วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 19:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 124 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2014, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


toy1 เขียน:
มีน้องคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่าช่วงนีจิตดีจังใครพูดอะไรมาก็เฉย ดูเหมือนว่าจะดี แต่ความจริงมันเป็นอารมณ์เฉยแบบซื่อบื้อที่มันครองจิตอยู่ เรื่องเสียงที่สอนในจิตนั้นเป็นเรื่องยากที่จะหาคนที่รู้เข้าใจแก้ไขให้ เพราะที่มาของเสียงนั้นเราไม่อาจรู้ได้ว่ามาจากไหนเข้าข่ายเหมือนมารผจญจิต บางครั้งก็มาในลักษณะเป็นเหมือนกลมายา มีทั้งจริงและไม่จริงคอยหลอกลวงให้เชื่อหลงเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคล้ายเรื่องปรุงแต่งคิดไปเอง

แปลกจังทำไมน้องเขาถึงเข้าใจว่าจิตดี ใครว่าไรก็เฉย โดนจิตหลอกจนหลงละนั่น แถมยังไม่รู้ตัวเองอีกว่าการเฉยๆ จิตมันถูกความสงบเข้าแทรก ไม่ใช่วางเฉยแบบใช้ปัญญา
คุยน้องก็เฉยเหมือนกัน แต่รู้ทันว่าเฉยเพราะควาทสงบที่ทำสมาธิจนติดสุขในฌาน..
รู้เท่าทันจิตว่ากิเลศโดนสมาธิข่มไว้ เลยอยากจะถามผู้รู้ ..ต่อไปคงเจริญสติอย่างเดียวละค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2014, 23:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
คุณน้องก้อง .... หลับ แล้วมีการกดทับของระบบเลือดลมในร่างกาย
คนโบราณเรียกว่า ผีอำ

ส่วนเห็นนู่นๆ นี่ๆ จิตปรุงแต่งไปเองจากสัญญาเดิมๆ เคยได้ยินได้ฟัง ได้รู้ ได้คิด ได้นึก

ไม่มีอะไรครับ

ภาวนาให้มาก ให้จิตสงบ พยายามไปเรื่อยๆ

:b8: คุนน้องภาวนา จนตอนนี้รู้สึกสมาธิมันล้ำหน้า
จนจิตมันวางอุเบกขาแบบโง่ คือใครพูดไรก็เฉย เฉยโดยไม่มีตัวรู้เลยค่ะ..
มองไม่เห็นกิเลศเลยตอนนี้ รู้แต่ความสงบ..

ดีแล้วครับ
ถึงจะเรียกว่าอุเบกขาโง่ ก็ยังได้อานิสงส์ครับ
พอจิตถอนเองจากอุเบกขาโง่นั้น ค่อยทำวิปัสสนาต่อไปครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 08:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 09:13
โพสต์: 73


 ข้อมูลส่วนตัว


แปลกจังทำไมน้องเขาถึงเข้าใจว่าจิตดี ใครว่าไรก็เฉย โดนจิตหลอกจนหลงละนั่น แถมยังไม่รู้ตัวเองอีกว่าการเฉยๆ จิตมันถูกความสงบเข้าแทรก ไม่ใช่วางเฉยแบบใช้ปัญญา
คุยน้องก็เฉยเหมือนกัน แต่รู้ทันว่าเฉยเพราะควาทสงบที่ทำสมาธิจนติดสุขในฌาน..
รู้เท่าทันจิตว่ากิเลศโดนสมาธิข่มไว้ เลยอยากจะถามผู้รู้ ..ต่อไปคงเจริญสติอย่างเดียวละค่ะ


สำหรับผมแล้วสิ่งที่คุณน้องกำลังทรงอยู่นั้น เป๋นสิ่งที่หลายคนอยากทำให้ถึงตรงนั้นแต่ก็ไม่ได้ จิตที่ทรงฌาณอยู่เป็นจิตที่มีคุณต่อการวิปัสนามาก หากคุณไม่ติดสุขในฌาณ เพราะจิตมันรับรู้แล้วว่า อารมย์ทั้งหลายที่เกิดกับจิต จากการสัมผัสทางกาย วาจา ใจ เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีประโยชน์มีแต่โทษโดยฝ่ายเดียว แต่องค์ฌาณไม่นานก็เสื่อมเป็นไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน(เหมือนคนด่าคุณเป็นภาษาแอฟริกาใต้ ผมว่าคุณคงขำและคงงงกับคำพูด แต่เป็นภาษาไทย ไม่ต้องด่า แค่ว่าให้อายหน่อยก็โกรธแล้ว จิตรับเอามาครองจิตทรมานตัวอยากจะให้คนที่ด่าโดนบ้าง เฝ้าอาฆาตเพียงเพราะลมปากจากความว่างเปล่า)เพราะมันมีความสุขเป็นผลจากฌาณที่ได้รับ ต้องลากจิตออกมาเจริญวิป้สนา พิจารณาสังขารร่างกาย อสุภะ มรณา พิจารณาย้อนกลับไปมา แล้วปลงลงใน ไตรลักษณ์ ว่าร่างกาย เป็นทุกข์ทรมาน มีการเจ็บไข้ได้ป่วย หิว กระหาย ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แก่ไปเรื่อย อนัตตา บังคับไว้ไม่ได้ต้องสลายตัว คือความตาย การมีสติคือยามการรักษาจิต สำรวมพลิกสู่วิปัสนาได้ แต่ฌาณเหมือนกำแพงกั้นไม่ให้เข้าแต่ถ้าแรงมากๆ ก็เข้าได้ เราเป็นผู้ศึกษาธรรม ท่านวาง สมถ และ วิป้สนาไว้ เราได้ของดีต้องรู้จักใช้ ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองให้มากที่สุด ความมุ่งหวังของเรามีที่เดียว คือนิพพาน อย่างน้อยที่สุดไปพรมโลก (ผมจำพระสูตรไม่ได้ รู้แต่ว่า พระพุทธเจ้าเทศครั้งนึง เทพ พรหม บรรลุธรรมเป็นแสนโกฏิ แต่มนุษย์ที่สำคัญว่าตัวเองยิ่งใหญ่ได้สักกี่พัน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 11:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b17:
ผีอำ เป็นเรื่องระบบเลือดลมในร่างกายถูกกดทับ แล้วมาอุปาทานปรุงกันต่อ

แต่เรื่องที่สังขารออกมาเป็นเรื่องเป็นราวอีกยาวยืดนั้นเป็นภาพรวมของคนที่สติสัมปชัญญะขาดจากปัจจุบันอารมณ์

ลองกลับไปวิจัยทบทวนให้ดีจะพบว่าสติขาดจากปัจจุบันตั้งแต่มันเริ่มสังขารคิดปรุงเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ สัปชัญญะเลยขาดตามหมดความรู้รับผิดชอบในหน้าที่ของการภาวนา
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 11:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่เคยเฉยแบบซื่อบื้อ ก็เหมือนฝันไปว่าเห็นควายมันเดินมาเต็มทุ่ง ก็ไปคุยกับผู้ที่เรานับถือ ท่านก็บอกว่าเขาเปรียบความโง่ของเรามันเหมือนควาย ได้แต่เดินกินหญ้าไปตามทุ่งตามเรื่องตามราวตามสัญชาตญาณของมัน สติสัปชัญญะอะไรก็ไม่มี เขาเลยให้ดูควายเป็นเครื่องหมายของความโง่ของตัวเอง เราเองอุตส่าห์หลงดีใจที่ได้เห็นควายมาเป็นฝูง จึงต้องคอยเตือนสติตัวเองเวลาตัวโง่มันมา เข้าใจว่าผู้ที่ได้ไม่มีอาการแบบนี้ เพราะเป็นผู้ที่ยังโง่ไม่สมควรมีฌานหรือได้ฌาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b17:
ผีอำ เป็นเรื่องระบบเลือดลมในร่างกายถูกกดทับ แล้วมาอุปาทานปรุงกันต่อ

แต่เรื่องที่สังขารออกมาเป็นเรื่องเป็นราวอีกยาวยืดนั้นเป็นภาพรวมของคนที่สติสัมปชัญญะขาดจากปัจจุบันอารมณ์

ลองกลับไปวิจัยทบทวนให้ดีจะพบว่าสติขาดจากปัจจุบันตั้งแต่มันเริ่มสังขารคิดปรุงเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ สัปชัญญะเลยขาดตามหมดความรู้รับผิดชอบในหน้าที่ของการภาวนา
onion

จริงค่ะ สติสัมปชัญญะขาดเพราะเกิดตอนสะลึมสะลือ คราวนี้คุนน้องจะไม่ให้สติสัมปชัญญะขาดเพราะความง่วงละค่ะ ถ้าจิตมันปรุงแต่งเห็นอะไรแปลกๆแล้วถ้าถามไรมันไม่ตอบ คุนน้องจะสร้างนิมิตเป็นกำแพงแก้วรอบตนเองและกำหนดนิมิตสร้างมีดรึกริชแทงไปบุคคลไม่มีตัวตน อยากจะลองเล่นกะจิตดูเหมือนกันค่ะ ว่าจะเป็นไง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 13:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b11:
นั่นเห็นไหม พูดโดยขาดสัมปชัญญะ เพราะคิดจะปรุงวิธีการต่อสู้ ไม่ใช่งานและหน้าที่ของผู้เจริญสมถะและวิปัสสนา

สติรู้ทันปัญญารู้มั่นอยู่กับปัจจุบันอารมณ์เป็นวิปัสสนาภาวนาอยู่ตลอดเวลา

สติหลุดจากปัจจุบัน จิตหลุดจากปรมัตถ์ บัญญัติเกิด สังขารความปรุงแต่งเกิด เกิดสมถะภาวนา เกิดนิวรณ์ธรรม

จำสั้นๆว่า

"นิ่งรู้"(อารมณ์)....เป็น วิปัสสนาภาวนา

"นิ่งอยู่"(กับอารมณ์)....เป็น สมถะภาวนา

พิสูจน์ก่อนแล้วค่อยสงสัย
smiley
สมถะ เป็นนิมิตตัง

วิปัสสนาเป็น อนิมิตตัง
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลานั่งสมาธิเกิดนิมิต เราจะมีสติสัมปชัญญะสามารถนิ่งสังเกตุปัจจุบันอารมณ์...คุนน้องว่าคุนน้องทำไม่ได้ชัวร์ :b14: ถ้าขณะนั้นภาวนาๆอยู่แล้วสังขารปรุงแต่ง มีคนมาจิกหัวเราลากเราเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา180 องศา แล้วเหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในฉากนั้นเอฟเฟคสมจริง จนแยกไม่ออกว่าจริงรึหลอก เราจะหยุดได้อย่างไรค่ะ กำหนดรู้ภาวนาต่อไปให้สงบหรอ คุนน้องคงกำหนดไม่ทัน เพราะความกลัวมันทำให้เราจิตใจอ่อนแอ (ใครไม่เคยเจอไม่รู้หรอกต้องเจอซะก่อนจะได้รู้ว่าบอกคนอื่นนะง่ายแต่โดนเองน่ะมันเป็นอย่างไร)ในเมื่อจิตมันปรุงหลอกเรา เราก็ต้องปรุงกลับ เกลือจิ้มเกลือ เอาให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย ในเมื่อข้องใจเราก็ต้องลองสักตั้ง เอาให้มันรู้แจ้งประจักษ์แก่จิตไปเลยว่าทั้งหมดคือ ผลงานของจิต ไม่งั้นก็คงได้เงิบบต่อไปถ้ายังไม่หายสงสัยว่าเกิดไรขึ้นกับเรา..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 13:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาการแบบนี้ไม่ควรนั่งหลับตา หรือไม่ก็เดินจงกรมแทนการนั่งหลับตา จิตจะได้มีสติรู้สึกตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 21:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เวลานั่งสมาธิเกิดนิมิต เราจะมีสติสัมปชัญญะสามารถนิ่งสังเกตุปัจจุบันอารมณ์...คุนน้องว่าคุนน้องทำไม่ได้ชัวร์ :b14: ถ้าขณะนั้นภาวนาๆอยู่แล้วสังขารปรุงแต่ง มีคนมาจิกหัวเราลากเราเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา180 องศา แล้วเหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในฉากนั้นเอฟเฟคสมจริง จนแยกไม่ออกว่าจริงรึหลอก เราจะหยุดได้อย่างไรค่ะ กำหนดรู้ภาวนาต่อไปให้สงบหรอ คุนน้องคงกำหนดไม่ทัน เพราะความกลัวมันทำให้เราจิตใจอ่อนแอ (ใครไม่เคยเจอไม่รู้หรอกต้องเจอซะก่อนจะได้รู้ว่าบอกคนอื่นนะง่ายแต่โดนเองน่ะมันเป็นอย่างไร)ในเมื่อจิตมันปรุงหลอกเรา เราก็ต้องปรุงกลับ เกลือจิ้มเกลือ เอาให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย ในเมื่อข้องใจเราก็ต้องลองสักตั้ง เอาให้มันรู้แจ้งประจักษ์แก่จิตไปเลยว่าทั้งหมดคือ ผลงานของจิต ไม่งั้นก็คงได้เงิบบต่อไปถ้ายังไม่หายสงสัยว่าเกิดไรขึ้นกับเรา..

:b12:
อย่าเพิ่งดูถูกตัวเองซิครับ ยังไม่ได้ลองทำจริงๆสักตั้งสองตั้งเลย
:b16:
วิเคราะห์กลับหลังหน่อยว่าตนเองเป็นอย่างนี้มานานแล้วไม่ใช่หรือครับ
ไม่ลองฉุกใจคิดมองต่างมุม พลิกแพลงวิธีใหม่ไม่ใช้แบบหัวชนฝาดูหรือครับ
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2014, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ไม่เกิดอาการนั้นแล้วค่ะ แต่จิตระลึกถึงอกุศลกรรมในอดีตที่เคยทำ ไม่ได้นั่งสมาธิแต่มันระลึกได้เพราะจิตเป็นสมาธิมั้งค่ะ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยนึกออกเลย แล้วตอนนั้นเราเป็นเด็กมากยังไม่เข้าอนุบาลด้วยซ้ำ มีใครเคยระลึกถึงอกุศลกรรมในอดีตได้บ้างไหมค่ะ การระลึกได้ถือว่าเป็นลางที่ดีนะเจ้าค่ะ ไม่ใช่เพราะจิตเราฟุ้งซ่านปรุงแต่ง การที่เรารู้อดีตที่เป็นอกุศลกรรมของเรา หมายถึงเจ้าหนี้เขาส่งสัญญาณมาเตือนค่ะ ว่าเรายังมีหนี้สินค้างกับเขาอยู่ ตอนเด็กช่วงนั้นเป็นฤดูเกี่ยวข้าว ก็ไปนากับตายาย แต่เราก็เล่นอยู่คนเดียว เลยไปไล่จับตั๊กแตนและเอามันไปกดน้ำ พอมันไม่หายใจ เราก็เอานิ้วกดให้น้ำมันออก เหมือนผายปอดตั๊กแตน ไม่ได้ทำตัวเดียวนะทำหลายตัว (เล่นพิเลนมากคืออยากลองเล่นช่วยชีวิตมัน :b5: )
คุนน้องลืมไปแล้วด้วยซ้ำ คุนน้องคงต้องนั่งสมาธิแผ่เมตตาแผ่บุญกุศลให้พวกเขาแล้ว ยิ่งระลึกความชั่วกรรมเก่าในทางอกุศลได้มากเท่าไหร่ นั่นแสดงว่า จิตใจเรากำลังถูกชำระและชดใช้กรรมนั้น
ก็ดีนะค่ะที่ไม่ลืมไปเลย ถ้าตอนตายเกิดนิมิตที่เราเคยทำอกุศลกรรม เราคงได้ไปอบายภูมิ บางคนทำอกุศลกรรมจนเคยชิน และอาจจะไม่ทุกข์อะไร
เหมือนคนขายปลาสดๆ ตราบใดที่เขาระลึกถึงกรรมเก่าของตนไม่ได้ มันก็เหมือนกรรมบังตา
และไม่รู้จะต้องชดใช้กรรมนั้นตอนไหน..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2014, 05:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
วิบากหรือผลของกรรมอดีตนั้นอุปมาเหมือนขยะที่เก็บสะสมไว้ในถังขยะใจ เป็นภาระที่เราจะต้องแบกหาม ชำระมัน

เวลาที่เรานั่งเจริญสติปัญญาสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิต ขยะเหล่านี้ก็จะแสดงตัวขึ้นมาตามขนาด น้ำหนัก เวลา ลำดับการใส่ขยะนั้นๆลงไปในถัง โดยแสดงเป็นอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด สุข ทุกข์ต่างๆ

ถ้าเรานิ่งรู้นิ่งสังเกตอารมณ์นั้นโดยไร้ปฏิกิริยาตอบโต้เป็นยินดียินร้ายหรือเเฉยๆใดๆ จนอารมณ์นั้นดับไปต่อหน้าต่อตาก็จะดุจเราหยิบขยะชิ้นนั้นทิ้งออกไปจากถังขยะใจ นี่คือกระบวนการชำระจิตของตนให้ขาวรอบที่เรียกว่า "วิปัสสนาภาวนา"

แต่ถ้าเรามีปฏิกิริยาตอบโต้ปรุงแต่งต่อ วิบากกรรมหรือขยะชิ้นนั้นก็จะมาเป็นปัจจัยหรือกิเลสอนุสัยทำให้เกิดกรรมใหม่พอกพูนทับถมขึ้นไปอีกทำให้วงเวียนหรือวัฏจักรแห่งกรรมไม่หยุดหมุนและเป็นไปตามปฏิจสมุปบาท

ทุกครั้งที่ได้นั่ง ยืน เดิน นอนเจริญวิปัสสนาภาวนาก็คือการค้นคุ้ยเอาขยะใจออกทิ้งจนกว่าจะหมดขยะในถังใจ ที่สุดสุดขยะหมดด้วยถูกน้ำธรรมชำระชะล้าง ก็จะเหลือแต่ถังขยะใจเปล่าๆเบาๆ สุดท้ายถ้ากล้าทุบถังขยะใจใบนี้ทิ้ง ก็จักหมดที่เก็บขยะสิ้นภาระต้องแบกหามอยู่ตามธรรมไปจนกว่าธาตุสี่ขันธ์ 5 นี้จะแยกแตกสลายไปตามธรรม
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2014, 14:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อารมณ์นั้นเป็นของโลก อารมณ์เหมือนมีหน้าที่คอยดึงจิตให้ยึดถือ ดึงจิตให้เวียนวายในวัฏฏะ ทำหน้าที่เหมือนโจร อีกทั้งเป็นโจรที่ชาญฉลาดรู้เรื่องวาระจิตของคนนั้นเป็นอย่างดี เหมือนตำรวจจะจับผู้ร้าย ผู้ร้ายก็ทำเป็นสงบเหมือนหายตัวได้ แต่แอบไปหมอบหัวเราะเยาะเย้ยอยู่ข้างๆจิต เมื่อเราทำตัวเป็นตำรวจ เรื่องอะไรที่โจรจะโผล่มาให้จับ โจรต้องหลอกให้หลงดีใจตายใจ แสร้งทำเป็นดับเหมือนตายไป หลอกมันให้มันหลง ยิ่งหลอกว่ามันบรรลุแล้วสำเร็จด้วยมายาสมมุติอุปโลกทำให้เย่อหยิ่งลำพองใจเห็นตัวเองดีกว่าผู้อื่นด้วยยิ่งดี หากมันเผลอเมื่อไร ก็ค่อยลุกขึ้นย่ำยี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2014, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คุนน้องป่วยเป็นไข้หวัดเลยกินยาแล้วรู้สึกง่วงเลยเผลอหลับไปตอนใกล้จะ6โมงเย็น(วันนี้วันพระหรอค่ะ)คือคุนน้องคงดื้อไม่ฟังคำโบราณบอก อย่านอนเวลาโพล้เพล้ คุนน้องเกิดอาการนั้นอีกแล้ว คุนน้องนอนตะแคงทางขวา(คนบอกพวกที่ชอบเป็นเพราะนอนผิดท่าส่วนใหญ่นอนหงายทับเส้นประสาทตรงกลางหลัง เหอๆ ขอบอกนะนอนตะแคงก็เป็นแล้วมันทับเส้นประสาทส่วนไหน)
ตอนรู้สึกตัวมีคนมาจับหลังคุนน้องรับรู้การเคลื่อนไหวของเขาตลอดเวลา คุนน้องมีสติสัมปชัญญะรู้หมด แต่ไม่สวดมนต์แล้วกำหนดรู้ตามที่มันเป็น จะต้องผ่านมันไปให้ได้ คือคุนน้องเอาจิตมาระลึกถึงพระรัตนตรัยให้คุ้มครอง แต่มือซ้ายคุนน้อง เขาจับมือคุนน้องแล้วหักนิ้วคุนน้องคุยน้องรู้สึกเจ็บจริงๆ คุนน้องปล่อยให้ทำ ก็ไม่มีทีท่าจะหยุด คุนน้องพยายามภาวนาไม่สนใจบางทีก็แผ่เมตตา แต่คุนน้องเจ็บมือ เขาบิดมือคุนน้องไปมา นี่มันไม่ใช่จิตปรุงแต่งใช่ไหม? คุนน้องโดนวิญญานแกล้งคุนน้องรู้สึกเจ็บจริงๆนะ แถมเขาเอามือมาลูบแถวต้นคอคุนน้อง เขาทำช้าๆลูบขึ้นลง คุนน้องเริ่มจะสติแตก :b14: คุนน้องพยายามลืมตาแต่ไม่ขึ้น แต่ก็คล้ายหลับตาไม่สนิทจึงเห็นลางๆ ว่าตอนนั่นนอนขยับตัวไม่ได้ แล้วรู้ไหมคุนน้องตื่นได้ไง ประตูห้องไม่ได้ปิดแล้วลมจากหน้าต่างพัดทำให้ประตูห้องปิดดังปัง เลยสะดุ้งตื่น โอ้วประตูช่วยชีวิต s002
ปล.พอตื่นจำความรู้สึกที่เขาเอานิ้วมือมาลูบคอเราขึ้นลง คุนน้องเลยลองใช้มือตนเองทดสอบ ลูบคอขึ้นลงเหมือนกัน จะรู้สึกคล้ายกันไหม ปรากฏเหมือนกันเปะ คุนน้องว่าวิญญาณ ไม่ใช่อาการนอนทับเส้น คุนน้องไม่เชื่อวิทยาศาสตร์แล้ว วิญญาณมีจริง อีกหน่อยคุนน้องคงนอนทับเส้นและไหลตาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2014, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าเคยโดนผีอำแกถุยน้ำลายใส่มัน หลังจากนั้นไม่โดนอำอีกเลย555
สงสัยคราวหน้าต้องใช้วิธีแม่ซะแล้ว :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 124 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร