วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ย. 2025, 02:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2019, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอากระทู้นี้ให้แค่อากาศดู เขาก็ว่าน้องกรัชกายอย่างพี่เมว่านั่นแหละ คือว่า คนเรานะ พยายามจะหลีกหนีความจริง แบบนี้นะ ไม่มีทางจะปฏิบัติสติปัฏฐานได้เป็นอันขวดเอ้ยอันขาด :b32:

(จขกท. คคห.6)
ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน
แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลย จึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก
ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีก เพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง
แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะ เพราะมันคล้ายหูแว่ว แต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)
กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร
เสียงที่ได้ยินบอกว่า ไม่หายหรอกต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ
ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก
แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน
แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html


เพราะผู้สอน ไม่ได้สอนถูกต้องตรงตามอักขระ และพยัญชนะ ที่พระพุทธองค์ แสดงน่ะสิค๊ะ

กรรมแท้ๆ ไปเจอแบบท่านสัญชัย
tongue


ก็บอกแล้วว่า คนมีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ตัวอักษร ไม่ใช่อักขระ ที่เขียนอยู่ยังไงก็ตั้งโด่อยู่ยังงั้น และนี่แหละทุกขอริยสัจ คิกๆๆ ทุกข์เพราะยึด :b32: เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องกำหนดรู้ทุกข์ (ปริญญากิจ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2019, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เปงงัยฮ่ะ ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน :b12: นี่ขั้นการเรียน ซึ่งได้แก่ ปริยัติ ไม่ใช่ปฏิบัติ ไม่ใช่การเดินทาง ไม่ใช่ลงมือทำ

ถ้าจะอุปมาผู้เรียน จิต เจตสิ รูป นิพพาน เหมือนคนนั่งทำงานนั่งสั่งงานอยู่ในออฟฟิตติดแอร์เย็นฉ่ำ ออกมาตากแดดหน้ามืดเป็นลม :b12:

ส่วนผู้ปฏิบัติ เหมือนคนออกสนามรบ ตากแดดตากลมสู้ผจญกับข้าศึกรอบทิศ

เข้าใจมั้ยอ่ะที่พูดเนี่ย s006

นอนอ่านหนังสือดีกว่า พรุ่งว่ากันใหม่ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2019, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2175

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เปงงัยฮ่ะ ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน :b12: นี่ขั้นการเรียน ซึ่งได้แก่ ปริยัติ ไม่ใช่ปฏิบัติ ไม่ใช่การเดินทาง ไม่ใช่ลงมือทำ

ถ้าจะอุปมาผู้เรียน จิต เจตสิ รูป นิพพาน เหมือนคนนั่งทำงานนั่งสั่งงานอยู่ในออฟฟิตติดแอร์เย็นฉ่ำ ออกมาตากแดดหน้ามืดเป็นลม :b12:

ส่วนผู้ปฏิบัติ เหมือนคนออกสนามรบ ตากแดดตากลมสู้ผจญกับข้าศึกรอบทิศ

เข้าใจมั้ยอ่ะที่พูดเนี่ย s006

นอนอ่านหนังสือดีกว่า พรุ่งว่ากันใหม่ :b32:


แสดงว่า ลุงยังเข้าใจไม่พอ
และไม่รู้จริงๆ เนาะ
ว่า ผู้ศึกษาอภิธรรม มีการปฎิบัติ เคยบอกลุงไปหลายเดือนแระหละ
คงยังไม่เก๊ต

และไม่รู้อีกน๊ะค๊ะว่า

ว่าระดับมันสมอง นั่งๆนอนๆสบาย รู้ได้เร็ว

เรียกว่า สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา เนาะค๊ะ



tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2019, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เปงงัยบ้างฮ่ะ s006

Kiss
ตถาคตแสดงความจริง
ที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้
ถึงแสนโกฏิขณะค่ะ
แปลว่ากิเลสไหล
ออกมาจากจิต
ของตนเอง
เดี๋ยวนี้
มีแล้ว
ไม่ได้ทำอะไร
กิเลสก็เกิดไปแล้ว
ตามที่มีถึงแสนล้านขณะ
มีแต่ต้องเพียรทำปัญญาคือ
ฟังเพื่อรู้ความจริงให้ตรงทาง
เดี๋ยวนี้คิดให้ตรงทางไหนก็ได้1จริง
ตรงสัจจะที่กายใจตัวเองกระทบชัดที่สุด
แต่ต้องอาศัยการฟังพระพุทธพจน์คือพึ่งคำสอนรู้ยัง
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เปงงัยฮ่ะ ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน :b12: นี่ขั้นการเรียน ซึ่งได้แก่ ปริยัติ ไม่ใช่ปฏิบัติ ไม่ใช่การเดินทาง ไม่ใช่ลงมือทำ

ถ้าจะอุปมาผู้เรียน จิต เจตสิ รูป นิพพาน เหมือนคนนั่งทำงานนั่งสั่งงานอยู่ในออฟฟิตติดแอร์เย็นฉ่ำ ออกมาตากแดดหน้ามืดเป็นลม :b12:

ส่วนผู้ปฏิบัติ เหมือนคนออกสนามรบ ตากแดดตากลมสู้ผจญกับข้าศึกรอบทิศ

เข้าใจมั้ยอ่ะที่พูดเนี่ย s006

นอนอ่านหนังสือดีกว่า พรุ่งว่ากันใหม่ :b32:


แสดงว่า ลุงยังเข้าใจไม่พอ
และไม่รู้จริงๆ เนาะ
ว่า ผู้ศึกษาอภิธรรม มีการปฎิบัติ เคยบอกลุงไปหลายเดือนแระหละ
คงยังไม่เก๊ต

และไม่รู้อีกน๊ะค๊ะว่า

ว่าระดับมันสมอง นั่งๆนอนๆสบาย รู้ได้เร็ว

เรียกว่า สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา เนาะค๊ะ




tongue


เอาอีกสักกระทู้ดีไหม คิกๆๆ

พ่ะน่ะ นั่งๆนอนๆสบายรู้ได้เร็ว ทำไปทำมาจะจริงอย่างที่ลุงพูดหลายหนแล้วว่า คนเมากัญชา (เห็นข่าวว่าให้ปลูกกัญชาได้เสรีแวบๆ ยังไม่เห็นรายละเอียด ถ้าเป็นอย่างนี้ อีกหน่อยวัยรุ่นคงได้ไปสวรรค์นิพพานกันเกลื่อนเมือง) นอนดูก้อนเมฆจินตนาการเป็นสิ่งสาราสัตว์ต่างๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เปงงัยบ้างฮ่ะ s006

Kiss
ตถาคตแสดงความจริง
ที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้
ถึงแสนโกฏิขณะค่ะ
แปลว่ากิเลสไหล

ออกมาจากจิต
ของตนเอง
เดี๋ยวนี้
มีแล้ว
ไม่ได้ทำอะไร
กิเลสก็เกิดไปแล้ว
ตามที่มีถึงแสนล้านขณะ
มีแต่ต้องเพียรทำปัญญาคือ
ฟังเพื่อรู้ความจริงให้ตรงทาง
เดี๋ยวนี้คิดให้ตรงทางไหนก็ได้1จริง
ตรงสัจจะที่กายใจตัวเองกระทบชัดที่สุด
แต่ต้องอาศัยการฟังพระพุทธพจน์คือพึ่งคำสอนรู้ยัง
:b12:
:b32: :b32:


นี่ก็อะกุสๆๆ ไม่สะลาสักที :b32: แผ่นเสียงตกร่อง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ลักษณะที่ควรกล่าวย้ำไว้ เพราะท่านกล่าวถึงบ่อยๆ คือ ความเป็นสุข มีทั้งคำแสดงภาวะของนิพพานว่า เป็นสุข คำกล่าวถึงผู้บรรลุนิพพาน ว่า เป็นสุข และคำกล่าวของผู้บรรลุเองว่าตนมีความสุข เช่น ว่านิพพานเป็นบรมสุข
นิพพานเป็นสุขยิ่งหนอ
สุขยิ่งกว่านิพพานสุข ไม่มี
นี่คือสุขที่ยอดเยี่ยม
พระอรหันต์ทั้งหลายมีความสุขจริงหนอ
ผู้ปรินิพพานแล้ว นอนเป็นสุขทุกเมื่อแล
ผู้ไร้กังวลเป็นผู้มีความสุขหนอ
พวกเรา ผู้ไม่มีอะไรให้กังวล เป็นสุขจริงหนอ
สุขจริงหนอๆ


ต่อ


แม้แต่ผู้ปฏิบัติธรรม ก็ต้องมองนิพพานว่าเป็นสุข จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังพุทธพจน์ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุผู้มองเห็นนิพพานโดยความเป็นทุกข์ จักเป็นผู้ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ข้อที่ภิกษุผู้ไม่ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ จักก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ข้อที่ภิกษุผู้ไม่ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม จักบรรลุโสดาปัตติผล หรือสกทาคามิผล หรืออนาคามิผล หรืออรหัตผล ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้"

"ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุผู้มองเห็นนิพพานโดยความเป็นสุข จักเป็นผู้ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ ย่อมเป็นสิ่งที่ไปได้ ข้อที่ภิกษุผู้ไม่ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ จักก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก็เป็นสิ่งที่ไปได้ ข้อที่ภิกษุผู้ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม จักบรรลุโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้" * (องฺ.ฉกฺก.22/372/492)


แม้นิพพานจะเป็นสุข และผู้บรรลุนิพพานก็เป็นผู้มีความสุข แต่ผู้บรรลุนิพพานไม่ติดในความสุข ไม่ว่าชนิดใดๆ รวมทั้งไม่ติดเพลินนิพพานด้วย* (ม.มู. 12/5-7/7-9)

(สัมมัตตนิยาม กำหนดแน่นอนในภาวะที่ถูกต้อง หรือ กฎเกณฑ์แห่งความถูกต้อง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อรับรู้อารมณ์ (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) ต่างๆ จากภายนอก ทางตา ทางหู ทางจมูก เป็นต้น พระอรหันต์ยังคงเสวยเวทนาที่เนื่องจากอารมณ์เหล่านั้น ทั้งที่เป็นสุข เป็นทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เช่นเดียวกับคนทั่วไป

แต่มีข้อพิเศษ ตรงที่ท่านเสวยเวทนาอย่างไม่มีกิเลสร้อยรัด ไม่ติดเพลินหรือข้องขัดอยู่กับเวทนานั้น เวทนานั้นไม่เป็นเหตุให้เกิดตัณหา เป็นการเสวยเวทนาชั้นเดียว
เรียกสั้นๆว่า เสวยแต่เวทนาทางกาย ไม่เสวยเวทนาทางจิต ไม่ทำให้เกิดความเร่าร้อนกระวนกระวายภายใน เรียกว่า เวทนานั้นเป็นของเย็นแล้ว การเสวยเวทนาของท่าน เป็นการเสวยชนิดที่ไม่มีอนุสัยตกค้าง



ที่ว่า พระอรหันต์เสวยเวทนาโดยไม่มีอนุสัยตกค้างนี้ เป็นจุดพึงสังเกตสำคัญข้อหนึ่ง คือเป็นความแตกต่างจากปุถุชนที่ ว่า เมื่อเสวยสุข ก็มีราคานุสัยตกค้าง
เสวยทุกข์ ก็มีปฏิฆานุสัยตกค้าง
เสวยอารมณ์เฉยๆ ก็มีอวิชชานุสัยตกค้าง เพิ่มความเคยชิน และความแก่กล้าให้แก่กิเลสเหล่านั้นมากยิ่งๆขึ้น (สํ.นิ. 16/192/99 ฯลฯ)
แต่สำหรับพระอรหันต์ สุขทุกข์จากภายนอก ไม่สามารถเข้าไปกระทบถึงภาวะที่ดับเย็น เป็นสุขในภายใน ความสุขของท่าน จึงเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่ออารมณ์ หรือ สิ่งต่างๆภายนอก คือไม่ต้องอาศัยอามิส ท่านเรียกว่า เป็นนิรามิสสุขอย่างยิ่ง หรือยิ่งกว่านิรามิสสุข (นิรามิสสุขชั้นสามัญ คือสุขในฌาน) (สํ.ฬ. 18/451-2/293)

ในเมื่อสุขของผู้ถึงนิพพาน ไม่ขึ้นต่อปัจจัยภายนอก ความผันแปรเปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งหลายอันเป็นไปตามคติธรรมดาแห่งสภาพสังขาร จึงไม่เป็นเหตุให้ท่านเกิดความทุกข์
ถึงอารมณ์ ๖ จะแปรปรวนเคลื่อนคลาหายลับ ท่านก็คงอยู่เป็นสุข
ถึงขันธ์ ๕ (รวมหมดทั้งตัว) จะผันแปรกลับกลายไปเป็นอื่น ท่านก็ไม่เศร้าโศกเป็นทุกข์

ความรู้เท่าทันในความไม่เที่ยงแท้และสภาพที่ผันแปรนั้นเอง ย่อมทำให้เกิดความสงบเย็น ไม่พล่านส่าย ไม่กระวนกระวาย อยู่เป็นสุขได้ตลอดเวลา
ภาวะเช่นนี้ท่านว่าเป็นความหมายอย่างหนึ่งของการพึ่งตนได้ หรือการมีธรรมเป็นที่พึ่ง (สํ.ข.17/87-88/53-54)

(ตัดชื่อคัมภีร์อ้างอิงออกส่วนมาก)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห.บน ถ้าคุณโรส พี่เมโลกซวย แค่อากาศ (ธาตุ) อ่านแล้วเข้าใจ ท้องผูกแน่ๆ บอกไม่เชื่อ rolleyes

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ :b13: พี่เมสังเกต คคห.นี้ดีๆ แล้วจะเห็นพุทธพจน์ที่สอนนกุลบิดา ที่ตัวเองตั้งกระทู้กายส่าย (ไปแปล ส่าย จึงทำให้ตีความนอกเรื่องไป) ใจไม่ส่าย นี่

viewtopic.php?f=1&t=57238


คำสำคัญที่แสดงภาวะทางจิตของผู้บรรลุนิพพานอีกคำหนึ่ง ซึ่งครอบคลุมลักษณะหลายอย่างที่กล่าวมาแล้ว คือคำว่า อาโรคยะ แปลว่า ความไม่มีโรค หรือภาวะไร้โรค ที่ในภาษาไทยเรียกว่า สุขภาพ หรือ ความมีสุขภาพดี

อาโรคยะ นี้ใช้เป็นคำเรียกนิพพานอย่างหนึ่ง ดังได้กล่าวมาแล้ว ความไร้โรค หรือ สุขภาพในที่นี้มุ่งเอาความไม่มีโรคทางจิตใจ หรือ สุขภาพจิต ดังพุทธพจน์ที่ตรัสสอนคหบดีผู้เฒ่าคนหนึ่งว่า

"ท่านพึงศึกษาฝึกสอนตน ดังนี้ว่า ถึงแม้ร่างกายของเราจะป่วยออดแอด แต่จิตของเราจักไม่ป่วยออดแอดไปด้วย" (สํ.ข.17/2/3)

"สัตว์ที่ยืนยันได้ว่า ตนปราศจากโรคทางจิต แม้เพียงครู่หนึ่งนั้น หาได้ยาก ยกเว้นแต่พระขีณาสพ" (องฺ.จตุกฺก.21/156/192)

พุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นว่า พระอรหันต์เป็นผู้มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ การแสดงภาวะของผู้บรรลุนิพพานในแง่ที่เป็นผู้ไม่มีโรค หรือ มีสุขภาพดีนี้ เป็นวิธีที่ดีอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้เข้าใจคุณค่าของการบรรลุนิพพานดีขึ้น เพราะปุถุชนมักสงสัยว่า ในเมื่อผู้บรรลุนิพพานปราศจากการแสวงหา และเสวยความสุข อย่างที่ปุถุชนนิยมชมชอบกันอยู่ ท่านจะมีความสุขได้อย่างไร และนิพพานจะดีอะไร

(พระอรหันต์แท้ๆ ไม่เป็นโรคทางจิต ไม่เป็นโรคซึมเศร้า)

(คนแก่ร่างกายก็เจ็บป่วยออดๆแอดๆเป็นธรรมดา แต่ถึงกายจะเจ็บออดแอด แต่ใจจะไม่ป่วยออดแอดไปด้วย กายเจ็บป่วยเจ็บปวด แต่จิตใจไม่เจ็บไม่ป่วย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2175

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ต่อ :b13: พี่เมสังเกต คคห.นี้ดีๆ แล้วจะเห็นพุทธพจน์ที่สอนนกุลบิดา ที่ตัวเองตั้งกระทู้กายส่าย (ไปแปล ส่าย จึงทำให้ตีความนอกเรื่องไป) ใจไม่ส่าย นี่

viewtopic.php?f=1&t=57238


คำสำคัญที่แสดงภาวะทางจิตของผู้บรรลุนิพพานอีกคำหนึ่ง ซึ่งครอบคลุมลักษณะหลายอย่างที่กล่าวมาแล้ว คือคำว่า อาโรคยะ แปลว่า ความไม่มีโรค หรือภาวะไร้โรค ที่ในภาษาไทยเรียกว่า สุขภาพ หรือ ความมีสุขภาพดี

อาโรคยะ นี้ใช้เป็นคำเรียกนิพพานอย่างหนึ่ง ดังได้กล่าวมาแล้ว ความไร้โรค หรือ สุขภาพในที่นี้มุ่งเอาความไม่มีโรคทางจิตใจ หรือ สุขภาพจิต ดังพุทธพจน์ที่ตรัสสอนคหบดีผู้เฒ่าคนหนึ่งว่า

"ท่านพึงศึกษาฝึกสอนตน ดังนี้ว่า ถึงแม้ร่างกายของเราจะป่วยออดแอด แต่จิตของเราจักไม่ป่วยออดแอดไปด้วย" (สํ.ข.17/2/3)

"สัตว์ที่ยืนยันได้ว่า ตนปราศจากโรคทางจิต แม้เพียงครู่หนึ่งนั้น หาได้ยาก ยกเว้นแต่พระขีณาสพ" (องฺ.จตุกฺก.21/156/192)

พุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นว่า พระอรหันต์เป็นผู้มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ การแสดงภาวะของผู้บรรลุนิพพานในแง่ที่เป็นผู้ไม่มีโรค หรือ มีสุขภาพดีนี้ เป็นวิธีที่ดีอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้เข้าใจคุณค่าของการบรรลุนิพพานดีขึ้น เพราะปุถุชนมักสงสัยว่า ในเมื่อผู้บรรลุนิพพานปราศจากการแสวงหา และเสวยความสุข อย่างที่ปุถุชนนิยมชมชอบกันอยู่ ท่านจะมีความสุขได้อย่างไร และนิพพานจะดีอะไร

(พระอรหันต์แท้ๆ ไม่เป็นโรคทางจิต ไม่เป็นโรคซึมเศร้า)

(คนแก่ร่างกายก็เจ็บป่วยออดๆแอดๆเป็นธรรมดา แต่ถึงกายจะเจ็บออดแอด แต่ใจจะไม่ป่วยออดแอดไปด้วย กายเจ็บป่วยเจ็บปวด แต่จิตใจไม่เจ็บไม่ป่วย)


"สัตว์ที่ยืนยันได้ว่า ตนปราศจากโรคทางจิต แม้เพียงครู่หนึ่งนั้น หาได้ยาก ยกเว้นแต่พระขีณาสพ" (องฺ.จตุกฺก.21/156/192)

s006 ?

เอ่? หาได้ยาก ไม่ใช่ไม่มี เนาะค๊ะ ตัวอย่าง

๑. พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า
๒. พระรามะพุทธเจ้า
๓. พระธัมมราชาพุทธเจ้า
๔. พระธัมมสามีพุทธเจ้า
๕. พระนารทะพุทธเจ้า
๖. พระรังสีมุนีพุทธเจ้า
๗. พระเทวเทวะพุทธเจ้า
๘. พระธัมมิสสระพุทธเจ้า
๙. พระติสสะพุทธเจ้า
๑๐. พระสุมังคละพุทธเจ้า


แก้ไขล่าสุดโดย โลกสวย เมื่อ 03 มี.ค. 2019, 12:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2175

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เมื่อรับรู้อารมณ์ (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) ต่างๆ จากภายนอก ทางตา ทางหู ทางจมูก เป็นต้น พระอรหันต์ยังคงเสวยเวทนาที่เนื่องจากอารมณ์เหล่านั้น ทั้งที่เป็นสุข เป็นทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เช่นเดียวกับคนทั่วไป

แต่มีข้อพิเศษ ตรงที่ท่านเสวยเวทนาอย่างไม่มีกิเลสร้อยรัด ไม่ติดเพลินหรือข้องขัดอยู่กับเวทนานั้น เวทนานั้นไม่เป็นเหตุให้เกิดตัณหา เป็นการเสวยเวทนาชั้นเดียว
เรียกสั้นๆว่า เสวยแต่เวทนาทางกาย ไม่เสวยเวทนาทางจิต ไม่ทำให้เกิดความเร่าร้อนกระวนกระวายภายใน เรียกว่า เวทนานั้นเป็นของเย็นแล้ว การเสวยเวทนาของท่าน เป็นการเสวยชนิดที่ไม่มีอนุสัยตกค้าง



ที่ว่า พระอรหันต์เสวยเวทนาโดยไม่มีอนุสัยตกค้างนี้ เป็นจุดพึงสังเกตสำคัญข้อหนึ่ง คือเป็นความแตกต่างจากปุถุชนที่ ว่า เมื่อเสวยสุข ก็มีราคานุสัยตกค้าง
เสวยทุกข์ ก็มีปฏิฆานุสัยตกค้าง
เสวยอารมณ์เฉยๆ ก็มีอวิชชานุสัยตกค้าง เพิ่มความเคยชิน และความแก่กล้าให้แก่กิเลสเหล่านั้นมากยิ่งๆขึ้น (สํ.นิ. 16/192/99 ฯลฯ)
แต่สำหรับพระอรหันต์ สุขทุกข์จากภายนอก ไม่สามารถเข้าไปกระทบถึงภาวะที่ดับเย็น เป็นสุขในภายใน ความสุขของท่าน จึงเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่ออารมณ์ หรือ สิ่งต่างๆภายนอก คือไม่ต้องอาศัยอามิส ท่านเรียกว่า เป็นนิรามิสสุขอย่างยิ่ง หรือยิ่งกว่านิรามิสสุข (นิรามิสสุขชั้นสามัญ คือสุขในฌาน) (สํ.ฬ. 18/451-2/293)

ในเมื่อสุขของผู้ถึงนิพพาน ไม่ขึ้นต่อปัจจัยภายนอก ความผันแปรเปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งหลายอันเป็นไปตามคติธรรมดาแห่งสภาพสังขาร จึงไม่เป็นเหตุให้ท่านเกิดความทุกข์
ถึงอารมณ์ ๖ จะแปรปรวนเคลื่อนคลาหายลับ ท่านก็คงอยู่เป็นสุข
ถึงขันธ์ ๕ (รวมหมดทั้งตัว) จะผันแปรกลับกลายไปเป็นอื่น ท่านก็ไม่เศร้าโศกเป็นทุกข์

ความรู้เท่าทันในความไม่เที่ยงแท้และสภาพที่ผันแปรนั้นเอง ย่อมทำให้เกิดความสงบเย็น ไม่พล่านส่าย ไม่กระวนกระวาย อยู่เป็นสุขได้ตลอดเวลา
ภาวะเช่นนี้ท่านว่าเป็นความหมายอย่างหนึ่งของการพึ่งตนได้ หรือการมีธรรมเป็นที่พึ่ง (สํ.ข.17/87-88/53-54)

(ตัดชื่อคัมภีร์อ้างอิงออกส่วนมาก)


s006 เอ่?

พารากราฟ สุดท้าย มาบอกว่าไม่พล่านส่าย ด้วยเนาะค๊ะ

ทีหลังจะก๊อปมาอ่านให้ดีๆก่อนเนาะค๊ะ

สงสัยลืมลบออกน๊ะค๊ะ

s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ต่อ



คำสำคัญที่แสดงภาวะทางจิตของผู้บรรลุนิพพานอีกคำหนึ่ง ซึ่งครอบคลุมลักษณะหลายอย่างที่กล่าวมาแล้ว คือคำว่า อาโรคยะ แปลว่า ความไม่มีโรค หรือภาวะไร้โรค ที่ในภาษาไทยเรียกว่า สุขภาพ หรือ ความมีสุขภาพดี

อาโรคยะ นี้ใช้เป็นคำเรียกนิพพานอย่างหนึ่ง ดังได้กล่าวมาแล้ว ความไร้โรค หรือ สุขภาพในที่นี้มุ่งเอาความไม่มีโรคทางจิตใจ หรือ สุขภาพจิต ดังพุทธพจน์ที่ตรัสสอนคหบดีผู้เฒ่าคนหนึ่งว่า

"ท่านพึงศึกษาฝึกสอนตน ดังนี้ว่า ถึงแม้ร่างกายของเราจะป่วยออดแอด แต่จิตของเราจักไม่ป่วยออดแอดไปด้วย" (สํ.ข.17/2/3)

"สัตว์ที่ยืนยันได้ว่า ตนปราศจากโรคทางจิต แม้เพียงครู่หนึ่งนั้น หาได้ยาก ยกเว้นแต่พระขีณาสพ" (องฺ.จตุกฺก.21/156/192)

พุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นว่า พระอรหันต์เป็นผู้มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ การแสดงภาวะของผู้บรรลุนิพพานในแง่ที่เป็นผู้ไม่มีโรค หรือ มีสุขภาพดีนี้ เป็นวิธีที่ดีอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้เข้าใจคุณค่าของการบรรลุนิพพานดีขึ้น เพราะปุถุชนมักสงสัยว่า ในเมื่อผู้บรรลุนิพพานปราศจากการแสวงหา และเสวยความสุข อย่างที่ปุถุชนนิยมชมชอบกันอยู่ ท่านจะมีความสุขได้อย่างไร และนิพพานจะดีอะไร




ต่อ

ความไม่มีโรค มีสุขภาพดี แข็งแรง ย่อมเป็นความสุข และเป็นภาวะที่สมบูรณ์อยู่ในตัวของมันเอง ดียิ่งกว่าการเจ็บป่วยหรือมีโรคประจำตัวอยู่ แล้วได้รับความสุขจากการระงับทุกขเวทนาไปคราวหนึ่งๆ

คนที่เจ็บป่วยหรือมีโรคนั้น พออาการของโรคกำเริบขึ้น เกิดความกระวนกระวาย กระสับกระส่าย หรือทุรนทุราย ได้ยาหรือวิธีแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่งมาระงับอาการนั้นลงได้ ก็มีความสุขไปคราวหนึ่งๆ ยิ่งอาการนั้นรุนแรง เวลาระงับลงได้ก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมาก คนที่สุขภาพดีไม่มีโรค มองในแง่หนึ่ง คล้ายว่าเสียเปรียบ เพราะไม่มีโอกาสได้รับความสุขแบบนี้ แต่คนที่จิตใจเป็นปกติดี มีปัญญา คงไม่มีใครปรารถนาความสุขแบบคนเจ็บป่วย ที่คอยรอรับรสแห่งความสงบของทุกขเวทนาอย่างนี้

ความสุข ที่ตามปกติไม่รู้สึกว่าเป็นสุข เป็นแต่เพียงความปลอดโปร่งโล่งเบาอยู่ภายใน อันเป็นความสมบูรณ์ในตัวของมันเอง ตามสภาวะของความไม่มีโรค ซึ่งทำให้ไม่มีโอกาสได้รับความสุขบ่อยๆ หรือเป็นครั้งคราวจากการระงับความกระสับกระส่ายทุรนทุรายที่เป็นอาการของโรค นั้น เทียบได้กับภาวะของผู้บรรลุนิพพาน หรือความสุขจากภาวะของนิพพาน ส่วนความสุขจากการระงับอาการของโรคได้เป็นคราวๆ เปรียบเหมือนการแสวงหาความสุขของปุถุชน

ท่านแสดงข้ออุปมาไว้ เปรียบเหมือนคนเป็นโรคเรื้อน มีแผลตามตัว เห่อขึ้นทั่วทั้งร่าง ตัวเชื้อโรคก็คอยเร้าระคาย เขาต้องใช้เล็บเกาปากแผลอยู่เรื่อยๆ และผิงกายที่หลุมถ่านเพลิง เมื่อเขาเกาและผิงย่างตัวกับไฟหนักเข้า ปากแผลก็ยิ่งคะเยอเฟะมากขึ้น แต่กระนั้นความสุข ความชื่นใจความมีรสชาติใดๆ ที่เขาจะได้รับ ก็อยู่ตรงปากแผลคันที่จะได้เกานั่นแหละ

บุรุษโรคเรื้อน ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้น จนกระทั่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง มาปรุงยารักษา ทำให้เขาหายจากโรคเรื้อนได้ บุรุษนั้นพ้นจากโรคเรื้อนไปได้ กลายเป็นคนมีสุขภาพดี (อโรค)
มีความสุข (สุขี)
มีเสรีภาพ (เสรี)
มีอำนาจในตัว (สยังวสี)
จะไปไหนก็ได้ตามพอใจ (เยนกามังคม)


ถึงตอนนี้ การเกาปากแผล ก็ดี การผิงย่างตัวที่หลุม หรือกองไฟ ก็ดี ที่เขาเคยรู้สึกว่าทำให้เกิดความสุขสบายชื่นใจนั้น คราวนี้ เขาไม่เห็นว่าเป็นความสุขเลย และถ้าจะให้เขาทำอย่างนั้นเวลาที่หายโรคแล้วอย่างนี้ เขากลับเห็นว่าจะเจ็บปวดเป็นทุกข์ด้วยซ้ำ แต่ภาวะเช่นนี้ เมื่อครั้งยังถูกโรคเรื้อนรุมเร้าอยู่ เขาหามองเห็นตระหนักไม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้ออุปมานี้ เปรียบได้กับปุถุชน ผู้ยังมีกิเลสอันเป็นเหตุให้ต้องแสวงหาความสุขจากอารมณ์ทั้งหลายที่เป็น กามคุณ แม้จะได้ความสุขจากการหาอารมณ์มาสนองความอยากนั้น แต่ก็ถูกเชื้อความอยากต่างๆ ทั้งหลาย เร้าระคาย ให้เร่าร้อนทุรนทุราย กระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น
เมื่อดำเนินชีวิตไปในแนวทางเช่นนี้ ความสุขความรื่นรมย์ชมชื่นใจที่มีอยู่ ก็วนอยู่แค่การปลุกเร้าเชื้อความอยากให้ร้อนรนยิ่งขึ้น แล้วก็หาสิ่งที่จะเอามาสนองระงับดับความกระสับกระส่าย กระวนกระวายนั้นลงไปคราวหนึ่งๆ

เมื่อใด บรรลุนิพพาน หมดเชื้อความอยากที่ทำให้เกิดความเร่าร้อนกระสับกระส่ายกระวนกระวายแล้ว เป็นอิสระ เป็นไทยแก่ตัว ก็ไม่เห็นความสุขในการกระทำเพื่อสนองระงับความเร่าร้อนกระวนกระวายเช่นนั้นอีก (ดู ม.ม. 13/283-287/277-281)

แง่หนึ่งจากคำอุปมาข้างต้นนั้น พอจะจับเอามาพูดได้ว่า

ปุถุชนเปรียบเหมือนคนมีที่คันที่ต้องเกา และความสุขของปุถุชน ก็คือความสุขจากการได้เกา ณ ที่คันนั้น ยิ่งคันก็ยิ่งเกา และยิ่งเกา ก็ยิ่งคัน ยิ่งคันมาก ความสุขจากการเกา ก็ยิ่งมาก และยิ่งคันมาก ก็ยิ่งได้เกามาก
ปุถุชนจึงชอบเพิ่มอัตรา หรือ ขีดระดับของความสุขให้สูงขึ้น ด้วยการหาทางเพิ่มความเร้าระคาย เพื่อทำให้คันมากขึ้น เพื่อจะได้รับความสุขจากการเกาให้มากยิ่งขึ้น

ส่วนผู้หลุดพ้นแล้ว เป็นเหมือนคนที่หายจากโรคคัน มีร่างกายสมบูรณ์เป็นปกติ ย่อมมีความสุขจากการไม่มีที่คันที่จะต้องเกา แต่อาจถูกปุถุชนกล่าวติว่า เป็นผู้สูญเสียขาดความสุขจากการได้เกาที่คัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2019, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกอย่างหนึ่ง การแสวงสุขของปุถุชน เป็นเหมือนการก่อกระพือโหมไฟขึ้นแล้ว ได้รับความสนุกสนานชื่นฉ่ำชุ่มเย็นจากการดับไฟนั้น ยิ่งโหมไฟให้ลุกโพลงร้อนแรงขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งได้ใช้ความแรงในการดับ ทำให้เกิดเสียงฉี่ฉ่าซู่ซ่าวูบวาบโลดโผนมากขึ้นเท่านั้น
ปุถุชนจึงมักดำเนินชีวิตในแบบของการโหมไฟ แม้ว่าจะเป็นการเสี่ยงต่อการก่ออันตรายทั้งแก่ตน และคนอื่นมากขึ้นก็ตาม
ส่วนผู้หลุดพ้นที่ได้ดับไฟสำเร็จแล้ว อยู่สุขสบายเยือกเย็นปลอดโปร่งใจ ไม่ต้องถูกเผาลน และไม่ต้องคอยระวังภัยจากความเร่าร้อน ไม่คำนึงห่วงในต่อความซ่านซ่าที่จะได้รับจากการคอยตามดับไฟซึ่งตนโหมกระพือขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร