วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 12:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2014, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:


อนุโมทนาครับ เข้าใจเหมือนกัน แต่ความเป็นอุปทานขันธ์ขันธ์ มันยังมีอำนาจ ยังคงรู้ แต่รู้ชัดเฉพาะผัสสะ แต่ยังไม่รู้แจ้ง ยังเห็นเป็นเราเป็นเขาอยู่ ก็ต้องฝึกต่อๆไป



อ้างคำพูด:
เข้าใจเหมือนกัน แต่ความเป็นอุปทานขันธ์ มันยังมีอำนาจ



ดูบาลีที่เกี่ยวกับ ขันธ์ และอุปาทานขันธ์ครับ (เข้าใจไม่เข้าใจบอกด้วยนะครับ)




ขันธ์ 5 กับ อุปาทานขันธ์ 5 หรือชีวิต กับ ชีวิตซึ่งเป็นปัญหา



ในพุทธพจน์นี้แสดงความหมายของอริยสัจ 4 ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ประมวลใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา มีข้อความที่น่าสังเกตเป็นพิเศษเกี่ยว กับ ขันธ์ 5 ปรากฏอยู่ในอริยสัจข้อที่ 1 คือ ข้อว่าด้วยทุกข์


ในอริยสัจข้อที่ 1 นั้น ตอนต้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงความหมายหรือคำจำกัดความของทุกข์ ด้วยวิธียกตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆ ที่มองเห็นได้ง่ายและมีอยู่เป็นสามัญในชีวิตของบุคคล ขึ้นแสดงว่าเป็นความทุกข์แต่ละอย่างๆ แต่ในตอนท้าย พระองค์ตรัสสรุปลงเป็นข้อเดียวว่า อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ดังพุทธพจน์ว่า


"ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ ทุกขอริยสัจ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์"


พุทธพจน์นี้ นอกจากแสดงถึงฐานะของขันธ์ 5 ในพุทธธรรมแล้ว ยังมีข้อสังเกต สำคัญ คือ ความหมายของ "ทุกข์" นั้น จำง่ายๆ ด้วยคำสรุปที่สั้นที่สุดว่า คือ อุปาทานขันธ์ 5 หรือเบญจอุปาทานขันธ์เท่านั้น และคำว่า ขันธ์ในที่นี้ มี "อุปาทาน" นำหน้ากำกับไว้ด้วย

สิ่งที่ควรศึกษาในที่นี้ ก็คือ คำว่า "ขันธ์" กับ "อุปาทานขันธ์" ซึงขอให้พิจารณาตามพุทธพจน์ ต่อไปนี้

"ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงขันธ์ 5 และอุปาทานขันธ์ 5 เธอทั้งหลายจงฟัง"

"ขันธ์ 5 เป็นไฉน ? รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลหรือใกล้ก็ตาม ....เหล่านี้ เรียกว่า ขันธ์ 5"

"อุปาทานขันธ์ 5 เป็นไฉน? รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลหรือใกล้ก็ตาม ที่ประกอบด้วยอาสวะ (สาสวะ) เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน (อุปาทานิยะ) เหล่านี้ เรียกว่า อุปาทานขันธ์ 5"

"ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน และตัวอุปาทาน เธอทั้งหลายจงฟัง"

"รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ คือธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน ฉันทราคะ ใน รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ นั้นคืออุปาทาน ในสิ่งนั้นๆ"



ฉันทะราคะ - ความชอบใจจนติด หรืออยากอย่างแรงจนยึดติด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2014, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เรื่องบ้านเมืองล้วนเป็นเรื่องของทางโลกทั้งสิ้น เมื่อใจเรายังยึดมั่น
ว่านี่บ้านเรา นี่เมืองเรา นี่ประเทศเรา เราก็จัดการไปตามแบบของ
ทางโลก

เมื่อครั้งพระบิดากราทูลให้พระพุทธเจ้าสละสมณะเพศเพื่อขึ้นครอง
ราชย์ อ้างเหตุผลต่างๆมากมาย กลัวไม่มีผู้สืบราชย์สมบัติ กลัวบ้าน
เมืองตกเป็นของผู้อื่น พระพุทธเจ้าปฏิเสธทันที คือไม่ว่าบ้านเมือง
จะเป็นของใครก็ยังเป็นบ้านเมือง ผู้หวังนิพพานสละแล้วซึ่งการยึด
มั่นในตัวตน ของเขา ของเรา พระพุทธเจ้าก็ทราบเรื่อง ก็ไม่ได้ยุ่ง
รู้ก็แค่รู้เท่านั้นเอง เพราะท้ายสุดก็เอาอะไรไปไม่ได้

หากจะคิดหลีกเลี่ยง ทางกายไม่ยุ่งได้ หลีกเลี่ยงได้ง่าย ไปในที่ๆ
ไม่มีม๊อบก็อาจหมดเรื่อง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงบ้าน คิดไปต่างๆ
นานา กลัวโดนปาระเบิด กลัวโดนปล้น กลัวโดนเผา จิตก็เริ่มกังวล
จิตไม่นิ่ง พอปฏิบัติก็ครึ่งกลางๆ เพราะตัวหนีมาแต่ใจยังอยู่ที่บ้าน
ครึ่งนึง ตัวมาหมดแต่ใจมาไม่ไหมด

หากทางกายหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องหลีกเลี่ยงทางใจ โดนม๊อบ
ล้อมหน้าล้อมหลังทุกวัน นานๆเข้าก็อาจจิตตกหากไม่มันคงพอ
หากห่วงบ้านก็อยู่ที่บ้านนั่นแหล่ะ ตัวอยู่ใจอยู่ รักษาใจของเรา
ไม่ให้หวั่นไหวไปกับเหตุการณ์ ถึงจะโดนม๊อบล้อมบ้าน แต่ม๊อบ
มันล้อมใจเราไม่ได้หากเราไม่ยินยอม คนเราหากถึงเวลาตาย
เลี่ยงยังไงก็ตายอยู่ดี

สำหรับคำแนะนำ ขอแนะนำว่าหากเลี่ยงได้ควรเลี่ยง เลี่ยงไม่ได้
ก็รักษาใจอย่าหวั่นไหว อย่างที่บอกครับ ไม่ถึงคราวก็ไม่ตายนะ

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2014, 09:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับ...ผู้ที่ยังต้องอยู่คบโลก...พระองค์ก็ยังสอนครับ..

๕ กูฏทัตสูตร สูตรว่าด้วยกูฏทันตพราหมณ์ ( พราหมณ์ฟันเขยิน ) พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นมคธ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จแวะพัก ณ บ้านพราหมณ์ชื่อขานุมัตตะ ประทับ ณ อัมพลัฏฐิกา ( สวนมะม่วงหนุ่ม). สมัยนั้นกูฏทันตราหมณ์ครอบครองหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อขานุมัตตะ ซึ่งพระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้. อนึ่ง กูฏทันตพราหมณ์เตรียมประกอบยัญญพิธี เอาโคผู้ ๗๐๐ , ลูกโคผู้ ๗๐๐, ลูกโคเมีย ๗๐๐ , แพะ ๗๐๐ แกะ ๗๐๐ ๑.     ผูกติดไว้กันเสา เพื่อเตรียมบูชายัญ. พราหมณ์คฤหบดีชาวขานุมัตตะได้ทราบเรื่องว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมา และเป็นผู้มีกิติศัพท์ชจรขยายไปว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ก็เดินไปเป็นหมู่ ๆ เพื่อเฝ้า กูฏทันตพราหมณ์เห็นเข้า ( เช่นเดียวกับเรื่องโสณทัณฑพราหมณ์) ถามทราบเรื่องก็สั่งให้รอ ตนจะร่วมไปเฝ้าด้วย แต่ถูกพราหมณ์ที่เดินทางมา ( เพื่อรับของถวาย) ในมหายัญคัดค้าน และกูฏทันตพราหมณ์โต้ตอบ ( เช่นเดียวกับเรื่องโสณทันฑพราหมณ์) ในที่สุดจึงร่วมกันไปเฝ้าทั้งหมด. กูฏทันตพราหมณ์จึงกราบทูลถามให้ทรงอธิบายถึงยัญญสัมปทา ( ความถึงพร้อม คือสมบูรณ์แห่งยัญ ๓ ประการ อันมีส่วนประกอบ ( บริขาร) ๑๖ อย่าง). พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าถึงพระเจ้ามหาวิชิตะในอดีตกาลผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ได้ชัยชนะปฐมมณฑลอันยิ่งใหญ่ ใคร่จะบูชามหายัญ เพื่อประโยชน์และความสุข จึงตรัสเรียกพราหมณ์ปุโรหิตมาให้ช่วยสอนวิธีบูชามหายัญนั้น. พราหมณ์ปุโรหิตแนะนำให้ปราบโจรผู้ร้ายก่อน แต่ไม่ใช่ด้วยวิธี แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีฆ่าหรือจองจำ เพราะพวกที่เหลือจากถูกฆ่าก็จะเบียดเบียนชนบทในภายหลัง ( ตัวตายตัวแทน) โดยที่แท้ควรถอนรากโจรผู้ร้าย ( ด้วยวิธีจดการทางเศรษฐกิจให้ดี) คือแจกพืชแก่กสิกรในชนบทที่อุตสาหะประกอบอาชีพ ให้ทุนแก่พ่อค้าที่อุตสาหะในการค้าให้อาหาร และค่าจ้างข้าราชการ ( ให้ทุกคนมีอาชีพมีรายได้) พระราชทรัพย์ก็เพิ่มพูน ชนบทก็จะจะไม่มีเสี้ยนหนาม มนุษย์ทั้งหลายก็จะรื่นเริงอุ้มบุตรให้ฟ้อนอยู่ที่อก ไม่ต้องปิดประตูเรือน. เมื่อพระเจ้ามหาวิชิตะทรงทำตามคำแนะนำนั้นก็ได้ผลดี จึงตรัสเรียกพราหมณ์ปุโรหิตมา ขอให้สอนเรื่องการบูชามหายัญ. พราหมณ์ปุโรหิตจึงแนะนำให้ขออนุญาตบูชามหายัญ โดยแจ้งให้กษัตริย์ผู้น้อยกว่าที่อยู่ในนิคมชนบท, อำมาตย์ ข้าราชการบริพารที่อยู่ในนิคมชนบท, พราหมณ์มหาศาลที่อยู่ในนิคมชนบท , คฤหบดีที่อยู่ในนิคมชนบทได้ทราบเรื่อง และอนุญาตให้บูชามหายัญ. เมื่อทรงปฏิบัติตามนั้นก็ได้รับอนุญาตจากบุคคลทั้งสี่ประเภทเหล่านั้น . นี้นับเป็นฝ่ายอนุมัติ ๔ ซึ่งเป็นเครื่องประกอบของยัญนั้น. องค์พระเจ้ามหาวิชิตะเอง ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ ๑. มีชาติดี ๒ มีรูปร่างงาม ๓. มีทรัพย์มาก ๔. มีกำลังรบ ๕. มีศรัทธาบริจากทาน ๖. สดับตรับฟังมาก ( มีการศึกษาดี) ๗. รู้ความหมายของภาษิตนั้น ๆ ( อธิบายความหมายได้) ๘. เป็นผู้ฉลาดมีปัญญา. คุณสมบัติ ๘ ประการนี้เป็นเครื่องประกอบของยัญนั้น. คุณสมบัติพราหมณ์ปุโรหิตอีก ๔ คือ ๑. มีชาติดี ๒. ท่องจำมนต์ได้ ๓. มีศีล ๔. เป็นผู้ฉลาดมีปัญญา คุณสมบัติ ๔ ประการนี้เป็นเครื่องประกอบของยัญนั้น. ( รวมเป็น ๑๖ คือฝ่ายอนุมัติ ๔ คุณสมบัติของราชา ๘ คุณสมบัติของปุโรหิต ๔). ต่อไปพราหมณ์จึงแสดงปุโรหิตจึงแสดงถึง ยัญ ๓ ประการ คือต้องไม่มีความเดือดร้อนใจว่า โภคทรัพย์เป็นมาก ๑ . จักหมดไป ๒. กำลังหมดไป ๓. หมดไปแล้ว. แล้วพราหมณ์ปุโรหิตได้แสดงถึงการบันเทาความเดือดร้อนใจของผู้บูชายัญที่จะพึงมีในฝ่ายผู้รับทาน ๑๐ ประการ คือผู้ฆ่าสัตว์, ผู้ลักทรัพย์. ผู้ผิดในกาม, ผู้พูดปด, ผู้พูดเสียด, ผู้พูดคำหยาบ, ผู้พูดเพ้อเจ้อ. ผู้ละโมบอยาดได้ของคนอื่น , ผู้พยาบาทปองร้ายผู้อื่น , ผู้เห็นผิดทำนองคลองธรรม อาจมาสู่ยัญญพิธี โดยตั้งใจว่ายัญญนี้อุทิศผู้ที่ปฏิบัติดี ตรงกันข้ามกับฝ่ายชั่ว ๑ ประการ. เมื่อมีเครื่องประกอบยัญ ๑๖ ประการดั่งต่อไปนี้ ก็ไม่มีผู้ใดกล่าวติเตียนได้โดยธรรม. ครั้นแล้วได้แสดงวิธีบูชาต่อไป ในยัญนั้น ไม่มีการฆ่าโค , แพะ , แกะ, ไก่ , สุกรและวัตว์ต่าง ๆ ก็ไม่ต้องถึงความพินาศ, ไม่มีการตัดต้นไม้ เพื่อสร้างปราสาท ( ต้องนรับผู้มีดูพิธี) ไม่ต้องเกี่ยวหญ้าคามาเพื่อแวดวงประดับโรงพิธี หรือเพื่อปูลาดกับพื้น พวกทาสีกรรมกรก็ไม่ต้องถูกขู่เข็ญลงโทษ มีหน้านองด้วยน้ำตาทำงาน ใครปรารถนาจะทำก็ทำ ไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องทำ เพราะยัญนั้นสำเร็จด้วยเนยใส, น้ำมัน, เนยข้น,น้ำผึ้ง น้ำอ้อย. ผู้ที่เดินทางมาในการนี้ นำเครื่องบรรณาการมาถวาย พระเจ้ามหาวิชิตะก็ไม่ทรงรับ กลับตรัสให้นำของพระองค์เพื่มให้กลับไป แต่บุคคลเหล่านั้นไม่นำกลับ กลับสละตาม (คือแจกทานตามพระเจ้ามหาววิชิตะ) . ต่างตั้งยัญศาลาขึ้น ๔ ทิศ ( กษัตริย์ทิศบูรพา , อำมาตย์ทิศทักษิณ, พราหมณ์มหาศาลทิศประจิม, คฤหดีทิศอุดร) แจกทานร่วมในการนี้. กูฏทันตพราหมณ์กราบทูลถามว่า ยังมียัญอื่นที่มีการเริ่มน้อยกว่า แต่มีผลมากกว่ายัญ ๓ บริขาร ๑๖ ที่กล่าวแล้วหรือไม่ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า มี ก็ถามต่อไปอีกถึงยัญที่มีการริเริ่มน้อยกว่า แต่มีผลมากกว่า เป็นการถามตอบหลายวาระ. สิ่งที่มีการริเริ่มน้อยกว่า แต่มีผลมากกว่ากันโดยลำดับ ซึ่งผู้มีพระภาคตรัสตอบมีกังนี้ -  ๑. การให้ทานเป็นนิตย์ อุทิศผู้มีศีล.  ๒. การสร้างวิหาร ( ที่อยู่) อุทิศสงฆ์ที่มาจาก ๔ ทิศ.  ๓. การถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ.  ๔. การสมาทานศีล ๕ คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปด และดื่มสุราเมรัย.  ๕. การออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ ตั้งอยู่ในศีล ๓ ประเภท บำเพ็ญสมาธิจนได้ฌาน ๔ บำเพ็ญปัญญาจนได้วิชชา ๘ ( ดั่งกล่าวไว้แล้วในสามัญญผลสูตร). กูฏทัตพราหมณ์มีความเลื่อมใสในพระธรรมเทศนา ประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ปล่อยสัตว์อย่างละ ๗๐๐ หลายประเภทนั้นให้เป็นอิสระ และเมื่อได้ฟังธรรมเทศนาต่อไป ( อนุบุพพกถาและอริยสัจจ์ ๔ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ( เป็นพระโสดาบัน). ( พระสูตรนี้ทำให้เห็นว่า เพียงการถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะหรือการรักษาศีล ๕ ก็ยังผลมากกว่าการบำเพ็ญมหายัญใหญ่โต จึงน่าจะเป็นเครื่องเตือนใจผู้คิดทำบุญซึ่งมักจะบ่นว่าไม่มีทุนทำบุญ ให้ทราบว่าบุญนั้นไม่จำเป็นต้องลงทุนเอาทรัพย์แลกเสมอไป เพียงแต่การรักษาศีล ๕ ก็เป็นบุญอันสูงกว่านนั้น).


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2014, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นี่ครับ :b1:


อ้างคำพูด:
ในช่วงที่บ้านเมืองแบ่งฝ่ายทะเลาะกันรุนแรง เพื่อน ๆ นักภาวนาที่ยังต้องยุ่งเกี่ยวกับทางโลกมีวิธีหลีกเลี่ยงอย่างไร?

พอจะมีใครที่สามารถหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกระแสความเกลียดชัง ความขัดแย้ง โดยที่ไม่ได้ไปบวช หรือถือศึล/จำศีลที่วัด แต่ยังสามารถดำเนินชีวิตทำงานในสังคมเมืองใหญ่ ๆ เช่น ยังอาศัยอยู่ในเขต กทม. และปริมณฑล ได้อย่างเป็นปกติสุข เข้าสังคมเจอหน้าเพื่อนฝูง / ญาติพี่น้อง ก็ไม่นินทา ด่าทอนักการเมือง(ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน) คือว่าง่าย ๆ ก็คือไม่ปล่อยให้ จิตใจ คล้อยตามกระแสการเมือง หรือเปิดทีวี หรืออ่าน นสพ. facebook Social Media ต่าง ๆ แล้วไม่หวั่นไหวไปตามกระแสความขัดแย้งทางการเมือง ที่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง หรือสังคมรอบตัวกำลังโหนกระแส

มีใคร/นักภาวนาท่านใด ที่ทำได้หรือสอบผ่านสัก 90% + บ้างครับ ช่วยมาแชร์วิธีการยืนอยู่ในสังคมที่กำลังร้อนระอุให้ฟังหน่อยครับ เผื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้บ้าง

http://pantip.com/topic/31834665



ในช่วงที่บ้านเมืองแบ่งฝ่ายทะเลาะกันรุนแรง เพื่อน ๆ นักภาวนาที่ยังต้องยุ่งเกี่ยวกับทางโลกมีวิธีหลีกเลี่ยงอย่างไร?

อยากรู้วิธีของ amazing บ้างนิ :b14: หายเงียบไปเลย

โฮฮับ ก็หาย หรือว่า ? คริกๆๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2014, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




2d0bee1325dffbe41415a3f55fdbf5f2.jpg
2d0bee1325dffbe41415a3f55fdbf5f2.jpg [ 17.8 KiB | เปิดดู 1889 ครั้ง ]
ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา เบื้องต้นควรศึกษาให้ครบทุกด้าน จึงจะไม่สุดโต่งเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ส่วนภาคปฏิบัติตนเองจะทำได้ตามนั้นหรือไม่ เป็นอีกขั้นหนึ่่ง เรายอมรับความจริง ทำได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ :b32:





“ทั้งคนมี ทั้งคนจน ต่างก็กระทบผัสสะ ทั้งคนพาล ทั้งนักปราชญ์ ก็ถูกกระทบเหมือนกัน แต่คนพาลเพราะความที่อ่อนปัญญา ย่อมนอนผวาหวาด ส่วนผู้เป็นปราชญ์ ถึงถูกผัสสะกระทบ ก็หาสะท้านไม่ เพราะเหตุนั้น ปัญญานั่นแหละ จึงประเสริฐกว่าทรัพย์ ด้วยเป็นเหตุให้บรรลุจุดหมายสูงสุดได้ในโลกนี้”


อุปกรณ์สำคัญของการประกอบสัมมาอาชีวะ ก็คือศิลปวิทยา หรือสิปปะ ดังนั้น ท่านจึงเตือนให้ขวนขวายศึกษาศิลปวิทยา และให้บิดามารดาถือเป็นหน้าที่ ที่จะให้บุตรศึกษาเล่าเรียน


แต่ความรู้วิชาชีพ หรือความชำนาญงานอย่างเดียว ก็แคบไป ท่านจึงให้มีพาหุสัจจะ คือความเป็นผู้ได้สดับมาก หรือศึกษาเล่าเรียนกว้างขวางประกอบด้วย เพื่อช่วยให้เห็นช่องทางในการประกอบสิปปะกว้างขวางออกไป สามารถบำเพ็ญประโยชน์ ช่วยแก้ปัญหาให้แก่เพื่อนมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น และมีความคิดความเข้าใจมองเห็นอะไรๆกว้างขวางลึกซึ้ง โดยเฉพาะความรู้ความสดับ ที่ช่วยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นตัวแท้เริ่มเริ่มแรกของการศึกษา


พร้อมนั้น ก็ให้ฝึกอบรมระเบียบวินัย เพื่อพร้อมที่จะนำสิปปะไปใช้ในทางที่สุจริต และมีความประพฤติทั่วไปที่ดีงาม เกื้อกูลแก่ความอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น หรือแก่สังคม กับทั้งฝึกฝนให้รู้จักพูด รู้จักเจรจาให้เป็นผลดี เป็นการขยายช่องทางดำเนินชีวิต และบำเพ็ญประโยชน์ให้กว้างขวางยิ่ง่ขึ้น


หลักการขั้นศีลที่กล่าวนี้ ดำเนินตามพุทธพจน์ว่า


“พาหุสัจจะ ๑ สิปปะ ๑ วินัยที่ศึกษาดีแล้ว หรือฝึกอบรมเป็นอย่างดีแล้ว ๑ วาจาที่กล่าวได้ดี ๑ นี้เป็นอุดมมงคล...การงานไม่คั่งค้างอากูล นี่ก็เป็นอุดมมงคล...กิจกรรมที่ไร้โทษ นี่ก็เป็นอุดมมงคล”


นอกจากนี้ มีบาลีภาษิตเตือนให้ศึกษาศิลปวิทยาอีกมาก เช่น

“คนไม่มีศิลปวิทยา เลี้ยงชีวิตอยู่ได้ยาก”

“จงให้บุตรเรียนรู้วิทยา”

“อะไรควรศึกษา ก็พึงศึกษาเถิด”

“ขึ้นชื่อว่าศิลปวิทยา ไม่ว่าอย่างไหนๆ ให้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น”

“อันความรู้ ควรเรียนทุกอย่าง ไม่ว่าต่ำ ว่าสูง หรือปานกลาง ควรรู้ความหมายเข้าใจทั้งหมด แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกอย่าง วันหนึ่งจะถึงเวลา ที่ความรู้นั้นนำมาซึ่งประโยชน์”


มีข้อที่ขอย้ำแทรกเข้ามา เกี่ยวกับอุดมมงคลระดับนี้ว่า พาหุสัจจะ ความช่ำชองเชิงวิชาการ ควรมาพร้อม สิปปะ ความชำนาญในเชิงปฏิบัติ คือ ดีทั้งวิชา และฝีมือ ถ้าทั้งสองอย่างนี้มาเข้าคู่กันครบ ก็หวังได้ ซึ่งความเป็นเลิศแห่งงาน


ยิ่งถ้าเป็นคนมีวินัย ที่ได้ฝึกมาอย่างดี และเป็นคนที่พูดเป็น คือรู้จักพูดจาให้ได้ผลดี สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจหรือเห็นตามได้ ชวนให้เกิดความร่วมมือและสามัคคี ก็ยิ่งหวังได้ว่ากิจการจะประสบความสำเร็จ

ครั้นสำทับเข้าด้วยการปฏิบัติดีงาน ที่เรียบร้อย ฉับไว้ ไม่คั่งค้างอากูล และเสริมด้วยการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ก็ยิ่งเป็นเครื่องประกันถึงความสำเร็จบริบูรณ์แห่งชีวิตด้านการงาน

แต่เพื่อป้องกันมิให้มีช่องว่าง ที่บุคคลนั้นจะมัวหลงเพลิดเพลินแต่วิทยาและการงาน จนลืมหน้าที่ต่อบุคคลใกล้ชิดภายในความรับผิดชอบที่บ้าน ท่านจึงแทรกมงคลอีก ๒ อย่างเข้ามาในช่องว่างแทรกที่เว้นไว้ คือ การบำรุงมารดาบิดา และการสงเคราะห์บุตรภรรยา


ครั้นภาระด้านส่วนตัวครบครั้นแล้ว ท่านจะให้บุคคลผู้เป็นอริยสาวกนั้น คำนึงถึงความรับผิดชอบที่ตนจะพึงเกื้อกูลแก่คนอื่นขยายกว้างออกไป ตลอดถึงเพื่อนมนุษย์ทั้งหมด ให้ชีวิตของตนก้าวหน้าในความดีงาม และได้ชื่อว่า มีส่วนร่วมในการผดุงธรรมของมนุษยชาติ ท่านจึงเสริมมงคลอีก ๓ อย่างเข้ามาในช่องว่างหลัง คือ ญาติสังคหะ การสงเคราะห์ญาติ ทาน การให้ปันเกื้อกูลกว้างออกไป และธรรมจริยา การประพฤติธรรม

เมื่อประพฤติตนได้เพียงนี้ ก็นับว่าเพียงพอ สำหรับจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ครองชีวิตที่ดีงามในโลก

เรื่องอาชีวะนี้ เห็นควรพูดสรุปไว้อีก แม้จะต้องกล่าวความซ้ำซ้อนกับข้างต้นว่า พระพุทธศาสนายอมรับและยืนยันความจำเป็นทางวัตถุ โดยเฉพาะปัจจัย ๔ ดังเช่น พุทธพจน์ที่ตรัสบ่อยว่า

“สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺฐิติกา (สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร)

........

พาหุสัจจะ - ความเป็นผู้ได้สดับมาก หรืือเล่าเรียนกว้างขวางลึกซึ้ง

สิปปะ- วิชาชีพ หรือความจัดเจนงาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2014, 03:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การเข้าไปรับรู้ หรือเป็นผู้ได้รับผลกระทบ

ให้เป็นผู้มีสติ ทรงจิตทรงอารมณ์ ด้วยพรหมวิหาร 4
ถือเอา เมตตา กรุณา มุฒิตา และอุเบกขาให้มั่นคง

ก็จะเป็นผู้มีจิตไม่หวั่นไหวไปตามกระแสความรุนแรงที่มากระทบใจ
อย่างน้อยที่สุด ก็บรรเทาความรุนแรงที่จิตจะกระเพื่อมไปตามอารมณ์ต่างๆได้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2014, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5015


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: :b41: :b41:

ต้องรู้เท่าทัน ต้องแยกให้ออก ...
ต้องระลึกให้ได้ ... โลภะ โทสะ โมหะ เป็นภัยที่ฉุดรั้งทุกสิ่ง
ที่...เมื่อเราปล่อยให้มันกระโดดเข้ามาจับเราอย่างอิสระไร้การควบคุม...เมื่อไร
มันก็เหมือนเราได้กำลังลงมือเคี่ยวกาว ยิ่งเราให้เวลากับมันให้มันอยู่กับเรานานเท่าไร
กาวก็ยิ่งเหนียว ข้น จับตัวกันหนืด และงวดลงเรื่อย ๆ
และการที่จะยกไม้พายขึ้นให้พ้นจากเนื้อกาว ก็ยิ่งต้องใช้กำลัง

เช่นกัน ...

เราต้องมองเห็นปัจจุบัน ... และหยั่งเห็นอนาคต

ใช้ชีวิตอย่างผู้ที่รู้เท่าทัน กาล ...

พูดถึงตรงนี้ ทำให้นึกถึงพระสูตรหนึ่งขึ้นมาได้

พระสูตรที่พระพุทธองค์กล่าวถึงเรื่องการตัดต้นไม้...
ที่ว่าตัดที่ใบ ตัดที่กิ่ง ตัดที่ลำต้น ตัดที่ราก อะไรทำนองนั้น ๆ น่ะ
ถ้าใครพอจะนึกออก และสืบค้นมาวางได้ ก็ smiley
...

คือในชีวิตคนที่ต้องการที่พักอันสงบให้กับจิต...อย่างพอเหมาะตามอัตภาพ...
ถ้าเรามีพระสูตรดี ๆ พระสูตรง่าย ๆ ที่เราจะระลึกขึ้นมาคอยเตือนใจได้
อย่างน้อย เราก็จะรู้ว่า
ในสถานการณ์แต่ละอย่าง เราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร...



:b1: :b1: :b1:


การจำพระสูตรง่าย ๆ ที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบ ได้
ก็เป็นคุณต่อผู้เพียร...นั่นเอง...

และมันก็ OK นะ ... ที่เรามีพระพุทธเจ้าคอยเตือนสติ เตือนใจ ....

:b41: :b41: :b41:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร