วันเวลาปัจจุบัน 17 ต.ค. 2025, 00:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2015, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุทั้งหลาย !
ก็สิ่งไรที่เราบอกสอนแก่พวกเธอเล่า ?

สิ่งที่เราบอกสอนแก่พวกเธอ คือ
ความจริงอันประเสริฐ

ว่านี้เป็น
ทุกข์

นี้เป็น
เหตุให้เกิดทุกข์

นี้เป็น
ความดับไม่เหลือของทุกข์

และ

นี้เป็น
ทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือของทุกข์

ดังนี้




เพราะเหตุไร
เราจึงสอนสิ่งนี้แก่พวกเธอเล่า ?

เพราะว่าสิ่ง ๆ นี้
ย่อมประกอบด้วยประโยชน์
เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์
เป็นไปพร้อมเพื่อ
ความหน่ายทุกข์
ความคลายกำหนัด
ความดับ
ความรำงับ
ความรู้ยิ่ง
ความรู้พร้อมและนิพพาน




เพราะเหตุนั้น
เราจึงสอนสิ่งนี้แก่พวกเธอทั้งหลาย

ภิกษุทั้งหลาย !
เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้
พวกเธอพึงทำความเพียร
เพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า

นี้เป็น
ทุกข์

นี้เป็น
เหตุให้เกิดแห่งทุกข์

นี้เป็น
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

นี้เป็น
ทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

ดังนี้เถิด




อริยสัจจากพระโอษฐ์ ( ภาคต้น )

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2015, 14:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กิ่งและใบ
[๓๕๕] ดูกรพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา
ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า
ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ.
เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น.
เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น.

เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า
เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย.
อนึ่ง เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย

เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้น ที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น
และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด.
ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น



สะเก็ด
[๓๕๖] ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว
ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ.

เขาบวชอย่างนี้แล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น.
เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น.
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น.
เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญ ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ. เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม แล้วด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น.

เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีศีล มีกัลยาณธรรม
ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม.

อนึ่ง เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่าความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย.

เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้น ที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือกไปเสีย ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น
และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด.
ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น



เปลือก
[๓๕๗] ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว
ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ.

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น.
เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น.

อนึ่งเขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ.

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม.
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น.
อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ.
เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิดแล้ว.

เขาไม่ยังฉันทะให้เกิดไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่าความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น ทั้งเป็นผู้ประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย.

เปรียบเหมือนบุรุษนั้นที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ไปเสีย ถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น
และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขาฉันใด.
ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น.




กระพี้
[๓๕๘] ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส
ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ไฉนหนอ ความกระทำที่สุด
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ.

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น
เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น.
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ.

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม.
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น. อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด
พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ.

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม.
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น.
อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังญาณทัสสนะให้สำเร็จ.

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยญาณทัสสนะอันนั้น.
เพราะญาณทัสสนะนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรารู้เราเห็น ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่รู้ไม่เห็นอยู่.

อนึ่ง เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่าญาณทัสสนะนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย.

เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้น ที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น
และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด.
ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น.



แก่น
[๓๕๙] ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับ
แล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ. เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้
เกิดขึ้น. เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น.
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ.

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ.

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย
เขาย่อมยังญาณทัสสนะให้สำเร็จ.

เขามีความยินดีด้วยญาณทัสสนะนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม.
เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่น เพราะญาณทัสสนะอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ญาณทัสสนะนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.

ดูกรพราหมณ์ ก็ธรรมที่ยิ่งกว่าและประณีตกว่า ญาณทัสสนะเป็นไฉน?

ภิกษุในพระศาสนานี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน
มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่า ญาณทัสสนะ.

อีกข้อหนึ่ง เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไป
เพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา ภิกษุย่อมบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน
ด้วยพิจารณาว่า อากาศหาที่สุดมิได้.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.


อีกข้อหนึ่ง เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุย่อมบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.

อีกข้อหนึ่ง เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุย่อมบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่า น้อยหนึ่งไม่มี.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.

อีกข้อหนึ่ง เพราะล่วงเสียซึ่งอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุย่อมบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.

อีกข้อหนึ่ง เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุย่อมบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ.

เพราะเห็นด้วยปัญญาของเธอ อาสวะทั้งหลายย่อมสิ้นไป.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.

ดูกรพราหมณ์ ธรรมเหล่านี้แล
ที่ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.


เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้นที่มีความต้องการแก่น แสวงหาแก่น เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอาแก่นนั้นแหละถือไป รู้อยู่ว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้
แก่นของเขา จักสำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด.
ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น.

[๓๖๐] ดูกรพราหมณ์ ดังพรรณนามาฉะนี้
พรหมจรรย์จึงมิใช่มีลาภสักการะและความสรรเสริญเป็นอานิสงส์
มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์
มิใช่มีความถึงพร้อมสมาธิเป็นอานิสงส์
มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์
พรหมจรรย์นี้มี เจโตวิมุติอันไม่กำเริบ
เป็นประโยชน์ เป็นแก่น เป็นที่สุด.


เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ปิงคลโกจฉพราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ดังนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่
คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยประสงค์ว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉันใด ธรรมที่
พระองค์ทรงประกาศแล้วโดยอเนกปริยาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระองค์กับ
พระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึง
พระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.



จูฬสาโรปมสูตร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2015, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงอันประเสริฐสี่อย่าง

ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐ
มีสี่อย่างเหล่านี้

สี่อย่างเหล่าไหนเล่า ?
สี่อย่าง คือ

ความจริงอันประเสริฐ คือ ทุกข์

ความจริงอันประเสริฐ คือ เหตุให้เกิดทุกข์

ความจริงอันประเสริฐ คือ ความดับไม่เหลือของทุกข์

และ ความจริงอันประเสริฐ คือ ทางดำเนินให้ถึง ความดับไม่เหลือของทุกข์




ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐ คือ ทุกข์
เป็นอย่างไรเล่า ?

คือ ขันธ์อันเป็นที่ตั้ง แห่งความยึดมั่นถือมั่นห้าอย่าง

ห้าอย่างนั้นอะไรเล่า ?
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า
ความจริงอันประเสริฐ คือ ทุกข์




ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐ คือ เหตุให้เกิดทุกข์
เป็นอย่างไรเล่า ?

คือ ตัณหาอันใดนี้
ที่เป็นเครื่องนำให้มีการเกิดอีก

อันประกอบด้วย ความกำหนัด
เพราะอำนาจแห่งความเพลิน
มักทำให้เพลินอย่างยิ่ง ในอารมณ์นั้น ๆ

ได้แก่
(กามตัณหา)
ตัณหาในกาม

(ภวตัณหา)
ตัณหาในความมีความเป็น

(วิภวตัณหา)
ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า
ความจริงอันประเสริฐ คือ เหตุให้เกิดทุกข์




ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐ คือ ความดับไม่เหลือของทุกข์
เป็นอย่างไรเล่า ?

คือ ความดับสนิท เพราะความจางคลายดับไป โดยไม่เหลือของตัณหานั้น
ความสละลงเสีย
ความสลัดทิ้งไป
ความปล่อยวาง
ความไม่อาลัยถึง
ซึ่งตัณหานั้นเอง อันใด

ภิกษุทั้งหลาย !
อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐ คือ ความดับไม่เหลือของทุกข์




ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐ คือ ทางดำเนินให้ถึง ความดับไม่เหลือของทุกข์
เป็นอย่างไรเล่า ?

คือ หนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดนั่นเอง
ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ

( สัมมาทิฏฐิ )
ความเห็นชอบ

( สัมมาสังกัปปะ )
ความดำริชอบ

( สัมมาวาจา )
การพูดจาชอบ

( สัมมากัมมันตะ )
การงานชอบ

( สัมมาอาชีวะ )
การเลี้ยงชีพชอบ

( สัมมาวายามะ )
ความเพียรชอบ

( สัมมาสติ )
ความระลึกชอบ

( สัมมาสมาธิ )
ความตั้งใจมั่นชอบ

ภิกษุทั้งหลาย !
อันนี้เรากล่าวว่า
ความจริงอันประเสริฐ คือ
ทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือของทุกข์




ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้แล คือ
ความจริงอันประเสริฐสี่อย่าง

ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้
พวกเธอพึงทำความเพียร เพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า

นี้เป็น ทุกข์

นี้เป็น เหตุให้เกิดทุกข์

นี้เป็น ความดับไม่เหลือของทุกข์

นี้เป็น ทางดำเนินให้ถึง ความดับไม่เหลือของทุกข์

ดังนี้เถิด




หมายเหตุ;

เหตุและปัจจัยที่ทำให้ ทุกข์-สุข มีเกิดขึ้นในชีวิต

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 13 พ.ค. 2015, 17:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2015, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยสัจสี่

ภิกษุทั้งหลาย ! ทุกขอริยสัจ
เป็นอย่างไรเล่า ?

แม้ความเกิด
ก็เป็นทุกข์

แม้ความแก่
ก็เป็นทุกข์

แม้ความตาย
ก็เป็นทุกข์

แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ
โทมนัส อุปายาสะ ทั้งหลาย
ก็เป็นทุกข์

การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก
เป็นทุกข์

ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก
เป็นทุกข์

ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็
เป็นทุกข์

กล่าวโดยย่อ
ปัญจุปาทานักขันธ์ทั้งหลาย
เป็นทุกข์

ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขอริยสัจ




ภิกษุทั้งหลาย ! ทุกขสมุทยอริยสัจ
เป็นอย่างไรเล่า ?

เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขารทั้งหลาย

เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ

เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงมีนามรูป

เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ

เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย
จึงมีผัสสะ

เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย
จึงมีเวทนา

เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย
จึงมีตัณหา

เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน

เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย
จึงมีภพ

เพราะมีภพเป็นปัจจัย
จึงมีชาติ

เพราะมีชาติเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ
ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน

ความเกิดขึ้นพร้อม
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ




ภิกษุทั้งหลาย ! ทุกขนิโรธอริยสัจ
เป็นอย่างไรเล่า ?

เพราะความจางคลายดับไป
โดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว
จึงมีความดับแห่งสังขาร

เพราะมีความดับแห่งสังขาร
จึงมีความดับแห่งวิญญาณ

เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ
จึงมีความดับแห่งนามรูป

เพราะมีความดับแห่งนามรูป
จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ

เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ
จึงมีความดับแห่งผัสสะ

เพราะมีความดับแห่งผัสสะ
จึงมีความดับแห่งเวทนา

เพราะมีความดับแห่งเวทนา
จึงมีความดับแห่งตัณหา

เพราะมีความดับแห่งตัณหา
จึงมีความดับแห่งอุปาทาน

เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน
จึงมีความดับแห่งภพ

เพราะมีความดับแห่งภพ
จึงมีความดับแห่งชาติ

เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล
ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ
ทั้งหลายจึงดับสิ้น

ความดับลง
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ




ภิกษุทั้งหลาย ! ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
เป็นอย่างไรเล่า ?

มรรคอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดประการ
นี้นั่นเอง กล่าวคือ

( ความเห็นชอบ )
สัมมาทิฏฐิ

( ความดำริชอบ )
สัมมาสังกัปปะ

( การพูดจาชอบ )
สัมมาวาจา

( การงานชอบ )
สัมมากัมมันตะ

( การเลี้ยงชีพชอบ )
สัมมาอาชีวะ

( ความเพียรชอบ )
สัมมาวายามะ

( ความระลึกชอบ )
สัมมาสติ

( ความตั้งใจมั่นชอบ )
สัมมาสมาธิ

ภิกษุทั้งหลาย !
นี้เรากล่าวว่า
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ




ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมอันเราแสดงแล้วว่าเหล่านี้ คือ
อริยสัจทั้งหลายสี่ประการ

ดังนี้

เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์
ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้
ทำให้เศร้าหมองไม่ได้
ติเตียนไม่ได้
คัดง้างไม่ได้
ดังนี้

อันใดอันเรากล่าวแล้วข้อนั้น
เรากล่าวหมายถึงข้อความนี้

ดังนี้





หมายเหตุ;

เหตุและปัจจัย ที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2015, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะไม่รู้อริยสัจสี่ ( ๑ )
ภิกษุทั้งหลาย !
เพราะไม่รู้ถึง
เพราะไม่แทงตลอดซึ่ง
อริยสัจสี่อย่าง

เราและพวกเธอทั้งหลาย
จึงท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ
ตลอดกาลยืดยาวนานถึงเพียงนี้




ภิกษุทั้งหลาย !
เพราะไม่รู้ถึง
เพราะไม่แทงตลอดซึ่ง
อริยสัจสี่อย่าง
เหล่าไหนเล่า ?

สี่อย่าง คือ

อริยสัจ คือ
ทุกข์

อริยสัจ คือ
เหตุให้เกิดทุกข์

อริยสัจ คือ
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

อริยสัจ คือ
ทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์




ภิกษุทั้งหลาย !
เพราะไม่รู้ถึง
เพราะไม่แทงตลอดซึ่ง
อริยสัจสี่ประการ
เหล่านี้แล

เราและพวกเธอทั้งหลาย
จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ
ตลอดกาลยืดยาวนานถึงเพียงนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2015, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุทั้งหลาย !
ก็สิ่งไรที่เราบอกสอนแก่พวกเธอเล่า ?

สิ่งที่เราบอกสอนแก่พวกเธอ คือ
ความจริงอันประเสริฐ

ว่านี้เป็น
ทุกข์

นี้เป็น
เหตุให้เกิดทุกข์

นี้เป็น
ความดับไม่เหลือของทุกข์

และ

นี้เป็น
ทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือของทุกข์

ดังนี้




เพราะเหตุไร
เราจึงสอนสิ่งนี้แก่พวกเธอเล่า ?

เพราะว่าสิ่ง ๆ นี้
ย่อมประกอบด้วยประโยชน์
เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์
เป็นไปพร้อมเพื่อ
ความหน่ายทุกข์
ความคลายกำหนัด
ความดับ
ความรำงับ
ความรู้ยิ่ง
ความรู้พร้อมและนิพพาน




เพราะเหตุนั้น
เราจึงสอนสิ่งนี้แก่พวกเธอทั้งหลาย

ภิกษุทั้งหลาย !
เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้
พวกเธอพึงทำความเพียร
เพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า

นี้เป็น
ทุกข์

นี้เป็น
เหตุให้เกิดแห่งทุกข์

นี้เป็น
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

นี้เป็น
ทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

ดังนี้เถิด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2015, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่.
สามอย่าง อย่างไรเล่า?

สามอย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธรรม ๓ อย่างนั้น.

ภิกษุ ท. ! เพื่อละเสียซึ่งธรรมสามอย่างเหล่านี้
ควรเจริญซึ่งธรรม ๓ อย่าง.

ธรรมสามอย่าง อย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :-

เจริญ อสุภะ เพื่อละเสียซึ่ง ราคะ;
เจริญ เมตตา เพื่อละเสียซึ่ง โทสะ;
เจริญ ปัญญา เพื่อละเสียซึ่ง โมหะ.

ภิกษุ ท. ! ธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ อันบุคคลควรเจริญเพื่อละเสีย ซึ่ง
ธรรมสามอย่างเหล่าโน้นแล.

- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๕/๓๗๘.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2015, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 301

ความตามเห็นโดยความพอใจในธรรมอันเป็นปัจจัยแห่ง สังโยชน์ ๑
ความพิจารณาเห็นด้วยอำนาจควานหน่ายในธรรมทั้งหลายอัน เป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์ ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ตามเห็นโดยความพอใจ
ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่

ย่อมละราคะไม่ได้.

ย่อมละโทสะไม่ได้

ย่อมละโมหะไม่ได้

เรากล่าวว่า บุคคลยังละราคะไม่ได้ ยังละโทสะไม่ได้ ยังละโมหะไม่ได้แล้ว
ย่อมไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้พิจารณาเห็นด้วยอำนาจความหน่ายในธรรม
ทั้งหลาย อันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ ย่อมละราคะได้ ย่อมละโทสะได้ ย่อมละโมหะได้

เรากล่าวว่า บุคคลละราคะ ละโทสะ ละโมหะได้แล้ว
ย่อมพันจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
ย่อมพ้นจากทุกข์ได้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล.
จบสูตรที่ ๖

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2015, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่ควรรู้ เกี่ยวกับการปฏิบัติ
ในการทำความเพียร เนื่องด้วยเหตุและปัจจัยของแต่ละคน
ที่มีเหตุให้ลุ่มหลง ในความอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรๆ ในสมมุติ
เช่น โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์

เมื่อตัณหามีกำลังแรงกล้า ด้วยเหตุและปัจจัยที่มีอยู่ ความไม่รู้ในสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้น
เป็นปัจจัยให้น้อมเข้าหาตัว หลงคิดว่าได้ คิดว่ามี คิดว่าเป็นอะไรๆ ตามที่อยากเป็น เหตุมี ผลย่อมมี

วิธีปฏิบัติเพื่อละตัณหา ความอยากมี อยากเป็นอะไรๆ
สิ่งแรกที่ควรทำ คือปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน


อนุปาทาปรินิพพานสูตร
ข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน

[๑๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก พึงถามเธอทั้งหลายอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม เพื่อประโยชน์อะไร
เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค เพื่ออนุปาทาปรินิพพาน.

[๑๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกพึงถามเธอทั้งหลายอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทางมีอยู่หรือ? ข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพานมีอยู่หรือ?
เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ทางมีอยู่ ข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพานมีอยู่.

[๑๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทางเป็นไฉน?
ข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพานเป็นไฉน?
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล คือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจชอบ
นี้เป็นข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว
พึงชี้แจงแก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้.

จบ สูตรที่ ๘
จบ อัญญติตถิยวรรคที่ ๕


http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... =658&Z=678
--------------------------------------------------------------


สำหรับพระธรรมคำสอน การปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพานนี่ เป็นการฝึกละในความอยากมี อยากได้ อยากเป็นอะไรๆ ในคำเรียกต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านั้น หากยังมีเหตุปัจจัยของการเกิดอยู่ ขึ้นชื่อว่า การเกิด ล้วนเป็นทุกข์


เวลาทำความเพียร จงระลึกไว้เสมอว่า การทำความเพียรนี้ เพียรเพื่อ อนุปาทาปรินิพพาน คือ การไม่เกิด
เวลาเจอผัสสะต่างๆ จะได้มีกำลังที่จะสู้กับตัณหา ความทะยานอยากที่เกิดขึ้น ประมาณว่า ขึ้นชื่อว่า การเกิด ล้วนเป็นทุกข์

เมื่อไม่อยากเกิด ต้องอดทนอดกลั้น ต่อผัสสะที่มีเกิดขึ้น ซึ่งมีผลกระทบทางใจ เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิด ไม่ว่าจะมีเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน หรือ ขณะทำความเพียรอยู่ ก็ตาม

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2015, 10:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2015, 09:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


แนบไฟล์:
เพ.JPG
เพ.JPG [ 54.66 KiB | เปิดดู 2390 ครั้ง ]

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2015, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




โย.JPG
โย.JPG [ 26.45 KiB | เปิดดู 2388 ครั้ง ]
ภพชาติของการเกิด น่ากลัวนะ

ยิ่งรู้ชัด ยิ่งเบื่อหน่ายภพชาติของการเกิด

ขึ้นชื่อว่า การเกิด ล้วนเป็นทุกข์

ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ฐานะใด ล้วนเป็นทุกข์
เพียงแต่ จะรู้ชัดด้วยตัวเอง หรือยัง เท่านั้นเอง

เมื่อยังไม่รู้ ก็หลงสร้างเหตุแห่งทุกข์ ให้มีเกิดขึ้นมาใหม่เนืองๆ
ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง โดยมีตัณหาเป็นตัวกระตุ้น ให้เกิดการกระทำ


ความไม่รู้
เมื่อผัสสะเกิด สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม

หากไม่รู้จักโยนิโสมนสิการ ไม่น้อมเข้าสู่ ทุกข์ โทษ ภัย ของการเกิด

เมื่ออโยนิโสมนสิการ ย่อมมีแต่การสร้างเหตุ มากกว่าจะรู้สึกตัวว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใด ไม่ควรทำ
การกล่าวเพ่งโทษนอกตัว จึงมีเกิดขึ้น เพราะเหตุนี้

เมื่อไม่รู้ จึงตกเป็นทาสของตัณหา ก่อให้เกิดการกระทำ ภพชาติการเกิดเวียนว่าย ในสังสารวัฏ จึงยาวนาน เพราะเหตุนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2015, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัณหา

วัจฉะ ! เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น
สำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่ (สอุปาทานสฺส) ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน

วัจฉะ ! เปรียบเหมือน ไฟที่มีเชื้อ ย่อมโพลงขึ้นได้ (อคฺคิ สอุปาทาโน ชลติ)
ที่ไม่มีเชื้อ ก็โพลงขึ้นไม่ได้ อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น


วัจฉะ ! เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น
สำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน

“พระโคดมผู้เจริญ ! ถ้าสมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล,
สมัยนั้น พระโคดมย่อมบัญญัติซึ่งอะไรว่าเป็นเชื้อแก่เปลวไฟนั้น ถ้าถือว่ามันยังมีเชื้ออยู่ ?”


วัจฉะ ! สมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล
เราย่อมบัญญัติเปลวไฟนั้น ว่า มีลมนั่นแหละเป็นเชื้อ
วัจฉะ ! เพราะว่า สมัยนั้น ลมย่อมเป็นเชื้อของเปลวไฟนั้น.


“พระโคดมผู้เจริญ ! ถ้าสมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ และยังไม่บังเกิดขึ้นด้วยกายอื่น,
สมัยนั้นพระโคดม ย่อมบัญญัติ ซึ่งอะไร ว่าเป็นเชื้อแก่สัตว์นั้น ถ้าถือว่า มันยังมีเชื้ออยู่ ?”


วัจฉะ ! สมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ และยังไม่บังเกิดขึ้นด้วยกายอื่น
เรากล่าว สัตว์นี้ ว่า มีตัณหานั่นแหละเป็นเชื้อ
เพราะว่า สมัยนั้น ตัณหาย่อมเป็นเชื้อของสัตว์นั้น แล.


สฬา. สํ. ๑๘/๔๘๕/๘๐๐.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2015, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


แนบไฟล์:
ตั.JPG
ตั.JPG [ 49.99 KiB | เปิดดู 2377 ครั้ง ]

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2015, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะ-วิปัสสนา

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้น
เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิด
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น

เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ


อรรถกถาจารย์
[๕๓๖] ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความไม่พยาบาท เป็นสมาธิ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งอาโลกสัญญา เป็นสมาธิ ฯลฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก
ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า เป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา [/b]

ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ



[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะ เป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา


ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

....................................

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น

เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ




[๕๓๗] ภิกษุนั้นย่อมเจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
วิปัสสนา ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา


ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดใน
วิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์

เพราะความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ
ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง


เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
เจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ฯ



http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/s ... 9&bookZ=33



นี่เป็นสภาพธรรม ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ของสิ่งที่เรียกว่า สมถะ-วิปัสสนา ตามพระธรรมคำสอน




น้อยคนนัก ที่จะสนใจพระธรรมคำสอน ที่ยังมีร่องรอยปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก

สิ่งที่เรียกว่า สมถะ-วิปัสสนา ที่เป็นสภาพธรรมเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
มีปรากฏให้เห็นอยู่ แต่โดยส่วนมาก ไปสนใจคำเรียก "วิปัสสนา" ที่นำมาใช้กันในปัจจุบัน


เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของแต่ละคน

หากตั้งใจทำความเพียร และพยายามลดละการสร้างเหตุ ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
ที่เกิดจาก ผัสสะ เป็นปัจจัย

เมื่อถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม จะมีเหตุให้รู้ สภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ของคำเรียกนั้นๆ
แม้ผู้นั้น จะไม่รู้หนังสือ ก็ตาม


เมื่อไม่หยุด จึงไม่รู้
ด้วยอำนาจตัณหา ความทะยานอยาก บดบังสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง




ผัสสะเกิด การคิดพิจรณาสิ่งที่ปรากฏ จะคิดพิจรณายังไงก็ได้
แต่การคิดพิจรณานั้นๆ น้อมลงสู่ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา
นี่จึงจะเป็น สภาพธรรมของสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เรียกว่า วิปัสสนา

ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ขณะจิตเป็นสมาธิ และไม่เป็นสมาธิ
ขณะทำความเพียร และในการดำเนินชีวิต

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร