ชั่ว ให้เป็นกลางๆ สังขาร มี ๕๐ ชนิด ที่รู้จักกันในนามเจตสิกนั่นแหละ

นี่ก็อีก

อ้างคำพูด:
ทุกข์มีสองอย่าง ....จิตเป็นทุกข์หมายถึงสังขาร
ทุกข์อีกอย่างคือทุกอริยสัจจ์ เป็นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด[


"จิตเป็นทุกข์หมายถึงสังขาร" มั่วเกือบถูก คิกๆๆ เหมือนคนสุ่มปลาในหนองน้ำโครมๆไปเรื่อยๆ เดี๋ยวต้องสุ่มถูกปลามั่งหรอกน่า :b32:

ทุกข์ในอริยสัจ หมายถึงทุกข์ที่คนไปยึดติดถือมั่นชีวิตจิตใจ (ธรรมชาติ) นี่เอง จึงทุกข์ (โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์) ถ้ารู้เข้าใจก็ไม่ทุกข์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2013, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้องเขียน

อ้างคำพูด:
กระทู้ไหนค่ะ คุนน้องน่าจะยังไม่เคยอ่าน พี่เต้ก๊อปลิ้งค์ส่งมาให้ทีค่ะ :b1:




คุณน้องคงจะลืม พี่เต้เขียนที่กระทู้อาหารเจค่ะ ไม่รู้ว่าที่อาหารเจ2หรืออาหารเจ3ค่ะ
แต่คุณน้องมีอ่านค่ะ

เพราะเหตุมาจากลูกสุนัขชื่อเป๊บซี่นี่หล่ะค่ะ ทำให้พี่เต้รู้ว่า จิตที่เป็นเมตตานั้น
ช่วยให้สัตว์ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีๆได้
เพราะฉนั้น เวลาที่สัตว์ในบ้านพี่เต้ตาย พี่เต้ไม่เคยเศร้าเลยค่ะ ก็มีคิดถึงบ้าง :b1: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2013, 04:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถ้าไม่รู้อะไรเสียเลย ก็ดีไปอย่างนะ คือใครพูดอะไรก็สาธุๆๆ ยกคัมภีร์ยกคำพระนั่นนี่มาพูดก็สาธุๆๆ รู้สึกเพลินๆดี :b13:

แต่ถ้ารู้แล้วเห็นนะจะรู้สึกเบือหน่าย ปนสลดหดหู่ใจ :b1: ที่โฮฮับว่านี่

อ้างคำพูด:
ตัวเมตตานั้นแหล่ะคือกิเลส ในความเป็นจริงจิตที่เรียกว่าเมตตามันไม่มี


ก็เดาสุ่มเอาทั้งเพทั้งระยองแถมเกาะเสม็ดด้วย

เมตตาเป็นสังขาร (ขันธ์) ตัวหนึ่ง เป็นคุณสมบัติของจิต ปรุงแต่งจิตให้เป็นไปต่างๆ ให้ดี ให้ชั่ว ให้เป็นกลางๆ สังขาร มี ๕๐ ชนิด ที่รู้จักกันในนามเจตสิกนั่นแหละ



คนหนอคน ไม่รู้แล้วยังชอบอวด ชอบโชว์จำอวดสลับฉาก.....
ดันพูดมาได้ว่า เมตตา เป็นสังขาร(ขันธ์)ตัวหนึ่ง รู้จักในนามเจตสิก
กรัชกายไป จะบอกให้ท่านแบ่งสังขารขันธ์ไว้ใน...พระอภิธรรมมัตถสังคหะไว้๕๐ก็จริง

แล้วมันมีตรงไหนที่บอกว่า เมตตาเป็นสังขารขันธ์หรือเป็นเจตสิก
หรือจะเอาเป็นหนังสือของหลวงพ่อปยุตก็ได้
ไปดูซิว่ามันมีด้วยหรือ เมตตาเป็นสังขารขันธ์หรือเป็นเจตสิก

เอาลิ้งไปดู.......
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=355

หรือจะไปหาอ่านเอาให้หัวข้อไว้...... อภิธัมมัตถสังคหะ ปฏิเฉทที่๒ เจตสิกสังคหวิภาค

กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ทุกข์มีสองอย่าง ....จิตเป็นทุกข์หมายถึงสังขาร
ทุกข์อีกอย่างคือทุกอริยสัจจ์ เป็นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด[


"จิตเป็นทุกข์หมายถึงสังขาร" มั่วเกือบถูก คิกๆๆ เหมือนคนสุ่มปลาในหนองน้ำโครมๆไปเรื่อยๆ เดี๋ยวต้องสุ่มถูกปลามั่งหรอกน่า :b32:

ทุกข์ในอริยสัจ หมายถึงทุกข์ที่คนไปยึดติดถือมั่นชีวิตจิตใจ (ธรรมชาติ) นี่เอง จึงทุกข์ (โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์) ถ้ารู้เข้าใจก็ไม่ทุกข์


ท่องเข้าไปคำศัพท์น่ะ คงจะเจริญสักวัน :b32:
เอาแค่ทางโลกยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นเป็นเหตุ อะไรเป็นผล
เอาเหตุและผลมาผสมกันให้ยุ่งไปหมด ....
ขี้เกียจสอนแล้ว จะไปไหนก็ไปเถอะ เสียเวลาเปล่า :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2013, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องแบบนี้ ก็เลยพิมพ์เตรียมไว้ (อันที่จริงก็เบื่อนักธรรมแบบมั่วๆนะ แต่ก็เหมือนว่าเป็นแรงบันดาลใจ) นำเฉพาะสังขารขันธ์ (ในขันธ์ ๕ สังขารสำคัญอีกแห่งหนึ่ง คือ สังขารในไตรลักษณ์) ให้ดู


๔. สังขาร ตามหลักอภิธรรม แบ่งเจตสิกเป็น ๕๒ อย่าง ถ้าเทียบกับการแบ่งแบบขันธ์ ๕ เจตสิกก็ไ้ด้แก่ เวทนา สัญญา และสังขารทั้งหมด คือ ในจำนวนเจตสิก ๕๒ นั้น เป็นเวทนา ๑ เป็นสัญญา ๑ ทีเ่หลืออีก ๕๐ อย่าง เป็นสังขารทั้งสิ้น สังขารขันธ์ จึงเท่ากับเจตสิก ๕๐ อย่าง ซึ่งแยกย่อยได้ ดังนี้


๑) อัญญสมานเจตสิก (เจตสิกที่เ่ข้าได้ทั้งฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว) ๑๑ (นับครบมี ๑๓ เพระาเวทนา และสัญญาเป็นเจตสิกหมวดนี้ แตะไม่เป็นสังขาร จึงตัดออกไป ) คือ

(๑) สัพพจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง) ๕ คือ ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา (สมาธิ) ชีวิตินทรีย์ มนสิการ (จำนวนเิดิม มี ๗ ทั้งเวทนา กับ สัญญา)

(๒) ปกิณณกเจตสิก (เกิดกับจิตได้ทั่วๆไป ทั้งดีฝ่ายชั่ว แต่ไม่ตายตัว) ๖ คือ วิตก วิจาร อธิโมกข์ (ความปักใจ) วิริยะ ปีิติ ฉันทะ

๒) อกุศลเจตสิก (เจตสิกที่เป็นอกุศล) ๑๔ คือ

(๑) อกุศลสาธารณเจตสิก (เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลทุกดวง) ๔ คือ โลภะ อหิริกะ อโนตตัปปะ และอุทธัจจะ

(๒) ปกิณณกอกุุศลเจตสิก (เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลแต่ไม่ตายตัวทุกครั้ง) ๑๐ คือ โลภะ ทิฏฐิ มานะ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ ถีนะ มิทธะ และวิจิกิจฉา

๓) โสภณเจตสิก (เจตสิกดีงาม คือ เกิดกับจิตที่เป็นกุศลและอัพยากฤต) มี ๒๕ คือ

(๑) โสภณสาธารณเจตสิก (เกิดกับจิตดีงามทุกดวง) ๑๙ คือ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ (= เมตตา) ตัตรมัชฌัตตตา (บางทีเรียกอุเบกขา) กายปัสสัทธิ (ความสงบแห่งแห่งนามกาย คือ กองเจตสิก) จิตตปัสสัทธิ กายลหุตา จิตตลหุตา กายมุทุตา จิตตมุทุตา กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา กายปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งนามกาย คือกองเจตสิก) จิตตปาคุญญตา กายุชุกตา (ความซื่อตรงแ่ห่งนามกาย คือ กองเจตสิก) จิตตุชุกตา


(๒) ปกิณณกโสภณเจตสิก (เกิดกับจิตฝ่ายดีงาม แต่ไม่ตายตัวทุกครั้ง) ๖ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ (รวมเรียก วิรติีเจตสิก ๓) กรุณา มุทิตา (เรียกรวมกันว่า อัปปมัญญาเจตสิก ๒) และปัญญา


ในพระสูตร (เช่น สํ.ข.17/116/74) ตามปกติ ท่านแสดงความหมายของสังขารว่า ไ้ด้แก่ ไ้ด้แก่ เจตนา ๖ หมวด คือ รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา และธรรมสัญเจตนา และว่า เจตจำนงหรือความคิดปรุงแต่ง เกี่ยวกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2013, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องแบบนี้ ก็เลยพิมพ์เตรียมไว้ (อันที่จริงก็เบื่อนักธรรมแบบมั่วๆนะ แต่ก็เหมือนว่าเป็นแรงบันดาลใจ) นำเฉพาะสังขารขันธ์ (ในขันธ์ ๕ สังขารสำคัญอีกแห่งหนึ่ง คือ สังขารในไตรลักษณ์) ให้ดู


๔. สังขาร ตามหลักอภิธรรม แบ่งเจตสิกเป็น ๕๒ อย่าง ถ้าเทียบกับการแบ่งแบบขันธ์ ๕ เจตสิกก็ไ้ด้แก่ เวทนา สัญญา และสังขารทั้งหมด คือ ในจำนวนเจตสิก ๕๒ นั้น เป็นเวทนา ๑ เป็นสัญญา ๑ ทีเ่หลืออีก ๕๐ อย่าง เป็นสังขารทั้งสิ้น สังขารขันธ์ จึงเท่ากับเจตสิก ๕๐ อย่าง ซึ่งแยกย่อยได้ ดังนี้


๑) อัญญสมานเจตสิก (เจตสิกที่เ่ข้าได้ทั้งฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว) ๑๑ (นับครบมี ๑๓ เพระาเวทนา และสัญญาเป็นเจตสิกหมวดนี้ แตะไม่เป็นสังขาร จึงตัดออกไป ) คือ

(๑) สัพพจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง) ๕ คือ ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา (สมาธิ) ชีวิตินทรีย์ มนสิการ (จำนวนเิดิม มี ๗ ทั้งเวทนา กับ สัญญา)

(๒) ปกิณณกเจตสิก (เกิดกับจิตได้ทั่วๆไป ทั้งดีฝ่ายชั่ว แต่ไม่ตายตัว) ๖ คือ วิตก วิจาร อธิโมกข์ (ความปักใจ) วิริยะ ปีิติ ฉันทะ

๒) อกุศลเจตสิก (เจตสิกที่เป็นอกุศล) ๑๔ คือ

(๑) อกุศลสาธารณเจตสิก (เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลทุกดวง) ๔ คือ โลภะ อหิริกะ อโนตตัปปะ และอุทธัจจะ

(๒) ปกิณณกอกุุศลเจตสิก (เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลแต่ไม่ตายตัวทุกครั้ง) ๑๐ คือ โลภะ ทิฏฐิ มานะ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ ถีนะ มิทธะ และวิจิกิจฉา

๓) โสภณเจตสิก (เจตสิกดีงาม คือ เกิดกับจิตที่เป็นกุศลและอัพยากฤต) มี ๒๕ คือ

(๑) โสภณสาธารณเจตสิก (เกิดกับจิตดีงามทุกดวง) ๑๙ คือ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ (= เมตตา) ตัตรมัชฌัตตตา (บางทีเรียกอุเบกขา) กายปัสสัทธิ (ความสงบแห่งแห่งนามกาย คือ กองเจตสิก) จิตตปัสสัทธิ กายลหุตา จิตตลหุตา กายมุทุตา จิตตมุทุตา กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา กายปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งนามกาย คือกองเจตสิก) จิตตปาคุญญตา กายุชุกตา (ความซื่อตรงแ่ห่งนามกาย คือ กองเจตสิก) จิตตุชุกตา


(๒) ปกิณณกโสภณเจตสิก (เกิดกับจิตฝ่ายดีงาม แต่ไม่ตายตัวทุกครั้ง) ๖ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ (รวมเรียก วิรติีเจตสิก ๓) กรุณา มุทิตา (เรียกรวมกันว่า อัปปมัญญาเจตสิก ๒) และปัญญา


ในพระสูตร (เช่น สํ.ข.17/116/74) ตามปกติ ท่านแสดงความหมายของสังขารว่า ไ้ด้แก่ ไ้ด้แก่ เจตนา ๖ หมวด คือ รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา และธรรมสัญเจตนา และว่า เจตจำนงหรือความคิดปรุงแต่ง เกี่ยวกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์


:b8: อนุโมทนาค่ะ คุณกรัชกาย
ปลีกวิเวกจำได้แต่ โสภณเจตสิก ว่าจะไปเปิดตำราหาอยู่ ต้องขอบคุณที่นำมาลงให้อ่าน :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2013, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับ นั่นแหละสังขาร (ขันธ์) ทั้งหมด ที่เป็นคุณสมบัติของจิต เครื่องปรุงจิต ให้เป็นไปต่า่งๆ ทั้งดี ทั้งร้าย เฉยๆ ซึ่งมีเจตนาเป็นหัวหน้า เป็นเครื่องปรุงของกรรม (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2013, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




--_1_~1.JPG
--_1_~1.JPG [ 116.07 KiB | เปิดดู 3176 ครั้ง ]
เจตสิก ๕๒ มี ๓ ขันธ์ คือ ๑. เวทนาขันธ์ ๒. สัญญาขันธ์ ๓. สังขารขันธ์
เมื่อยก เวทนาขันธ์ ๑ กับสัญญาขันธ์ ๑ ที่เหลือ ๕๐ เป็นสังขารขันธ์ ดังที่ในภาพ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2013, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bbby เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณกบฯเขียน
อยากรู้..นะครับว่า...เพื่อนๆ มีเหตุผลอะไร...ถึงมีเมตตา?


เรามองว่าคนที่มีจิตเมตตานั้น เราคิดว่า คงจะเกิดจากการเห็นทุกข์นั้นแล้วไงล่ะ
พอเห็นผู้อื่นทุกข์ เมตตาจะเกิดทันที โดยไม่ต้องคิด
บางคนเมตตาเกิด แต่ไม่สามารถที่จะช่วยผู้อื่นได้ เค้าก็จะช่วยโดยบอกให้กับผู้ที่ช่วยได้มาช่วย
แต่ถ้าบอกหลายๆคนแล้ว ช่วยไม่ได้
ถึงจะปล่อยวางอุเบกขา นั่นคือช่วยไม่ได้จริงๆ:


เรื่องพรหมวิหารสี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตหรือจิตสังขาร เป็นอาการของจิต

การเห็นผู้อื่นทุกข์ มันไม่ใช่ผู้อื่นทุกข์ แต่เป็นใจเราที่กำลังทุกข์อันมีเหตุ
มาจากสิ่งที่เห็น คนอื่นเขาจะทูกข์หรือไม่ เราไม่สามารถไปรู้ได้เพราะ
จิตใจของคนอื่นกับของเรามันคนล่ะส่วนกัน

bbby เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณโฮฮับเขียน

ส่วนที่บอกว่า จะมีปัญญาก่อน เมตตาถึงจะเกิดได้ มันเป็นความเข้าใจผิด
เมตตามันเกิดเองไม่ต้องอาศัยปัญญา
เพราะมันเป็นกิเลส



ตรงนี้เห็นด้วยกับคุณโฮฯค่ะ แต่.....เมตตาเป็นกิเลสอย่างไรค่ะ
ในเมื่อใจช่วยเค้าให้หลุดพ้นจากความทุกข์ โดยไม่หวังผลตอบแทน
เพราะฉนั้นแล้ว ตัวกิเลสมาแทรกตรงช่วงไหนค่ะ


ตัวเมตตานั้นแหล่ะคือกิเลส ในความเป็นจริงจิตที่เรียกว่าเมตตามันไม่มี
จิตที่โดนเมตตาบ่งการ จะทำให้เกิด ความสงสาร(กรุณา) ยินดีกับคนอื่น(มุทิตา)
เมื่อเกิดอาการของจิตสองอย่างนี้ย่อมเกิดทุกข์...ทุกข์ไม่ใช่ใจกำลังทุกข์
ทุกข์ในที่นี้ หมายถึงมันเป็นเชื้อทำให้เกิดภพชาติใหม่

ทุกข์มีสองอย่าง ....จิตเป็นทุกข์หมายถึงสังขาร
ทุกข์อีกอย่างคือทุกอริยสัจจ์ เป็นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด


อ้างคำพูด:
ทุกข์อีกอย่างคือทุกอริยสัจจ์ เป็นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด



สังขารทั้งปวง (รวมคนหมดทั้งตัวแล้วทั้งกายและใจ, หรือรูปนาม, ขันธ์ ๕) เป็นอนิจจา ทุกขา อนัตตา เป็นไตรลักษณ์หมดครบทั้งสาม เป็นเรื่องของสภาวะตามธรรมดาของธรรมชาติทั้งนั้น ไม่ต้องมีตัวคนเข้าไปยุ่งเกี่ยว มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น จึงไม่มาเข้าในเรื่องของอริยสัจ (ทั้งที่ทุกข์/ทุกขา ก็มีอยู่ในไตรลักษณ์)


ถ้าถามต่อไปว่า แล้วเมื่อไรล่ะ เบญจขันธ์ หรือขันธ์ ๕ หรือชีวิต จึงจะมาเป็นทุกข์ในอริยสัจ ก็ตอบว่า เมื่อมันกลายเป็นเบญจอุปาทานขันธ์ หรือเป็นอุปาทานขันธ์ ๕


อุปาทานขันธ์ ๕ คืออะไร ก็คือ ขันธ์ ๕ ที่มีอุปาทานยึดถือยึดครอง ท่านใช้คำแบบทางการว่า “ประกอบด้วยอาสวะ เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน” จะว่าขันธ์ ๕ ที่เกิดจากอุปาทาน เป็นที่วุ่นวายของอุปาทาน หรือที่รับใช้อุปาทาน ก็ได้ทั้งนั้น เป็นเรื่องของอวิชชาตัณหาอุปาทาน อันนี้แหละคือ ทุกข์ที่เป็นอริยสัจข้อ ๑ ในอริยสัจ ๔


ฯลฯ ....ใครไปยึดขันธ์ ๕ หรือชีวิตที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตานั้นเข้า ก็กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา


พอรู้เข้าใจเบญจขันธ์ หรือบรรดาสังขาร ตามหลักไตรลักษณ์อย่างนี้ เห็นความจริงชัดแล้ว ก็ไม่เกิดเป็นอุปาทานขันธ์ขึ้นมา หรือเลิกเป็นอุปาทานขันธ์ แต่ตรงข้าม กลายเป็นหลุดพ้นอิสระ หมดปัญหา สว่างสดใส เบิกบาน ไม่เกิดมีทุกข์อีกต่อไป

สรุป ก็คือ ทุกข์ในไตรลักษณ์ เราหรือใครจะยกเลิกมันไม่ได้ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น แต่ทุกข์ในอริยสัจเนี่ยเรายกเลิกได้ เลิกทุกขอริยสัจด้วยความรู้เท่าทันสังขารทั้งหลายทั้งปวง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2013, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สังขารทั้งปวง (รวมคนหมดทั้งตัวแล้วทั้งกายและใจ, หรือรูปนาม, ขันธ์ ๕) เป็นอนิจจา ทุกขา อนัตตา เป็นไตรลักษณ์หมดครบทั้งสาม เป็นเรื่องของสภาวะตามธรรมดาของธรรมชาติทั้งนั้น ไม่ต้องมีตัวคนเข้าไปยุ่งเกี่ยว มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น จึงไม่มาเข้าในเรื่องของอริยสัจ (ทั้งที่ทุกข์/ทุกขา ก็มีอยู่ในไตรลักษณ์)


สังขารไม่ได้รวมหมดแบบที่กรัชกายบอก.......ในกายใจของบุคคลมีทั้งสังขารและวิสังขาร
หรือมีทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม

ธรรมในในกายใจถ้า...เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ธรรมนั้นจึงเป็นไตรลักษณ์หรือ
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

แต่ถ้าธรรมใดไม่ปรากฎการเกิด ไม่ปรากฎความเสื่อม เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฎความแปรปวน
ธรรมนั้นไม่ใช่ไตรลักษณ์หรือสังขตธรรม
แต่เป็น....อสังขตธรรม

ที่บอกว่าไตรลักษณ์เป็นธรรมดาของธรรมชาติใช่ แต่ที่บอกว่าไม่ต้องมีตัวตนไปยุ่งเกี่ยว
มันก็เป็นของมันอย่างนั้น......พูดคล้ายจะถูกแต่มันผิดในหลักความเข้าใจ


มันเป็นของมันอย่างนั้นตามธรรมชาติ แต่ด้วยเพราะอวิชาความไม่รู้ของบุคคล
จึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความเป็นสังขาร มองไม่เห็นธรรมชาติของสังขาร......

สรุปคือมองไม่เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของสังขาร
จึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธรรมนั้น ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดเป็นขันธ์ห้า(อุปาทานขันธ์ห้า)........
ตัวขันธ์ห้าหรืออุปาทานขันธ์ห้านี่แหล่ะ........เป็นสมุทัยหรือเป็นเหตุแห่งทุกข์ในอริยสัจจ์สี่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2013, 07:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถ้าถามต่อไปว่า แล้วเมื่อไรล่ะ เบญจขันธ์ หรือขันธ์ ๕ หรือชีวิต จึงจะมาเป็นทุกข์ในอริยสัจ ก็ตอบว่า เมื่อมันกลายเป็นเบญจอุปาทานขันธ์ หรือเป็นอุปาทานขันธ์ ๕


บุคคลเกิดมาพร้อมกับนามรูป นามรูปนั้นแหล่ะคือทุกข์อริยสัจจ์
ส่วนรูปนามในกระบวนการขันธ์ เป็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์ในอริยสัจจ์

นามรูปที่เป็นทุกข์อริยสัจจ์ มีเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย)มาจากรูปนามในอดีตชาติ

อีกอย่างอย่าสับสน ขันธ์ห้ากับอุปาทานขันธ์ห้า .......เป็นตัวเดียวกัน
เพียงแต่ในอุปาทานขันธ์ห้า ท่านกล่าวเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขันธ์ห้า ก็คืออุปาทานนั้นเอง
ส่วนขันธ์ห้ากล่าวโดยสภาวะความเป็นขันธ์แล้ว

กรัชกาย เขียน:
อุปาทานขันธ์ ๕ คืออะไร ก็คือ ขันธ์ ๕ ที่มีอุปาทานยึดถือยึดครอง ท่านใช้คำแบบทางการว่า “ประกอบด้วยอาสวะ เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน” จะว่าขันธ์ ๕ ที่เกิดจากอุปาทาน เป็นที่วุ่นวายของอุปาทาน หรือที่รับใช้อุปาทาน ก็ได้ทั้งนั้น เป็นเรื่องของอวิชชาตัณหาอุปาทาน อันนี้แหละคือ ทุกข์ที่เป็นอริยสัจข้อ ๑ ในอริยสัจ ๔


ทั้งอุปาทานหรือจะเป็นอาสวะ ไม่ได้ยึดถือครองอะไรทั้งนั้น ตัวที่ยึดถือครองก็คือจิต
อาสวะเป็นเหตุให้จิตไปยึดตัวสังขาร จนเกิดเป็นอุปาทาน เป็นขันธ์ห้า...
.เราเรียกทั้งหมดนี้ว่า สมุทัยเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์อริยสัจจ์แบบที่กรัชกายบอก

กรัชกาย เขียน:
ฯลฯ ....ใครไปยึดขันธ์ ๕ หรือชีวิตที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตานั้นเข้า ก็กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา


ไม่ได้ยึดขันธ์ห้า แต่เป็นเพราะจิตไปยึดสังขาร จนเกิดอุปาทานเป็นขันธ์ห้า

กรัชกาย เขียน:

พอรู้เข้าใจเบญจขันธ์ หรือบรรดาสังขาร ตามหลักไตรลักษณ์อย่างนี้ เห็นความจริงชัดแล้ว ก็ไม่เกิดเป็นอุปาทานขันธ์ขึ้นมา หรือเลิกเป็นอุปาทานขันธ์ แต่ตรงข้าม กลายเป็นหลุดพ้นอิสระ หมดปัญหา สว่างสดใส เบิกบาน ไม่เกิดมีทุกข์อีกต่อไป


การรู้ไตรลักษณ์หรือเข้าใจเบญขันธ์ เพียงแค่นี้ไม่ได้ทำให้พ้นจาก
ตัณหาอุปาทาน รู้แค่นี้เป็นเพียงการรู้สมุทัยหรือรู้เหตุแห่งทุกข์
เมื่อรู้แล้วจะต้องปฏิบัติในอริยมรรคเพื่อละเหตุแห่งทุกข์นั้นก่อน


กรัชกาย เขียน:

สรุป ก็คือ ทุกข์ในไตรลักษณ์ เราหรือใครจะยกเลิกมันไม่ได้ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น แต่ทุกข์ในอริยสัจเนี่ยเรายกเลิกได้ เลิกทุกขอริยสัจด้วยความรู้เท่าทันสังขารทั้งหลายทั้งปวง :b1:


มันไม่เกี่ยวว่าจะยกเลิกไม่ยกเลิก ทั้งทุกข์ไตรลักษณ์ ทั้งทุกข์อริยสัจจ์สี่ เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม
มันตั้งอยู่ของมันทั้งคู่นั้นแหล่ะ เราเพียงกระทำไม่ให้จิตไปยึดมันก็แค่นั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2013, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue เอาเรื่องเมตตามาฝากค่ะ อ่านแล้วเข้าใจง่าย เรียบเรียงไว้ในหนังสือ ๑๐๐ คำสอนสมเด็จพระสังฆราช

:b48: เมตตา

๘๗.ความเมตตา เป็นธรรมที่ทำให้คนเรามีคุณธรรม เมตตาคือความคิดปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
ผู้ที่มีเมตตาคือผู้ที่มีความเป็นมิตร ตรงกันข้ามกับศัตรู ซึ่งมีจิตพยาบาทมุ่งร้าย เมตตาตรงข้ามกับโทสะ
พยาบาท เมตตาเป็นเครื่องอุปถัมภ์ แต่โทสะพยาบาทเป็นเครื่องทำลายล้าง
เมื่อเรามีความเมตตาต่อกัน ย่อมคิดที่จะเกื้อกูลกันให้มีความสุข ผิดพลาดไปบ้างก็ให้อภัยกัน แต่ถ้าขาดเมตตาต่อกันแล้วก็จะมีแต่การทำลาย มีความพยาบาทใครทำความไม่พอใจให้ ก็จะตอบแทนด้วย
ความไม่พอใจเช่นกัน จึงควรมีเมตตาต่อกัน เพื่อสังคมที่เป็นสุข

๘๘.เมตตา ความมีจิตเย็นสนิทด้วยความปรารถนาสุขแก่ผู้อื่นสัตว์อื่น เป็นความรักที่เย็นสนิท
ไม่ใช่ร้อนรน เหมือนอย่างมารดาบิดารักบุตรธิดาถ้าได้อบรมเมตตาให้มีประจำจิตใจ ก็จะเป็นอาหารใจ
ที่วิเศษ เพราะเมื่อใจได้บริโภคเมตตาอยู่เสมอ จะเป็นจิตใจที่ระงับโทสะพยาบาท มีความสุขเย็นทำให้
ร่างกายมีความสุขเย็นไปด้วย ได้ในคำว่า ทำใจให้สบาย ร่างกายก็สบาย แม้จะขาดวัตถุไปมากหรือน้อย
ก็ไม่เป็นทุกข์

๘๙.เมตตากรุณาเป็นความรู้สึกตรงกันข้ามกับความโกรธ การเจริญเมตตาจึงเป็นการแก้
ความโกรธที่ได้ผล ผู้เจริญเมตตาอยู่เสมอ เป็นผู้ไม่โกรธง่าย ทั้งยังมีจิตใจเยือกเย็นเป็นสุข ด้วยอำนาจ
ของเมตตาอีกด้วย

๙๐.วิธีปลูกเมตตาคือคิดตั้งปรารถนาให้เขาเป็นสุข และคิดตั้งปรารถนาให้เขาปราศจากทุกข์นั้นเป็นกรุณา ทีแรกท่านแนะนำให้คิดไปในตนเองก่อน แล้วให้คิดเจาะจงไปในคนที่รักนับถือ ซึ่งเป็นที่ใกล้
ชิดสนิทใจอันจะหัดให้เกิดเมตตากรุณาได้ง่าย ครั้นแล้วก็หัดดิดไปในคนที่ห่างใจออกไปโดยลำดับ จนใน
คนที่ไม่ชอบกันเมื่อหัดคิด โดยเจาะจงได้สะดวก ก็หัดคิดแผ่ใจออกไปด้วยสรรพสัตว์ไม่มีประมาณทุกถ้วนหน้า เมื่อหัดคิดได้ดังกล่าวบ่อยๆ เมตตากรุณาจะเกิดขึ้นในจิตใจ

๙๑.ชีวิตของทุกคนดำรงอยู่ได้ด้วยอาศัยเมตตากรุณาของผู้อื่นมาตั้งแต่เบื้องต้น ตั้งแต่บิดา
มารดา ครู อาจารย์ พระมหากษัตริย์ และรัฐบาล ญาติมิตรสหายเป็นต้น ถึงไม่ถูกใครฆ่าก็ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้เลยเหมือนอย่างมารดา บิดา ทิ้งทารกไว้เฉยๆ ไม่ถนอมเลี้ยงดู ไม่ต้องทำอะไรทารกจะสิ้น
ชีวิตไปเอง ฉะนั้น เมื่อทุกๆ คนมีชีวิตเจริญมาได้ด้วยความเมตตากรุณาของท่าน ก็ควรปลูกเมตตา
กรุณาในชีวิตอื่นสืบต่อไป

:b41: :b41: :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร