วันเวลาปัจจุบัน 18 ส.ค. 2025, 23:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2014, 13:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
"ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์"

ด่านแรกหรือเป้าหมายแรกคือ ทำลายความเห็นผิดว่าเป็นตัวกู ของกูให้ขาดสะบั้นเสียก่อน

แล้วที่เหลือจะง่ายไปเองทั้งหมด
smiley


อโสกะ....ทำอย่างไรบ้างครับ?..แชร์ให้ฟังหน่อย..

:b16:
การทำลายความเห็นผิดว่าเป็นอัตตาตัวกูของกูนั้น อยู่ในหลักปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั่นเลยทีเดียว

ทั้งการเจริญมรรค 8 การเจริญสติปัฏฐาน 4 การเจริญปัจจุบันอารมณ์ หรือการเจริญวิปัสสนาภาวนา

ประเด็นที่จะเอาความเห็นผิดออกนั้น อยู่ตรงงานสำคัญของสติปัฏฐาน 4 ที่ว่า

"วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง".......แปลว่า "เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก"

วิเคราะห์กันให้ดีตรงส่วนนี้

ยินดี ยินร้าย.........ใครเป็นผู้ยินดียินร้าย..........อัตตา ความเห็นผิดว่าเป็น กู เป็น เรา นั่นแหละ
ที่ไปยินดียินร้าย ในผัสสะและเวทนาทั้งหลาย

เอาออกเสียให้ได้......ใครจะเป็นผู้เอาออก.......สติ ปัญญา สมาธิ ศีล ร่วมกันเอาออก

เอาออกอย่างไร........นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนดับไปต่อหน้าต่อตา โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบโต้กับความยินดียินร้ายทั้งหลาย.......ขั้นตอนนี้ ความยากมันจะอยู่ในภาคปฏิบัติ คือ จะต้องรวมพลัง สติ ปัญญา
ตบะ ขันติ วิริยะ หยุดยั้งใจเป็นกูเป็นเราที่ดิ้นรนจะเอาให้ได้ตามอำนาจความยินดียินร้าย ถ้าอดทนเอาชนะได้ ยินดียินร้ายก็จะดับไปเองตามกฎแห่ง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา......สิ่งที่เหลือไว้ให้คือ อุเบกขา ความวางเฉย

พอกพูนความวางเฉยนี้ไว้ให้มากเข้าๆ เมื่อถึงที่สุดก็จะส่งให้เกิดมรรค ผล นิพพาน

ตอนที่สติ ปัญญาและกองหนุนทั้งหลายสู้กับใจอัตตาที่ดิ้นรนนั้น มีผู้สรุปเป็นวิธีปฏิบัติไว้ว่า

"ใจปัญญา อย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย
ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย กู จะถอย หรือตายดับ ไปจากใจ"

เชิญทดลองปฏิบัติกันดูนะครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2014, 14:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ใจปัญญา.....อย่างไรเรียกใจปัญญา....ต่างกับใจกู..อย่างไร...?
ใจกู..มีลักษณะอย่างไรจึงเรียกใจกึ?

อะไรทำให้ใจไปยินดียินร้าย...ครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2014, 16:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ใจปัญญา.....อย่างไรเรียกใจปัญญา....ต่างกับใจกู..อย่างไร...?
ใจกู..มีลักษณะอย่างไรจึงเรียกใจกึ.....(กู)?

อะไรทำให้ใจไปยินดียินร้าย...ครับ?

:b27:
ใจปัญญา.......จิตที่ประกอบด้วย ปัญญินทรีย์เจตสิก อันมี สัมมาทิฏฐิ (เห็นถูกต้อง)และ สัมมาสังกัปปะ(คิดถูกต้อง)

ใจเป็นกู.......จิตที่อุปาทาน ยึดมั่นว่า กาย ใจ นี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

ต่างกันคือ ใจปัญญา เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เกิดขึ้นมาทำหน้าที่แล้วก็ดับไป ไม่ก่อให้เกิดกิเลสตัณหา

ใจเป็นกู เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วจะมียินดียินร้ายและตัณหาเกิดขึ้นตามมาเสมอ

ใจกู....ใจเป็นกู......มีลักษณะดิ้นรน ตอบโต้กับผัสสะและเวทนาต่างๆไปด้วยความ ยินดี (อภิชฌา) ยินร้าย (โทมนัส) หรือแม้แต่เฉยๆ
:b38:
สิ่งที่ทำให้ใจไปยินดียินร้ายก็คือ "ความเห็นผิดว่าเป็นกู เป็นเราที่ผูกยึดไว้ในใจนั่นแหละ"
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2014, 20:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


การแสดงธรรมอันว่าด้วย ...

การเพาะ... ถั่วงอก ...

:b1:

เมื่อถั่วงอก งอกได้ที่ ก็ถูกลวกไปอยู่ในชามเกาเหลา...

:b1:

คนไม่ได้กินถั่วงอก
คนกิน ถั่วงอกดัดแปลง

ถ้าจะกินถั่วงอกจริง ๆ ต้องไม่เลาะเปลือก และก็ต้องไม่เด็ดหางด้วย ... :b32:
ซึ่ง...นั่นคือ ถั่วงอกที่แทบจะไม่เคยมีคนได้กิน

:b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 02 เม.ย. 2014, 21:08, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2014, 20:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เราเติมเต็มความคิด ด้วยความคิด สิ่งที่เต็ม(ไปหมด)ก็คือความคิด

ใบไม้ว่างเปล่า ร่วงหล่นมา เมื่อต้องลม ย่อมปลิวร่อนไปตามทิศทางลม

จิตที่ว่างเปล่า เฝ้ามองดูใบไม้ที่ร่วงหล่น
เห็นธรรมอันเป็นไปในภายนอก สอดคล้องกับธรรมอันเป็นไปในภายใน
...
ธรรม ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง...

เมื่อเวลายังไม่อาจคืนย้อนกลับ
เมื่อสายน้ำยังไม่อาจไหลทวน
...
จะรั้ง...สรรพสิ่งไว้ในกำมือได้อย่างไร...
...
เข้าใจ ด้วยอารมณ์ที่เข้าใจ
ธรรมภายนอก ธรรมภายใน โคจรไปด้วยจังหวะเดียวกัน ...
จังหวะเดียวกับจังหวะที่สรรพสิ่งต่างก็โคจรไปพร้อม ๆ กัน


:b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 10:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ใจปัญญา.......จิตที่ประกอบด้วย ปัญญินทรีย์เจตสิก อันมี สัมมาทิฏฐิ (เห็นถูกต้อง)และ สัมมาสังกัปปะ(คิดถูกต้อง)

ใจเป็นกู.......จิตที่อุปาทาน ยึดมั่นว่า กาย ใจ นี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

ต่างกันคือ ใจปัญญา เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เกิดขึ้นมาทำหน้าที่แล้วก็ดับไป ไม่ก่อให้เกิดกิเลสตัณหา

ใจเป็นกู เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วจะมียินดียินร้ายและตัณหาเกิดขึ้นตามมาเสมอ

ใจกู....ใจเป็นกู......มีลักษณะดิ้นรน ตอบโต้กับผัสสะและเวทนาต่างๆไปด้วยความ ยินดี (อภิชฌา) ยินร้าย (โทมนัส) หรือแม้แต่เฉยๆ
:b38:
สิ่งที่ทำให้ใจไปยินดียินร้ายก็คือ "ความเห็นผิดว่าเป็นกู เป็นเราที่ผูกยึดไว้ในใจนั่นแหละ"
:b39:


ต่อนะครับ.....

ใจที่มีสัมมาทิฏฐิ....ใจเป้นอย่างไร...?
ใจที่มี..สัมมาสังกัปปะ....ใจเป็นอย่างไร?

ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ที่เหตุ.....ก็เลยคิดว่า...การที่ใจไปมีอุปาทานว่า..ร่างกายนี้เป็นเรา...หรือ..ตัวกู..นี้...ก็ย่อมมีเหตุ....หาไม่แล้ว...จะมีการแก้ได้อย่างไร....

ในความคิดของอโสกะ...คิดว่า...อะไรเป็นเหตุพาให้หลงว่า...ร่างกายนี้เป็นเรา..หรือ..ตัวกู...ครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 11:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
การแสดงธรรมอันว่าด้วย ...

การเพาะ... ถั่วงอก ...

:b1:

เมื่อถั่วงอก งอกได้ที่ ก็ถูกลวกไปอยู่ในชามเกาเหลา...

:b1:

คนไม่ได้กินถั่วงอก
คนกิน ถั่วงอกดัดแปลง

ถ้าจะกินถั่วงอกจริง ๆ ต้องไม่เลาะเปลือก และก็ต้องไม่เด็ดหางด้วย ... :b32:
ซึ่ง...นั่นคือ ถั่วงอกที่แทบจะไม่เคยมีคนได้กิน

:b32: :b32: :b32:

:b12: :b12: :b12:
ตกลงทุกวันนี้เอก้อนกินถั่วงอกผอมๆที่มีทั้งเปลือกเขียวๆที่ติดหัวมาพร้อมกับกินรากดำๆที่อยู่ข้างล่างด้วย

ถั่วงอกทั้งเปลือกและราก กับถั่วงอกดัดแปลง ก็ถั่วงอกเหมือนกัน ก็คงกินอิ่มเหมือนกันนะครับ


แต่คนยุคใหม่นี่เขาไม่กินกันแล้วแบบนั้น เขาคัดเลือกเอามากินเฉพาะส่วนที่กินได้และอร่อยที่สุดเท่านั้น เปลือกกับรากที่กินไม่ได้เพราะกินกันไม่เป็นก็ทิ้งไป
:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 11:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เราเติมเต็มความคิด ด้วยความคิด สิ่งที่เต็ม(ไปหมด)ก็คือความคิด

ใบไม้ว่างเปล่า ร่วงหล่นมา เมื่อต้องลม ย่อมปลิวร่อนไปตามทิศทางลม

จิตที่ว่างเปล่า เฝ้ามองดูใบไม้ที่ร่วงหล่น
เห็นธรรมอันเป็นไปในภายนอก สอดคล้องกับธรรมอันเป็นไปในภายใน
...
ธรรม ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง...

เมื่อเวลายังไม่อาจคืนย้อนกลับ
เมื่อสายน้ำยังไม่อาจไหลทวน
...
จะรั้ง...สรรพสิ่งไว้ในกำมือได้อย่างไร...
...
เข้าใจ ด้วยอารมณ์ที่เข้าใจ
ธรรมภายนอก ธรรมภายใน โคจรไปด้วยจังหวะเดียวกัน ...
จังหวะเดียวกับจังหวะที่สรรพสิ่งต่างก็โคจรไปพร้อม ๆ กัน


:b41: :b41: :b41:

s006
เพ้อหรือเปล่า เอก้อน...........

เพ้ออีกแล้ว
:b7:
:b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 11:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16:
อ้างคำพูด:
ต่อนะครับ.....

ใจที่มีสัมมาทิฏฐิ....ใจเป้นอย่างไร...?
ใจที่มี..สัมมาสังกัปปะ....ใจเป็นอย่างไร?

ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ที่เหตุ.....ก็เลยคิดว่า...การที่ใจไปมีอุปาทานว่า..ร่างกายนี้เป็นเรา...หรือ..ตัวกู..นี้...ก็ย่อมมีเหตุ....หาไม่แล้ว...จะมีการแก้ได้อย่างไร....

ในความคิดของอโสกะ...คิดว่า...อะไรเป็นเหตุพาให้หลงว่า...ร่างกายนี้เป็นเรา..หรือ..ตัวกู...ครับ?

tongue
สัมมาทิฏฐิ.........ตาปัญญาที่ไปทำหน้าที่....เห็น....ดู......รู้

สัมมาสังกัปปะ.....ตาปัญญาที่ไปทำหน้าที่.....สังเกต(ไม่ใช้ความคิด).....พิจารณา (ใช้ความคิด)

ใจไปเกิดอุปาทานเห็นผิด ว่า กาย ใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู มีเหตุมาจาก อวิชชา ความไม่รู้

ที่ไม่รู้ก็เพราะขาดความสังเกต พิจารณา ปัจจุบันอารมณ์

ถ้ามีสติ รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ มีปัญญา สังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ให้ดีๆ จะเห็นความจริงหรือเห็นถูกต้องว่า มีแต่ความ เกิด - ดับ ซึ่งเมื่อพิจารณาลึกลงไปก็จะได้รู้ความจริงยิ่งขึ้นว่า ความเกิดขึ้น เป็นทุกขัง แต่มันตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง อนิจจัง.......ทั้งทุกขังและอนิจจัง เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ จึงไม่มีแก่นสารอะไรให้ยึดถือเป็นตัวตนเราเขา

เมื่อสติ ปัญญา รู้ เห็นความจริงอย่างนี้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่นานนัก ความเบื่อหน่ายคลายจาง ละวาง ความเห็นผิด ยึดผิด ว่ากาย ใจ นี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกูก็จะดับไป หมดไป สิ้นสูญไป

onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 13:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านคำชี้แจงของอโสกะ...แล้ว...แต่ก็ยังรู้สึกว่า...เบาๆ...ไม่หนักแน่น....แก้ไขข้อข้องใจให้ชัดเจนได้...
asoka เขียน:
:b16: :b16:
อ้างคำพูด:
ต่อนะครับ.....

ใจที่มีสัมมาทิฏฐิ....ใจเป้นอย่างไร...?
ใจที่มี..สัมมาสังกัปปะ....ใจเป็นอย่างไร?

ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ที่เหตุ.....ก็เลยคิดว่า...การที่ใจไปมีอุปาทานว่า..ร่างกายนี้เป็นเรา...หรือ..ตัวกู..นี้...ก็ย่อมมีเหตุ....หาไม่แล้ว...จะมีการแก้ได้อย่างไร....

ในความคิดของอโสกะ...คิดว่า...อะไรเป็นเหตุพาให้หลงว่า...ร่างกายนี้เป็นเรา..หรือ..ตัวกู...ครับ?

tongue
สัมมาทิฏฐิ.........ตาปัญญาที่ไปทำหน้าที่....เห็น....ดู......รู้

สัมมาสังกัปปะ.....ตาปัญญาที่ไปทำหน้าที่.....สังเกต(ไม่ใช้ความคิด).....พิจารณา (ใช้ความคิด)

ใจไปเกิดอุปาทานเห็นผิด ว่า กาย ใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู มีเหตุมาจาก อวิชชา ความไม่รู้

ที่ไม่รู้ก็เพราะขาดความสังเกต พิจารณา ปัจจุบันอารมณ์

ถ้ามีสติ รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ มีปัญญา สังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ให้ดีๆ จะเห็นความจริงหรือเห็นถูกต้องว่า มีแต่ความ เกิด - ดับ ซึ่งเมื่อพิจารณาลึกลงไปก็จะได้รู้ความจริงยิ่งขึ้นว่า ความเกิดขึ้น เป็นทุกขัง แต่มันตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง อนิจจัง.......ทั้งทุกขังและอนิจจัง เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ จึงไม่มีแก่นสารอะไรให้ยึดถือเป็นตัวตนเราเขา

เมื่อสติ ปัญญา รู้ เห็นความจริงอย่างนี้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่นานนัก ความเบื่อหน่ายคลายจาง ละวาง ความเห็นผิด ยึดผิด ว่ากาย ใจ นี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกูก็จะดับไป หมดไป สิ้นสูญไป

onion onion onion


ตัวอย่าง....ถามว่า..ใจเป็นสัมมาทิฏฐิ..เป็นใจอย่างไร...อโสกะ..กลับให้ความหมายของสัมมาทิฏฐิ..มาแทน...ซึ่งความหมายของสัมมาทิฏฐิของอโสกะก็ไม่ชัดเจน...บอกแค่เพียงลักษณะการกระทำเฉยๆ...คือ..เห็น..ดู...รู้....ไม่ได้บอกว่า..ดูอย่างไรจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ...เห็นก็เห็นอย่างไรจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ...และ...รู้...รู้อะไรจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ

แล้วก้อ...ดำริชอบ...นั้น..ดำริอะไร..อย่างไรจึงดำริชอบ

อย่าลืมนะครับว่า..มรรค8 นี้เป็นส่วนหนึ่งในอริยะสัจ4...ตรงนี้ต่างหากคือ..กุญแจสำคัญ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 14:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s006
เพ้อหรือเปล่า เอก้อน...........

เพ้ออีกแล้ว
:b7:
:b43:


:b1: :b16:

เปล่า...เอกอนแค่ไม่ได้ใส่ใจกับความเห็นต่าง ๆ ของท่านแล้ว
เอกอนจะโพสอะไรเอกอนก็โพสไปได้เรื่อยเปื่อย...
จะถูกหรือจะผิดหรือจะอะไร มันไม่เกี่ยวกับใครเลย

แต่ท่านยังใส่ใจในความเห็นเรื่อยเปื่อยของเอกอนอยู่อีกเหร๋อ...

:b1:

หรือว่า จำเป็นจะต้องใส่ใจ...

:b1:

เมื่อเอกอนเห็นท่านอยากแสดงความเป็นตัวของตัวเองในการแสดงธรรม
เอกอน ก็อยากจะเลียนแบบทำในแบบของเอกอนบ้าง

ไม่ได้เหร๋อ... :b16: :b16: :b16: :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 15:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไม...ใจถึงยึด...ว่า..ตัวกู?

ที่ว่า..เพราะ..ความไม่รู้...นั้น...ไม่รู้อะไร?

ก่อนที่จะไปหาว่า..ทำไมใจถึงยึดว่าเป็นตัวกู....เราก็แค่หันมามองดูสิ่งที่เราๆท่านๆทำอยู่ในปัจจุบันนี้แหละ....จะเห็นว่า..ทุกๆสิ่งที่เราทำ..ไม่ว่าจะทำแบบไหนก็แล้วแต่...ต่างก็คิดว่า. .มันดี..
..นั้นแหละ..จึงทำ....แม้แต่ทำชั่ว...โกงกิน...ก็เพราะเห็นว่า..รวย..มันดี..นั้นเอง

หากเห็นว่า...มันดี...แค่นั้น.....ก็คงไม่ลงมือทำสิ่งนั้นถ้าหากไม่เห็นว่า...มันจะนำความสุข...มาให้

รวมความว่า...เราจะทำอะไรสักอย่าง....ก็เพราะ..เห็นว่ามันดี..และ...จะนำความสุขมาให้

ดังนั้น...มีเวทนากับสิ่งใด..มีตัญหากับสิ่งใด...มีอุปาทานกับสิ่งใด้...ต่างก็เพราะคิดว่ามันจะนำความสุขมาให้

ก็ไปมีอุปาทานในธาตุ4ขันธ์5 ว่าคือ..ตัวกู....ก็เพราะ.....นี้คือสิ่งที่จะนำความสุขมาให้..เป็นที่ตั้งของความสุข...จนถึงกับเห็นว่า..นี้คือสุข....จึงปราถณาการเกิด...เป็นมโนสัณเจตนาหาญ....เป็นวิญญาณก็ปฏิสนธิวิญญาณ

นี้แหละ...ตัวกู

ที่ว่า...หลงเพราะไม่รู้....ก็ไม่รู้ว่า...มันไม่ใช่ความจริง...ไม่รู้ซึ้งว่ามันต้องสลาย....แม้มันสลายก็ขอเกิดใหม่...
นี้เอง...ที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ...

การแก้....ก็คือทำให้เห็นจริง...ว่าที่เข้าใจว่าสุขนั้น...มันไม่จริง...มันมีแต่ทุกข์

ทุกข์...พึงกำหนดรู้..นี้งัยละ
ทุกข์...เป็นสิ่งที่สัตว์โลกรู้ได้ยาก...

ทุกข์....เป็นอริยะสัจที่ต้องรู้ให้ได้ก่อน..ก็ด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 20:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
s006
เพ้อหรือเปล่า เอก้อน...........

เพ้ออีกแล้ว
:b7:
:b43:


:b1: :b16:

เปล่า...เอกอนแค่ไม่ได้ใส่ใจกับความเห็นต่าง ๆ ของท่านแล้ว
เอกอนจะโพสอะไรเอกอนก็โพสไปได้เรื่อยเปื่อย...
จะถูกหรือจะผิดหรือจะอะไร มันไม่เกี่ยวกับใครเลย

แต่ท่านยังใส่ใจในความเห็นเรื่อยเปื่อยของเอกอนอยู่อีกเหร๋อ...

:b1:

หรือว่า จำเป็นจะต้องใส่ใจ...

:b1:

เมื่อเอกอนเห็นท่านอยากแสดงความเป็นตัวของตัวเองในการแสดงธรรม
เอกอน ก็อยากจะเลียนแบบทำในแบบของเอกอนบ้าง

ไม่ได้เหร๋อ... :b16: :b16: :b16: :b12: :b12: :b12:

:b12:
เชิญตามสบายนะเอก้อน...เพราะประกาศให้ทราบกันทั่วแล้วนี่ ว่าที่เพ้อๆลอยๆนี่ คือตัวตนของเอก้อน

สาธุ
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 20:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ทำไม...ใจถึงยึด...ว่า..ตัวกู?

ที่ว่า..เพราะ..ความไม่รู้...นั้น...ไม่รู้อะไร?

ก่อนที่จะไปหาว่า..ทำไมใจถึงยึดว่าเป็นตัวกู....เราก็แค่หันมามองดูสิ่งที่เราๆท่านๆทำอยู่ในปัจจุบันนี้แหละ....จะเห็นว่า..ทุกๆสิ่งที่เราทำ..ไม่ว่าจะทำแบบไหนก็แล้วแต่...ต่างก็คิดว่า. .มันดี..
..นั้นแหละ..จึงทำ....แม้แต่ทำชั่ว...โกงกิน...ก็เพราะเห็นว่า..รวย..มันดี..นั้นเอง

หากเห็นว่า...มันดี...แค่นั้น.....ก็คงไม่ลงมือทำสิ่งนั้นถ้าหากไม่เห็นว่า...มันจะนำความสุข...มาให้

รวมความว่า...เราจะทำอะไรสักอย่าง....ก็เพราะ..เห็นว่ามันดี..และ...จะนำความสุขมาให้

ดังนั้น...มีเวทนากับสิ่งใด..มีตัญหากับสิ่งใด...มีอุปาทานกับสิ่งใด้...ต่างก็เพราะคิดว่ามันจะนำความสุขมาให้

ก็ไปมีอุปาทานในธาตุ4ขันธ์5 ว่าคือ..ตัวกู....ก็เพราะ.....นี้คือสิ่งที่จะนำความสุขมาให้..เป็นที่ตั้งของความสุข...จนถึงกับเห็นว่า..นี้คือสุข....จึงปราถณาการเกิด...เป็นมโนสัณเจตนาหาญ....เป็นวิญญาณก็ปฏิสนธิวิญญาณ

นี้แหละ...ตัวกู

ที่ว่า...หลงเพราะไม่รู้....ก็ไม่รู้ว่า...มันไม่ใช่ความจริง...ไม่รู้ซึ้งว่ามันต้องสลาย....แม้มันสลายก็ขอเกิดใหม่...
นี้เอง...ที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ...

การแก้....ก็คือทำให้เห็นจริง...ว่าที่เข้าใจว่าสุขนั้น...มันไม่จริง...มันมีแต่ทุกข์

ทุกข์...พึงกำหนดรู้..นี้งัยละ
ทุกข์...เป็นสิ่งที่สัตว์โลกรู้ได้ยาก...

ทุกข์....เป็นอริยะสัจที่ต้องรู้ให้ได้ก่อน..ก็ด้วยเหตุนี้

:b17:
อ้าว.......กบก็เก่งพอตัวอยู่แล้วนี่ พูดจาเข้าเค้า

อ้อ..ฝากไว้ให้คิดนิดหนึ่งว่า

เห็นว่ามันดี กับ

สำคัญผิดว่ามันดี นี่มีความหมายต่างกันในรายละเอียดพอสมควรนะครับ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 21:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
แต่คนยุคใหม่นี่เขาไม่กินกันแล้วแบบนั้น เขาคัดเลือกเอามากินเฉพาะส่วนที่กินได้และอร่อยที่สุดเท่านั้น เปลือกกับรากที่กินไม่ได้เพราะกินกันไม่เป็นก็ทิ้งไป
:b13: :b13: :b13:


ไร้สาระ

ทีถั่วเขียวต้มน้ำตาล ก็เห็นกินกันทั้งก้อน ทั้งเปลือก...

ซึ่งไอ้ก้อน ๆ นั่นล่ะมันก็งอกออกมาเป็นราก...

:b32:
asoka เขียน:
เชิญตามสบายนะเอก้อน...เพราะประกาศให้ทราบกันทั่วแล้วนี่ ว่าที่เพ้อๆลอยๆนี่ คือตัวตนของเอก้อน

สาธุ
smiley


สนทนาธรรมกะอโศกะ จะเอาอะไรมากกันล่ะ

ก็แค่นั้นแหละ...

:b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร