วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 09:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 127 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กว้างไป ไกลตัว ไกลงานที่พึงกระทำเกินไป ที่ไปคัดพุทธดำรัสมาอ้าง จนโฮฮับต้องมาเตือน

เพราะไปมัวคิดหาและค้นคว้าเรื่องกรรมจากตำรา มาเล่าต่อ จึงกลายเป็นเรื่องฟุ้งซ่านไกลตัวไป ไม่นำไปสู่การปฏิบัติจริงนะครับ กรัชกาย

วัตถุประสงค์ของการยกเรื่องกรรมและวิบาก หรือการกระทำและการรับผลของการกระทำมาแบ่งปันกันในครั้งนี้ก็เพื่อจะชี้ให้ทุกคนเห็นว่า

เรื่องของกรรมและวิบาก เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เป็นตัวขับดันให้สัตว์โลก หรือแม้แต่โลกเองต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่รู้จบ โดยเริ่มจากจุดกำเนิดเล็กๆในดวงจิต คือมโนกรรม ขยายแรงต่อเป็น วจีกรรม จนถึงกายกรรม ลงมือทำด้วยตัวเอง ทุกขั้นตอนมีผลให้ต้องแบกรับตามน้ำหนักและแรงที่กระทำลงไป ถ้าผู้ใดได้ศึกษาสังเกตให้ดีโดยละเอียด ก็จะได้รู้ว่ากรรมหรือการกระทำใดๆที่ไม่เป็นกลางหรือไม่เป็น อโหสิกรรม ย่อมเป็นการสร้างภาระให้ต้องแบกรับและกลายมาเป็นแรงขับให้ชีวิตต้องดิ้นรน ทุกข์ อยู่ร่ำไปไม่มีสิ้นสุด ดุจลูกตุ้มนาฬิกา ที่ถูกไขลานไว้ ย่อมกวัดไกวกลับไปมาไม่รู้จบ ดวงจิต หรือชีวิตที่มิได้หยุดพัก หรือแบกหามภาระหนักย่อมเหน็ดเหนื่อยเป็นทุกข์ หากแม้นยังปารถนาความสุข และเป็นสุขที่นิรันดร์ ย่อมต้องมาเพียรศึกษาหาทางออกกันให้จนพบ วิธีที่ดีและง่ายที่สุดก็คือเดินตามรอยเท้ารอยบาทของผู้ที่เคยประสบความสำเร็จในการพิชิตทุกข์ คือพระสัมมาสัมพุทธองค์ หรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย มาทำกรรมใหม่ ที่เป็น "วิวัฏฏะ" คือหยุดการหมุนเวียน

กรรมหรือการกระทำที่เป็น "วิวัฏฏะ" จึงจะเป็นจุดหมายปลายทางของกระทู้นี้ โดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อความรู้มากแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่นักวิชาการทั้งหลายใฝ่แสวงหา[/b]
[/color] tongue
ขอบใจโฮฮับที่เข้ามาร่วมทักทาย กระทู้นี้ไม่มั่ว แต่มีทิศทางและวัตถุประสงค์ที่แน่นอนเพื่อแบ่งปันธรรมกันนะครับ โปรดติดตามไปเรื่อยๆ ทักท้วงบ้างเมื่อเห็นว่าออกนอกทางนอกประเด็น ก็เป็นการดี อนุโมทนา




ท่านอโศกขอรับ คุณจะยกเรื่องกรรมวิบาก ก็นำบทความบาลีมาให้เข้ากับเรื่องที่ตนเองพูดสิครับ
ไม่ใช่ไปเอา "กัมมุนาวัฏติโลโก" มาแล้วก็ว่าอะไรนักไม่รู้ หัวมังกุท้ายมังกรนะ

ที่อันที่จริงก็ผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ของเขาเป็น “กัมมุนา วัตตตี โลโก” (กมฺมุนา วตฺตตี โลโก) คำว่า กรรม (กัมม์) ในที่นี้ ได้แก่ การงานอาชีพที่ทำ ไม่ใช่กรรมอย่างอโศกคิดนึกเอาเอง

ถ้าจะพูดเรื่องกรรม วิบาก ...อย่างว่า ต้องนี่ “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”..เป็นต้น. แปลว่า. ภิกษุทั้งหลาย เจตนา เราเรียกว่ากรรม บุคคลจงใจแล้ว จึงกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ


ทีนี้แหละได้เถียงกันทะลุจอแน่ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

นี่คิดเองเออเองหรือเปล่าน่ะพี่โฮ

ไหนลองว่าพราหมณ์แนวพุทธ กับ พราหมณ์แนวศาสนาอื่นให้ฟังหน่อยดิเอ้าาา :b1:

เคยเห็นไหมที่พระพุทธเจ้าแย้งหรือหักล้างหลักคำสอนของพราหมณ์ เรื่องความบริสุทธิ์ด้วยอาบน้ำในแม่น้ำคงคา แต่พระพุทธเจ้าว่า ถ้ายังงั้นกุ้งหอยปูปลาในน้ำก็บริสุทธิ์ด้วยซิ เพราะมันแช่น้ำอยู่ทั้งกะปี นี่ตัวอย่างหนึ่ง ยังมีอีกแยอะ


พี่โฮจะไปคิดเองเออที่ไหน ก็เอามาจาก กัมมุนา วัตตีโลโก ของกรัชกายนั้นแหล่ะ
กรรมของกรัชกายก็คือ ไปเอาความเชื่อของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูมามั่วกับคำสอนของพุทธองค์
ทำเหมือนว่า พระพุทธองค์กำลังดูถูกศาสนาคนอื่นเขา แบบนี้มันใช่ไม่ได้

และพึ่งด่าไปแหม่บๆว่า จะอ้างพุทธวจนต้องวางลิ้งด้วย เอากุ้งหอยปูม้า ปลาเผาแม่ลามาพูด
ไม่ยอมวางลิ้งอีกแล้ว ไอ้นี่ชอบโหนอยากเป็นลิงแสมหรือไง

แล้วไอ้ที่ถามว่า พราหมณ์แนวศาสนาอื่นกับแนวพุทธ ต่างกันอย่างไร

ถ้าเป็นแนวศาสนาอื่นหรือฮินดู ท่านให้ความหมายของพราหมณ์
ในความหมายของชนชั้นหรือชาติกำหนิด..............นี้ก็เป็นเรื่องของเขา(พุทธไม่เกี่ยว)

แต่ถ้าเป็นพุทธ พระพุทธองค์ให้ความหมายของพราหมณ์ไว้ดังนี้.......

วาเสฏฐสูตร.......(๗๐๗)

"เราเรียก
บุคคลผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ผู้ไม่ยึดมั่นนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดแลตัดสังโยชน์ทั้งปวงได้แล้วไม่สะดุ้ง เราเรียกผู้นั้นผู้ล่วง
กิเลสเครื่องข้อง ไม่ประกอบด้วยสรรพกิเลส ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ตัดอุปนาหะดังชะเนาะ ตัณหาดังเชือกหนัง
ทิฏฐิดังเชือกบ่วง พร้อมทั้งทิฏฐานุสัยประดุจปม มีอวิชชาดุจ
ลิ่มสลักถอนขึ้นแล้ว ผู้ตรัสรู้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดไม่
ประทุษร้าย อดกลั้นคำด่า การทุบตีและการจองจำได้ เรา
เรียกผู้มีขันติเป็นกำลังดังหมู่พลนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียก
บุคคลผู้ไม่โกรธ ผู้มีองค์ธรรมเป็นเครื่องกำจัด มีศีล ไม่มี
กิเลสดุจฝ้า ฝึกฝนแล้ว มีสรีระตั้งอยู่ในที่สุดนั้น ว่าเป็น
พราหมณ์ ผู้ใดไม่ติดในกามทั้งหลาย เหมือนน้ำบนใบบัว
หรือดังเมล็ดพันธุ์ผักกาดบนปลายเหล็กแหลม เราเรียกผู้นั้นว่า
เป็นพราหมณ์ ผู้ใดรู้ธรรมเป็นที่สิ้นทุกข์ของตนในภพนี้เอง
เราเรียกผู้ปลงภาระผู้ไม่ประกอบแล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้มีปัญญาอันเป็นไปในอารมณ์อันลึก มีเมธา
ฉลาดในอุบายอันเป็นทางและมิใช่ทาง บรรลุประโยชน์อัน
สูงสุด ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียกบุคคลผู้ไม่คลุกคลีด้วย
คฤหัสถ์ และบรรพชิตทั้งสองพวก ผู้ไปได้ด้วยไม่มีความอาลัย
ผู้ไม่มีความปรารถนา ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดวางอาชญาในสัตว์
ทั้งหลาย ทั้งเป็นสัตว์ที่หวั่นหวาด และมั่นคง ไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้
ผู้อื่นให้ฆ่า เราเรียกผู้นั้นว่าพราหมณ์ เราเรียกบุคคลผู้ไม่
พิโรธตอบในผู้พิโรธ ดับอาชญาในตนได้ ในเมื่อสัตว์
ทั้งหลายมีความถือมั่น ไม่มีความถือมั่น ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดทำราคะ โทสะ มานะ และมักขะให้ตกไป ดังเมล็ดพันธุ์
ผักกาดตกจากปลายเหล็กแหลม เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดกล่าววาจาสัตย์ อันไม่มีโทษให้ผู้อื่นรู้สึกได้ อันไม่เป็น
เครื่องขัดใจคน เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์ แม้ผู้ใดไม่
ถือเอาภัณฑะทั้งยาวหรือสั้น เล็กหรือใหญ่ งามหรือไม่งาม
ที่เจ้าของไม่ให้ในโลก เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใด
ไม่มีความหวังทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า เราเรียกผู้ไม่มีความ-
หวัง ผู้ไม่ประกอบแล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดไม่มีความ
อาลัย ไม่มีความสงสัยเพราะรู้ทั่วถึง เราเรียกผู้บรรลุธรรมอัน
หยั่งลงในอมตธรรมนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดล่วงธรรมเป็น
เครื่องข้องทั้งสอง คือ บุญและบาปในโลกนี้ได้ เราเรียกผู้
ไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี ผู้บริสุทธิ์นั้น ว่าเป็นพราหมณ์
เราเรียกบุคคลผู้ปราศจากมลทิน บริสุทธิ์ผ่องใสไม่ขุ่นมัว
ดังดวงจันทร์ มีความเพลิดเพลินในภพสิ้นแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์
ผู้ใดล่วงอวิชชาประดุจทางลื่น หรือดุจหล่มอันถอนได้ยาก เป็น
เครื่องให้ท่องเที่ยวให้หลงนี้ได้ ข้ามถึงฝั่งแล้ว มีความเพ่งอยู่
ไม่หวั่นไหว ไม่มีความสงสัย ดับแล้วเพราะไม่ถือมั่น
เราเรียกผู้นั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดละกามได้ขาดแล้ว เป็น
บรรพชิต เว้นรอบในโลกนี้ เราเรียกผู้มีกามและภพสิ้นรอบ
แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดละตัณหาได้ขาดแล้ว เป็น
บรรพชิต เว้นรอบในโลกนี้ เราเรียกผู้มีกามและภพสิ้นรอบ
แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดละกามคุณอันเป็นของมนุษย์
ล่วงกามคุณอันเป็นของทิพย์แล้ว เราเรียกผู้ไม่ประกอบด้วย
กิเลสเครื่องประกอบทั้งปวงนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียก
บุคคลผู้ละความยินดีและความไม่ยินดี เป็นผู้เย็น ไม่มีอุปธิ
ครอบงำโลกทั้งปวง ผู้แกล้วกล้านั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดรู้
จุติ และอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง เราเรียกผู้
ไม่ข้อง ผู้ไปดี ตรัสรู้แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เทวดา
คนธรรพ์และหมู่มนุษย์ไม่รู้คติของผู้ใด เราเรียกผู้นั้นผู้มีอาสวะ
สิ้นแล้ว เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดไม่มีกิเลส
เครื่องกังวลทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และท่ามกลาง เราเรียกผู้
ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ผู้ไม่ถือมั่นนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เรา
เรียกบุคคลผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ ผู้แกล้วกล้า ผู้แสวงหา
คุณใหญ่ ผู้ชำนะแล้วโดยวิเศษ ผู้ไม่หวั่นไหว อาบเสร็จแล้ว
ตรัสรู้แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดรู้ญาณเครื่องระลึกชาติ
ก่อนได้ เห็นสวรรค์และอบาย และบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นชาติ
เราเรียกผู้นั้น ว่าเป็นพราหมณ์"

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0



ที่ยกมาก็คือการหักล้างคำสอนของพราหมณ์

เอาอีกเรื่องหนึ่งเพื่อให้เห็นชัดอีก เรื่องทิศ 6 พราหมณ์เขาสอนว่า ตื่นเช้ามาต้องไหว้ทิศทั้ง 6 แต่พระพุทธเจ้าก็ว่า คำสอนของพระองค์ก็มีทิศ 6 เหมือนกัน คือการปฏิบัติต่อกันระหว่าง พ่อแม่ - ลูก ครูอาจารย์-ศิษย์เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

ที่ยกมาก็คือการหักล้างคำสอนของพราหมณ์

เอาอีกเรื่องหนึ่งเพื่อให้เห็นชัดอีก เรื่องทิศ 6 พราหมณ์เขาสอนว่า ตื่นเช้ามาต้องไหว้ทิศทั้ง 6 แต่พระพุทธเจ้าก็ว่า คำสอนของพระองค์ก็มีทิศ 6 เหมือนกัน คือการปฏิบัติต่อกันระหว่าง พ่อแม่ - ลูก ครูอาจารย์-ศิษย์เป็นต้น


พูดเป็นพ่อเล็บงามแบบนี้ไง พาลหาเรื่องชาวบ้านเขาแท้ ๆ
เรื่องความเชื่อความศรัทธามันเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล
ใครจะเชื่ออย่างไหน มันเป็นเรื่องของเขา

ความสำคัญมันอยู่ที่ เมื่อเราเชื่อและประกาศตนเป็นผู้นับถือศาสนาใดแล้ว
เราก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทางของศาสนานั้นๆ
ศาสนาแต่ล่ะศาสนาต่างก็มีเหตุผลของตน มันไม่ใช่เรื่องที่คนของศาสนาอื่นจะไปรู้ดีแทนเขา

กรัชกายก็เช่นกัน ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน
แต่ดันไปรู้สะแหล่นไปแนะนำเรื่องของศาสนาอื่น แบบนี้ก็แสดงว่า กรัชกายไม่ใช่พุทธแท้

เป็นพุทธแต่ดันไปรู้เรื่องของศาสนาอื่น นี่ก็คือเอาเรื่องของศาสนาอื่นมามั่วศาสนาพุทธ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

ที่ยกมาก็คือการหักล้างคำสอนของพราหมณ์

เอาอีกเรื่องหนึ่งเพื่อให้เห็นชัดอีก เรื่องทิศ 6 พราหมณ์เขาสอนว่า ตื่นเช้ามาต้องไหว้ทิศทั้ง 6 แต่พระพุทธเจ้าก็ว่า คำสอนของพระองค์ก็มีทิศ 6 เหมือนกัน คือการปฏิบัติต่อกันระหว่าง พ่อแม่ - ลูก ครูอาจารย์-ศิษย์เป็นต้น


พูดเป็นพ่อเล็บงามแบบนี้ไง พาลหาเรื่องชาวบ้านเขาแท้ ๆ
เรื่องความเชื่อความศรัทธามันเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล
ใครจะเชื่ออย่างไหน มันเป็นเรื่องของเขา

ความสำคัญมันอยู่ที่ เมื่อเราเชื่อและประกาศตนเป็นผู้นับถือศาสนาใดแล้ว
เราก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทางของศาสนานั้นๆ
ศาสนาแต่ล่ะศาสนาต่างก็มีเหตุผลของตน มันไม่ใช่เรื่องที่คนของศาสนาอื่นจะไปรู้ดีแทนเขา

กรัชกายก็เช่นกัน ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน
แต่ดันไปรู้สะแหล่นไปแนะนำเรื่องของศาสนาอื่น แบบนี้ก็แสดงว่า กรัชกายไม่ใช่พุทธแท้

เป็นพุทธแต่ดันไปรู้เรื่องของศาสนาอื่น นี่ก็คือเอาเรื่องของศาสนาอื่นมามั่วศาสนาพุทธ
:b32:


โฮฮับโลกแคบจัง คิกๆๆ มองและคิดยังงั้นแหละแหละความคิดจึงติดตัน :b1:

แผ่นดินชมพูทวีปในยุคนั้น พราหมณ์เกิดก่อนพุทธ พุทธเกิดทีหลัง ผู้คนในสมัยนั้นนับถือพราหมณ์ วงค์ศาคณาญาติของพระพุทธเจ้าก็เป็นพรามหณ์ เจ้าชายสิทธัตถะเองก็เป็นพรามหณ์ ถูกไหม

หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชแล้วได้ตรัสรู้อนุตรสัมโพธิญาณ แล้วได้เสด็จเที่ยวแสดงธรรมสังสอนผู้คนท่ามกลางศาสนาพราหมณ์ซึ่งประชาชนเขานับถืออยู่ก่อนแล้ว จนมีผู้รู้ตามแล้วบวชตาม พุทธศาสนาจึงอุบัติขึ้นตั้งแต่นั้นมา ดังนั้นคำสอนของพราหมณ์ตรงไหนที่ดีพระพุทธเจ้าก็นำมาใช้แต่เปลี่ยนความหมายสะใหม่ งงล่ะซี่ คิกๆๆ เอาง่ายๆแม้แต่คำว่านิพพาน เขาก็พูดกันมาก่อนแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กว้างไป ไกลตัว ไกลงานที่พึงกระทำเกินไป ที่ไปคัดพุทธดำรัสมาอ้าง จนโฮฮับต้องมาเตือน

เพราะไปมัวคิดหาและค้นคว้าเรื่องกรรมจากตำรา มาเล่าต่อ จึงกลายเป็นเรื่องฟุ้งซ่านไกลตัวไป ไม่นำไปสู่การปฏิบัติจริงนะครับ กรัชกาย

วัตถุประสงค์ของการยกเรื่องกรรมและวิบาก หรือการกระทำและการรับผลของการกระทำมาแบ่งปันกันในครั้งนี้ก็เพื่อจะชี้ให้ทุกคนเห็นว่า

เรื่องของกรรมและวิบาก เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เป็นตัวขับดันให้สัตว์โลก หรือแม้แต่โลกเองต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่รู้จบ โดยเริ่มจากจุดกำเนิดเล็กๆในดวงจิต คือมโนกรรม ขยายแรงต่อเป็น วจีกรรม จนถึงกายกรรม ลงมือทำด้วยตัวเอง ทุกขั้นตอนมีผลให้ต้องแบกรับตามน้ำหนักและแรงที่กระทำลงไป ถ้าผู้ใดได้ศึกษาสังเกตให้ดีโดยละเอียด ก็จะได้รู้ว่ากรรมหรือการกระทำใดๆที่ไม่เป็นกลางหรือไม่เป็น อโหสิกรรม ย่อมเป็นการสร้างภาระให้ต้องแบกรับและกลายมาเป็นแรงขับให้ชีวิตต้องดิ้นรน ทุกข์ อยู่ร่ำไปไม่มีสิ้นสุด ดุจลูกตุ้มนาฬิกา ที่ถูกไขลานไว้ ย่อมกวัดไกวกลับไปมาไม่รู้จบ ดวงจิต หรือชีวิตที่มิได้หยุดพัก หรือแบกหามภาระหนักย่อมเหน็ดเหนื่อยเป็นทุกข์ หากแม้นยังปารถนาความสุข และเป็นสุขที่นิรันดร์ ย่อมต้องมาเพียรศึกษาหาทางออกกันให้จนพบ วิธีที่ดีและง่ายที่สุดก็คือเดินตามรอยเท้ารอยบาทของผู้ที่เคยประสบความสำเร็จในการพิชิตทุกข์ คือพระสัมมาสัมพุทธองค์ หรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย มาทำกรรมใหม่ ที่เป็น "วิวัฏฏะ" คือหยุดการหมุนเวียน

กรรมหรือการกระทำที่เป็น "วิวัฏฏะ" จึงจะเป็นจุดหมายปลายทางของกระทู้นี้ โดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อความรู้มากแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่นักวิชาการทั้งหลายใฝ่แสวงหา[/b]
[/color] tongue
ขอบใจโฮฮับที่เข้ามาร่วมทักทาย กระทู้นี้ไม่มั่ว แต่มีทิศทางและวัตถุประสงค์ที่แน่นอนเพื่อแบ่งปันธรรมกันนะครับ โปรดติดตามไปเรื่อยๆ ทักท้วงบ้างเมื่อเห็นว่าออกนอกทางนอกประเด็น ก็เป็นการดี อนุโมทนา




ท่านอโศกขอรับ คุณจะยกเรื่องกรรมวิบาก ก็นำบทความบาลีมาให้เข้ากับเรื่องที่ตนเองพูดสิครับ
ไม่ใช่ไปเอา "กัมมุนาวัฏติโลโก" มาแล้วก็ว่าอะไรนักไม่รู้ หัวมังกุท้ายมังกรนะ

ที่อันที่จริงก็ผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ของเขาเป็น “กัมมุนา วัตตตี โลโก” (กมฺมุนา วตฺตตี โลโก) คำว่า กรรม (กัมม์) ในที่นี้ ได้แก่ การงานอาชีพที่ทำ ไม่ใช่กรรมอย่างอโศกคิดนึกเอาเอง

ถ้าจะพูดเรื่องกรรม วิบาก ...อย่างว่า ต้องนี่ “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”..เป็นต้น. แปลว่า. ภิกษุทั้งหลาย เจตนา เราเรียกว่ากรรม บุคคลจงใจแล้ว จึงกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ


ทีนี้แหละได้เถียงกันทะลุจอแน่ คิกๆๆ



ถ้าได้สนทนากันเรื่องเจตนาข้างหน้าอาจมีพาดพิงถึง จึงให้ดูศัพท์ “กรรม” ไว้ก่่อนซึ่งก็คุ้นๆตากันดี และบ้านเราก็นำมาใช้ดื่นไป

กายกรรม
วจีกรรม
มโนกรรม
กุศลกรรม
อกุศลกรรม
กรรมฐาน (สันสกฤต กรรม+ฐาน)
กัมมัฏฐาน (บาลี กัมม์+ฐาน)
กสิกรรม
เกษตรกรรม
อุตสาหกรรม
วิศวกรรม
ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 22:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กว้างไป ไกลตัว ไกลงานที่พึงกระทำเกินไป ที่ไปคัดพุทธดำรัสมาอ้าง จนโฮฮับต้องมาเตือน

เพราะไปมัวคิดหาและค้นคว้าเรื่องกรรมจากตำรา มาเล่าต่อ จึงกลายเป็นเรื่องฟุ้งซ่านไกลตัวไป ไม่นำไปสู่การปฏิบัติจริงนะครับ กรัชกาย

วัตถุประสงค์ของการยกเรื่องกรรมและวิบาก หรือการกระทำและการรับผลของการกระทำมาแบ่งปันกันในครั้งนี้ก็เพื่อจะชี้ให้ทุกคนเห็นว่า

เรื่องของกรรมและวิบาก เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เป็นตัวขับดันให้สัตว์โลก หรือแม้แต่โลกเองต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่รู้จบ โดยเริ่มจากจุดกำเนิดเล็กๆในดวงจิต คือมโนกรรม ขยายแรงต่อเป็น วจีกรรม จนถึงกายกรรม ลงมือทำด้วยตัวเอง ทุกขั้นตอนมีผลให้ต้องแบกรับตามน้ำหนักและแรงที่กระทำลงไป ถ้าผู้ใดได้ศึกษาสังเกตให้ดีโดยละเอียด ก็จะได้รู้ว่ากรรมหรือการกระทำใดๆที่ไม่เป็นกลางหรือไม่เป็น อโหสิกรรม ย่อมเป็นการสร้างภาระให้ต้องแบกรับและกลายมาเป็นแรงขับให้ชีวิตต้องดิ้นรน ทุกข์ อยู่ร่ำไปไม่มีสิ้นสุด ดุจลูกตุ้มนาฬิกา ที่ถูกไขลานไว้ ย่อมกวัดไกวกลับไปมาไม่รู้จบ ดวงจิต หรือชีวิตที่มิได้หยุดพัก หรือแบกหามภาระหนักย่อมเหน็ดเหนื่อยเป็นทุกข์ หากแม้นยังปารถนาความสุข และเป็นสุขที่นิรันดร์ ย่อมต้องมาเพียรศึกษาหาทางออกกันให้จนพบ วิธีที่ดีและง่ายที่สุดก็คือเดินตามรอยเท้ารอยบาทของผู้ที่เคยประสบความสำเร็จในการพิชิตทุกข์ คือพระสัมมาสัมพุทธองค์ หรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย มาทำกรรมใหม่ ที่เป็น "วิวัฏฏะ" คือหยุดการหมุนเวียน

กรรมหรือการกระทำที่เป็น "วิวัฏฏะ" จึงจะเป็นจุดหมายปลายทางของกระทู้นี้ โดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อความรู้มากแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่นักวิชาการทั้งหลายใฝ่แสวงหา[/b]
[/color] tongue
ขอบใจโฮฮับที่เข้ามาร่วมทักทาย กระทู้นี้ไม่มั่ว แต่มีทิศทางและวัตถุประสงค์ที่แน่นอนเพื่อแบ่งปันธรรมกันนะครับ โปรดติดตามไปเรื่อยๆ ทักท้วงบ้างเมื่อเห็นว่าออกนอกทางนอกประเด็น ก็เป็นการดี อนุโมทนา




ท่านอโศกขอรับ คุณจะยกเรื่องกรรมวิบาก ก็นำบทความบาลีมาให้เข้ากับเรื่องที่ตนเองพูดสิครับ
ไม่ใช่ไปเอา "กัมมุนาวัฏติโลโก" มาแล้วก็ว่าอะไรนักไม่รู้ หัวมังกุท้ายมังกรนะ

ที่อันที่จริงก็ผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ของเขาเป็น “กัมมุนา วัตตตี โลโก” (กมฺมุนา วตฺตตี โลโก) คำว่า กรรม (กัมม์) ในที่นี้ ได้แก่ การงานอาชีพที่ทำ ไม่ใช่กรรมอย่างอโศกคิดนึกเอาเอง

ถ้าจะพูดเรื่องกรรม วิบาก ...อย่างว่า ต้องนี่ “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”..เป็นต้น. แปลว่า. ภิกษุทั้งหลาย เจตนา เราเรียกว่ากรรม บุคคลจงใจแล้ว จึงกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ


ทีนี้แหละได้เถียงกันทะลุจอแน่ คิกๆๆ

s004
กรัชกายแปลเพี้ยนไปเองเลยเกิดความฟั่นเฟือนในธรรม

บุรพาจารย์ท่านแปลไว้ให้เข้าใจง่ายดีแล้วว่า

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"หรือแปลให้เป็นไทยชัดๆลงไปอีกว่า
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามผลของการกระทำ" แล้วจึงมีคำพูดต่อไปอีกหลายคำที่เกี่ยวข้องเช่น

"ทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"....เป็นเรื่องของเหตุและผลง่ายๆ

แต่กรัชกายกลับจะมาทำให้เป็นเรื่องยาก

ไปเอาคำแปลที่ไหนมาว่า กัมม หรือ กรรม แปลว่า การทำอาชีพแต่เพียงถ่ายเดียว

การกระทำทุกอย่าง ทั้งทางกาย วาจา ใจ เป็นกรรมทั้งนั้น

กรัชกายไม่เคยได้ยินหรือที่เขาว่า กายกรรม......วจีกรรม....มโนกรรม
s006
คิดมากหรือรู้มากไปจนเกินพอดีหรือเปล่ากรัชกาย

ระวังจะเป็นอย่างที่เขาว่า

"รู้มาก ยากนาน" นะจะบอกให้ หรือจะเป็นไปอย่างที่นักวิชาการทั้งหลายมักเป็นคือ

"ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"
อย่าหาเรื่องค้านตะพึดตะพืออย่าง ป xx.สิ จะเสียการใหญ่
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กว้างไป ไกลตัว ไกลงานที่พึงกระทำเกินไป ที่ไปคัดพุทธดำรัสมาอ้าง จนโฮฮับต้องมาเตือน

เพราะไปมัวคิดหาและค้นคว้าเรื่องกรรมจากตำรา มาเล่าต่อ จึงกลายเป็นเรื่องฟุ้งซ่านไกลตัวไป ไม่นำไปสู่การปฏิบัติจริงนะครับ กรัชกาย

วัตถุประสงค์ของการยกเรื่องกรรมและวิบาก หรือการกระทำและการรับผลของการกระทำมาแบ่งปันกันในครั้งนี้ก็เพื่อจะชี้ให้ทุกคนเห็นว่า

เรื่องของกรรมและวิบาก เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เป็นตัวขับดันให้สัตว์โลก หรือแม้แต่โลกเองต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่รู้จบ โดยเริ่มจากจุดกำเนิดเล็กๆในดวงจิต คือมโนกรรม ขยายแรงต่อเป็น วจีกรรม จนถึงกายกรรม ลงมือทำด้วยตัวเอง ทุกขั้นตอนมีผลให้ต้องแบกรับตามน้ำหนักและแรงที่กระทำลงไป ถ้าผู้ใดได้ศึกษาสังเกตให้ดีโดยละเอียด ก็จะได้รู้ว่ากรรมหรือการกระทำใดๆที่ไม่เป็นกลางหรือไม่เป็น อโหสิกรรม ย่อมเป็นการสร้างภาระให้ต้องแบกรับและกลายมาเป็นแรงขับให้ชีวิตต้องดิ้นรน ทุกข์ อยู่ร่ำไปไม่มีสิ้นสุด ดุจลูกตุ้มนาฬิกา ที่ถูกไขลานไว้ ย่อมกวัดไกวกลับไปมาไม่รู้จบ ดวงจิต หรือชีวิตที่มิได้หยุดพัก หรือแบกหามภาระหนักย่อมเหน็ดเหนื่อยเป็นทุกข์ หากแม้นยังปารถนาความสุข และเป็นสุขที่นิรันดร์ ย่อมต้องมาเพียรศึกษาหาทางออกกันให้จนพบ วิธีที่ดีและง่ายที่สุดก็คือเดินตามรอยเท้ารอยบาทของผู้ที่เคยประสบความสำเร็จในการพิชิตทุกข์ คือพระสัมมาสัมพุทธองค์ หรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย มาทำกรรมใหม่ ที่เป็น "วิวัฏฏะ" คือหยุดการหมุนเวียน

กรรมหรือการกระทำที่เป็น "วิวัฏฏะ" จึงจะเป็นจุดหมายปลายทางของกระทู้นี้ โดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อความรู้มากแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่นักวิชาการทั้งหลายใฝ่แสวงหา[/b]
[/color] tongue
ขอบใจโฮฮับที่เข้ามาร่วมทักทาย กระทู้นี้ไม่มั่ว แต่มีทิศทางและวัตถุประสงค์ที่แน่นอนเพื่อแบ่งปันธรรมกันนะครับ โปรดติดตามไปเรื่อยๆ ทักท้วงบ้างเมื่อเห็นว่าออกนอกทางนอกประเด็น ก็เป็นการดี อนุโมทนา




ท่านอโศกขอรับ คุณจะยกเรื่องกรรมวิบาก ก็นำบทความบาลีมาให้เข้ากับเรื่องที่ตนเองพูดสิครับ
ไม่ใช่ไปเอา "กัมมุนาวัฏติโลโก" มาแล้วก็ว่าอะไรนักไม่รู้ หัวมังกุท้ายมังกรนะ

ที่อันที่จริงก็ผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ของเขาเป็น “กัมมุนา วัตตตี โลโก” (กมฺมุนา วตฺตตี โลโก) คำว่า กรรม (กัมม์) ในที่นี้ ได้แก่ การงานอาชีพที่ทำ ไม่ใช่กรรมอย่างอโศกคิดนึกเอาเอง

ถ้าจะพูดเรื่องกรรม วิบาก ...อย่างว่า ต้องนี่ “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”..เป็นต้น. แปลว่า. ภิกษุทั้งหลาย เจตนา เราเรียกว่ากรรม บุคคลจงใจแล้ว จึงกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ


ทีนี้แหละได้เถียงกันทะลุจอแน่ คิกๆๆ

s004
กรัชกายแปลเพี้ยนไปเองเลยเกิดความฟั่นเฟือนในธรรม

บุรพาจารย์ท่านแปลไว้ให้เข้าใจง่ายดีแล้วว่า

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"หรือแปลให้เป็นไทยชัดๆลงไปอีกว่า
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามผลของการกระทำ" แล้วจึงมีคำพูดต่อไปอีกหลายคำที่เกี่ยวข้องเช่น

"ทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"....เป็นเรื่องของเหตุและผลง่ายๆ

แต่กรัชกายกลับจะมาทำให้เป็นเรื่องยาก

ไปเอาคำแปลที่ไหนมาว่า กัมม หรือ กรรม แปลว่า การทำอาชีพแต่เพียงถ่ายเดียว

การกระทำทุกอย่าง ทั้งทางกาย วาจา ใจ เป็นกรรมทั้งนั้น

กรัชกายไม่เคยได้ยินหรือที่เขาว่า กายกรรม......วจีกรรม....มโนกรรม
s006
คิดมากหรือรู้มากไปจนเกินพอดีหรือเปล่ากรัชกาย

ระวังจะเป็นอย่างที่เขาว่า

"รู้มาก ยากนาน" นะจะบอกให้ หรือจะเป็นไปอย่างที่นักวิชาการทั้งหลายมักเป็นคือ

"ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"
อย่าหาเรื่องค้านตะพึดตะพืออย่าง ป xx.สิ จะเสียการใหญ่
:b12:



แน่ๆ มีเถียงข้างๆคูๆ ก็บอกว่ายกมาผิดฝาผิดตัว ยังจะเถียงอีกแนะ ดื้อจริง ๆ เดี๋ยวตกนรกหรอก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

ถ้าจะพูดเรื่องกรรม วิบาก ...อย่างว่า ต้องนี่ “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”..เป็นต้น. แปลว่า. ภิกษุทั้งหลาย เจตนา เราเรียกว่ากรรม บุคคลจงใจแล้ว จึงกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ


ทีนี้แหละได้เถียงกันทะลุจอแน่ คิกๆๆ





อยากพูดกรรมวิบากนักก็ เอ้า ว่าไปขยายความไปนะขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2014, 22:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กว้างไป ไกลตัว ไกลงานที่พึงกระทำเกินไป ที่ไปคัดพุทธดำรัสมาอ้าง จนโฮฮับต้องมาเตือน

เพราะไปมัวคิดหาและค้นคว้าเรื่องกรรมจากตำรา มาเล่าต่อ จึงกลายเป็นเรื่องฟุ้งซ่านไกลตัวไป ไม่นำไปสู่การปฏิบัติจริงนะครับ กรัชกาย

วัตถุประสงค์ของการยกเรื่องกรรมและวิบาก หรือการกระทำและการรับผลของการกระทำมาแบ่งปันกันในครั้งนี้ก็เพื่อจะชี้ให้ทุกคนเห็นว่า

เรื่องของกรรมและวิบาก เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เป็นตัวขับดันให้สัตว์โลก หรือแม้แต่โลกเองต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่รู้จบ โดยเริ่มจากจุดกำเนิดเล็กๆในดวงจิต คือมโนกรรม ขยายแรงต่อเป็น วจีกรรม จนถึงกายกรรม ลงมือทำด้วยตัวเอง ทุกขั้นตอนมีผลให้ต้องแบกรับตามน้ำหนักและแรงที่กระทำลงไป ถ้าผู้ใดได้ศึกษาสังเกตให้ดีโดยละเอียด ก็จะได้รู้ว่ากรรมหรือการกระทำใดๆที่ไม่เป็นกลางหรือไม่เป็น อโหสิกรรม ย่อมเป็นการสร้างภาระให้ต้องแบกรับและกลายมาเป็นแรงขับให้ชีวิตต้องดิ้นรน ทุกข์ อยู่ร่ำไปไม่มีสิ้นสุด ดุจลูกตุ้มนาฬิกา ที่ถูกไขลานไว้ ย่อมกวัดไกวกลับไปมาไม่รู้จบ ดวงจิต หรือชีวิตที่มิได้หยุดพัก หรือแบกหามภาระหนักย่อมเหน็ดเหนื่อยเป็นทุกข์ หากแม้นยังปารถนาความสุข และเป็นสุขที่นิรันดร์ ย่อมต้องมาเพียรศึกษาหาทางออกกันให้จนพบ วิธีที่ดีและง่ายที่สุดก็คือเดินตามรอยเท้ารอยบาทของผู้ที่เคยประสบความสำเร็จในการพิชิตทุกข์ คือพระสัมมาสัมพุทธองค์ หรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย มาทำกรรมใหม่ ที่เป็น "วิวัฏฏะ" คือหยุดการหมุนเวียน

กรรมหรือการกระทำที่เป็น "วิวัฏฏะ" จึงจะเป็นจุดหมายปลายทางของกระทู้นี้ โดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อความรู้มากแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่นักวิชาการทั้งหลายใฝ่แสวงหา[/b]
[/color] tongue
ขอบใจโฮฮับที่เข้ามาร่วมทักทาย กระทู้นี้ไม่มั่ว แต่มีทิศทางและวัตถุประสงค์ที่แน่นอนเพื่อแบ่งปันธรรมกันนะครับ โปรดติดตามไปเรื่อยๆ ทักท้วงบ้างเมื่อเห็นว่าออกนอกทางนอกประเด็น ก็เป็นการดี อนุโมทนา




ท่านอโศกขอรับ คุณจะยกเรื่องกรรมวิบาก ก็นำบทความบาลีมาให้เข้ากับเรื่องที่ตนเองพูดสิครับ
ไม่ใช่ไปเอา "กัมมุนาวัฏติโลโก" มาแล้วก็ว่าอะไรนักไม่รู้ หัวมังกุท้ายมังกรนะ

ที่อันที่จริงก็ผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ของเขาเป็น “กัมมุนา วัตตตี โลโก” (กมฺมุนา วตฺตตี โลโก) คำว่า กรรม (กัมม์) ในที่นี้ ได้แก่ การงานอาชีพที่ทำ ไม่ใช่กรรมอย่างอโศกคิดนึกเอาเอง

ถ้าจะพูดเรื่องกรรม วิบาก ...อย่างว่า ต้องนี่ “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”..เป็นต้น. แปลว่า. ภิกษุทั้งหลาย เจตนา เราเรียกว่ากรรม บุคคลจงใจแล้ว จึงกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ


ทีนี้แหละได้เถียงกันทะลุจอแน่ คิกๆๆ

s004
กรัชกายแปลเพี้ยนไปเองเลยเกิดความฟั่นเฟือนในธรรม

บุรพาจารย์ท่านแปลไว้ให้เข้าใจง่ายดีแล้วว่า

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"หรือแปลให้เป็นไทยชัดๆลงไปอีกว่า
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามผลของการกระทำ" แล้วจึงมีคำพูดต่อไปอีกหลายคำที่เกี่ยวข้องเช่น

"ทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"....เป็นเรื่องของเหตุและผลง่ายๆ

แต่กรัชกายกลับจะมาทำให้เป็นเรื่องยาก

ไปเอาคำแปลที่ไหนมาว่า กัมม หรือ กรรม แปลว่า การทำอาชีพแต่เพียงถ่ายเดียว

การกระทำทุกอย่าง ทั้งทางกาย วาจา ใจ เป็นกรรมทั้งนั้น

กรัชกายไม่เคยได้ยินหรือที่เขาว่า กายกรรม......วจีกรรม....มโนกรรม
s006
คิดมากหรือรู้มากไปจนเกินพอดีหรือเปล่ากรัชกาย

ระวังจะเป็นอย่างที่เขาว่า

"รู้มาก ยากนาน" นะจะบอกให้ หรือจะเป็นไปอย่างที่นักวิชาการทั้งหลายมักเป็นคือ

"ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"
อย่าหาเรื่องค้านตะพึดตะพืออย่าง ป xx.สิ จะเสียการใหญ่
:b12:



แน่ๆ มีเถียงข้างๆคูๆ ก็บอกว่ายกมาผิดฝาผิดตัว ยังจะเถียงอีกแนะ ดื้อจริง ๆ เดี๋ยวตกนรกหรอก :b1:

:b12:
"การกระทำอาชีพ"........นั่นหละหรือ คำแปลที่ถูกต้อง ถ้าอย่างนั้นก็เชิญพล่ามไปตามสบายเลยนะ ให้โอกาส เหนื่อยแล้วก็พักด้วย ผมจะได้มีเวลาแบ่งปันเรื่องกรรมและ วิบากอย่างง่ายๆ พื้นๆ ต่อ

ใครจะตกนรกเดี๋ยวก็รู้ เพราะมโนกรรม คิดขวางธรรม ก็ทำแล้ว วจีกรรมการมาสาธยายร่ายยาวก็ทำแล้ว....กายกรรมที่คีย์ตัวหนังสือลงทาในกระทู้นี้ก็ทำแล้ว ครบองค์ 3 แล้ว วิบากหรือผลของการขวางธรรมเกิดแน่ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไปเลยแหละกรัชกาย จะได้อุทธัจจะ และปฏิฆะเป็นรางวัลอันดับแรกๆ พึงสังเกตให้ดีนะ แล้วก็จะได้พบเห็นนรกในเมืองคนด้วย
:b12: :b13: :b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2014, 00:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผิดผลาดไป..ก็แก้ไขได้...อโสกะ...4 ตีนยังรู้พลาด..นักปราชญ์ก็รู้ผลั้ง...บันฑิตผิดแล้วแก้ไข...

ทิฏฐิธรรม....แก้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2014, 05:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
"การกระทำอาชีพ"........นั่นหละหรือ คำแปลที่ถูกต้อง ถ้าอย่างนั้นก็เชิญพล่ามไปตามสบายเลยนะ ให้โอกาส เหนื่อยแล้วก็พักด้วย ผมจะได้มีเวลาแบ่งปันเรื่องกรรมและ วิบากอย่างง่ายๆ พื้นๆ ต่อ

ใครจะตกนรกเดี๋ยวก็รู้ เพราะมโนกรรม คิดขวางธรรม ก็ทำแล้ว วจีกรรมการมาสาธยายร่ายยาวก็ทำแล้ว....กายกรรมที่คีย์ตัวหนังสือลงทาในกระทู้นี้ก็ทำแล้ว ครบองค์ 3 แล้ว วิบากหรือผลของการขวางธรรมเกิดแน่ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไปเลยแหละกรัชกาย จะได้อุทธัจจะ และปฏิฆะเป็นรางวัลอันดับแรกๆ พึงสังเกตให้ดีนะ แล้วก็จะได้พบเห็นนรกในเมืองคนด้วย


แน่ะๆๆ ให้พูดไม่พูด พูดไปสิขอรับเนี่ย กรรม วิบาก

อ้างคำพูด:
“เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”.



ถ้าอโศกพูดได้ตรงกับพุทธพจน์นี่ ได้นั่งแท่นทางธรรมสมปรารถนาแน่เอ้า ยิ่งกว่านั้นนะตายไปก็เป็นเทพอยู่บนฟากฟ้าแล้วก็ทำวิปัสสนาต่อที่นั่นจนเป็นพระอรหันต์ด้วย ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นคนอีกเลย เป็นคนมันวุ่นน้อ คิกๆๆ เช้าก็ต้องตื่นนอน (ยกเว้นไหลตาย) ตื่นมานึกว่าจะจบเรื่อง ไม่ต้องทำอะไรแล้วอยู่แบบสบายๆ น๊อยต้องอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน (ไม่งั้นเหม็นไปทั้งตัว :b32: ) ก็คิดว่าล้างหน้าแปรงฟันคงจบ ไม่ต้องทำอะไรนอนเล่นสบายๆ แน่ะต้องไปทำงานหาเงินมาแลกปัจจัย ๔ ดำรงชีวิตเลี้ยงครอบครัว กินแล้วยังถ่ายออกอีก คิกๆ เกิดเป็นคนวุ่นจริงๆน้อ มีลูกก็ไม่ได้ดังใจตัว มีผัวก็ไม่ได้ดังใจ มีเมียก็ชอบเล่นไพ่เล่นการพนัน ฯลฯ :b9: ถึงขนาดนั้นน่ะ พอถามว่าอยากตายไหม แน่ะบอกอยากอยู่ไม่อยากตาย ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์สมบัติ คิกๆๆ :b13: อยากมีอายุยืน มีสุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติมีสุขภาพแข็งแรง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2014, 13:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผิดผลาดไป..ก็แก้ไขได้...อโสกะ...4 ตีนยังรู้พลาด..นักปราชญ์ก็รู้ผลั้ง...บันฑิตผิดแล้วแก้ไข...

ทิฏฐิธรรม....แก้ได้

:b12:
คำที่พูดทั้งหมดนี้เหมาะกับกบและกรัชกายที่พึงนำมาใคร่ครวญพิจารณา ให้ มากๆเข้าไว้นะ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2014, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กรัชกายแปลเพี้ยนไปเองเลยเกิดความฟั่นเฟือนในธรรม

บุรพาจารย์ท่านแปลไว้ให้เข้าใจง่ายดีแล้วว่า

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"หรือแปลให้เป็นไทยชัดๆลงไปอีกว่า
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามผลของการกระทำ" แล้วจึงมีคำพูดต่อไปอีกหลายคำที่เกี่ยวข้องเช่น

"ทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"....เป็นเรื่องของเหตุและผลง่ายๆ

แต่กรัชกายกลับจะมาทำให้เป็นเรื่องยาก

ไปเอาคำแปลที่ไหนมาว่า กัมม หรือ กรรม แปลว่า การทำอาชีพแต่เพียงถ่ายเดียว

การกระทำทุกอย่าง ทั้งทางกาย วาจา ใจ เป็นกรรมทั้งนั้น

กรัชกายไม่เคยได้ยินหรือที่เขาว่า กายกรรม......วจีกรรม....มโนกรรม
s006
คิดมากหรือรู้มากไปจนเกินพอดีหรือเปล่ากรัชกาย

ระวังจะเป็นอย่างที่เขาว่า

"รู้มาก ยากนาน" นะจะบอกให้ หรือจะเป็นไปอย่างที่นักวิชาการทั้งหลายมักเป็นคือ

"ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"
อย่าหาเรื่องค้านตะพึดตะพืออย่าง ป xx.สิ จะเสียการใหญ่
:b12:



อ้างคำพูด:
กัมม หรือ กรรม แปลว่า การทำอาชีพแต่เพียงถ่ายเดียว




ที่อโศกยกมาทีแรก "กมฺมุนา วตฺตตี โลโก" กัมมุนา เดิมเป็น กมฺม แล้วเขาแจกวิภัตติ จึงเป็น กัมมุนา ที่แปลว่า ตามกรรมนั่นแหละ :b1:

จะทำให้งงอีกตัวนะขอรับ "เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ" กมฺมํ (กัมมัง) เดิมมันก็เป็น กัมม (กมฺม) เป็นบาลี แปลได้หลายอย่าง แต่เดิมเขา กรรม (กมฺม) แปลว่า การงาน

(อ้าวแล้วทำไมจึงกัมมัง แต่ตัวก่อน เป็นกัมมุนา ก็อย่างที่ว่าเขานำไปแจกวิภัตติ แล้วมันคนละวิภัตติกัน ก็แค่นี้)

แต่ กมฺม ตัวนี้ "เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ" ได้แก่ เจตนา (เจตนาเราเรียกว่ากรรม) ก็เป็นปกติของภาษาเขา กรัชกายทำให้ยากตรงไหน งง :b1:

อ้างบุรพาจารย์ ๆ คนไหนอยากรู้ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2014, 13:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกายแปลเพี้ยนไปเองเลยเกิดความฟั่นเฟือนในธรรม

บุรพาจารย์ท่านแปลไว้ให้เข้าใจง่ายดีแล้วว่า

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"หรือแปลให้เป็นไทยชัดๆลงไปอีกว่า
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามผลของการกระทำ" แล้วจึงมีคำพูดต่อไปอีกหลายคำที่เกี่ยวข้องเช่น

"ทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"....เป็นเรื่องของเหตุและผลง่ายๆ

แต่กรัชกายกลับจะมาทำให้เป็นเรื่องยาก

ไปเอาคำแปลที่ไหนมาว่า กัมม หรือ กรรม แปลว่า การทำอาชีพแต่เพียงถ่ายเดียว

การกระทำทุกอย่าง ทั้งทางกาย วาจา ใจ เป็นกรรมทั้งนั้น

กรัชกายไม่เคยได้ยินหรือที่เขาว่า กายกรรม......วจีกรรม....มโนกรรม
s006
คิดมากหรือรู้มากไปจนเกินพอดีหรือเปล่ากรัชกาย

ระวังจะเป็นอย่างที่เขาว่า

"รู้มาก ยากนาน" นะจะบอกให้ หรือจะเป็นไปอย่างที่นักวิชาการทั้งหลายมักเป็นคือ

"ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"
อย่าหาเรื่องค้านตะพึดตะพืออย่าง ป xx.สิ จะเสียการใหญ่
:b12:



อ้างคำพูด:
กัมม หรือ กรรม แปลว่า การทำอาชีพแต่เพียงถ่ายเดียว




ที่อโศกยกมาทีแรก "กมฺมุนา วตฺตตี โลโก" กัมมุนา เดิมเป็น กมฺม แล้วเขาแจกวิภัตติ จึงเป็น กัมมุนา ที่แปลว่า ตามกรรมนั่นแหละ :b1:

จะทำให้งงอีกตัวนะขอรับ "เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ" กมฺมํ (กัมมัง) เดิมมันก็เป็น กัมม (กมฺม) เป็นบาลี แปลได้หลายอย่าง แต่เดิมเขา กรรม (กมฺม) แปลว่า การงาน

(อ้าวแล้วทำไมจึงกัมมัง แต่ตัวก่อน เป็นกัมมุนา ก็อย่างที่ว่าเขานำไปแจกวิภัตติ แล้วมันคนละวิภัตติกัน ก็แค่นี้)

แต่ กมฺม ตัวนี้ "เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ" ได้แก่ เจตนา (เจตนาเราเรียกว่ากรรม) ก็เป็นปกติของภาษาเขา กรัชกายทำให้ยากตรงไหน งง :b1:

อ้างบุรพาจารย์ ๆ คนไหนอยากรู้ :b10:

s004
คิดมากและทำให้ยากอีกแล้ว้พ่อนักวิชาการใหญ่กรัชกาย

เราจะพูดเรื่องของกรรมและวิบากให้มันง่ายๆหรือแปลไทยๆว่า

เราจะพูดเรื่องของการกระทำและผลของการกระทำ....มันทำไมต้องมายุ่งยากเสียเวลากับศัพท์แสงพวกนี้นักหนา

นักวิชาการนะนักวิชาการ ชอบทำง่ายให้เป็นยาก ทำน้อยให้เป็นมากเพราะกลัวคนอื่นรู้ทันละกระมัง
grin


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2014, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกครับ เราควรมองพระพุทธศาสนาให้ทั่วทุกมุมทุกด้านนะขอรับ อย่าไปจ้องแต่จะเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นโสดา ฯลฯ อรหันต์

ที่ว่ามองให้ทั่วทุกด้าน คือว่าพระพุทธเจ้าใช้เวลาสังสอนธรรมอยู่ถึง ๔๕ ปี คำสอนจึงมีมากมายครอบคลุมชนทุกระดับทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ชาวบ้านเขาจะไปทำมากินที่ไหน เขายังมาถามเลยครับ จะนำมาให้สังเกตสักตัวอย่างหนึ่ง :b1:

ครั้งหนึ่ง อุชชัยพราหมณ์ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า ตนจะไปอยู่ต่างถิ่น จะขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน และธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้า


พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า

"ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการ เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา

จากนั้น ตรัสแสดงธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า หรือประโยชน์ล้ำเลยตาเห็น (สัมปรายิกัตถะ) คือ สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา และปัญญาสัมปทา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 127 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร