วันเวลาปัจจุบัน 14 ส.ค. 2025, 09:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2014, 07:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
จริงๆคุนน้องยึดหลักปฏิบัติมากกว่าศึกษาในตำรา จึงมีความคลาดเคลื่อนจากอภิธรรมไปไม่น้อยหรืออาจจะเข้าใจไม่หมดก็ว่าได้ เพราะอะไรนะหรือเพื่อให้ความเข้าใจไม่คลาดเคลื่อนและเกิดความสงสัยกับตนเองมากและเราต้องสามารถอธิบายได้โดยยึดหลักความเป็นจริงของวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นการเอื้ออำนวยแก่การบรรลุธรรมได้ง่ายและไม่หลงติดสมมุติ
ยกตัวอย่าง คุนน้องกำลังรับประทานอาหารที่มีกลิ่นหอมน่าทานละรสชาติเอร็ดอร่อย
ประโยคสีแดงถ้าให้อธิบายว่าอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม ?คุนน้องจะถอดสมการให้ดู
คุนน้อง (สมมุติบัญญัติ)มหาภูติรูป4 ที่ประชุดกันด้วยดิน น้ำ ลมไฟ มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เครื่องในตับไตไส้พุง บลาๆ
กำลังรับประทาน.. รูป+กริยา ในขนะปัจจุบันนั้น
อาหาร...อาหารคือรูป เพราะตากระทบสิ่งนั่นแล้วเห็นเป็น รูป เป็นสี เย็น ร้อน อ่อน เหลว(รูปที่สามารถเห็นได้ด้วยตาและอธิบายได้ถึงรูปนั้นว่าสี เย็น ร้อน อ่อน เหลวคือนามธรรม)
กลิ่นหอม..สิ่งที่มากระทบกับจมูกแล้วรู้ในกลิ่น ว่าหอมว่าน่าทานคือ นาม แต่กลิ่นไร้รูป ถ้าจะบอกจมูกคือรูปเพื่อให้ได้รับรู้กลิ่น อันนี้น่าจะใช่
รสชาติเอร็ดอร่อย.. เอร็ดอร่อยเป็นนามธรรม ความรู้สึกที่ถูกรู้ด้วยลิ้น (ลิ้นคือรูป)ทำให้รู้ในรสนั้นๆ

นี่คือหลักปฏิบัติของคุนน้องที่ทำให้เข้าใจง่ายและ
เอื้อแก่การผู้ฝึกเจริญสติเพื่อแยกรูปแยกนามตามความเป็นจริง


ดูตามที่คุณน้องว่ามานั้น มันเป็นการคิดขึ้นมาเองบ้างเทียบเคียงเอาเองบ้างว่าใช่
ซึ่งตรงกับคำสอนก็มี จะไม่ตรงกับคำสอนก็มี นักปฏิบัติขาดหลักปริยัติจะเป็นอย่างนี้เสมอ
ปฏิบัติเองก็รู้เองเห็นเอง เป็นการขาดการเห็นตามคำสอนมันก็จะแย้งคำสอน ซึ่งก็มีเจ้าสำนัก
สอนกันมาอย่างนี้มากต่อมาก ยึดตามหลักนี้ว่าปฏิบัติไปเถอะรู้เองเห็น ถ้าจะถือเอาอย่างนี้
ก็จะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า จะเป็นคำสอนของเจ้าสำนักไป เพราะหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ได้วางรากฐานไว้ให้แล้วคือปริยัติ

เท่านี้ก่อนมีธุระว่างๆจะมาว่าต่อ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2014, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คุนน้องกำลังรับประทานอาหารที่มีกลิ่นหอมน่าทานละรสชาติเอร็ดอร่อย

ตามความเขาใจของกระผม ตามภูมิปัญญาตังเองตัวที่ได้ฟังได้ศึกษามา ถ้าแยก รูป นาม ตามประโยค สีแดง เข้าใจดังนี้ : คุณน้อง ชื่อคุณ น้อง นามสมมติ.............นาม
ตวัคุณน้อง ที่มี ธาตุทั้งหลายมาประชุม.......รูป
อาหาร(สมมติ) ธาตุ.............รูป
รับประทาน(นามสมมติ)
รส......................รูป รู้รส...................นาม
กลิ่น....................รูป รู้กลิ่น.................นาม
น่าทาน(สังขารปรุงแต่ง).....................นาม
เอร็ดอร่อย(สัญญามันจำ)ชอบไม่ชอบ....................นาม
สรุปกว้างๆ : รูป คือธรรมชาติที่เสื่อมสลายได้ เมื่อกระทบกับเหตุที่ไม่ถูก กัน เช่น ความ ร้อน ความหนาว
รูป ไม่สามารถรับรู้อารมณ์ได้ ธรรมชาติอันใดที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ เกิดมาแล้วก็เสื่อมสลาย
ธรรมชาตินั้นเรียก รูปธรรม
นามธรรม : นั้นคือธรรมชาติที่ น้อมรู้อารมณ์ นามที่เป็นจิต นามที่เป็นเจตสิก น้อมรับรู้อารมณ์ ยกเว้นนามที่
เป็นนิพพาน
นาม ภาษาทางโลกหมายความเป็น ชื่อ ส่วน นาม ทางธรรม ชื่อเป็น สมมติ บัญญัติ นามธรรมในภาษาธรรมเป็นปรมัตถ์ คือ จิต หรือ เจตสิก ประกอบเป็น ปรมัตถ์ หรือ นามในภาษาธรรม เป็น ธาตุรู้ สภาพรู้
ยกตัวอย่าง :รูปขันธ์: ตา ประสาทตา หู ประสาทหู ลิ้น ประสาท ลิ้นจมูก ประสาท จมูก กาย ประสาทกาย
เป็นเครื่องรับ เป็นรูปที่รับ อารมณ์ มากระทบ ประสาทตาก็รับสี ประสาทหูก็รับเสียง
สิ่งที่มากระทบ ตา ก็คือ สี เป็นรูป เสียงมากระทบหู เสียงเป็นรูป กลิ่น รส เป็นรูป
......รูปธรรมเหล่านี้ เสื่อมสลาย เสียงกระทบหู ก็แตกดับ สีมากระทบตาก็แตกดับ เสื่อมสลายไป เย็นร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง มากระทบ กาย ก็เสื่อมสลายไป...เหล่านี้ เป็นต้น
ผิด ถูก คลาดเคลื่อน ยังไง ก็จงพิจารณาดู ....
ขอเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2014, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
nongkong เขียน:
จริงๆคุนน้องยึดหลักปฏิบัติมากกว่าศึกษาในตำรา จึงมีความคลาดเคลื่อนจากอภิธรรมไปไม่น้อยหรืออาจจะเข้าใจไม่หมดก็ว่าได้ เพราะอะไรนะหรือเพื่อให้ความเข้าใจไม่คลาดเคลื่อนและเกิดความสงสัยกับตนเองมากและเราต้องสามารถอธิบายได้โดยยึดหลักความเป็นจริงของวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นการเอื้ออำนวยแก่การบรรลุธรรมได้ง่ายและไม่หลงติดสมมุติ
ยกตัวอย่าง คุนน้องกำลังรับประทานอาหารที่มีกลิ่นหอมน่าทานละรสชาติเอร็ดอร่อย
ประโยคสีแดงถ้าให้อธิบายว่าอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม ?คุนน้องจะถอดสมการให้ดู
คุนน้อง (สมมุติบัญญัติ)มหาภูติรูป4 ที่ประชุดกันด้วยดิน น้ำ ลมไฟ มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เครื่องในตับไตไส้พุง บลาๆ
กำลังรับประทาน.. รูป+กริยา ในขนะปัจจุบันนั้น
อาหาร...อาหารคือรูป เพราะตากระทบสิ่งนั่นแล้วเห็นเป็น รูป เป็นสี เย็น ร้อน อ่อน เหลว(รูปที่สามารถเห็นได้ด้วยตาและอธิบายได้ถึงรูปนั้นว่าสี เย็น ร้อน อ่อน เหลวคือนามธรรม)
กลิ่นหอม..สิ่งที่มากระทบกับจมูกแล้วรู้ในกลิ่น ว่าหอมว่าน่าทานคือ นาม แต่กลิ่นไร้รูป ถ้าจะบอกจมูกคือรูปเพื่อให้ได้รับรู้กลิ่น อันนี้น่าจะใช่
รสชาติเอร็ดอร่อย.. เอร็ดอร่อยเป็นนามธรรม ความรู้สึกที่ถูกรู้ด้วยลิ้น (ลิ้นคือรูป)ทำให้รู้ในรสนั้นๆ

นี่คือหลักปฏิบัติของคุนน้องที่ทำให้เข้าใจง่ายและ
เอื้อแก่การผู้ฝึกเจริญสติเพื่อแยกรูปแยกนามตามความเป็นจริง


ดูตามที่คุณน้องว่ามานั้น มันเป็นการคิดขึ้นมาเองบ้างเทียบเคียงเอาเองบ้างว่าใช่
ซึ่งตรงกับคำสอนก็มี จะไม่ตรงกับคำสอนก็มี นักปฏิบัติขาดหลักปริยัติจะเป็นอย่างนี้เสมอ
ปฏิบัติเองก็รู้เองเห็นเอง เป็นการขาดการเห็นตามคำสอนมันก็จะแย้งคำสอน ซึ่งก็มีเจ้าสำนัก
สอนกันมาอย่างนี้มากต่อมาก ยึดตามหลักนี้ว่าปฏิบัติไปเถอะรู้เองเห็น ถ้าจะถือเอาอย่างนี้
ก็จะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า จะเป็นคำสอนของเจ้าสำนักไป เพราะหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ได้วางรากฐานไว้ให้แล้วคือปริยัติ

เท่านี้ก่อนมีธุระว่างๆจะมาว่าต่อ

แปลกจริงๆ เราสงสัยและอธิบายสภาวะธรรมในสิ่งที่เรารู้และปฏิบัติ กลับตอบคุนน้องโดยขาดหลักพิจารณาว่า และไม่ยอมขี้ลงไปในส่วนที่ผิดหรือคลาดเคลือน แต่ดันกล่าวว่าคุนน้องไม่ยึดปริยัติ ถ้าคุนน้องไม่มีปริยัติคุน คุนน้องจะคุยกับใครรู้เรื่องจะอธิบายตัวสภาวะธรรมได้อย่างไร ลุงรู้ไหมการที่ลุงกล่าวว่า คุนน้องไม่ปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้า คุนน้องอึ้งไปชั่วขณะ คือไม่คิดว่าลุงผู้เผยแพร่อภิธรรมมีความรู้ในด้านอภิธรรมที่ลุงเรียนมา ไม่ทำให้อัตตาของลุงลดลงเลยหรอค่ะ เหตุฉไนเราคุยกันอย่างบัณฑิต ต้องกล่าวถึงพระพุทธเจ้า เพื่อไม่ให้ค้านไม่ให้สงสัยความคิดของตน คุนน้องเข้าใจแล้วค่ะว่ารู้อภิธรรมก็ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด คุนน้องจะพยายามเรียนรู้ โพธิปักขิยธรรม37ประการ ตั้งมั่นอยู่ใน ทาน ศีล ภาวนา ละกันเจ้าค่ะ เพราะคุนน้องเชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติเองรู้เอง เห็นเอง มีคนเคยบอกคุนน้องว่าถ้าคุนน้องมีความเพียรชาตินี้เกิดดวงตาเห็นธรรมแหงๆ :b9:


แก้ไขล่าสุดโดย nongkong เมื่อ 15 พ.ย. 2014, 13:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2014, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมบัติ เขียน:
nongkong เขียน:
คุนน้องกำลังรับประทานอาหารที่มีกลิ่นหอมน่าทานละรสชาติเอร็ดอร่อย

ตามความเขาใจของกระผม ตามภูมิปัญญาตังเองตัวที่ได้ฟังได้ศึกษามา ถ้าแยก รูป นาม ตามประโยค สีแดง เข้าใจดังนี้ : คุณน้อง ชื่อคุณ น้อง นามสมมติ.............นาม
ตวัคุณน้อง ที่มี ธาตุทั้งหลายมาประชุม.......รูป
อาหาร(สมมติ) ธาตุ.............รูป
รับประทาน(นามสมมติ)
รส......................รูป รู้รส...................นาม
กลิ่น....................รูป รู้กลิ่น.................นาม
น่าทาน(สังขารปรุงแต่ง).....................นาม
เอร็ดอร่อย(สัญญามันจำ)ชอบไม่ชอบ....................นาม
สรุปกว้างๆ : รูป คือธรรมชาติที่เสื่อมสลายได้ เมื่อกระทบกับเหตุที่ไม่ถูก กัน เช่น ความ ร้อน ความหนาว
รูป ไม่สามารถรับรู้อารมณ์ได้ ธรรมชาติอันใดที่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ เกิดมาแล้วก็เสื่อมสลาย
ธรรมชาตินั้นเรียก รูปธรรม
นามธรรม : นั้นคือธรรมชาติที่ น้อมรู้อารมณ์ นามที่เป็นจิต นามที่เป็นเจตสิก น้อมรับรู้อารมณ์ ยกเว้นนามที่
เป็นนิพพาน
นาม ภาษาทางโลกหมายความเป็น ชื่อ ส่วน นาม ทางธรรม ชื่อเป็น สมมติ บัญญัติ นามธรรมในภาษาธรรมเป็นปรมัตถ์ คือ จิต หรือ เจตสิก ประกอบเป็น ปรมัตถ์ หรือ นามในภาษาธรรม เป็น ธาตุรู้ สภาพรู้
ยกตัวอย่าง :รูปขันธ์: ตา ประสาทตา หู ประสาทหู ลิ้น ประสาท ลิ้นจมูก ประสาท จมูก กาย ประสาทกาย
เป็นเครื่องรับ เป็นรูปที่รับ อารมณ์ มากระทบ ประสาทตาก็รับสี ประสาทหูก็รับเสียง
สิ่งที่มากระทบ ตา ก็คือ สี เป็นรูป เสียงมากระทบหู เสียงเป็นรูป กลิ่น รส เป็นรูป
......รูปธรรมเหล่านี้ เสื่อมสลาย เสียงกระทบหู ก็แตกดับ สีมากระทบตาก็แตกดับ เสื่อมสลายไป เย็นร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง มากระทบ กาย ก็เสื่อมสลายไป...เหล่านี้ เป็นต้น
ผิด ถูก คลาดเคลื่อน ยังไง ก็จงพิจารณาดู ....
ขอเจริญในธรรม :b8:

อนุโมทนาในคำตอบค่ะ :b8: ถือว่าแชควาารู้กันนะค่ะ คุนน้องจะได้รู้เยอะขึ้นหน่อย tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2014, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ดูตามที่คุณน้องว่ามานั้น มันเป็นการคิดขึ้นมาเองบ้างเทียบเคียงเอาเองบ้างว่าใช่
ซึ่งตรงกับคำสอนก็มี จะไม่ตรงกับคำสอนก็มี นักปฏิบัติขาดหลักปริยัติจะเป็นอย่างนี้เสมอ
ปฏิบัติเองก็รู้เองเห็นเอง เป็นการขาดการเห็นตามคำสอนมันก็จะแย้งคำสอน ซึ่งก็มีเจ้าสำนัก
สอนกันมาอย่างนี้มากต่อมาก ยึดตามหลักนี้ว่าปฏิบัติไปเถอะรู้เองเห็น ถ้าจะถือเอาอย่างนี้
ก็จะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า จะเป็นคำสอนของเจ้าสำนักไป เพราะหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ได้วางรากฐานไว้ให้แล้วคือปริยัติ

เท่านี้ก่อนมีธุระว่างๆจะมาว่าต่อ


ไม่มีอะไรคุยต่อจบพอดีครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 02:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
อนุโมทนาในคำตอบค่ะ ถือว่าแชควาารู้กันนะค่ะ คุนน้องจะได้รู้เยอะขึ้นหน่อย

ครับยินดีครับ :b8: ผิดถูก คลาดเคลื่อน ยังไง ก็ขอให้ไปพิจารณา หรือเทียบกับตำราอีกที ถือว่าแชร์ ความรู้ ทุกคนเข้ามาในนี้ ก็เพื่อแสวงหา เก็บเกี่ยว ความรู้เพิ่มเติม ที่รู้แล้วก็ถือว่าทบทวนความจำ ที่ยังไม่รู้ก็ถือว่ากำไร ไม่ซีเรียสนะครับ :b13:
อันที่จริงแล้ว รูป นาม บางครั้งผู้ปฏิบัติ อาจจะยัง เรียกไม่ถูก หรือ แยกแยะ กันผิดๆ ถูกๆ แต่ก็อย่าต้องพะวงไปมาก ตั้งใจปฏิบัติ เจริญภาวนา เจริญสติ นั่นแหละ เดี๋ยวผลก็ตามมา รู้ เห็นแจ้งเอง ถึงจะเรียกศัพท์ที่บัญญัติมาในปริยัติไม่ถูก...ก็ตาม :b12: แต่... กับผู้ที่เก่ง ปริยัติ ศึกษาพระธรรมวินัย ละเอียดแตกฉาน รู้ อันไหนเป็นรูป อันไหนเป็นนาม เรียกได้ถูกต้องทุกอย่าง แต่ถ้าเขาไม่ปฏิบัติ ลงมือเจริญภาวนา แล้ว ก็ไม่พ้น..ไม่เห็นแจ้ง..อยู่ดี
...อันนี้คุยกัน สนุกๆ แก้เหงา นะครับ แชร์กันครับ
...เจริญในธรรม... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2014, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมที่เป็นนาม : เหล่านี้ เป็นนามทั้งนั้น
รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส คิดนึก ชอบใจ ไม่ชอบใจ เกิดปรุงแต่ง ตรึกนึก ตีความหมาย
สัญญา ความจำ ความรู้สึกสบายไม่สบาย หรือ เฉยๆ สติที่ระลึก ระลึกได้ สัมปะชัญญะ พิจารณา
ปัญญาเกิดขึ้น สมาธิ ความสงบ

เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2014, 11:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นาม ทั้งหลายรับรู้อารมณ์ได้ ยกเว้น นิพพาน รับรู้อารมณ์ไม่ได้ นิพพานได้แต่ถูกรู้เท่านั้น เป็นได้แต่อารมณ์ เป็นผู้รู้อารมณ์ไม่ได้ :b8:
แต่นามนี้ ก็เสื่อมสลาย นามนี้ก็เกิดดับ นามธรรม ยกเว้น นิพพาน นามจิต นามเจคสิก เกิด ดับ เสื่อมสลาย เปลี่ยนแปลง แต่่ว่ามันรับรู้อารมณ์ได้ มันต่างจาก รูป รูปนี้ก็เกิด ดับ เปลี่ยนแปลง เสื่อมสลาย แต่รับรู้อารมณ์ไม่ได้ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2014, 17:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็นึกว่า รูปคือสิ่งที่มองเห็น
นามคือสิ่งที่มองไม่เห็น

เข้าใจผิดมาตลอดสินะเนี่ย

ตอนนี้เลยยิ่ง งง ไปกันใหญ่แล้ว อะไรรูป อะไรนาม

ผมคิดว่า เสียง กลิ่น รส เป็นนาม มาตลอดเลยครับ s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2014, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


choochu เขียน:
ผมก็นึกว่า รูปคือสิ่งที่มองเห็น
นามคือสิ่งที่มองไม่เห็น

เข้าใจผิดมาตลอดสินะเนี่ย

ตอนนี้เลยยิ่ง งง ไปกันใหญ่แล้ว อะไรรูป อะไรนาม

ผมคิดว่า เสียง กลิ่น รส เป็นนาม มาตลอดเลยครับ s002

คุนchoochuอย่าเขวไปสิค่ะ เราเดินอยู่ดีๆอย่าให้ความสับสนหรือลังเลในธรรมทำให้เราเขวตกหลุมตกข้างทาง คุนน้องถึงพยายามเตือนว่านักปฏิบัติใหม่ ต้องทำความเข้าใจด้วยการเริ่มต้นจากขันธ์5 นี่คือปริยัติที่เราต้องศึกษา อภิธรรมที่บอก เสียง กลิ่น รส เป็นรูปนั้น ไม่ใช่หลักสำคัญของการปฏิบัติ เอาเป็นว่า รู้เสียง รู้รส รู้กลิ่นเป็นนามก็พอค่ะแค่นี้ก็หลุดจากสมติแล้ว ลองทำความเข้าใจ รูปนามโดยแยกออกเป็นขันธ์5ดูสิค่ะ รูป=รูปธรรม เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ=นามธรรม
ปรมัตธรรมจัด ขันธ์5ลงใน รูป จิต เจตสิก นิพพาน
รูป=รูปขันธ์
จิต=วิญญาณขันธ์
เจตสิก= เวทนา"สัญญา"สังขาร
นิพพาน=หมดเหตุปัจจัยปรุงแต่งของรูปนาม
ลองไปพิจารณาดูนะค่ะ เห็นไหมค่ะว่า เสียง รส กลิ่น เป็นรูปหรือไม่ ก็ไม่ได้เป็นเหตุให้เราไม่เข้าใจธรรมเลยหรือไม่สามารถบรรลุธรรมได้ อย่าหลงติดในสมมุติค่ะ แล้วการจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็คือการพิจารณานามรูป หมั่นเจริญสติปัฏฐาน4 ยกตัวอย่าง ยกตัวอย่างเห็นง่ายๆชัดเจนเลย และก็ต้องยอมรับยอมสิโรราบเพราะมันความจริง :b32: เมื่อพิจารณาว่า กายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ใช่หรือไม่?อย่าคิดนึกตอบเองว่าใช่โดยที่ให้สมองตอบนะค่ะอิอิ(อันนี้ไม่ใช่การรู้ด้วยปัญญารู้จากการนึกเอา) ลองสังเกตุดูสิค่ะเวลาเราหิว เราทุกข์ไหมถ้าทุกข์เพราะเราหิว แล้วเราสั่งกายนี้ไม่ให้หิวได้ไหม เอ่อก็เมื่อกายนี้ไม่ใช่เราเราจะบังคับบัญชากายนี้ไม่ให้หิวได้อย่างไร กายนี้เป็นผู้ทุกข์ ทุกข์เพราะมีกายแต่กายหาใช่เราไม่ เพราะมีกายถึงหิวเมื่อหิวต้องกินถึงหายหิว บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วเราจะประจักแจ้งแก่ใจเองกายไม่ใช่เราไม่มีเราในกายนี้ เมื่อเราประจักษ์แจ้งแก่ใจ ความยึดมั่นว่ากายนี้เป็นเราก็คลายลง เห็นเองรู้เองปฏิบัติเองค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2014, 22:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
choochu เขียน:
ผมก็นึกว่า รูปคือสิ่งที่มองเห็น
นามคือสิ่งที่มองไม่เห็น

เข้าใจผิดมาตลอดสินะเนี่ย

ตอนนี้เลยยิ่ง งง ไปกันใหญ่แล้ว อะไรรูป อะไรนาม

ผมคิดว่า เสียง กลิ่น รส เป็นนาม มาตลอดเลยครับ s002

คุนchoochuอย่าเขวไปสิค่ะ เราเดินอยู่ดีๆอย่าให้ความสับสนหรือลังเลในธรรมทำให้เราเขวตกหลุมตกข้างทาง คุนน้องถึงพยายามเตือนว่านักปฏิบัติใหม่ ต้องทำความเข้าใจด้วยการเริ่มต้นจากขันธ์5 นี่คือปริยัติที่เราต้องศึกษา อภิธรรมที่บอก เสียง กลิ่น รส เป็นรูปนั้น ไม่ใช่หลักสำคัญของการปฏิบัติ เอาเป็นว่า รู้เสียง รู้รส รู้กลิ่นเป็นนามก็พอค่ะแค่นี้ก็หลุดจากสมติแล้ว ลองทำความเข้าใจ รูปนามโดยแยกออกเป็นขันธ์5ดูสิค่ะ รูป=รูปธรรม เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ=นามธรรม
ปรมัตธรรมจัด ขันธ์5ลงใน รูป จิต เจตสิก นิพพาน
รูป=รูปขันธ์
จิต=วิญญาณขันธ์
เจตสิก= เวทนา"สัญญา"สังขาร
นิพพาน=หมดเหตุปัจจัยปรุงแต่งของรูปนาม
ลองไปพิจารณาดูนะค่ะ เห็นไหมค่ะว่า เสียง รส กลิ่น เป็นรูปหรือไม่ ก็ไม่ได้เป็นเหตุให้เราไม่เข้าใจธรรมเลยหรือไม่สามารถบรรลุธรรมได้ อย่าหลงติดในสมมุติค่ะ แล้วการจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็คือการพิจารณานามรูป หมั่นเจริญสติปัฏฐาน4 ยกตัวอย่าง ยกตัวอย่างเห็นง่ายๆชัดเจนเลย และก็ต้องยอมรับยอมสิโรราบเพราะมันความจริง :b32: เมื่อพิจารณาว่า กายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ใช่หรือไม่?อย่าคิดนึกตอบเองว่าใช่โดยที่ให้สมองตอบนะค่ะอิอิ(อันนี้ไม่ใช่การรู้ด้วยปัญญารู้จากการนึกเอา) ลองสังเกตุดูสิค่ะเวลาเราหิว เราทุกข์ไหมถ้าทุกข์เพราะเราหิว แล้วเราสั่งกายนี้ไม่ให้หิวได้ไหม เอ่อก็เมื่อกายนี้ไม่ใช่เราเราจะบังคับบัญชากายนี้ไม่ให้หิวได้อย่างไร กายนี้เป็นผู้ทุกข์ ทุกข์เพราะมีกายแต่กายหาใช่เราไม่ เพราะมีกายถึงหิวเมื่อหิวต้องกินถึงหายหิว บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วเราจะประจักแจ้งแก่ใจเองกายไม่ใช่เราไม่มีเราในกายนี้ เมื่อเราประจักษ์แจ้งแก่ใจ ความยึดมั่นว่ากายนี้เป็นเราก็คลายลง เห็นเองรู้เองปฏิบัติเองค่ะ


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 03:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


choochu เขียน:
ผมก็นึกว่า รูปคือสิ่งที่มองเห็น
นามคือสิ่งที่มองไม่เห็น

เข้าใจผิดมาตลอดสินะเนี่ย

ตอนนี้เลยยิ่ง งง ไปกันใหญ่แล้ว อะไรรูป อะไรนาม

ครับท่าน นักปฏิบัติ จะต้องพิจารณรา รูป กะ นาม นี่แหละ ไม่ได้ปฏิบัติที่ไหน ไกลโพ้น กลับมาดูเข้าที่ตัวเรานี่แหละ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส..ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช้สติสัมปะชัญญะ ระลึกรู้ อยู่แค่นี้ เป็นปัจจุบันขณะ พิจารณาการเกิด ดับ ของรูป-นาม ความเสื่อมสลาย ความบังคับบัญชาไม่ได้ ความเป็นอนัตตา ก็จะเห็นเอง ปฏิบัติต่อเนื่อง สะสมหน่วยกิจ ไปเรื่อยๆ กิเลสในตัวเรา ความเห็นผิดยึดผิด อุปาทาน มันก็เริ่มลดน้อย ถอยออกไป จางไป คลี่คลายไป ความโลภ โกรธ หลง ก็เบาบางลง ต้องใช้ความเพียรนี่แหละ ปราบกิเกส
ส่วน จะเรียก รูป -นาม อะไรเป็นรูป อะไรเป็น มันมาทีหลังถึงเรียกผิดเข้าใจผิด ถ้าเราปฏิบัติสม่ำเสมอมันก็ได้ สมาธิ ได้ความสงบ ได้มรรคผล อยู่วันยังค่ำ เพราะฉะนั้นเน้นที่ปฏิบัติครับ ส่วนปริยัติศึกษากันได้ เหมือนเราอ่านฉลากยาวิธีกินยา แต่ไม่กินยา โรคก็ไม่หาย รู้แต่วิธีกินวิธีใช้ยาตามฉลากถูกต้อง แต่ไม่ได้กิน ฉันใด ลองพิจารณาดูครับ :b12:
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมบัติ เขียน:
choochu เขียน:
ผมก็นึกว่า รูปคือสิ่งที่มองเห็น
นามคือสิ่งที่มองไม่เห็น

เข้าใจผิดมาตลอดสินะเนี่ย

ตอนนี้เลยยิ่ง งง ไปกันใหญ่แล้ว อะไรรูป อะไรนาม

ครับท่าน นักปฏิบัติ จะต้องพิจารณรา รูป กะ นาม นี่แหละ ไม่ได้ปฏิบัติที่ไหน ไกลโพ้น กลับมาดูเข้าที่ตัวเรานี่แหละ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส..ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช้สติสัมปะชัญญะ ระลึกรู้ อยู่แค่นี้ เป็นปัจจุบันขณะ พิจารณาการเกิด ดับ ของรูป-นาม ความเสื่อมสลาย ความบังคับบัญชาไม่ได้ ความเป็นอนัตตา ก็จะเห็นเอง ปฏิบัติต่อเนื่อง สะสมหน่วยกิจ ไปเรื่อยๆ กิเลสในตัวเรา ความเห็นผิดยึดผิด อุปาทาน มันก็เริ่มลดน้อย ถอยออกไป จางไป คลี่คลายไป ความโลภ โกรธ หลง ก็เบาบางลง ต้องใช้ความเพียรนี่แหละ ปราบกิเกส
ส่วน จะเรียก รูป -นาม อะไรเป็นรูป อะไรเป็น มันมาทีหลังถึงเรียกผิดเข้าใจผิด ถ้าเราปฏิบัติสม่ำเสมอมันก็ได้ สมาธิ ได้ความสงบ ได้มรรคผล อยู่วันยังค่ำ เพราะฉะนั้นเน้นที่ปฏิบัติครับ ส่วนปริยัติศึกษากันได้ เหมือนเราอ่านฉลากยาวิธีกินยา แต่ไม่กินยา โรคก็ไม่หาย รู้แต่วิธีกินวิธีใช้ยาตามฉลากถูกต้อง แต่ไม่ได้กิน ฉันใด ลองพิจารณาดูครับ :b12:
เจริญในธรรม :b8:


Kiss Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2014, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
ผมก็นึกว่า รูปคือสิ่งที่มองเห็น
นามคือสิ่งที่มองไม่เห็น

เข้าใจผิดมาตลอดสินะเนี่ย

ตอนนี้เลยยิ่ง งง ไปกันใหญ่แล้ว อะไรรูป อะไรนาม

ผมคิดว่า เสียง กลิ่น รส เป็นนาม มาตลอดเลยครับ s002


อะไรรูป อะไรนาม ทั้งสองอย่างจะต้องเกิดพร้อมกันเสมอ เช่น
ทางตาที่เห็น รูปที่มาประกฎทางตานั่นแหละคือ รูป ส่วนที่รู้รูปทางตานั่นแหละเป็น นาม
หางหูที่ได้ยิน เสียงที่มาปรากฎทางหูนันแหละคือ รูป ส่วนที่รู้เสียงทางหูนั่นแหละคือ นาม
ทางจมูกที่ได้กลิ่น กลิ่นที่มากระทบจมูกนั่นแหละคือ รูป ส่วนที่รู้กลิ่นทางจมูกนั่นแหละคือ นาม
ทางลิ้นที่รู้รส รสที่มากระลิ้นนั่นแหละคือ รูป ส่วนที่รู้รสทางลิ้นนั่นแหละคือ นาม
ทางกายที่รู้สึกเย็นร้อน อ่อนแข็ง เย็นร้อน อ่อนแข็งนั่นแหละเป็น รูป
ส่วนที่รู้เย็นร้อน อ่อนแข็ง นั่นแหละเป็น นาม
ส่วนทางใจ นึกคิดเรื่องราวต่างๆนั่นแหละเป็น รูป ส่วนรู้เรื่องนึกคิดเรื่องราวต่างๆนั้นเป็น นาม
(ส่วนทางใจ)นั้น นามรู้รูป และนามก็รู้นามด้วย เช่น ความโกรธ ความโลภ เหล่านี้ เป็นนามธรรม
จิตที่เป็นผู้รู้ก็เป็นนามธรรม เรียกว่านามธรรมรู้นามธรรม (นามรู้นาม) หรือเอานามธรรมมาเป็นรูปธรรม
เพื่อให้นามธรรมเป็นตัวรู้หาที่เกิดให้ได้ (เมื่อไม่มีรูป นามเขาก็เกิดไม่ได้) เช่นกัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2014, 07:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
ผมก็นึกว่า รูปคือสิ่งที่มองเห็น
นามคือสิ่งที่มองไม่เห็น

เข้าใจผิดมาตลอดสินะเนี่ย

ตอนนี้เลยยิ่ง งง ไปกันใหญ่แล้ว อะไรรูป อะไรนาม

ผมคิดว่า เสียง กลิ่น รส เป็นนาม มาตลอดเลยครับ s002


อะไรรูป อะไรนาม ทั้งสองอย่างจะต้องเกิดพร้อมกันเสมอ เช่น
ทางตาที่เห็น รูปที่มาประกฎทางตานั่นแหละคือ รูป ส่วนที่รู้รูปทางตานั่นแหละเป็น นาม
หางหูที่ได้ยิน เสียงที่มาปรากฎทางหูนันแหละคือ รูป ส่วนที่รู้เสียงทางหูนั่นแหละคือ นาม
ทางจมูกที่ได้กลิ่น กลิ่นที่มากระทบจมูกนั่นแหละคือ รูป ส่วนที่รู้กลิ่นทางจมูกนั่นแหละคือ นาม
ทางลิ้นที่รู้รส รสที่มากระลิ้นนั่นแหละคือ รูป ส่วนที่รู้รสทางลิ้นนั่นแหละคือ นาม
ทางกายที่รู้สึกเย็นร้อน อ่อนแข็ง เย็นร้อน อ่อนแข็งนั่นแหละเป็น รูป
ส่วนที่รู้เย็นร้อน อ่อนแข็ง นั่นแหละเป็น นาม
ส่วนทางใจ นึกคิดเรื่องราวต่างๆนั่นแหละเป็น รูป ส่วนรู้เรื่องนึกคิดเรื่องราวต่างๆนั้นเป็น นาม
(ส่วนทางใจ)นั้น นามรู้รูป และนามก็รู้นามด้วย เช่น ความโกรธ ความโลภ เหล่านี้ เป็นนามธรรม
จิตที่เป็นผู้รู้ก็เป็นนามธรรม เรียกว่านามธรรมรู้นามธรรม (นามรู้นาม) หรือเอานามธรรมมาเป็นรูปธรรม
เพื่อให้นามธรรมเป็นตัวรู้หาที่เกิดให้ได้ (เมื่อไม่มีรูป นามเขาก็เกิดไม่ได้) เช่นกัน


Kiss smiley


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร