วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 05:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2014, 22:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b7:
ยึดติดแน่นอยู่กับสมมุติบัญญัติ กลัวผิดพุทธวัจจนะเสียจนจะทำให้ กลายเป็นผู้ทำลายเนื้อหาแห่งสัจจธรรมเสียเอง
คำว่า "อารมณ์" ที่วลัยพรบอกว่า พระบรมศาสดาก็ไม่ได้ทรงระบุว่า "ปัจจุบันอารมณ์" แต่ถ้าพิจารณาจากสภาวธรรมแล้ว อารมณ์ นั้น แบ่งได้เป็น 3 กาละ คือ อดีตอารมณ์ ปัจจุบันอารมณ์ อนาคตอารมณ์

วลัยพรจะใช้อารมณ์ไหนหรือเป็นที่พิจารณาในการปฏิบัติธรรม จึงจะสามารถทำให้เกิดสัมฤทธิผลและความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้อย่างแท้จริง



ผมไม่เข้าใจ....ว่า..อดีตอารมณ์....อนาคตอารมณ์...มันเป็นยังไงครับ

ใคร....ที่เข้าใจช่วยบอกหน่อยครับ??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2014, 23:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อดีต ปัจจุบัน อนาคต

ที่เรียกว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นั้น
หมายเอา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ

อย่างที่ทราบดีว่า สังขารธรรม นั้นมีสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ที่เรียกว่าอดีตก็คือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ที่ล่วงไปแล้วดับไปแล้ว
ที่เรียกว่าอนาคตคือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะที่ ยังไม่บังเกิดขึ้น ยังไม่ปรากฎ
ที่เรียกว่าปัจจุบันก็คือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะที่กำลังปรากฎ

หากกล่าวถึง อารมณ์ ก็คืออารมณ์ 6 ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะและธรรมารมณ์
ปัจจุบันอารมณ์ก็คือ อารมณ์ที่กำลังปรากฎ เป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกในขณะนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




10167970_499599210169715_8939636566233308286_n.jpg
10167970_499599210169715_8939636566233308286_n.jpg [ 78.58 KiB | เปิดดู 1930 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
ผมไม่เข้าใจ....ว่า..อดีตอารมณ์....อนาคตอารมณ์...มันเป็นยังไงครับ

ใคร....ที่เข้าใจช่วยบอกหน่อยครับ??



เราต้องแยก ออกเป็นสองส่วนจึงพอเห็นชัดเจน อดีต - อารมณ์, อนาคต - อารมณ์,
คำว่า"อตีด"นั้นหมายถึงกาลเวลาที่ผ่านไปแล้วหรือดับไปแล้ว
คำว่า"อารมณ์" สิ่งปรากฎทางทวารต่างๆที่ผ่านไปแล้วหรือดับไปแล้วเช่นกัน

อารมณ์เหล่าใดที่ผ่านไปแล้วดับไปแล้ว มาปรากฏชึ้นทางมโนทวารอีกครั้ง
เราเรียกว่าอารมณ์ที่ในอดีต
หมายถึง เราได้น้อมไปคิดถึงเรื่องราวที่เคยเห็นมา เคยได้ยินมา เคยรู้มา เหล่านี้เป็นต้น
แต่ในธรรมจะใช้คำว่า "อดีตอารมณ์"

อนาคตอารมณ์ก็ในทำนองเดียวกัน แต่เปลี่ยนตรงกาลที่เป็นอนาคต
หมายถึงว่า กาลที่ยังมาไม่ถึง เช่นว่า พรุ่งนี้นัดพบกันที่ห้าง ที่วัด เหล่านี้เป็นต้น
ห้าง กับ วัด เป็นอารมณ์ ส่วนพรุ่งนี้เป็นกาลในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

แต่สำหรับอนาคตนั้นพอมาถึงเมื่อไหร่มันจะกลายเป็นปัจจุบันทันที
ฉะนั้นอนาคตจึงกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่มาไม่ถึง มันจะเป็นอยู่อย่างนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 10:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
อดีต ปัจจุบัน อนาคต

ที่เรียกว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นั้น
หมายเอา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ

อย่างที่ทราบดีว่า สังขารธรรม นั้นมีสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ที่เรียกว่าอดีตก็คือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ที่ล่วงไปแล้วดับไปแล้ว
ที่เรียกว่าอนาคตคือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะที่ ยังไม่บังเกิดขึ้น ยังไม่ปรากฎ
ที่เรียกว่าปัจจุบันก็คือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะที่กำลังปรากฎ

หากกล่าวถึง อารมณ์ ก็คืออารมณ์ 6 ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะและธรรมารมณ์
ปัจจุบันอารมณ์ก็คือ อารมณ์ที่กำลังปรากฎ เป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกในขณะนี้

:b8: :b8:

อ้างคำพูด:
อ้างคำพูด:
ผมไม่เข้าใจ....ว่า..อดีตอารมณ์....อนาคตอารมณ์...มันเป็นยังไงครับ

ใคร....ที่เข้าใจช่วยบอกหน่อยครับ??



เราต้องแยก ออกเป็นสองส่วนจึงพอเห็นชัดเจน อดีต - อารมณ์, อนาคต - อารมณ์,
คำว่า"อตีด"นั้นหมายถึงกาลเวลาที่ผ่านไปแล้วหรือดับไปแล้ว
คำว่า"อารมณ์" สิ่งปรากฎทางทวารต่างๆที่ผ่านไปแล้วหรือดับไปแล้วเช่นกัน

อารมณ์เหล่าใดที่ผ่านไปแล้วดับไปแล้ว มาปรากฏชึ้นทางมโนทวารอีกครั้ง
เราเรียกว่าอารมณ์ที่ในอดีต
หมายถึง เราได้น้อมไปคิดถึงเรื่องราวที่เคยเห็นมา เคยได้ยินมา เคยรู้มา เหล่านี้เป็นต้น
แต่ในธรรมจะใช้คำว่า "อดีตอารมณ์"

อนาคตอารมณ์ก็ในทำนองเดียวกัน แต่เปลี่ยนตรงกาลที่เป็นอนาคต
หมายถึงว่า กาลที่ยังมาไม่ถึง เช่นว่า พรุ่งนี้นัดพบกันที่ห้าง ที่วัด เหล่านี้เป็นต้น
ห้าง กับ วัด เป็นอารมณ์ ส่วนพรุ่งนี้เป็นกาลในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

แต่สำหรับอนาคตนั้นพอมาถึงเมื่อไหร่มันจะกลายเป็นปัจจุบันทันที
ฉะนั้นอนาคตจึงกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่มาไม่ถึง มันจะเป็นอยู่อย่างนี้


สาธุ อนุโมทนาในคำอธิบายที่สั้นเข้าใจง่ายและแจ่มแจ้งของคุณ Flame และลุงหมานครับ
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 11:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
:b7:
ยึดติดแน่นอยู่กับสมมุติบัญญัติ กลัวผิดพุทธวัจจนะเสียจนจะทำให้ กลายเป็นผู้ทำลายเนื้อหาแห่งสัจจธรรมเสียเองแล้ว

วลัยพรคงคิดว่า มีตำราชุดเดียวคือพระไตรปิฎกฉบับแปลภาษาไทย ที่ใช่และถูกต้อง ทุกตัวอักษรที่แปล ไม่ฉุกใจคิดบ้างเลยหรือว่า สำนวนการแปล คำที่แปล สังคายนา วิตกวิจารณ์กันมาหลายครั้งแล้ว ถ้าเราตีความหมายไม่ถูกต้องก็อาจผิดไปจากสัจจธรรมจริงๆโดยไม่รู้ตัว ด้วยอำนาจแห่งความกลัว ผิดพุทธวัจจนะ

ยังมีตำราอีกชุดหนึ่งนะที่ใช้อ้างอิงได้ตลอดกาล และไม่มีโอกาสจะผิดได้ด้วย นั่นก็คือตำราเล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ เล่มที่ติดตัวติดใจทุกคนมานี่ยังไง รูป นาม กาย ใจ ของคนเราทุกคนนี้ เป็นต้นฉบับของพระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์เชียวนะ ธรรมะที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนก็ทรงค้นคว้าเอามาจากในกายใจนี้ ใครอ่านกายใจนี้เป็นแล้วก็ย่อมจะค้นเอาข้อธรรมต่างๆมาอ้างอิงและใช้ประโยชน์ได้เสมอ

จะยกตัวอย่างง่ายๆถึงความยึดแน่นในบัญญัติของวลัยพรให้ดูนะ

"ธรรมปัจจุบัน" กับ"ปัจจุบันธรรม".....มันแตกต่างกันเฉพาะการเรียงตัวหนังสือ หรือบัญญัติ แต่ความหมายของสัจจธรรม เป็นอันเดียวกัน คือ ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ณ เวลาขณะนั้น

เมื่อพูดผิดไปจากคำว่า "ธรรมปัจจุบัน" เป็น "ปัจจุบันธรรม" เพียงแค่นี้ วลัยพรก็บอกว่าเป็น "สัทธรรมปฏิรูป"
s004
คำว่า "อารมณ์" ที่วลัยพรบอกว่า พระบรมศาสดาก็ไม่ได้ทรงระบุว่า "ปัจจุบันอารมณ์" แต่ถ้าพิจารณาจากสภาวธรรมแล้ว อารมณ์ นั้น แบ่งได้เป็น 3 กาละ คือ อดีตอารมณ์ ปัจจุบันอารมณ์ อนาคตอารมณ์

วลัยพรจะใช้อารมณ์ไหนหรือเป็นที่พิจารณาในการปฏิบัติธรรม จึงจะสามารถทำให้เกิดสัมฤทธิผลและความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้อย่างแท้จริง

พระบรมศาสดามิได้ทรงตรัสไว้ แต่เราจะต้องเข้าใจตามสภาวธรรมจริงๆที่ปรากฎในกายในใจจริงๆของเรามิใช่หรือ

อนึ่งหากว่าคำพูดใดไม่มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ใครนำมาแสดงแล้วอ้างว่าเป็นธรรม นั่นถือว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป วลัยพร ลองพิจารณา สัจจธรรมอันนี้ซิ ว่าตรงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือไม่? เป็นสัทธรรมปฏิรูปหรือเปล่า แล้วถือเอาไปประพฤติปฏิบัติเพื่อให้ถึงความหลุึดพ้นได้หรือไม่?

"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องคิด"
s006

"อนัตตา เป็นสุดยอดแห่งธรรม"
:b10:

"









ที่โสกะโพสมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่แรกเริ่มได้พูดคุยกัน จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้
ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่โสกะมีอยู่ และเป็นอยู่

เป็นความปกติของโสกะ เรื่องธรรมด๊า ธรรมดา :b1:


หลงคุยมาด้วยตั้งนาน :b32:


:b12: :b12: :b13: :b32:
เช่นกันๆ

หลงคุยมาด้วยตั้งนาน
ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่วลัยมีอยู่ และเป็นอยู่

เป็นความปกติของวลัยพร เรื่องธรรมด๊า ธรรมดา

และสุดท้าย ก็รู้จักมาใช้คำว่า "ปัจจุบัน" อยู่ดี


อ้างคำพูด:
วลัยพร จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้

จะหนีไปไหน จะเฉโกไปสู่ที่ใด เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่สนใจปัจจุบัน ไม่เห็นความสำคัญของปัจจุบันอารมณ์ แล้ว ไม่รู้จักสภาวะของปัจจุบันอารมณ์ แล้วจะปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้าได้อย่างไร?
:b3: :b3:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


หลงคุยมาด้วยตั้งนาน
ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่วลัยมีอยู่ และเป็นอยู่

เป็นความปกติของวลัยพร เรื่องธรรมด๊า ธรรมดา

และสุดท้าย ก็รู้จักมาใช้คำว่า "ปัจจุบัน" อยู่ดี[/color]

อ้างคำพูด:
วลัยพร จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้




คำว่า ปัจจุบัน วลัยพรใช้มาตั้งนานแล้ว
ใช่วา มาคุยกับโสกะแล้ว ถึงจะเพิ่งมาใช้


ประเด็นคำพูด ที่เราสองคนพูดกัน จบประเด็นไปตั้งนานแล้ว

วลัยพร ยังบอกว่า ตัวเองหลงคุยด้วย และไม่คิดจะคุยด้วยอีก

ส่วนโสกะ ในเมื่อบอกว่า หลงคุยกับวลัยพร
ก็ไม่ควรสร้างเหตุของความหลง ให้มีเกิดขึ้นกับตัวโสกะ




กลับไปดูหัวข้อกระทู้ใหม่ ดูแบบมีสติ
หัวข้อกระทู้ ก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่า ตามรอยพระพุทธเจ้า คือ เกี่ยวกับพระธรรมคำสอน

หากวลัยพร จะอธิบายพระธรรมคำสอนนั้น
จะใช้หมายเหตุทุกครั้ง ก่อนอธิบายความ


ส่วนโสกะ ถ้ามีความตั้งใจจะเผยแผ่ ทิฏฐิของตน
ก็ควรไปตั้งกระทู้ใหม่ แล้วเขียนตามที่อยากเขียน


ก็ในเมื่อ วลัยพรเขียนชัดเจนแล้วว่า
"หลงคุยมาด้วยตั้งนาน
ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่โสกะมีอยู่ และเป็นอยู่

เป็นความปกติของโสกะ เรื่องธรรมด๊า ธรรมดา"


เมื่อรู้ตัวว่าหลง จึงไม่คิดหวนกลับไปจมแช่อยู่กับความหลงอีก

รับรองได้ว่า ต่อไปนี้ ไม่คิดสร้างเหตุของความบังเกิดเกิดขึ้นใดๆ กับโสกะอีกต่อไป

เมื่อรู้ว่า สิ่งใดกระทำแล้ว มีแต่เหตุตามมาไม่รู้จบ
ความพลั้งเผลอ ที่ยังมีอยู่ อาจมีหลงกระทำออกไปบ้าง

แต่ตอนนี้ กล้าพูดได้เต็มปาก ไม่คิดจะข้องเกี่ยวใดๆ อีกทั้งสิ้น
เพราะ ไม่ใช่ทางที่กระทำเพื่อดับเหตุของการเกิด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คิดกลัวนั่นกลัวนี่ ทำให้ใจขาดความสุขเปล่าๆ อย่ากลัวๆไปเลย อะไรมันจะเกิดก็เกิด อะไรมันจะดับก็ให้มันดับ ตามเหตุปัจจัยของมัน ฝืนไม่อยู่หรอกขอรับ :b9: :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 15:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b40:
อ้างคำพูด:
วลัยพร กลับไปดูหัวข้อกระทู้ใหม่ ดูแบบมีสติ
หัวข้อกระทู้ ก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่า ตามรอยพระพุทธเจ้า คือ เกี่ยวกับพระธรรมคำสอน

หากวลัยพร จะอธิบายพระธรรมคำสอนนั้น
จะใช้หมายเหตุทุกครั้ง ก่อนอธิบายความ


ส่วนโสกะ ถ้ามีความตั้งใจจะเผยแผ่ ทิฏฐิของตน
ก็ควรไปตั้งกระทู้ใหม่ แล้วเขียนตามที่อยากเขียน


s004
มันสำคัญที่หัวข้อกระทู้นั่นแหละจึงเป็นปัจจัยให้อโศกะต้องเข้ามาในกระทู้ของวลัยพร ทั้งๆที่ไม่อยากจะแตะต้องเลย ผมก็ห่วงคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน

ในกระทู้มีข้อความที่เน้นตัวหนาไว้หลายที่หลายตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง "ปัจจุบันอารมณ์" เป็นลักษณะข้อความที่เหน็บแนมบ่งชี้ชัดๆไปยังผู้ใช้คำนี้ นี่ก็เป็นปัจจัยที่ 2

สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ คำว่า "สัทธัมปฏิรูป"

ความกลัวมากจนลนลานในเรื่องนี้นั่นแหละที่กลับจะทำให้ผู้กลัวและระวังมากเกินไป กลับทำสัทธรรมปฏิรูปเสียเองโดยไม่รู้ตัว คืออาจมีสติแต่ขาดสัมปชัญญะ.......ดังตัวอย่างที่ยกมาให้สังเกตหลายๆตอน ซึ่งวลัยพรเองก็ไม่กล้าตอบ ไม่กล้าวิจารณ์

ขอย้ำว่า ตำราที่จะนำมาอ้างอิงพระสัทธัมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมี 2 ชุด

ชุดที่ 1 มีหลายเล่ม เป็นบัญญัติแบ่งไว้ 84,000 พระธรรมขันธ์ ที่วลัยพรหวงแหนนัก แตะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้แม้แต่คำเดียว อย่าง "ธรรมปัจจุบัน " กับ "ปัจจุบันธรรม"

ชุดที่ 2 มีเล่มเดียวอยู่ในรูป นาม กาย ใจ ของมนุษย์ทุกคน เป็นต้นฉบับของพระไตรปิฎก แต่ต้องรู้วิธีอ่านและอ่านเป็น จึงจะอ้างอิงนำมาใช้ประโยชน์ได้

ตำราชุดที่ 2 นี้ ถ้าวลัยพรจะค้านว่าไม่ใช่ก็ขอเรียนเชิญแสดงเหตุผลมานะครับ

อโศกะ ต้องการมาสะกิด ท่านผู้รู้ยิ่งและเชี่ยวชาญการค้น อ้างคัมภีร์อย่างวราพร ให้เปิดใจกว้างเผื่อไว้สักนิด ว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เป็นสาธารณะ เป็นสากล มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงได้ แม้ไม่ต้องไปลอกตำรามาตรงเปรี๊ยะไม่ให้ผิดเพี้ยนสักคำ แต่การเข้าถึงธรรมมีช่องทางธรรมชาติอีกเยอะแยะที่ไม่ได้บอกไว้ในตำรา

คำพูดตัดรอนไม่อยากเสวนาด้วยกับอโศกะ นั้น ก็ขออนุโมทนา ยินดี แต่กรุณาอย่าแขวะมาในตัวหนังสืออีก
ปฏิปทาของใครของเขา ทางหนู หนูไต่ ทางไก่ ไก่เดิน อย่าขวางทางกันนะครับ

บ้าย บาย.......
:b29: :b29: :b29: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 15:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b40:
อ้างคำพูด:
วลัยพร กลับไปดูหัวข้อกระทู้ใหม่ ดูแบบมีสติ
หัวข้อกระทู้ ก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่า ตามรอยพระพุทธเจ้า คือ เกี่ยวกับพระธรรมคำสอน

หากวลัยพร จะอธิบายพระธรรมคำสอนนั้น
จะใช้หมายเหตุทุกครั้ง ก่อนอธิบายความ


ส่วนโสกะ ถ้ามีความตั้งใจจะเผยแผ่ ทิฏฐิของตน
ก็ควรไปตั้งกระทู้ใหม่ แล้วเขียนตามที่อยากเขียน


s004
มันสำคัญที่หัวข้อกระทู้นั่นแหละจึงเป็นปัจจัยให้อโศกะต้องเข้ามาในกระทู้ของวลัยพร ทั้งๆที่ไม่อยากจะแตะต้องเลย ผมก็ห่วงคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน

ในกระทู้มีข้อความที่เน้นตัวหนาไว้หลายที่หลายตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง "ปัจจุบันอารมณ์" เป็นลักษณะข้อความที่เหน็บแนมบ่งชี้ชัดๆไปยังผู้ใช้คำนี้ นี่ก็เป็นปัจจัยที่ 2

สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ คำว่า "สัทธัมปฏิรูป"

ความกลัวมากจนลนลานในเรื่องนี้นั่นแหละที่กลับจะทำให้ผู้กลัวและระวังมากเกินไป กลับทำสัทธรรมปฏิรูปเสียเองโดยไม่รู้ตัว คืออาจมีสติแต่ขาดสัมปชัญญะ.......ดังตัวอย่างที่ยกมาให้สังเกตหลายๆตอน ซึ่งวลัยพรเองก็ไม่กล้าตอบ ไม่กล้าวิจารณ์

ขอย้ำว่า ตำราที่จะนำมาอ้างอิงพระสัทธัมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมี 2 ชุด

ชุดที่ 1 มีหลายเล่ม เป็นบัญญัติแบ่งไว้ 84,000 พระธรรมขันธ์ ที่วลัยพรหวงแหนนัก แตะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้แม้แต่คำเดียว อย่าง "ธรรมปัจจุบัน " กับ "ปัจจุบันธรรม"

ชุดที่ 2 มีเล่มเดียวอยู่ในรูป นาม กาย ใจ กว้างศอก ยาววา หนาคืบ ของมนุษย์ทุกคน เป็นต้นฉบับของพระไตรปิฎก แต่ต้องรู้วิธีอ่านและอ่านเป็น จึงจะอ้างอิงนำมาใช้ประโยชน์ได้

ตำราชุดที่ 2 นี้ ถ้าวลัยพรจะค้านว่าไม่ใช่ก็ขอเรียนเชิญแสดงเหตุผลมานะครับ

อโศกะ ต้องการมาสะกิด ท่านผู้รู้ยิ่งและเชี่ยวชาญการค้น อ้างคัมภีร์อย่างวลัยพร ให้เปิดใจกว้างเผื่อไว้สักนิด ว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เป็นสาธารณะ เป็นสากล มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงได้ แม้ไม่ต้องไปลอกตำรามาตรงเปรี๊ยะไม่ให้ผิดเพี้ยนสักคำ แต่การเข้าถึงธรรมมีช่องทางธรรมชาติอีกเยอะแยะที่ไม่ได้บอกไว้ในตำรา

คำพูดตัดรอนไม่อยากเสวนาด้วยกับอโศกะ นั้น ก็ขออนุโมทนา ยินดี แต่กรุณาอย่าแขวะมาในตัวหนังสืออีก
ปฏิปทาของใครของเขา ทางหนู หนูไต่ ทางไก่ ไก่เดิน อย่าขวางทางกันนะครับ

บ้าย บาย.......
:b29: :b29: :b29: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 22:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

รับรองได้ว่า ต่อไปนี้ .....

แต่ตอนนี้ กล้าพูดได้เต็มปาก...


ภพ....ได้เกิดแล้ว
พร้อม...ความยึดในภพนั้น...ก็เกิดแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 23:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion

แต่กรุณาอย่าแขวะมาในตัวหนังสืออีก
ปฏิปทาของใครของเขา ทางหนู หนูไต่ ทางไก่ ไก่เดิน

อย่าขวางทางกันนะครับ
บ้าย บาย.......
:b29: :b29: :b29: :b29:


เห็นชอบพูดจัง...ว่า..อย่ามาขวาง...ฉันนะ :b32:

เปนอา..ราย...ฉันถูกต้องหมดแล้ว...อย่ามาสอนฉันนะ..หรือไร..อโสกะ

:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2014, 23:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=7032&Z=7114&pagebreak=0

ตามรอยพระพุทธเจ้า :b8:

ธรรมปัจจุบัน และอารมณ์ปัจจุบัน ??

อารมณ์ เป็นสิ่งที่จิตรู้
ธรรมปัจจุบัน คือจิต

ธรรมชาติของจิต รู้อารมณ์

(อตีตารมณ์ คือธัมมารมณ์ เกี่ยวกับ สิ่งที่ล่วงไปแล้วในอดีต
อนาคตารมณ์ คือธัมมารมณ์ เกี่ยวกับ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง
อารมณ์ปัจจุบัน คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ธัมมารมณ์อื่นใดที่ปรากฏ ในปัจจุบันขณะ)

ธรรมปัจจุบัน รู้ อารมณ์ใด อารมณ์นั้นก็เป็นอารมณ์ปัจจุบัน
เช่น
ธรรมปัจจุบัน รู้อตีตารมณ์(สิ่งที่ล่วงไปแล้ว)
อตีตารมณ์ ก็เป็นอารมณ์ปัจจุบันของธรรมปัจจุบัน

ธรรมปัจจุบัน รู้อนาคตารมณ์(สิ่งที่ยังไม่มาถึง)
อนาคตารมณ์ ก็เป็นอารมณ์ปัจจุบันของธรรมปัจจุบัน

ดังนั้นธรรมปัจจุบัน รู้อารมณ์ใดเฉพาะหน้า ต่างก็เป็นอารมณ์ปัจจุบัน.

Quote Tipitaka:
ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้
บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด


การเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน
คือ
-การมีจิตที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะคอยคุมรั้งจิต ให้ความสว่างแก่จิต กั้นจิต ไม่ทำความยินดียินร้าย หลงไปกับอารมณ์ หรือยึดถือเอากับอารมณ์ด้วยความหลง

ในธรรมนั้นๆ คือ
-ในสภาวะที่ปรากฏ คือความรู้ของจิตกับอารมณ์

บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด คือ
บุคคลนั้นพึงเจริญ จิตอย่างนั้นดังกล่าวข้างต้น ต่อสภาวะที่ปรากฏ ซึ่งหมายถึงการเจริญสติปัฏฐาน นั่นเอง ทำสติปัฏฐาน

ความรู้ของจิตกับอารมณ์ จึงไม่อาจพ้นจาก ผัสสะไปได้เลย ต้องเริ่มที่ผัสสะเป็นเหตุเป็นปัจจัย....

สรุป
ขอให้ความเห็นว่า

ธรรมปัจจุบัน และ อารมณ์ปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

มีแต่ ทำจิตให้เจริญขึ้น คือให้มีสติปัญญามากขึ้นๆ
เพื่อให้จิตไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน สมดั่งพุทธภาษิตที่ ตรัสสอนไว้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2014, 00:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดว้า..อารมณ์...มีแต่ปัจจุบัน..เพราะผัสสะ

อดีต...ก็เป็นเพียงจำได้หมายรู้...จะมาเป็นอารมณ์รู้สึกได้ก็ต้องมาเป็นธรรมารมณ์มาผัษะใหม่

อนาคต...ก็เป็นความคิดปรุง....ปรุงแต่งเรื่องใด...ก็เกิดอารมณ์เฉพาะในปัจจุบันไม่ใย่นองที่ยังมาไม่ถึง..ซะหน่อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2014, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมคิดว้า..อารมณ์...มีแต่ปัจจุบัน..เพราะผัสสะ

อดีต...ก็เป็นเพียงจำได้หมายรู้...จะมาเป็นอารมณ์รู้สึกได้ก็ต้องมาเป็นธรรมารมณ์มาผัษะใหม่

อนาคต...ก็เป็นความคิดปรุง....ปรุงแต่งเรื่องใด...ก็เกิดอารมณ์เฉพาะในปัจจุบันไม่ใย่นองที่ยังมาไม่ถึง..ซะหน่อย


เช่นกันครับ คุณกบ

จิตรู้สิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิตทั้งสิ้นครับ
เพียงแต่แตกต่างกันในธรรมชาติของอารมณ์นั้นเอง

เมื่อจิตก่ออุปธิขึ้นมาโดยมีอารมณ์เป็นวัตถุ จิตจึงเป็นทุกข์
ดับทุกข์จึงดับที่จิต โดยไม่ใช่ไปดับตัวอารมณ์


พระพุทธองค์ ได้ทรงพระกรุณา แสดงภาษิต
Quote Tipitaka:
ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้
บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด


โดยให้ย้ำเตือนตนเอง ว่าให้มีสติมีสัมปชัญญะมีปัญญา ดูแล คุ้มครองจิตให้ดี

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2014, 10:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร