วันเวลาปัจจุบัน 02 ส.ค. 2025, 19:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2016, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิต กาย-ใจ ท่านจำแนกเป็นขันธ์ ๕ เป็นอายตนะ ๑๒ เป็นธาตุ ๑๘ เป็นอินทรีย์ ๒๒

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2016, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ชีวิต กาย-ใจ ท่านจำแนกเป็นขันธ์ ๕ เป็นอายตนะ ๑๒ เป็นธาตุ ๑๘ เป็นอินทรีย์ ๒๒


เรื่องของเอ็ง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2016, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชีวิต กาย-ใจ ท่านจำแนกเป็นขันธ์ ๕ เป็นอายตนะ ๑๒ เป็นธาตุ ๑๘ เป็นอินทรีย์ ๒๒


เรื่องของเอ็ง :b32:



อิอิ ไปไม่รอด โฮฮับเอ้ย เสียเวลาเปล่าๆ ไม่ได้เรื่อง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2016, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ธาตุมันแยกไม่ได้ เพราะกายใจของปุถุชนที่มีชีวิตอยู่ได้
ก็เพาะการรวมตัวกันของธาตุ

ส่วนขันธ์นั้นก็เกิดจากการกระทำของกายใจเอง
เมื่อกายใจทำให้เกิดขันธ์ ขันธ์มันก็เกิด
โดยความเป็นจริงแล้ว...ไม่ใช่แยกขันธ์ แต่ต้องเป็นทำไม่ให้ขันธ์มันเกิด

การแยกธรรมที่แท้จริงแล้วคือการแยกสมมติและปรมัตถ์ ไม่ใช่แยกธาตุขันธ์
โดยธรรมชาติของปุถุชนจะเกิดขันธ์ขึ้นเสมอเมื่อเกิดการกระทบ นี่ก็เพราะไม่รู้จักว่าอะไรเป็นสมมติและอะไรเป็นปรมัตถ์ นั้นก็คือเป็นอวิชชาไม่รู้จักแยกสมมติและปรมัตถ์นั้นเอง :b13:



ขอให้อีกสักทีเถอะ

ที่ว่านี่

อ้างคำพูด:
การแยกธรรมที่แท้จริงแล้วคือการแยกสมมติและปรมัตถ์ ไม่ใช่แยกธาตุขันธ์
โดยธรรมชาติของปุถุชนจะเกิดขันธ์ขึ้นเสมอเมื่อเกิดการกระทบ


ธาตุเขาแยกได้ เช่น ธาตุ 18 เป็นต้น

ขันธ์ แปลว่า กอง,หมวด หมายถึงท่านจำแนกกาย-ใจ โดยความเป็นขันธ์ เป็นกอง เป็นหมวดเป็นหมู่ ที่พวกเราพูดกันคล่องปร๋อว่า ขันธ์ ๕ นี่ก็แยกได้ ทำไมจะแยกไม่ได้


โฮฮับ แม้แต่ขันธ์ยังไม่เข้าใจเลย

อ้างคำพูด:
โดยธรรมชาติของปุถุชนจะเกิดขันธ์ขึ้นเสมอเมื่อเกิดการกระทบ



ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร จะเป็นปุถุชน เป็นอริยบุคคล เมื่อว่าโดยขันธ์ก็มี ๕ ขันธ์ ว่าโดยอายตนะก็มี ๑๒ ว่าโดยธาตุก็มี ๑๘ ว่าโดยอินทรีย์ ก็มี ๒๒ (นี่คือไม่ใช่สัตว์ บุคคล .... มันเป็นเพียงขันธ์ อายตนะ เป็นต้น)

แต่ความต่างระหว่างปุถุชนกับอริยบุคคล มีอยู่ คือ ปุถุชนยึดติดถือมั่นว่า ขันธ์ ๕ (คือกาย-ใจ) เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา

แต่อริยบุคคล ไม่ยึดติดสำคัญมั่นหมายว่า กาย-ใจ (ขันธ์ ๕) ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เป็นแต่เพียงขันธ์ อายตนะ ธาตุเป็นต้นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2016, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(มีอ้างอิงทุกข์ด้วย ทำความเข้าใจให้ได้ แล้วค่อยไปต่อ)

ทุกข์ปรากฏในหมวดธรรมสำคัญ ๓ หมวด คือ

๑. ในเวทนา (เวทนา ๓ คือ ทุกข์ สุข อทุกขมสุข เวทนา ๕ คือ ทุกข์ สุข โสมนัส โทมนัส) เรียกเต็มว่า ทุกขเวทนา

๒. ในไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา) เรียกเต็มว่า ทุกขลักษณะ

๓. ในอริสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) เรียกเต็มว่า ทุกขอริยสัจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2016, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

อ้างคำพูด:
การแยกธรรมที่แท้จริงแล้วคือการแยกสมมติและปรมัตถ์ ไม่ใช่แยกธาตุขันธ์
โดยธรรมชาติของปุถุชนจะเกิดขันธ์ขึ้นเสมอเมื่อเกิดการกระทบ


ธาตุเขาแยกได้ เช่น ธาตุ 18 เป็นต้น


ที่แสดงความเห็นนี่ไม่ใช่จะให้นายกรัชกายอ่าน แต่จะอธิบายเพื่อประโยชน์ต่อสมาชิกและเพื่อนท่านอื่น
สำหรับนายกรัชกายต้องปล่อยเลยตามเลยแล้ว

แค่จำแนกแจกแจงมันก็ยังไม่รู้ และไม่รู้แทนที่จะถามไถ่เพื่อประโยชน์ตนเอง
กลับดันทุรังพูดเป็นเครื่องบันทึกเสียงซ้ำซาก

ในกายใจของบุคคลประกอบด้วยธาตุ๑๘ อาทิเช่น จักขุธาตุ รูปธาตุ และอื่นๆ(๑๘)
จักขุธาตุ ไม่สามารถตั้งอยู่เดียวได้ จะต้องมีที่อาศัย ก็คือมหาภูติรูปสี่ก็คือกายใจนั้นเอง

๑๘. มโนวิญญาณธาตุ
[๑๒๕] ในธาตุ ๑๘ นั้น จักขุธาตุ เป็นไฉน
จักขุใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ ๑- นี้เรียกว่า บ้านว่าง
บ้าง นี้เรียกว่า จักขุธาตุ
รูปธาตุ เป็นไฉน
รูปใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ ได้แก่ สี ฯลฯ นี้เรียกว่า รูปธาตุบ้าง
นี้เรียกว่า รูปธาตุ
จักขุวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
@๑. ความที่ ฯลฯ ในอภิธรรมภาชนีย์นี้ พึงดูความเต็มในธรรมสังคณีปกรณ์
@ตั้งแต่ข้อ (๕๑๖) เป็นลำดับไป
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑร มโน มนายตนะ มนินทรีย์
วิญญาณ วิญญาณขันธ์ จักขุวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยจักขุปสาทและรูปารมณ์
เกิดขึ้น นี้เรียกว่า จักขุวิญญาณธาตุ


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v ... 252&Z=2366

เป็นเพราะธาตุ๑๘ต้องอาศัยมหาภูติรูปสี่(กายใจ)เป็นที่อาศัย
เหตุนี้ธาตุทั้ง๑๘จะแยกออกไปต่างหากไม่ได้


ไปอ่านพระสูตรให้ครบทั้งบท


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2016, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:


อ้างคำพูด:
โดยธรรมชาติของปุถุชนจะเกิดขันธ์ขึ้นเสมอเมื่อเกิดการกระทบ


ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร จะเป็นปุถุชน เป็นอริยบุคคล เมื่อว่าโดยขันธ์ก็มี ๕ ขันธ์ ว่าโดยอายตนะก็มี ๑๒ ว่าโดยธาตุก็มี ๑๘ ว่าโดยอินทรีย์ ก็มี ๒๒ (นี่คือไม่ใช่สัตว์ บุคคล .... มันเป็นเพียงขันธ์ อายตนะ เป็นต้น)


ที่พูดมาเป็นอวิชชาล้วนๆ เอากระบวนการทางธรรมชาติ มามั่วกับกระบวนการของจิต

ขี้เกียจอธิบายเพราะพูดมาหลายครั้งหลายหนแล้ว.....เซ็งกับนายคนนี้จริง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2016, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
(มีอ้างอิงทุกข์ด้วย ทำความเข้าใจให้ได้ แล้วค่อยไปต่อ)

ทุกข์ปรากฏในหมวดธรรมสำคัญ ๓ หมวด คือ


ทุกข์มีอย่างเดียว คือทุกข์ในอริยสัจจ์สี่
มันเป็นเรื่องของคนไม่รู้แล้วอวดเก่งถือดีไปจัดเป็นหมวดหมู่จนทำให้ธรรมเลอะเทอะ

กรัชกาย เขียน:
๑. ในเวทนา (เวทนา ๓ คือ ทุกข์ สุข อทุกขมสุข เวทนา ๕ คือ ทุกข์ สุข โสมนัส โทมนัส) เรียกเต็มว่า ทุกขเวทนา

เวทนามีอย่างเดียว นั้นก็คือลักษณะโดยธรรมชาติ ลักษณะที่ว่าก็คือ "ความรู้สึก"เมื่อมีธรรมมากระทบที่กายใจ(ทวาร)

ไอ้ที่กรัชกายเอามาโพส ...มันมั่วมโนขึ้นเอง เพื่อที่จะหาอะไรมาเติมเต็มหลักสูตรเพียงเพื่อเอาไว้สอนเด็ก
ทั้งหมดทั้งมวลไม่เกี่ยวกับ พุทธพจน์ที่ว่าด้วย...."เวทนา"

กรัชกาย เขียน:

๒. ในไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา) เรียกเต็มว่า ทุกขลักษณะ


เอามาโพสโดยไม่เข้าใจความหมาย ใช่ทุกข์ในไตรลักษณ์คือ ...ทุกข์ลักษณะ
แต่เราต้องรู้ด้วยว่า ทุกขลักษณะหรือลักษณะของทุกข์เป็นอย่างไร
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เวทนาแบบที่กรัชกายไปก๊อปปี้มามั่ว .....

ลักษณะของทุกข์ในไตรลักษร์ก็คือ ทุกขอริยสัจจ์
ซึ่งถ้าจะให้อธิบายแบบโวหารมันก็คือ วัฏฏสงสารหรือการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นวัฏจักร


กรัชกาย เขียน:
๓. ในอริสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) เรียกเต็มว่า ทุกขอริยสัจ


ทุกขอริยสัจจนี้แหล่ะคือทุกข์ที่แท้จริง ไม่มีอย่างอื่น
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเบื้องต้นเลยว่า บุคคลจะต้องรู้ทุกข์(ลักษณะ)เสียก่อน
เมื่อรู้แล้วก็จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของบัญญัติที่ว่าด้วยทุกข์

ทุกข์ที่เป็นพุทธพจน์ ย่อมเป็นลักษณะของวัฏจักรของวัฏฏสงสาร( เกิด แก่ เจ็บ ตาย)
หาใช่เป็นอย่างอื่นไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2016, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
(มีอ้างอิงทุกข์ด้วย ทำความเข้าใจให้ได้ แล้วค่อยไปต่อ)

ทุกข์ปรากฏในหมวดธรรมสำคัญ ๓ หมวด คือ


ทุกข์มีอย่างเดียว คือทุกข์ในอริยสัจจ์สี่
มันเป็นเรื่องของคนไม่รู้แล้วอวดเก่งถือดีไปจัดเป็นหมวดหมู่จนทำให้ธรรมเลอะเทอะ

กรัชกาย เขียน:
๑. ในเวทนา (เวทนา ๓ คือ ทุกข์ สุข อทุกขมสุข เวทนา ๕ คือ ทุกข์ สุข โสมนัส โทมนัส) เรียกเต็มว่า ทุกขเวทนา

เวทนามีอย่างเดียว นั้นก็คือลักษณะโดยธรรมชาติ ลักษณะที่ว่าก็คือ "ความรู้สึก"เมื่อมีธรรมมากระทบที่กายใจ(ทวาร)

ไอ้ที่กรัชกายเอามาโพส ...มันมั่วมโนขึ้นเอง เพื่อที่จะหาอะไรมาเติมเต็มหลักสูตรเพียงเพื่อเอาไว้สอนเด็ก
ทั้งหมดทั้งมวลไม่เกี่ยวกับ พุทธพจน์ที่ว่าด้วย...."เวทนา"

กรัชกาย เขียน:

๒. ในไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา) เรียกเต็มว่า ทุกขลักษณะ


เอามาโพสโดยไม่เข้าใจความหมาย ใช่ทุกข์ในไตรลักษณ์คือ ...ทุกข์ลักษณะ
แต่เราต้องรู้ด้วยว่า ทุกขลักษณะหรือลักษณะของทุกข์เป็นอย่างไร
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เวทนาแบบที่กรัชกายไปก๊อปปี้มามั่ว .....

ลักษณะของทุกข์ในไตรลักษร์ก็คือ ทุกขอริยสัจจ์
ซึ่งถ้าจะให้อธิบายแบบโวหารมันก็คือ วัฏฏสงสารหรือการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นวัฏจักร


กรัชกาย เขียน:
๓. ในอริสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) เรียกเต็มว่า ทุกขอริยสัจ


ทุกขอริยสัจจนี้แหล่ะคือทุกข์ที่แท้จริง ไม่มีอย่างอื่น
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเบื้องต้นเลยว่า บุคคลจะต้องรู้ทุกข์(ลักษณะ)เสียก่อน
เมื่อรู้แล้วก็จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของบัญญัติที่ว่าด้วยทุกข์

ทุกข์ที่เป็นพุทธพจน์ ย่อมเป็นลักษณะของวัฏจักรของวัฏฏสงสาร( เกิด แก่ เจ็บ ตาย)
หาใช่เป็นอย่างอื่นไม่



อ้างคำพูด:
ทุกข์ที่เป็นพุทธพจน์ ย่อมเป็นลักษณะของวัฏจักรของวัฏฏสงสาร( เกิด แก่ เจ็บ ตาย)
หาใช่เป็นอย่างอื่นไม่



สังขิตเตน ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขาจ้า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:


อ้างคำพูด:
โดยธรรมชาติของปุถุชนจะเกิดขันธ์ขึ้นเสมอเมื่อเกิดการกระทบ


ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร จะเป็นปุถุชน เป็นอริยบุคคล เมื่อว่าโดยขันธ์ก็มี ๕ ขันธ์ ว่าโดยอายตนะก็มี ๑๒ ว่าโดยธาตุก็มี ๑๘ ว่าโดยอินทรีย์ ก็มี ๒๒ (นี่คือไม่ใช่สัตว์ บุคคล .... มันเป็นเพียงขันธ์ อายตนะ เป็นต้น)


ที่พูดมาเป็นอวิชชาล้วนๆ เอากระบวนการทางธรรมชาติ มามั่วกับกระบวนการของจิต

ขี้เกียจอธิบายเพราะพูดมาหลายครั้งหลายหนแล้ว.....เซ็งกับนายคนนี้จริง :b32:

Kiss
:b12:
ทั้งเซ็งทั้งเบื่อกันมากเลยเหรอคะ...ไปไหนมาสามวาสองศอก...ขาดกันไม่ได้เลยก็เห็นๆกันอยู่...
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร